วัน 157

ความกรุณา

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 70:1-5
พันธสัญญาใหม่ กิจการอัครทูต 3:1-26
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 9:1-10:19

เกริ่นนำ

สตีฟ โชเกรน เขียนหนังสือชื่อ ทฤษฎีสมคบคิดแห่งความกรุณา (Conspiracy of Kindness) เขาเริ่มต้นคริสตจักรในเมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีผู้เข้าร่วมเฉลี่ยเกิน 7,000 คน คำขวัญของพวกเขาก็คือ ‘ทำสิ่งเล็ก ๆ ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้’ พวกเขาแสดงออกซึ่งการกระทำแห่งความกรุณาที่ไม่เจาะจงเช่น จ่ายค่ากาแฟให้กับคนแปลกหน้า หรือเขียนคำ ‘ขอบคุณ’ ให้กับคนขายของตามร้าน

ความกรุณาเป็นความรักที่แสดงออกเป็นการกระทำ การสำแดงความรักของพระเจ้าด้วยการลงมือทำ พวกเขาพบว่าพลังแห่งความกรุณาส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก ทั้งในชีวิตของพวกเขาและชีวิตของคนรอบตัว ความกรุณาที่ไม่ได้คาดคิดนั้นทรงพลังที่สุด จ่ายราคาน้อยที่สุด และถูกประเมินค่าต่ำกว่าที่เป็นจริงที่สุดในการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ เมื่อความกรุณาถูกแสดงออกมา ความสัมพันธ์ที่ดีก็ถูกสร้างขึ้น การเชื่อมโยงในชุมชนก็ได้รับการหล่อเลี้ยงและผู้คนก็ได้รับแรงบันดาลใจที่จะส่งต่อความกรุณา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 70:1-5

คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู

ถึงหัวหน้านักร้อง ของดาวิด เพื่อการระลึกถึง

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
2ขอให้ผู้ที่มุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์
 ต้องอับอายและอดสู
ขอให้ผู้ที่ปรารถนาจะให้ข้าพระองค์เจ็บนั้น
 ต้องหันกลับไปและขายหน้า
3ผู้ที่พูดว่า “ฮะฮ้า ฮะฮ้า” นั้น
 ขอให้กลับไปด้วยความอับอาย
4ขอให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
 ปีติและยินดีในพระองค์
ขอให้บรรดาผู้ที่รักการช่วยกู้ของพระองค์
 กล่าวเสมอว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่”
5แต่ข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงรอช้า
 พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์

อรรถาธิบาย

วางใจในพระกรุณาของพระเจ้า

พระเจ้าทรงพระกรุณา พระองค์ทรงรักคุณ ไม่ว่าคุณจะต้องการสิ่งใดในวันนี้ คุณสามารถร้องทูลต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ และผู้ช่วยกู้ของคุณ

ดาวิดอธิษฐานว่า 'ข้าแต่พระเจ้า! ขอทรงรีบมาช่วยกู้ข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรีบมาอยู่ข้าง ๆ ข้าพระองค์เถิด’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาทูลต่อไปว่า ‘แต่ข้าพระองค์ยากจนและขัดสน ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงรอช้า พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์’ (ข้อ 5) เมื่อพระองค์ร้องทูล พระองค์ทรงระลึกได้ถึงความกรุณาของพระเจ้าที่มีต่อพระองค์ในอดีต

เมื่อผมมองกลับไปที่พระธรรมตอนนี้ในพระคัมภีร์ของผม และเห็นถึงการร้องขอความช่วยเหลือ ที่ผมจดไว้ข้าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมอธิษฐานว่า

คำอธิษฐาน

‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์อย่างยิ่งต่อพระกรุณาและความรักของพระองค์ วันนี้ ข้าพระองค์ขอร้องทูลพระองค์เรื่อง…’
พันธสัญญาใหม่

