การทดสอบและการทดลองต่าง ๆ
เกริ่นนำ
จอห์น วิมเบอร์ ศิษยาภิบาลชาวอเมริกัน และผู้นำร่องความเคลื่อนไหวเรื่ององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์กลุ่มวินยาร์ด ส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อคริสตจักรทั่วโลก เขาเสียชีวิตในวัย 63 ปี ชีวิตเขาเคยลำบากสุด ๆ
เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับผมว่า ‘การมีชื่อดังกระฉ่อนเป็นเรื่องสนุกในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่หลังจากนั้นก็เป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ’ แต่บางทีสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจยิ่งกว่าอื่นใด คือ ความจริงที่ว่าชายสามคนที่สนิทกับเขาที่สุด คนที่เขารักและดูแลเหมือนลูกชายของเขา ล้วนตกลงไปในการทดลองและล้มเหลวด้านศีลธรรม
พระเจ้าทรงใช้ จอห์น วิมเบอร์ ในวิธีที่ไม่ธรรมดา แต่เขาและทีมก็เจอกับบททดสอบและการทดลองมากมาย ชีวิตก็เป็นแบบนี้ และพระคัมภีร์ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ บ่อยครั้งเราออกจากการรบอันหนึ่ง ก็มีอีกอันที่รออยู่ข้างหน้า นี่เป็นความท้าทายของชีวิต
สดุดี 71:1-8
คำอธิษฐานขอทรงพิทักษ์รักษาให้มีชีวิตยืนยาว
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
อย่าให้ข้าพระองค์อับอายเลย
2ขอทรงช่วยกู้และช่วยข้าพระองค์ให้พ้นภัยโดยความชอบธรรมของพระองค์
ขอเอียงพระกรรณฟังข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
3ขอทรงเป็นศิลาลี้ภัยของข้าพระองค์
ที่ข้าพระองค์จะเข้าไปหลบได้เสมอ ขอทรงบัญชาให้ช่วยข้าพระองค์ให้รอด
เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลาและป้อมปราการของข้าพระองค์
4ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากมือของคนอธรรม จากเงื้อมมือของคนคดและคนดุร้าย
5ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย เพราะพระองค์ทรงเป็นความหวังของข้าพระองค์
ทรงเป็นที่วางใจของข้าพระองค์ตั้งแต่เป็นเด็กมา
6 ข้าพระองค์พึ่งพิงพระองค์ตั้งแต่เกิด พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์มาจากครรภ์มารดา
ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์เสมอ
7ข้าพระองค์เป็นตัวอย่างอันน่าพิศวงแก่คนมากมาย
เพราะพระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยแข็งแกร่งของข้าพระองค์
8ปากของข้าพระองค์เต็มไปด้วยคำสรรเสริญพระองค์
และเต็มด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระองค์วันยังค่ำ
อรรถาธิบาย
มั่นใจในพระเจ้า
สดุดีบทนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่บ่งชี้ถึงความยากลำบากและการข่มเหง กระนั้นผ่านทางทั้งหมดนั้น ผู้เขียนกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์พึ่งพิงพระองค์ตั้งแต่เกิด’ (ข้อ 6) ในสดุดีเราเห็นแง่มุมสำคัญสามประการซึ่งเกี่ยวข้องกับการพึ่งพาพระเจ้า
1. การอธิษฐาน
นี่เป็นคำอธิษฐานที่คุณสามารถนำไปอธิษฐานได้ ‘ข้าวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปยังพระเจ้า…ขอทรงช่วยข้าพระองค์ออกจากเรื่องยุ่งยากนี้’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
2. ความอดทน
เมื่อคุณร้องขอความช่วยเหลือ และมอบภาระของคุณไว้ที่พระเจ้า ก้าวต่อไปคือการหวังในพระองค์ด้วยความวางใจ (ข้อ 5) ‘พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ยังคงไปต่อได้ในยามยากลำบาก...ข้าพระองค์หวังพึ่งพระองค์’ (ข้อ 5–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
3. สรรเสริญ
คุณสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังจากสงครามที่คุณต้องเผชิญ ‘ข้าพระองค์จะไม่มีวันหยุดสรรเสริญพระองค์’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 4:1-22
เปโตรกับยอห์นต่อหน้าสภา
1ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังกล่าวกับคนทั้งปวงอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับหัวหน้ารักษาพระวิหารและพวกสะดูสีก็มาหา 2ด้วยความขัดเคืองใจยิ่งที่ท่านทั้งสองสั่งสอนและประกาศกับคนทั้งหลาย ถึงเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายโดยอ้างการคืนพระชนม์ของพระเยซู 3พวกเขาจึงจับท่านทั้งสองขังคุกจนถึงวันรุ่งขึ้นเพราะว่าเย็นแล้ว 4แต่คนจำนวนมากที่ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน
5ครั้นรุ่งขึ้นพวกผู้ครอบครองกับพวกผู้ใหญ่ และพวกธรรมาจารย์มาประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม 6ทั้งอันนาสมหาปุโรหิตและคายาฟาส รวมทั้งยอห์นและอเล็กซานเดอร์กับคนอื่นๆ ที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตด้วย 7เมื่อพวกเขาให้เปโตรและยอห์นยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว จึงถามว่า “เจ้าทั้งสองทำการนี้โดยฤทธิ์เดชหรือโดยนามของใคร?” 8ขณะนั้นเปโตรเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย 9ถ้าท่านทั้งหลายจะไต่สวนเราทั้งสองในวันนี้ถึงการดีที่ได้ทำกับคนป่วยนี้ และถามว่าเขาหายเป็นปกติได้อย่างไรแล้ว 10ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกท่านตรึงไว้ที่กางเขน ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตาย โดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่านจึงได้หายเป็นปกติ 11พระองค์ทรงเป็น
ศิลา ที่พวกท่านผู้เป็นช่างก่อสร้างละทิ้ง
ซึ่งกลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว
12ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
13เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็อัศจรรย์ใจ แล้วจำได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14ยิ่งพวกเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น พวกเขาก็ไม่มีอะไรคัดค้านได้ 15เมื่อสั่งให้เปโตรกับยอห์นออกไปจากที่ประชุมแล้ว พวกเขาจึงปรึกษากัน 16ว่า “เราจะทำอย่างไรกับสองคนนี้? เพราะเขาทั้งสองทำหมายสำคัญพิเศษซึ่งทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ 17แต่ให้เราขู่เข็ญไม่ให้เขาทั้งสองพูดชื่อนั้นกับใครอีก เพื่อเรื่องนี้จะไม่เลื่องลือแพร่หลายไปท่ามกลางประชาชน” 18พวกเขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา แล้วสั่งไม่ให้พูดหรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีก 19แต่เปโตรกับยอห์นกล่าวตอบพวกเขาว่า “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเราควรเชื่อฟังพวกท่านหรือควรเชื่อฟังพระเจ้า ขอพวกท่านพิจารณาดู 20เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน” 21เมื่อข่มขู่เขาทั้งสองอีก ก็ปล่อยตัวไป พวกเขาหาเหตุลงโทษท่านทั้งสองไม่ได้เพราะกลัวประชาชน เนื่องจากทุกคนสรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น 22เพราะว่าคนที่หายโรคโดยหมายสำคัญนั้นมีอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว
อรรถาธิบาย
รับความกล้าจากการได้อยู่กับพระเยซู
คริสเตียนที่แท้จริงมักจะถูกนำเข้าสู่การข่มเหงและการทดลองอันใดอันหนึ่ง ตรงจุดนี้เหล่าสาวกถูกคุมขังและถูกทรมาน ซึ่งเท่ากับว่า พวกเขาถูกจับกุมด้วยข้อหาเป็นคริสเตียน (แม้ว่าพวกเขายังไม่ได้ใช้ชื่อนั้นในเวลานั้น) ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยในประวัติศาสตร์คริสตจักรที่คริสเตียนไม่ได้ถูกข่มเหงแบบนี้ที่ใดที่หนึ่งในโลก
ไม่ได้เป็นข้อโต้แย้งว่าชายคนนั้นหายดีไหม ในพระกิตติคุณ พระเยซูทรงเป็นผู้ทำการอัศจรรย์ ในกิจการอัครทูต คนธรรมดาสามัญทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระเยซู เมื่อถูกถามว่า ‘เจ้าทั้งสองทำการนี้โดยฤทธิ์เดชหรือโดยนามของใคร?’ (ข้อ 7) ด้วยการเต็มล้นในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปโตรตอบว่า ‘โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกท่านตรึงไว้ที่กางเขน ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตาย’ (ข้อ 10) วันนี้เราสามารถอธิษฐานในวิธีที่ทรงพลังแบบเดียวกัน
