พระองค์ทรงประทานฤทธิ์เดชแก่คุณ
เกริ่นนำ
ผมเล่นสควอชเป็นประจำกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง เรามีฝีมือพอ ๆ กัน เราผลัดกันแพ้ชนะอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างไรชัยชนะทำให้รู้สึกดี ความรู้สึกเพลิดเพลิน และอิ่มอกอิ่มใจที่มาพร้อมชัยชนะนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ
แน่นอนว่านี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อย ชัยชนะซึ่งเป็นศูนย์กลางของพระธรรมในวันนี้เป็นสิ่งที่มีลำดับและความสำคัญที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยที่สุดหรือสำคัญมากที่สุด ชัยชนะทำให้เราได้ลิ้มรสความหมายของมันและความชื่นชมยินดี
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซึ่งเราได้อ่านในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้นเป็นสิ่งที่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมบอกเอาไว้ล่วงหน้า ชัยชนะสูงสุดของพระเจ้ามาพร้อมกับชีวิต การสิ้นพระชนม์ การเป็นขึ้นจากความตาย และการถูกรับขึ้นของพระเยซู และการเทลงมาขององค์พระวิญญาณของพระองค์ที่ทรงประทานฤทธิ์เดชให้คุณเพื่อดำเนินชีวิตแห่งชัยชนะ
สุภาษิต 14:5-14
5พยานที่ซื่อสัตย์ไม่มุสา
แต่พยานเท็จหายใจออกมาเป็นคำมุสา
6คนที่ชอบเยาะเย้ยแสวงหาปัญญาแต่ไม่พบ
ถึงกระนั้นความรู้ก็ง่ายสำหรับคนที่มีความเข้าใจ
7จงไปให้พ้นหน้าคนโง่
เพราะเจ้าจะไม่พบถ้อยคำแห่งความรู้ในเขา
8ปัญญาของคนสุขุมคือการเข้าใจทางของตน
แต่ความโง่ของคนโง่คือการหลอกลวง
9คนโง่เยาะเย้ยเครื่องบูชาชดใช้บาป
แต่คนเที่ยงธรรมเป็นที่ทรงโปรดปราน
10จิตใจรู้ความขมขื่นของใจเอง
และไม่มีใครอื่นมาเข้าส่วนความชื่นบานของมัน
11บ้านของคนอธรรมจะถูกทำลาย
แต่เต็นท์ของคนเที่ยงธรรมจะรุ่งเรือง
12มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก
แต่ปลายทางคือความมรณา
13แม้ในขณะหัวเราะ ใจก็อาจเศร้าหมอง
และความยินดีก็อาจมีปลายทางเป็นความโศกสลด
14คนเลวจะได้ผลตอบแทนจากทางของเขาอย่างสาสม
และคนดีก็จะได้ผลตอบแทนจากการกระทำของตน
อรรถาธิบาย
ชัยชนะแห่งความดีงาม
คำว่า ‘คนโง่’ ในพระธรรมสุภาษิตไม่ได้หมายถึงคนที่ขาดความเฉลียวฉลาด แต่หมายถึงคนที่มีใจกบฏ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระเจ้าและธรรมบัญญัติแห่งความเหมาะสมและความยุติธรรม) ‘คนที่ชอบเยาะเย้ย…คนโง่…คนอธรรม…คนเลว’ (ข้อ 6,7,9,11,14) ก็จะต้องตายอย่างน่าอนาถ (ข้อ 11–14) เส้นทางของพวกเขาสิ้นสุดลงที่ความตาย
ในทางตรงกันข้ามพระธรรมสุภาษิตเต็มไปด้วยคำสอนเรื่องความสำคัญของความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ เราอ่านตรงนี้เรื่อง ‘พยานที่ซื่อสัตย์… คนเที่ยงธรรม…คนดี’ (ข้อ 5,9,11,14)
สิ่งที่บ่งชี้เป็นตรงนี้คือคนที่ชอบธรรมจะมีทางออกจากความตายครั้งสุดท้าย และจะ ‘รุ่งเรือง’ และได้รับ ‘ผลตอบแทน’ (ข้อ 11–14) พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาจะได้มีชัยในท้ายที่สุด ‘ชีวิตที่ชอบธรรมเป็นชีวิตที่ได้รับความโปรดปราน’ (ข้อ 9ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 2:22-47
22“ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล จงฟังเรื่องต่อไปนี้ คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองต่อท่านทั้งหลาย โดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำโดยพระองค์ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ดังที่พวกท่านทราบอยู่แล้ว 23พระเยซูองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าทรงดำริแน่นอนและทรงทราบล่วงหน้า และท่านทั้งหลายได้ประหารพระองค์ด้วยการตรึงพระองค์บนกางเขนโดยอาศัยน้ำมือของคนอธรรม 24แต่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์คืนพระชนม์ ทรงให้พ้นจากความตายอันปวดร้าว เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ 25เพราะดาวิดกล่าวถึงพระองค์ว่า
‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
26 เพราะเหตุนี้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และลิ้นของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์
ยิ่งกว่านั้นร่างกายของข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความหวัง
27 เพราะพระองค์จะไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตาย
ทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป
28 พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์รู้จักทางแห่งชีวิต
แล้วพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์มีความยินดีเต็มเปี่ยมด้วยการสถิตของพระองค์’
29“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านตายแล้วและถูกฝังไว้แล้ว และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ 30ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ และทราบว่าพระเจ้าตรัสสัญญาไว้กับท่านด้วยพระปฏิญาณว่าพระองค์จะประทานผู้หนึ่งในวงศ์ตระกูลของท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน 31ท่านก็ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า
‘พระเจ้าไม่ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตาย
ทั้งพระกายของพระองค์ ก็ไม่ทรงเปื่อยเน่าไป’
32พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้ 33เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น 34เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่ท่านกล่าวว่า
‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
จงนั่งที่ขวามือของเรา
35 จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน’
36เพราะฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้น ให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์”
37เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?” 38เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาพิธีชำระ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ 39เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า” 40เปโตรจึงกล่าวอีกหลายเรื่องเป็นพยานและเตือนสติพวกเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด” 41คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน 42เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน
ชีวิตในกลุ่มคนที่เชื่อถือ
43เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย 44คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง 45และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น 46ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ 47ทั้งสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความชื่นชอบจากทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอด เพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน
อรรถาธิบาย
ชัยชนะของพระเยซู
คริสตจักรควรเป็นสถานที่แห่ง ‘การเฉลิมฉลอง การเจริญเติบโต และความชื่นชมยินดี’ (ข้อ 46, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราควรเป็นคนที่คิดบวกที่สุดในโลก ให้เราไม่หยุดเฉลิมฉลองพระเยซูและชัยชนะของพระเจ้า
ในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรซึ่งเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ อธิบายถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู เขาเริ่มพูดถึงชีวิต พันธกิจ การสิ้นพระชนม์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เขายกสี่เหตุผลว่าทำไมคุณสามารถแน่ใจได้ว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย และจากนั้นคุณจึงแน่ใจได้ว่า ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระองค์ภายในคุณ คุณจะเป็นขึ้นสู่ชีวิตใหม่กับพระองค์
1. ตามหลักเหตุผล
ฤทธิ์เดชแห่งความตายของมารไม่อาจเข้มแข็งกว่าฤทธิ์เดชแห่งชีวิตในพระเมสสิยาห์ของพระเจ้า เปโตรอธิบายว่า ‘แต่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์คืนพระชนม์ ทรงให้พ้นจากความตายอันปวดร้าว เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้’ (ข้อ 24)
2. ตามหลักการพระคัมภีร์
เปโตรชี้ว่า การเป็นขึ้นมาจากความตายถูกพยากรณ์ไว้ในสดุดี 16:8–11 (กิจการ 2:25–28) เปโตรพูดว่า ‘(ดาวิด)เป็นผู้เผยพระวจนะ และทราบว่าพระเจ้าตรัสสัญญาไว้กับท่านด้วยพระปฏิญาณว่าพระองค์จะประทานผู้หนึ่งในวงศ์ตระกูลของท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน ท่านก็ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์’ (ข้อ 30–31)
3. รายบุคคล
เปโตรพูดถึงคำพยานของท่านเอง ‘พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้’ (ข้อ 32) เปโตรพูดถึงโดยสาระสำคัญว่า ‘เราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้’
4. ตามประสบการณ์ส่วนตัว