กิจการอัครทูต 3:1-26

เปโตรรักษาขอทานที่เป็นง่อย

 1วันหนึ่งขณะที่เปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปยังบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานตอนบ่ายสามโมง 2มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ถูกหามเข้ามา ทุกๆ วันคนจะวางเขาไว้ที่ริมประตูพระวิหารซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนทั้งหลายที่เข้าไปในพระวิหารนั้น 3เมื่อคนนั้นเห็นเปโตรกับยอห์นกำลังจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน 4เปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราทั้งสองเถิด” 5คนนั้นก็จ้องดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่านทั้งสอง 6แต่เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีนั้นเราจะให้ท่าน คือในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” 7แล้วเปโตรก็จับมือขวาของเขาพยุงขึ้น ในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง 8เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร พร้อมกับเปโตรและยอห์น ทั้งเดินทั้งเต้นโลดและสรรเสริญพระเจ้า 9คนทั้งหมดเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า 10ก็จำได้ว่าเขาคือคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามของพระวิหาร เขาทั้งหลายจึงประหลาดใจและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนนั้น

เปโตรกล่าวที่เฉลียงของซาโลมอน

 11ขณะที่คนนั้นยังรั้งตัวเปโตรและยอห์นอยู่นั้น ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านทั้งสองด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่เฉลียงพระวิหารที่เรียกว่าเฉลียงของซาโลมอน 12พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ทำไมท่านทั้งหลายอัศจรรย์ใจเพราะเรื่องของคนนี้? และทำไมท่านทั้งหลายจ้องดูเราราวกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์เดชหรือความชอบธรรมของเราเอง? 13พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ได้ประทานพระเกียรตินี้แด่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ที่ท่านทั้งหลายมอบไว้และปฏิเสธต่อหน้าปีลาต แม้ว่าปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป 14แต่ท่านทั้งหลายก็ยังปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย 15ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้โปรดให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เราคือสักขีพยานของเรื่องนี้ 16โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงทำให้คนนี้ที่ท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น เป็นความเชื่อที่มาทางพระองค์ ทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
 17“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายทำการนั้นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นเดียวกับบรรดาผู้ครอบครองของพวกท่าน 18แต่สิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์ก็ทรงให้สำเร็จ 19เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงกลับใจและหันมาหาพระเจ้า เพื่อที่ว่าความผิดบาปของพวกท่านจะได้รับการลบล้าง 20เพื่อวาระแห่งการฟื้นชื่นจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า และเพื่อพระองค์จะประทานพระคริสต์ที่ทรงกำหนดไว้นั้นแก่ท่านทั้งหลายคือพระเยซู 21พระองค์นั้นจะต้องอยู่ในสวรรค์จนกว่าจะถึงวาระแห่งการฟื้นฟูสรรพสิ่ง ตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา 22โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราแก่พวกท่านจากพี่น้องของพวกท่านเอง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในทุกสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับพวกท่าน 23ถ้าคนหนึ่งคนใดไม่เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากชนชาติของพระเจ้า’ 24และบรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่ซามูเอลเป็นต้นมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน และได้พยากรณ์ถึงวันเหล่านี้ 25ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า ‘บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า’ 26เมื่อพระเจ้าโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว ก็ทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพรแก่พวกท่าน โดยให้ทุกคนหันออกจากบาปของตน”

อรรถาธิบาย

การแสดงความกรุณาต่อผู้ที่ขัดสน

หนึ่งในการกระทำแห่งความกรุณาสามารถเปลี่ยนแปลงวันของคน ๆ หนึ่ง หรือแม้แต่ชีวิตของเขาได้ ตามที่กล่าวไป ‘จงกรุณา เพราะทุกคนที่คุณพบเจอกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง’ ความกรุณาเป็นหนึ่งในผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กาลาเทีย 5:22) ภายหลังจากที่พวกเขาได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเห็นในพระธรรมตอนนี้ถึงสิ่งซึ่งภายหลังถูกอธิบายว่าเป็น ‘การดี’ (กิจการ 4:9) ซึ่งทำโดยเปโตรและยอห์น (3:1–10)
การดี’ นี้นำไปสู่เหตุการณ์ต่อเนื่องที่น่าจดจำ ซึ่งบางทีอาจถูกอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็น ‘การประกาศด้วยฤทธิ์เดช’ ที่นำไปสู่การเติบโตของคริสตจักรอย่างน่าอัศจรรย์ นี่เป็นส่วนของจุดเริ่มต้นของการปะทุออกซึ่งในที่สุดแล้วก็เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก

หากเราถูกขอให้เริ่มตั้งคริสตจักรใหม่ ผมสงสัยว่าเราควรทำในแบบที่พวกเขาทำไหม พวกเขาไม่มีตัวอาคาร ไม่มีทุน และไม่มีทรัพยากรใด ๆ เริ่มต้นด้วยกลุ่มชาวประมงและคนเก็บภาษี นอกจากนี้ยังเป็นพวกกลุ่มคนที่พูดภาษาแปลก ๆ อีกด้วย กระนั้นคริสตจักรก็ขยายออกอย่างมีชีวิตชีวาด้วยการเติบโตอย่างอัศจรรย์

ผู้คนจากภายนอกถูกดึงดูดเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาเห็นเกิดขึ้นจากภายใน พวกเขาถูกดึงดูดด้วยฤทธิ์เดชเข้มข้นแท้จริงของพระเจ้าที่ถูกปลดปล่อยผ่านทาง ‘การดี

ชายสองคนนี้กำลังเดินทางไปร่วมการนมัสการรอบค่ำ เมื่อพวกเขาไปถึงพวกเขาก็เห็นคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง ร้องขอความช่วยเหลืออยู่ นี่เป็นคนประเภทที่เราอาจคาดว่าจะพบได้ในสถานที่ไม่กี่แห่งพวกเขาอาจหวังจะได้รับความกรุณาทางใดทางหนึ่ง

ชายคนนี้ ‘ถูกหามเข้ามา ทุกๆ วันคนจะวางเขาไว้ที่ริมประตูพระวิหารซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนทั้งหลายที่เข้าไปในพระวิหารนั้น’ (ข้อ 2) ประตูนั้นถูกเรียกว่าประตูงาม กระนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่สิ่งที่โลกเห็นว่างดงาม คนที่พิการตั้งแต่เกิดกำลังขอทานอยู่

ใจของพวกเขาไม่ได้ตกลงเมื่อพวกเขาเห็นความขัดแย้งนั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความเชื่อของพวกเขาทวีขึ้น พวกเขาทำบางอย่าง พวกเขารักษาชายคนนั้น พวกเขาเห็นบางคนที่ลำบากอยู่ พวกเขาระลึกถึงความงดงามภายในของมนุษย์ทุกคน พวกเขาไม่ได้มีเงินทองใด ๆ แต่เปโตรพูดว่า ‘เงินและทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีนั้นเราจะให้ท่าน คือในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด’ (ข้อ 6)

นี่เป็นฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ในพระนามพระเยซู ในความคิดของคนฮีบรู ชื่อของคน ๆ หนึ่งเผยให้เห็นคุณลักษณะของเขา นี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จหรือแค่คำพูดปิดท้ายคำอธิษฐาน นี่เป็นความแตกต่างของพันธกิจของพระเยซูและของสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงรักษาด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง ในขณะที่สาวกทำในพระนามของพระองค์ ในแบบเดียวกัน เราพึ่งพาพระองค์ ในความอ่อนแอของเรา ทั้งคุณและผมสามารถทำพันธกิจของพระองค์ต่อไปได้ ด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ และในพระนามของพระองค์