เปโตรมีความกล้าที่จะบอกให้กับผู้ไต่สวนของเขาว่าพวกเขามีความผิดเรื่องการตรึงพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พวกเขาปฏิเสธและตรึงพระเยซู เปโตรเคยกลัวที่จะยอมรับกับหญิงรับใช้ว่าเขารู้จักกับพระเยซู บัดนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขากล้าประกาศในที่สาธารณะเรื่องพระเยซูและการเป็นขึ้นจากความตาย ในศาลที่ซึ่งพระเยซูถูกไต่สวนและไกลจากที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึง 500 หลา
กุญแจคือเปโตรได้พบกับพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และได้ ‘เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ (ข้อ 8) บัดนี้เขารู้ว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อทำอะไร และผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูสถิตอยู่กับเขา และช่วยเขา
เปโตรกล่าวต่อไปว่า ‘ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า’ (ข้อ 12)
ไม่น่าแปลกใจที่ ‘พวกเขาไม่สามารถละสายตาไปจากทั้งสองได้เปโตรกับยอห์นยืนอยู่ที่นั่นด้วยความมั่นใจ แน่ใจในตัวเองอย่างยิ่งพวกเขาอัศจรรย์ใจอย่างลึกซึ้งเมื่อจำได้ว่าสองคนนี้เคยเป็นคนสามัญซึ่งไม่ได้รับการอบรมทางพระวจนะ หรือการศึกษาอย่างเป็นทางการ พวกเขาจำได้ว่าทั้งสองเคยเป็นสหายของพระเยซู’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้ The Message โดยผู้แปล)
เปโตรและยอห์นอาจไม่ได้มีการศึกษาอย่างเป็นทางการมากนัก แต่พวกเขาเคยผ่านการ ‘ฝึกกับพระเยซู’ พวกเขาเป็นสาวกของพระองค์ พวกเขาเคยผ่าน ‘วิทยาลัยแห่งพระวจนะของพระเจ้า’ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังศึกษาใน ‘มหาวิทยาลัยแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์’ พระเจ้าทรงเคยใช้คนมากมายอย่างยิ่งใหญ่ทั้งที่พวกเขามีการศึกษาอย่างเป็นทางการเพียงน้อยนิด
เปโตรและยอห์นถูกข่มขู่และสั่งไม่ให้พูดเรื่องพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบว่า ‘เราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน’ (ข้อ 20)
เมื่อพวกเขาเผชิญกับบรรดาผู้พิพากษา พวกเขาได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากการที่ทุกคนได้เห็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น ชายอายุ 40 ปีที่ได้รับการรักษาได้ยืนอยู่ที่นั่นในฐานะคำพยานที่มีชีวิตของฤทธิ์เดชของพระเยซู (ข้อ 14–21)
คำอธิษฐาน
2 ซามูเอล 11:1-12:31
ดาวิดล่วงประเวณีกับนางบัทเชบา
1เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิคือเวลาที่บรรดากษัตริย์ออกไปรบฉบับฮีบรูไม่มีคำว่า รบ ดาวิดทรงส่งโยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการทหารและอิสราเอลทั้งหมด ไปทำลายคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
2ต่อมาเวลาเย็นวันหนึ่ง เมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่น และเดินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวัง ทอดพระเนตรจากหลังคาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ หญิงคนนั้นสวยงามน่าดูมาก 3ดาวิดทรงส่งคนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น และเขาทูลว่า “หญิงนี้คือบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์ไม่ใช่หรือ พ่ะย่ะค่ะ?” 4ดาวิดก็ทรงส่งพวกผู้สื่อสารไป และเขาก็นำนางมา นางมาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ทรงหลับนอนกับนาง (พอดีนางได้ชำระตัวจากมลทินของนางแล้ว) แล้วนางก็กลับไปบ้านของนาง 5ผู้หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ นางจึงส่งคนไปทูลดาวิดให้ทรงทราบว่า “หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว”