ประสบการณ์เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตัวมันเองเป็นหลักฐานถึงการเป็นขึ้นมาจากตาย หลังจากชีวิต การสิ้นพระชนม์ การเป็นขึ้นมาจากความตาย และการถูกรับขึ้นของพระเยซู ก็มาถึงการกระทำสุดท้ายในพันธกิจการช่วยกู้ของพระองค์ ‘เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น’ (ข้อ 33)
ประสบการณ์นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่อยู่ในวันเพ็นเทคอสต์ นี่มีไว้เพื่อคริสเตียนทุกคน นี่มีไว้เพื่อคุณ ‘เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า’ (ข้อ 39) ทุกครั้งที่บางคนมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เป็นหลักฐานเพิ่มเติมของการเป็นขึ้นจากการตาย ทุกครั้งที่คุณเห็นบางคนเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือฟังคำพยานของพวกเขาว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปอย่างไร นี่เป็นหลักฐานเพิ่มเติมของการเป็นขึ้นจากการตาย
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้เราตระหนักถึงความจริงในถ้อยคำของเปโตร ‘ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขน’ พระเยซูชาวนาซาเร็ธ (ข้อ 36) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของผม ผมฆ่าพระเยซู ความบาปส่วนตัวของผมถูกตรึงไว้ที่กางเขน วันที่ผมตระหนักสิ่งนี้ ผมเองก็รู้สึก ‘แปลบปลาบใจ’ ด้วยเช่นกัน (ข้อ 37) นี่เป็นการเปิดเผยสำแดงที่นำมาซึ่งการกลับใจที่แท้จริง”
วิธีที่คุณรับพระสัญญานี้คือโดยการกลับใจใหม่ เชื่อในพระเยซู บัพติศมาและรับเอาของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 37–38) หลักฐานว่าคุณได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นได้จากชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปและชุมชนได้รับการเปลี่ยนแปลง (ข้อ 42–47) คริสตจักรไม่ใช่แค่สถานที่แห่งการเฉลิมฉลอง การเจริญเติบโต และความชื่นชมยินดี แต่ควรเป็นสถานที่แห่งความรักสูงสุด
1. ความรักต่อพระเจ้า
คริสตจักรเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความรักต่อพระเจ้า พวกเขามีความรักใหม่ต่อพระคัมภีร์
‘เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูต’ (ข้อ 42) คำสอนเหล่านี้ส่วนมากถูกบรรจุไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
พวกเขามีความรักใหม่ต่อศีลระลึก ‘เขาทั้งหลายอุทิศตัว...หักขนมปัง‘ (ข้อ 42) ‘พวกเขาอุทิศตัว...หักขนมปังตามบ้านของพวกเขา’ (ข้อ 46)
พวกเขามีความรักใหม่ต่อการอธิษฐาน (ข้อ 42) คริสตจักรที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ จะเป็นคริสตจักรแห่งการอธิษฐาน
2. ความรักต่อกันและกัน
คริสตจักรควรมีลักษณะสำคัญของการรักซึ่งกันและกัน พวกเขามีความปรารถนาใหม่ที่จะพบกัน ‘เขาทั้งหลายอุทิศตัว...ร่วมสามัคคีธรรม’ (ข้อ 42) ‘พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกัน‘ และ ‘รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ’ (ข้อ 46) มีการปลดปล่อยครั้งใหม่เรื่องการเงินและความใจกว้างในการถวาย (ข้อ 44–45)
คริสตจักรที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ จะเป็นคริสตจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
3. ความรักต่อโลก
คริสตจักรควรเต็มล้นด้วยความรักต่อโลก เป็นชุมชนที่เน้นออกไปภายนอก ทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย (ข้อ 43) ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอด เพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน’ (ข้อ 47) คริสตจักรที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ควรเป็นคริสตจักรที่มองออกไปภายนอก
คำอธิษฐาน
2 ซามูเอล 7:1-8:18
พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับดาวิด
1ต่อมาเมื่อพระราชาประทับในพระราชวังของพระองค์ และพระยาห์เวห์ทรงให้พระองค์พักสงบจากเหล่าศัตรูรอบด้านของพระองค์ 2พระราชาตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า “ดูสิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าอยู่ในเต็นท์” 3และนาธันทูลพระราชาว่า “ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของฝ่าพระบาทเพราะพระยาห์เวห์สถิตกับฝ่าพระบาท” 4แต่ต่อมาในคืนวันนั้น พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงนาธันว่า 5“จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะสร้างนิเวศให้เราอยู่หรือ? 6เราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับแต่วันที่เราพาพงศ์พันธุ์อิสราเอลขึ้นมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ และเราเองก็ไปกับเต็นท์และกับพลับพลา 7ในที่ต่างๆ ที่เราเองไปกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด เราเคยพูดสักคำกับผู้นำคนไหนในเผ่าของอิสราเอล ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเราไหมว่า ทำไมพวกเจ้าไม่สร้างนิเวศไม้สนสีดาร์ให้เรา? 8เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า เราเองนำเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะแกะ เพื่อให้เจ้าเป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชากรของเรา 9เราอยู่กับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป และได้กำจัดศัตรูของเจ้าทั้งหมดให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะทำให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง เช่นเดียวกับชื่อเสียงของพวกผู้ยิ่งใหญ่ในโลก 10และเราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชากรของเรา และเราจะปลูกฝังพวกเขาไว้ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในที่ของเขาเองและไม่ถูกรบกวนอีก และพงศ์พันธุ์ของคนอธรรมจะไม่ข่มเหงเขาอีกดังที่ผ่านมา 11ตั้งแต่สมัยเมื่อเราตั้งพวกผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอลประชากรของเรา และเราจะให้เจ้าพักสงบจากพวกศัตรูของเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสแก่เจ้าอีกว่า พระยาห์เวห์จะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์ 12เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้าล่วงหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะตั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าคนหนึ่งสืบต่อจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเอง และเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 13เขาเองจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขาทำบาปเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนอย่างบุตรมนุษย์ทั้งหลาย 15แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่ละไปจากเขา ดังที่เราละจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า 16ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ต่อหน้าเจ้านิรันดร และบัลลังก์ของเจ้าจะมั่นคงนิรันดร” 17นาธันก็กราบทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นและตามนิมิตนี้ทั้งหมด
คำอธิษฐานของดาวิด
18แล้วพระราชาดาวิดจึงเสด็จไปประทับเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ข้าพระองค์เป็นใครเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นใคร พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลขนาดนี้? 19แต่สิ่งนี้ก็ยังเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ โอพระยาห์เวห์องค์เจ้านาย เพราะพระองค์ยังตรัสถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ในอนาคต ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย สิ่งนี้เป็นกฎสำหรับมนุษย์ 20ดาวิดจะกราบทูลสิ่งใดอีกต่อพระองค์ได้เล่า? ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์เองทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ 21ที่พระองค์ทรงทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบก็เพราะพระดำรัสของพระองค์ และตามชอบพระทัยของพระองค์ 22ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามทุกสิ่งที่หูของพวกข้าพระองค์ได้ยินมา 23ใครจะเหมือนอิสราเอลประชากรของพระองค์? ชนชาติเดียวในโลกนี้ ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปไถ่มาให้เป็นประชากรของพระองค์ เพื่อให้พระนามของพระองค์รับเกียรติ เพื่อทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่และน่าเกรงกลัวเพื่อพวกเจ้า ต่อหน้าประชากรของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ออกจากอียิปต์เพื่อพระองค์ จากบรรดาประชาชาติและบรรดาพระของเขา 24และพระองค์ทรงตั้งอิสราเอลประชากรของพระองค์ให้มั่นคง ให้เป็นประชากรของพระองค์ตลอดนิรันดร์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ และพระองค์เองก็ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา 25ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า พระวจนะซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอพระวจนะนั้นมั่นคงอยู่เป็นนิตย์ และทรงทำดังที่พระองค์ตรัสไว้ 26ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์ว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพทรงเป็นพระเจ้าเหนืออิสราเอล’ และราชวงศ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะตั้งมั่นคงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 27เพราะพระองค์ พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าของอิสราเอล ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ตรัสว่า ‘เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า’ เพราะฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จึงมีใจกล้าวิงวอนต่อพระองค์ด้วยคำอธิษฐานนี้ 28และบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ตรัสสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 29เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอทรงอวยพรราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ ให้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย เพราะพระองค์ตรัสแล้ว และด้วยพรของพระองค์ ก็ขอให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์รับพระพรเป็นนิตย์”
2 ซามูเอล 8
ดาวิดทรงทำสงคราม
1ต่อมาภายหลัง ดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตียและปราบปรามได้ และดาวิดทรงยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือคนฟีลิสเตีย
2พระองค์ทรงโจมตีโมอับ ทรงให้พวกเขานอนลงที่พื้นดิน ทรงวัดพวกเขาด้วยเชือก ทรงวัดเชือกยาวสองช่วงสำหรับพวกที่ให้ประหาร และทรงวัดเชือกช่วงหนึ่งสำหรับพวกที่ทรงไว้ชีวิต คนโมอับก็กลายเป็นข้ารับใช้ดาวิด และนำเครื่องบรรณาการมาถวาย
3ดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์บุตรเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ผู้เสด็จไปฟื้นอำนาจของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส 4และดาวิดทรงยึดทหารม้า 1,700 คน ทหารราบ 20,000 คน และดาวิดทรงตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบ 100 คัน 5และเมื่อคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดทรงประหารคนซีเรียเสีย 22,000 คน 6แล้วดาวิดทรงตั้งกองทหารประจำป้อมไว้ท่ามกลางคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัส และคนซีเรียก็เป็นข้ารับใช้ของดาวิด และพวกเขานำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระยาห์เวห์ประทานชัยชนะแก่ดาวิดในทุกแห่งที่ดาวิดเสด็จไป 7และดาวิดทรงนำโล่ทองคำที่ทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 8และกษัตริย์ดาวิดทรงริบทองสัมฤทธิ์มากมายยิ่งนักไปจากเมืองของฮาดัดเอเซอร์ คือจากเมืองเบทาห์ และจากเมืองเบโรธัย
9เมื่อโทอิกษัตริย์เมืองฮามัททรงทราบว่า ดาวิดรบชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์ 10โทอิก็ส่งโยรัมโอรสของตนไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิด เพื่อคำนับและถวายพระพรที่ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์ เพราะว่าฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิ และโยรัมได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องทองสัมฤทธิ์ไปถวาย 11สิ่งเหล่านี้ กษัตริย์ดาวิดทรงมอบถวายแด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับเงินและทองคำ ซึ่งทรงได้มาจากบรรดาประชาชาติที่พระองค์ทรงรบชนะ พระองค์ก็ทรงมอบถวายด้วย 12คือได้มาจากเอโดม โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย อามาเลข และจากของที่ยึดมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์
13เมื่อดาวิดเสด็จกลับจากการประหารคนเอโดมในหุบเขาเกลือ 18,000 คน พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป 14และพระองค์ทรงตั้งกองทหารประจำป้อมขึ้นในเมืองเอโดม พระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมในเอโดมทั่วไปหมด และคนเอโดมทั้งสิ้นจึงเป็นข้ารับใช้ของดาวิด และพระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้ดาวิดในทุกแห่งที่เสด็จไป
เจ้าหน้าที่ของดาวิด