ไม่เพียงแค่ชายคนนี้ได้รับการรักษา (เขากระโดดขึ้นยืน และเริ่มเต้นสรรเสริญพระเจ้า ข้อ 8) แต่หลายคนยังได้กลับใจเชื่อ การดีอันหนึ่งส่งผลกระทบอย่างน่าทึ่ง ผู้คน ‘จึงประหลาดใจและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนนั้น…ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านทั้งสองด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง‘ (ข้อ 10–11) การสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้านั้นมาพร้อมกับการประกาศพระกิตติคุณ พวกเขาจึงมีโอกาสได้พูดเรื่องพระเยซู การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ และความจำเป็นในการเชื่อวางใจ (ข้อ 14–16)

คำเทศนาของเราควรมีพระเยซูเป็นศูนย์กลางเสมอ คำเทศนาครั้งที่สองของเปโตร เหมือนกับครั้งแรกของเขา คือ เน้นไปที่พระเยซู เขาเริ่มต้นพูดว่า ‘ชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ทำไมท่านทั้งหลายอัศจรรย์ใจเพราะเรื่องของคนนี้? และทำไมท่านทั้งหลายจ้องดูเราราวกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์เดชหรือความชอบธรรมของเราเอง?’ (ข้อ 12) เปโตรไม่ได้อยากให้คนสนใจตัวเขา แต่ให้เพ่งความสนใจไปที่พระเยซู

การบรรยายทั้งหมดเป็นเรื่องพระเยซู พระเยซูทรงเป็น ‘ผู้รับใช้’ ของพระเจ้า (ข้อ 13) ‘องค์บริสุทธิ์และชอบธรรม’ (ข้อ 14) ‘แหล่งกำเนิดของชีวิต‘ (ข้อ 15) และ ‘ผู้เผยพระวจนะ‘ ที่โมเสสบอกไว้ล่วงหน้า (ข้อ 22) เขาพูดว่า ‘โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงทำให้คนนี้ที่ท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น เป็นความเชื่อที่มาทางพระองค์ ทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย’ (ข้อ 16)

เปโตรเล่าข่าวดีเรื่องพระเยซู เขาพูดเรื่องความบาป กางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย และความจำเป็นในการกลับใจและหันไปหาพระเจ้า เขารับรองกับบรรดาคนเหล่านั้นถึงพระสัญญาของพระเจ้าในการให้อภัยความบาปของพวกเขา และรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า เขาพูดว่า ‘เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงกลับใจและหันมาหาพระเจ้า เพื่อที่ว่าความผิดบาปของพวกท่านจะได้รับการลบล้าง เพื่อวาระแห่งการฟื้นชื่นจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า’ (ข้อ 19)

‘วาระแห่งการฟื้นชื่น’ มาถึงเมื่อคุณใช้เวลาในการทรงสถิตของพระเจ้า เมื่อคุณเหนื่อยล้าหรือหมดแรง คุณสามารถสดชื่นขึ้นได้โดยการใช้เวลากับพระเจ้า บางครั้งคุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกตัวออกจากความวุ่นวายในชีวิต และใช้เวลากับพระเจ้าในแบบที่พระเยซูทรงทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ในพระกรุณาของพระองค์ อยากจะนำเอา ‘วาระแห่งการฟื้นชื่น‘ มาสู่คุณ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระนามพระเยซูมีฤทธิ์เดชอย่างยิ่ง ข้าพระองค์อธิษฐานเผื่อโอกาสวันนี้ในการแสดงความกรุณาต่อบางคน และช่วยพวกเขา ในพระนามพระเยซู
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 9:1-10:19