6ดาวิดทรงส่งคนไปหาโยอาบบอกว่า “จงส่งอุรียาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา” โยอาบก็ส่งอุรียาห์ไปให้ดาวิด 7เมื่ออุรียาห์มาเฝ้าพระองค์ ดาวิดรับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง? พวกทหารเป็นอย่างไร? การสงครามเป็นอย่างไร? 8แล้วดาวิดรับสั่งกับอุรียาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย” อุรียาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากพระราชาตามหลังเขาไปด้วย 9แต่อุรียาห์นอนที่ประตูพระราชวัง พร้อมกับมหาดเล็กทั้งหมดของเจ้านายของเขาและไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา 10เมื่อพวกเขาทูลดาวิดให้ทรงทราบว่า “อุรียาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา พ่ะย่ะค่ะ” ดาวิดรับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “เจ้าเดินทางมาไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ลงไปบ้านของเจ้า?” 11อุรียาห์ทูลตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อาศัยในเพิง โยอาบเจ้านายของข้าพระบาทกับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของข้าพระบาทตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระบาทเองจะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับภรรยาของข้าพระบาทหรือ พ่ะย่ะค่ะ? ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่และชีวิตของฝ่าพระบาททรงมีอยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่ทำอย่างนี้เลย” 12แล้วดาวิดก็รับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “วันนี้ก็ค้างเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้เราจะส่งเจ้าไป” อุรียาห์ก็ค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและวันต่อมา 13ดาวิดทรงเรียกเขามา เขาก็มารับประทานและดื่มเฉพาะพระพักตร์ และพระองค์ทรงทำให้เขามึนเมา ในตอนเย็นเขาก็ออกไปนอนกับพวกข้าราชการของเจ้านายของเขา แต่ไม่ได้ลงไปบ้านของเขา
ดาวิดวางแผนฆ่าอุรียาห์
14พอรุ่งเช้าดาวิดทรงเขียนถึงโยอาบ และส่งไปกับมืออุรียาห์ 15ดาวิดทรงเขียนจดหมายนั้นว่า “จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่กองหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขาเพื่อให้เขาถูกฆ่าตาย” 16เมื่อโยอาบกำลังเฝ้าล้อมเมืองอยู่ ท่านจึงกำหนดให้อุรียาห์ไปที่ที่ท่านทราบว่ามีพวกทหารเข้มแข็งที่นั่น 17คนของเมืองนั้นก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ มีทหารบางคนคือทหารของดาวิดล้มตาย อุรียาห์คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย 18โยอาบจึงส่งคนไปทูลเรื่องการรบทั้งสิ้นให้ดาวิดทรงทราบ 19ท่านกำชับผู้สื่อสารนั้นว่า “เมื่อเจ้าทูลเรื่องราวการรบทั้งสิ้นต่อพระราชาเสร็จแล้ว 20ถ้าพระราชากริ้วขึ้นมาและตรัสถามเจ้าว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงเข้ารบใกล้เมืองนั้น? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าเขาจะยิงจากกำแพง? 21ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ท่อนบนทุ่มเขาจากกำแพงเมือง จนเขาตายที่เมืองเธเบศหรือ? ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าไปใกล้กำแพง?’ ให้เจ้ากราบทูลว่า ‘อุรียาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทก็ตายด้วย’ ” 22ผู้สื่อสารก็ไป เขามาทูลดาวิดให้ทรงทราบทุกอย่างตามที่โยอาบส่งเขามา 23ผู้สื่อสารนั้นกราบทูลดาวิดว่า “คนเหล่านั้นมีกำลังเหนือเรา และออกมาสู้กับเราที่กลางทุ่ง แต่เราไล่พวกเขาไปถึงทางเข้าประตูเมือง 24แล้วทหารธนูก็ยิงทหารของฝ่าพระบาทจากกำแพง ทหารของพระราชาบางคนก็สิ้นชีวิต และอุรียาห์คนฮิตไทต์ทหารของฝ่าพระบาทก็สิ้นชีวิตด้วย” 25ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “จงหนุนใจโยอาบและจงบอกท่านดังนี้ว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านทุกข์ใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่ว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบให้เข้มแข็งขึ้น และทำลายเมืองนั้นเสียให้ได้’ ”
26เมื่อภรรยาของอุรียาห์ทราบว่า อุรียาห์สามีของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็คร่ำครวญเรื่องสามีของนาง 27เมื่อการไว้ทุกข์ผ่านไปแล้ว ดาวิดก็ส่งคนไปให้รับนางมาที่พระราชวัง และนางก็ได้เป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์ ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงทำนั้นชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์