15ดังนั้นดาวิดจึงทรงปกครองอิสราเอลทั้งสิ้น และดาวิดทรงทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมเพื่อชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น 16และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ 17ศาโดกบุตรอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต และเสไรยาห์เป็นราชเลขา 18และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชาคนเคเรธีและคนเปเลท และบรรดาราชโอรสของดาวิดเป็นที่ปรึกษา
อรรถาธิบาย
ชัยชนะไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน
ชัยชนะของพระเยซูนั้นถูกพูดถึงไว้ล่วงหน้าในชีวิตของดาวิด มีการอ้างถึงดาวิดนับพันครั้งในพระคัมภีร์ ท่านเป็นกษัตริย์ที่ถูกเจิมตั้งไว้ (เมสสิยาห์) พระเจ้าทรงประทานให้ท่าน ‘พักสงบจากเหล่าศัตรูรอบด้านของพระองค์’ (7:1) ผู้เผยพระวจนะนาธันทูลดาวิดว่า ‘ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของฝ่าพระบาทเพราะพระยาห์เวห์สถิตกับฝ่าพระบาท’ (ข้อ 3) ‘พระยาห์เวห์ประทานชัยชนะแก่ดาวิดในทุกแห่งที่ดาวิดเสด็จไป’ (8:6,14)
เราเห็นตัวอย่างต่อไปนี้ในคำอธิษฐานของดาวิด:
*1. สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า*
ดาวิดมีความรู้สึกถึงทั้งความไม่คู่ควรของตนเองต่อการทรงสถิตของพระเจ้า (7:18) และในขณะเดียวกันก็สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์’ (ข้อ 22) ท่านสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการทรงไถ่ของพระองค์ต่อประชากรของพระองค์ (ข้อ 23)
*2. ร้อนรนเพื่อพระนามพระเจ้า*
ดาวิดร้อนรนที่จะเห็นพระนามพระเจ้าได้รับเกียรติ ‘...และทรงทำดังที่พระองค์ตรัสไว้ ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์‘ (ข้อ 25–26)
*3. พระสัญญาสำหรับครอบครัวของพระเจ้า* ดาวิดเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 28) ท่านทูลขอเพิ่มอีกสิ่งหนึ่ง คือ: ‘ขอทรงอวยพรครอบครัวของข้าพระองค์ ขอทรงเฝ้าดูพวกเขาอยู่เป็นนิตย์ เพราะพระองค์ตรัสแล้ว ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขอทรงอวยพรครอบครัวของข้าพระองค์ตลอดไป’ (ข้อ 29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับดาวิด ในขณะที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ในเต็นท์ (7:2) พระองค์ทรงสัญญาจะสถาปนาราชวงศ์ของดาวิด (ข้อ 7,10–11) พระองค์ทรงสัญญาว่า ‘เราจะตั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าคนหนึ่งสืบต่อจากเจ้า...และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์…ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ต่อหน้าเจ้านิรันดร และบัลลังก์ของเจ้าจะมั่นคงนิรันดร’ (ข้อ 12–13,16)
มีเพียงในพระเยซูเท่านั้นที่พระสัญญาต่าง ๆ ที่ทรงทำกับเชื้อสายของดาวิดนั้นสำเร็จเป็นจริง กษัตริย์ที่เป็นมนุษย์นั้นล้มเหลว แต่ยังคงมีความหวังสำหรับกษัตริย์ในอนาคตผู้ทรงทำให้แนวคิดเรื่องการเป็นกษัตริย์สำเร็จ พระเยซูทรงเป็นเชื้อสายของดาวิด (มัทธิว 1:1) เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ประชาชนก็ร้องตะโกนว่า ‘ความเจริญรุ่งเรืองจงมีแก่แผ่นดินที่จะมาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นของดาวิดบรรพบุรุษของเรา’ (มาระโก 11:10)
อย่างไรก็ตามชัยชนะของพระเยซู และอาณาจักรของพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่ใคร ๆ คาดคิด ซึ่งไม่ได้บรรลุผลสำเร็จโดยกษัตริย์ผู้พิชิตที่ชนะการต่อสู้ทางกายภาพ แต่โดยพระผู้ช่วยให้รอดที่สิ้นพระชนม์เพื่อรับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ มีชัยเหนือความบาป ความรู้สึกผิด การเสพติด ความกลัว และแม้กระทั่งความตาย
เราเห็นได้จากตัวอย่างของพระเยซูว่า ชัยชนะไม่ได้สง่างาม หรือแม้แต่ชัดเจนเสมอไป แต่พระเจ้าทรงสัญญากับคุณเหมือนดังที่พระองค์ทรงสัญญากับดาวิดว่า ฤทธิ์เดชของพระองค์จะอยู่กับคุณไม่ว่าคุณจะไปไหน และในพระคริสต์ คุณจะเป็นผู้มีชัยในท้ายที่สุด
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กิจการอัครทูต 2:22–41
เพื่อนทุกคนของเปโตรต้องดีใจและภูมิใจ (ในทางที่ดี) เมื่อท่านยืนขึ้น และเทศนาเป็นครั้งแรก พวกเขาเคยอยู่กับเปโตรทั้งช่วงเวลาที่ชีวิตขึ้นและลง และความล้มเหลวต่าง ๆ ตอนนี้การเจิมของพระเจ้าอยู่เหนือท่าน สามปีสุดท้ายเป็นการเตรียมเพื่อช่วงเวลานี้
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นคนที่เคยผ่านการปล้ำสู้พบการทรงเรียกของตัวเอง
ข้อพระคำประจำวัน
กิจการอัครทูต 2:38–39
‘…พวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลาย…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)