ความรักมั่นคงที่ดาวิดมีต่อเมฟีโบเชท

 1ดาวิดรับสั่งว่า “พงศ์พันธุ์ของซาอูลนั้นมีเหลือไหม? เพื่อเราจะแสดงความรักมั่นคงแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธาน” 2มีมหาดเล็กในพงศ์พันธุ์ซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา พวกเขาก็เรียกให้มาเฝ้าดาวิดและพระราชาตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือศิบาหรือ?” เขาทูลตอบว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์คือศิบา พ่ะย่ะค่ะ” 3พระราชาจึงตรัสว่า “ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ซาอูลเหลืออยู่บ้าง เพื่อเราจะได้แสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าต่อเขาหรือ?” ศิบากราบทูลพระราชาว่า “ยังมีโอรสของโยนาธานเหลืออยู่คนหนึ่ง เท้าของเขาเป็นง่อย พ่ะย่ะค่ะ” 4พระราชาตรัสถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหน?” ศิบาจึงกราบทูลพระราชาว่า “เขาอยู่ในบ้านของมาคีร์บุตรอัมมีเอล ในเมืองโลเดบาร์ พ่ะย่ะค่ะ” 5แล้วกษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปนำเขามาจากบ้านของมาคีร์บุตรอัมมีเอล ที่โลเดบาร์ 6เมฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้มาเฝ้าดาวิดและย่อตัวซบหน้าลง และดาวิดตรัสว่า “เมฟีโบเชท” เขาทูลตอบว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์อยู่นี่” 7และดาวิดตรัสกับท่านว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราจะแสดงความรักมั่นคงต่อท่านแน่นอน เพื่อเห็นแก่โยนาธานราชบิดาของท่าน และเราจะคืนที่ดินทั้งหมดของซาอูลอัยกาคำราชาศัพท์หมายถึง ปู่ของท่านแก่ท่าน และท่านจะรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป” 8และเขาก็ย่อตัวลงคำนับและทูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นใครเล่า? ซึ่งฝ่าพระบาทจะทรงสังเกตเห็นสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้”
 9แล้วพระราชาตรัสเรียกศิบามหาดเล็กของซาอูล และตรัสแก่เขาว่า “สิ่งของทั้งสิ้นที่เป็นของซาอูลและของพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของท่าน เราได้มอบให้แก่โอรสเจ้านายของเจ้าแล้ว 10ตัวเจ้าและพวกบุตรของเจ้าและเหล่าคนใช้ของเจ้าต้องทำไร่ไถนาให้เขา และนำพืชผลที่ได้นั้นเข้ามาเพื่อโอรสแห่งเจ้านายของเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน แต่เมฟีโบเชทโอรสแห่งเจ้านายของเจ้านั้น จะรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป” ฝ่ายศิบามีบุตรชาย 15 คนกับคนใช้ 20 คน 11แล้วศิบาจึงทูลพระราชาว่า “ทุกสิ่งที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทบัญชาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั้น ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะทำ” เมฟีโบเชทจึงรับประทานที่โต๊ะเสวยของดาวิด อย่างกับเป็นโอรสของกษัตริย์องค์หนึ่ง 12เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของศิบาก็ได้เป็นผู้รับใช้ของเมฟีโบเชท 13ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอาศัยในเยรูซาเล็มเพราะท่านรับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ เท้าทั้งสองของท่านเป็นง่อย