2 ซามูเอล 12
นาธันกล่าวโทษดาวิด
1พระยาห์เวห์ทรงใช้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและทูลพระองค์ว่า “ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน 2คนมั่งมีนั้นมีแพะแกะและโคมากมาย 3แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเล็กๆ ตัวเดียวที่เขาซื้อมา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้ มันเติบโตมากับเขาและบรรดาบุตรของเขา มันกินอาหารที่เขากิน และดื่มจากถ้วยเดียวกับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา 4ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งเดินทางมา เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือโคของเขามาทำอาหารเลี้ยงคนที่เดินทางมานั้น จึงเอาแกะตัวเมียของคนจนนั้นเตรียมเป็นอาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยม” 5ดาวิดกริ้วคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คนที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย 6และจะต้องคืนลูกแกะตัวเมียให้สี่เท่าเพราะเขาได้ทำสิ่งนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีความเมตตา”
7นาธันจึงทูลดาวิดว่า “ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราช่วยกู้เจ้าออกมาจากมือของซาอูล 8และเราได้มอบเชื้อวงศ์เจ้านายของเจ้าให้เจ้า และได้มอบเหล่ามเหสีของเจ้านายของเจ้าไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วานของอิสราเอลและยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้มากมายกว่านี้ 9ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์? ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าประหารอุรียาห์คนฮิตไทต์ด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้า และฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน 10เพราะฉะนั้นบัดนี้ดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้าตลอดไป เพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า’ 11พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราจะให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า จากครอบครัวของเจ้าเอง และต่อหน้าเจ้า เราจะเอาเหล่าภรรยาของเจ้าไปให้แก่เพื่อนของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับเหล่าภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้นอย่างเปิดเผย’ ” 13ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธันว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว” และนาธันทูลดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่สิ้นพระชนม์ 14อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้หมิ่นประมาทพระยาห์เวห์จริงๆ ด้วยการกระทำครั้งนี้ เป็นเหตุให้ศัตรูของพระยาห์เวห์มีช่องหมิ่นประมาทพระองค์ได้ ราชโอรสที่ประสูติมานั้นจะสิ้นพระชนม์แน่นอน” 15แล้วนาธันก็กลับไปยังบ้านของเขา
ราชโอรสที่เกิดจากนางบัทเชบาสิ้นพระชนม์
แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำให้ราชโอรสนั้น ซึ่งภรรยาของอุรียาห์ประสูติให้แก่ดาวิดประชวรหนัก 16ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิดทรงอดอาหารและบรรทมบนพื้นดินคืนยังรุ่ง 17พวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์ไม่ทรงยอมและไม่เสวยกับเขาทั้งหลาย 18พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัว ไม่กล้าทูลดาวิดว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เขาพูดกันว่า “ดูสิ เมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ เราทูลพระองค์ พระองค์ไม่ทรงฟังเสียงของเรา แล้วเราจะทูลได้อย่างไรว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็อาจทำอันตรายต่อตัวพระองค์เอง” 19แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า “เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ?” เขาทูลตอบว่า “สิ้นพระชนม์แล้ว พ่ะย่ะค่ะ” 20แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจากพื้นดิน ชำระพระกาย ชโลมพระองค์ เปลี่ยนฉลองพระองค์ ดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และนมัสการ แล้วเสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ รับสั่งให้จัดอาหารมา แล้วพระองค์ก็เสวย 21ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมฝ่าพระบาททรงทำเช่นนี้? ฝ่าพระบาททรงอดอาหารและทรงกันแสงเพื่อพระกุมารนั้น เมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าพระบาทก็ทรงลุกขึ้นเสวยอาหาร” 22พระองค์รับสั่งว่า “เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า ‘ใครจะทราบได้ว่าพระยาห์เวห์อาจจะทรงเมตตาเรา โปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตต่อได้’ 23แต่เดี๋ยวนี้เขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม? เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาได้หรือ? มีแต่เราจะตามเด็กนั้นไป เขาจะไม่กลับมาหาเรา”
24ฝ่ายดาวิดทรงปลอบโยนบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงเข้าไปหา และทรงหลับนอนกับพระนาง พระนางก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งชื่อซาโลมอน และพระยาห์เวห์ทรงรักซาโลมอน 25และทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ท่านจึงให้ชื่อพระราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะเห็นแก่พระยาห์เวห์
คนอัมโมนถูกปราบ
26ฝ่ายโยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของคนอัมโมน และยึดราชธานีได้ 27โยอาบจึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด ทูลว่า “ข้าพระบาทได้สู้รบกับกรุงรับบาห์ ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพระบาทตีเมืองที่เป็นแหล่งน้ำได้แล้ว 28บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงรวบรวมทหารที่เหลือ เข้าตั้งค่ายตีเมืองนั้นให้ได้ เพราะเกรงว่าถ้าข้าพระบาทตีได้ ก็จะเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของข้าพระบาท” 29ดาวิดจึงทรงรวบรวมทหารทั้งหมดยกไปยังเมืองรับบาห์ และทรงต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้ 30ทรงริบมงกุฎจากเศียรของมิลโคม มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักประมาณ 34 กิโลกรัม ประดับด้วยเพชรพลอยและเขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงริบทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นออกไปมากมาย 31ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา กำหนดให้ทำงานด้วยเลื่อย คราดเหล็กและขวานเหล็ก และส่งให้ทำงานที่เตาเผาอิฐ ทรงทำเช่นนี้แก่เมืองทั้งหมดของคนอัมโมน แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับทหารทั้งสิ้น
อรรถาธิบาย
เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ในวัฒนธรรมแบบร่วมสมัย คำว่า ‘คุณนั่นแหละคือคนนั้น’ (12:7) อาจเป็นคำพูดที่ชื่นชม แต่นี่อาจเป็นหนึ่งในคำที่หลอกหลอนที่สุดในพระคัมภีร์ ดาวิดถูกเปิดโปง ท่านถูกล่อลวง และตกลงในความบาป ท่านทำสิ่งนี้แบบลับๆ และคิดว่าจะไม่มีใครจับได้ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นทุกสิ่ง จากหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่ถูกพูดถึงน้อยที่สุด เราได้รับการบอกว่า ‘แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงทำนั้นชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์’ (11:27)
ตรงจุดไหนที่มันพลาดไปเสียหมด?
ประเด็นที่พูดถึงกันบ่อย ๆ คือ ความผิดพลาดแรกของดาวิดที่ยังคงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 1) ถ้าเขาได้ออกไปรบในการศึกพร้อมกับประชากร เขาอาจมีแนวโน้มน้อยลงที่จะถูกล่อลวงมากกว่านั่งอยู่ที่บ้านโดยไม่มีอะไรจะทำ จอห์น วิมเบอร์ เคยพูดบ่อย ๆ ว่า ‘เป็นเรื่องยากที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ และทำตัวดี’ เรามีโอกาสน้อยลงที่จะตกลงไปในการทดลองเมื่อเรายุ่งเต็มที่และอยู่ในสถานที่ ๆ ควรอยู่