2 ซามูเอล 10

คนอัมโมนและคนซีเรียพ่ายแพ้

 1ต่อมาหลังจากพระราชาแห่งคนอัมโมนสิ้นพระชนม์ และฮานูนพระราชโอรสของพระองค์ทรงครองราชย์แทนพระองค์ 2ดาวิดจึงตรัสว่า “เราจะซื่อสัตย์ต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่พระราชบิดาของเขาซื่อสัตย์ต่อเรา” ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปปลอบโยนท่าน เกี่ยวด้วยเรื่องพระราชบิดาของท่าน และพวกข้าราชการของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของคนอัมโมน 3แต่พวกเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนเจ้านายของพวกเขาว่า “ฝ่าพระบาททรงเห็นว่า ดาวิดส่งพวกผู้ปลอบโยนมาหาฝ่าพระบาท เพราะทรงให้เกียรติพระราชบิดาของฝ่าพระบาทหรือ? ดาวิดไม่ได้ส่งพวกข้าราชการมาหาฝ่าพระบาทเพื่อตรวจเมือง เพื่อสอดแนม และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้หรือ?” 4ฮานูนจึงจับพวกข้าราชการของดาวิดมาโกนเคราเสียครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายที่ตรงกลางจนถึงตะโพก แล้วปล่อยไป 5เมื่อดาวิดทรงทราบ พระองค์ก็ทรงส่งคนไปพบข้าราชการเหล่านั้น เพราะว่าพวกเขาถูกเหยียดหยามมาก และพระราชาตรัสว่า “จงพักที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของพวกท่านขึ้น แล้วจึงค่อยกลับมา”
 6เมื่อคนอัมโมนเห็นว่า พวกเขาเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียมาจากเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียจากเมืองโศบาห์เป็นทหารราบจำนวน 20,000 คน กับกษัตริย์เมืองมาอาคาห์พร้อมกับทหาร 1,000 คน และชาวเมืองโทบ 12,000 คน 7เมื่อดาวิดทรงทราบจึงส่งโยอาบและกองทัพเหล่านักรบทั้งหมดไป 8ส่วนคนอัมโมนก็ยกออกมาและจัดแนวรบไว้ทางเข้าประตูเมือง ส่วนคนซีเรียจากเมืองโศบาห์และจากเมืองเรโหบ พร้อมกับชาวเมืองโทบและชาวเมืองมาอาคาห์อยู่ที่กลางทุ่งต่างหาก
 9เมื่อโยอาบเห็นว่า การศึกนั้นขนาบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านจึงเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมดที่คัดไว้แล้วจัดแนวรบเข้าต่อสู้คนซีเรีย 10ท่านมอบพวกทหารที่เหลืออยู่ไว้ในบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของท่าน และเขาก็จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน 11ท่านกล่าวว่า “ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งกว่ากำลังของเราให้เจ้าไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งกว่ากำลังของเจ้า เราจะมาช่วยเจ้า 12จงเข้มแข็ง ทำตนให้กล้าหาญเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อบรรดาเมืองของพระเจ้าของเราและขอพระยาห์เวห์ทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” 13ดังนั้น โยอาบกับพวกทหารที่อยู่กับท่านก็เข้าไปใกล้เพื่อต่อสู้กับคนซีเรีย พวกข้าศึกก็หนีไปต่อหน้าพวกทหาร 14เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าคนซีเรียหนีไปแล้ว พวกเขาก็หนีต่อหน้าอาบีชัยเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบก็กลับจากการสู้รบกับคนอัมโมนมายังกรุงเยรูซาเล็ม
 15เมื่อคนซีเรียเห็นว่า ถูกตีพ่ายต่อหน้าอิสราเอลแล้ว จึงรวมตัวเข้าด้วยกัน 16ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงส่งคนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติสออกมา พวกเขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์นำหน้าพวกเขา 17เมื่อมีผู้ทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมายังตำบลเฮลาม และคนซีเรียก็จัดแนวรบต่อสู้ดาวิดและรบกับพระองค์ 18คนซีเรียหนีต่อหน้าอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียซึ่งเป็นทหารรถรบ 700 คน กับทหารม้า 40,000 คนเสีย และประหารโชบัคแม่ทัพของเขาตายที่นั่น 19และเมื่อบรรดากษัตริย์พวกผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่า พวกเขาถูกตีพ่ายต่อหน้าอิสราเอลแล้ว ก็ยอมสงบศึกกับอิสราเอล และยอมรับใช้พวกเขา ดังนั้นคนซีเรียจึงกลัว ไม่กล้าช่วยคนอัมโมนอีก

อรรถาธิบาย

ให้และรับความกรุณา

พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณาอย่างไม่สิ้นสุด ดาวิดพูดถึง ‘ความรักมั่นคงของพระเจ้า’ (9:3) เมื่อคุณแสดงความกรุณา นี่เป็นวิธีที่แสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มีต่อคุณ