ดาวิดค่อย ๆ ไถลไป เขาเห็น ‘ผู้หญิงสวยจนน่าตะลึง’ คนหนึ่งอาบน้ำอยู่ (ข้อ 2 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ตอนนั้นยังไม่มีความบาปเกิดขึ้น มีแค่การทดลอง อย่างไรก็ตาม เขาน่าจะพ่ายแพ้ต่อการล่วงประเวณีทางความคิดที่เต็มไปด้วยตัณหา เพราะว่าเขาวางแผน ส่งคนไปรับเธอมานอนกับตน และทำบาปมหันต์
แม้ว่าตามมาตรฐานแห่งวันของดาวิด ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่กษัตริย์คนอื่น ๆ ได้ทำ แต่จากนั้นเขาวางแผนปกปิดซึ่งมันไม่ได้ผลเอาเสียเลย เพราะท้ายที่สุดมันจบลงด้วยการฆาตกรรมอุรียาห์ อย่างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ความบาปหนึ่งนำไปสู่อีกบาปหนึ่ง และการปกปิดก็แย่ยิ่งกว่าบาปแรก
ดาวิดควรรู้สึกแตกสลายอย่างที่สุดด้วยถ้อยคำของนาธัน ‘ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น! พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้...เราช่วยกู้เจ้า...เราได้มอบ...ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้มากมายกว่านี้ ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์? ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์?”’ (12:7–9) ไม่เพียงดาวิดจะสร้างเรื่องยุ่งเหยิงไว้อย่างยิ่ง แต่เขายังเป็นคนที่ควรจะรู้ดีกว่าใคร ๆ อีกด้วย
น่าอัศจรรย์ พระเจ้าทรงอภัยให้ดาวิดแม้ว่าความบาปครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก (ข้อ 13) ไม่มีความบาปหรือการล้มลงใดที่ใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะอภัยให้ และในสถานการณ์ที่พระคุณของพระเจ้าจะเอื้อมไปไม่ถึง ไม่ว่าคุณเคยทำอะไร พระเจ้าสามารถให้อภัยคุณได้
กุญแจแห่งการรับการทรงอภัยเช่นนั้น คือ ยอมรับความผิดของเรา และกลับใจจากสิ่งที่เราทำ นี่เป็นความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างดาวิด (ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงอภัยเมื่อท่านทำบาป) กับซาอูล (ผู้ที่พระเจ้าไม่ได้ให้อภัย) ในขณะที่ซาอูลพยายามแก้ต่างให้ตนเอง (1 ซามูเอล 15) ดาวิดกลับยอมรับทุกอย่าง ท่านรับสั่งว่า ‘เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว’ (2 ซามูเอล 12:13) เท่ากับว่าท่านแค่พูดว่า ‘ฉันเสียใจ!’
การให้อภัยไม่ได้เอาผลจากการกระทำของเราออกไป สำหรับดาวิด ผลนั้นใหญ่หลวงนัก ผลลัพธ์ก็คือราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์ (ข้อ 13–14) และพระเจ้าทรงเตือนท่านว่า เพราะว่าการกระทำที่รุนแรงของท่าน ‘เพราะฉะนั้นบัดนี้ดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้าตลอดไป’ (ข้อ 10) ผลแห่งความบาปของดาวิดนั้นยาวนาน
กระนั้นก็ตาม นี่ไม่ใช่จุดจบของดาวิด พระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ แม้ว่าพระราชโอรสของเขาจะตาย แต่ยังมีความหวัง วันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีก: 'มีแต่เราจะตามเด็กนั้นไป เขาจะไม่กลับมาหาเรา’ (ข้อ 23) ไม่เพียงแค่นั้น แต่พระเจ้าทรงประทานบุตรชายให้ดาวิดอีกคนหนึ่ง ซาโลมอน และ ‘พระยาห์เวห์ทรงรักซาโลมอน’ (ข้อ 24)
เรื่องนี้เป็นคำเตือนและการหนุนใจ เป็นคำเตือนสำหรับเราที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเราเอง ที่จะวางขอบเขต ที่จะรับความช่วยเหลือตั้งแต่ต้น และเพื่อเฝ้าดู และอธิษฐานว่าเราจะไม่ตกลงสู่การทดลอง
หากคุณล้มลง ให้เป็นเหมือนดาวิดที่ยอมรับความบาปของคุณ สารภาพ กลับใจ โศกเศร้าหากจำเป็น และใช้ชีวิตต่อไป โดยตั้งตารอว่าอะไรที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ในคลังสำหรับคุณ เราล้วนก่อเรื่องเป็นครั้งคราว พระเจ้าทรงให้อภัย พระองค์ทรงฟื้นฟู พระองค์ทรงอวยพรเราอีกครั้ง
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 ซามูเอล 11–12
เราสามารถพยายามจะปกปิดการล้มลงของเรา แต่พระเจ้าทรงมองเห็นทั้งหมดนั้น
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 71:5–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์ยังคงไปต่อได้ในยามยากลำบาก...ข้าพระองค์หวังพึ่งพระองค์’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)