ดาวิดรับสั่งว่า ‘พงศ์พันธุ์ของซาอูลนั้นมีเหลือไหม? เพื่อเราจะแสดงความรักมั่นคงแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธาน’ (ข้อ 1) จากนั้นพระองค์ถามศิบา ‘ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ซาอูลเหลืออยู่บ้าง เพื่อเราจะได้แสดงความเมตตาและความรักมั่นคงของพระเจ้าที่ไม่หยุดยั้ง ไม่ได้ร้องขอ และไม่มีข้อจำกัดต่อเขาเลยหรือ?’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

เมฟีโบเชทมีอายุเพียงห้าปีเมื่อบิดาของเขาเสียชีวิต (4:4) และบัดนี้ก็มีลูกชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง (9:12) ดาวิดได้ครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มอย่างน้อยเจ็ดปี และเมฟีโบเชทน่าจะอายุราว ๆ ยี่สิบปี ความกรุณาที่ดาวิดสำแดงแก่เมฟีโบเชทเป็นเหมือนกับพระกรุณาที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เรา ไม่หยุดยั้ง ไม่ได้ร้องขอ และไม่มีข้อจำกัด

อีกครั้งที่บางคนที่พิการ (ข้อ 3) ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความกรุณาเป็นพิเศษ ดาวิดตรัสกับท่านว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราจะแสดงความรักมั่นคงต่อท่านแน่นอน...เราจะคืนที่ดินทั้งหมด...และท่านจะรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป’ (ข้อ 7)

จากนั้น ดาวิดมองหาโอกาสมากขึ้นที่จะแสดงความกรุณา 'เราจะซื่อสัตย์ต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่พระราชบิดาของเขาซื่อสัตย์ต่อเรา’ (10:2) น่าเศร้าที่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น ความกรุณาก็ถูกเข้าใจผิดไป (ข้อ 3 เป็นต้นไป) อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ควรทำให้เราผิดหวัง นี่เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาที่อยากจะแสดงความกรุณาต่อลูกๆที่พ่อแม่มีเมตตาต่อเราเป็นพิเศษ

เมฟีโบเชททูลว่า ‘ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นใครเล่า? ซึ่งฝ่าพระบาทจะทรงสังเกตเห็นสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้’ (ข้อ 8 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขามองตัวเองต่ำมาก เหมือนเราหลายคน เขาสนใจที่ความไม่สมบูรณ์แบบของเขา แต่พระเจ้าทรงอวยพรเราแม้ว่าเราจะไม่สมบูรณ์แบบ พระองค์ทรงต้องการให้เรารู้และมีประสบการณ์กับพระกรุณาอันไม่จำกัดของพระองค์ อย่าจดจ่อกับสิ่งที่ผิดพลาด ความบาป ความผิดพลาด ความอ่อนแอ และความล้มเหลวของคุณ ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้กับคุณ และทรงอยากเทพระคุณอันอุดมเหลือล้นของพระองค์ ด้วยพระกรุณาที่มีต่อเราในพระเยซูคริสต์ (เอเฟซัส 2:7)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับพระคุณอันอุดมเหลือล้นของพระองค์ ด้วยพระกรุณาที่มีต่อข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้มองหาโอกาสที่จะสำแดงความกรุณาต่อผู้ที่ขัดสนอยู่

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 ซามูเอล 10:1-19

ตรงจุดนี้เราเห็นว่า คนอัมโมนระแวงและตั้งข้อรังเกียจคนของดาวิดที่นำเอาสารแห่งความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงไปให้ พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งถึงช่วงเวลานั้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของการกระทำของพวกเขาคือเกิดสงครามและการสูญเสียชีวิต

แน่นอน นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีปัญญาและรู้จักแยกแยะ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรกลายเป็นคนที่ช่างเหยียดหยาม นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะเชื่อในสิ่งที่ดีที่สุดเรื่องแรงจูงใจของคนอื่น ๆ

ข้อพระคำประจำวัน

กิจการอัครทูต 3:19

“…เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม