เสียงจากฟ้าสวรรค์
เกริ่นนำ
คุณเคยสังเกตไหมว่า พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เสียงดังเอะอะมาก? ปัญญาร้องเรียก (สุภาษิต 8) หนุนใจให้มีการส่งเสียงสรรเสริญอย่างกึกก้อง (สดุดี 66:8) รวมเสียงฉิ่ง เสียงฉาบเข้าไว้เพื่อสรรเสริญพระองค์ (สดุดี 150) พระเจ้าทรงส่งเสียงดังกังวาน (อิสยาห์ 42) พระสุรเสียงของพระองค์ก็เหมือนเสียงน้ำไหลเชี่ยว (เอเสเคียล 43) พระเยซูทรงถวายคำอธิษฐาน และคำร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล (ฮีบรู 5) และแม้แต่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างต่างร้องคร่ำครวญ (โรม 8)
ในวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาได้ยิน ‘เสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้า‘ ซึ่ง ‘มาจากฟ้า’ (กิจการ 2:2) พระธรรมในวันนี้เราได้ยินเสียงอื่น ๆ ที่ไปสู่และมาจากฟ้าสวรรค์
สดุดี 69:29-36
29แต่ข้าพระองค์ทุกข์ยากและเจ็บปวด
ข้าแต่พระเจ้า ขอการช่วยกู้ของพระองค์พิทักษ์รักษาข้าพระองค์
30ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง
ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
31การนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์มากกว่าวัวผู้
หรือวัวหนุ่มทั้งเขาและกีบ
32ขอให้บรรดาผู้ถ่อมตัวเห็นการนั้นและยินดี
ท่านผู้เสาะหาพระเจ้า ขอให้ใจของท่านฟื้นชื่นขึ้น
33เพราะพระยาห์เวห์ทรงฟังคนขัดสน
และมิได้ทรงดูหมิ่นคนของพระองค์ที่ถูกจำจอง
34ขอฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสรรเสริญพระองค์
ทั้งทะเลและสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในนั้น
35เพราะพระเจ้าจะทรงช่วยศิโยนให้รอด
และทรงสร้างเมืองทั้งหลายของยูดาห์ขึ้น
เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ที่นั่น และได้เป็นกรรมสิทธิ์
36พงศ์พันธุ์ผู้รับใช้ของพระองค์จะได้เป็นมรดก
และผู้ที่รักพระนามของพระองค์จะอยู่ที่นั่น
อรรถาธิบาย
เสียงแห่งการนมัสการ
พระคัมภีร์นั้นสมเหตุสมผล มีหลายครั้งที่เรา ‘ทุกข์ยากและเจ็บปวด’ (ข้อ 29) ดาวิดไม่ได้พยายามจะเพิกเฉยต่อปัญหาที่ต้องเผชิญ กระนั้นเขายังคงเลือกที่จะนมัสการพระเจ้าทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น แม้ว่าจะในที่ลึกสุด คุณยังคงมั่นใจได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ใดและนมัสการพระองค์ได้
สดุดีบทนี้จบลงด้วยเสียงแห่งการนมัสการ ‘ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ…ขอฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสรรเสริญพระองค์’ (ข้อ 30,34) การนมัสการไม่ได้ดำเนินไปเฉพาะบนโลก แต่ยังเกิดขึ้นในสวรรค์ด้วย เมื่อคุณนมัสการ คุณกำลังเข้าร่วมในเสียงแห่งฟ้าสวรรค์ จุดนี้ เราเห็นสามแง่มุมของการนมัสการ:
1. การนมัสการเกี่ยวข้องกับความตั้งใจ
ดาวิดกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระเจ้าด้วยบทเพลง’ (ข้อ 30) คุณอาจไม่รู้สึกว่าอยากนมัสการพระเจ้าเสมอ แต่นี่เป็นการตัดสินใจของคุณ เป็นการกระทำของความตั้งใจ
2. การนมัสการทำให้พระเจ้าพอพระทัย
‘การนั้นจะเป็นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์มากกว่าวัวผู้ หรือวัวหนุ่มทั้งเขาและกีบ’ (ข้อ 31)
3. การนมัสการส่งผลต่อคนอื่น ๆ
‘ขอให้บรรดาผู้ถ่อมตัวเห็นการนั้นและยินดี ท่านผู้เสาะหาพระเจ้า ขอให้ใจของท่านฟื้นชื่นขึ้น’ (ข้อ 32) ผมสังเกตว่า วิธีที่บรรดา ‘ผู้เสาะหาพระเจ้า’ ในอัลฟ่านั้นบ่อยครั้งเคลื่อนโดยการนมัสการ ผลก็คือ ‘ใจของพวกเขาฟื้นชื่นขึ้น’
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 1:23-2:21
23เขาทั้งหลายจึงเสนอชื่อสองคนคือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาส ที่มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส 24แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทุกคน ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน 25ให้รับส่วนในพันธกิจนี้และรับหน้าที่เป็นอัครทูตแทนยูดาสผู้ทิ้งหน้าที่นี้หันไปสู่ที่ของตนเอง” 26เขาทั้งหลายจึงจับฉลากกัน และฉลากนั้นได้แก่มัทธีอัส เขาจึงได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มอัครทูตสิบเอ็ดคนนั้น
กิจการ 2
การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
1เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ เป็นเทศกาลภายหลังวันเริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 50 วัน มาถึง พวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน 2ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น 3และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน 4พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด
5มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 6เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาทั้งหลายจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตัว 7เขาทั้งหลายจึงแปลกใจและอัศจรรย์ใจพูดว่า “นี่แน่ะ คนทั้งหลายที่พูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ? 8ทำไมเราทุกคนถึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา? 9ซึ่งเป็นชาวปารเธีย ชาวมีเดีย ชาวเอลาม และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย อยู่ในแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย อยู่ในแคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย 10อยู่ในแคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย เป็นคนที่อยู่ในประเทศอียิปต์และในบางส่วนของเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน เป็นคนที่มาจากกรุงโรม 11ซึ่งมีทั้งพวกยิวกับพวกที่เข้าจารีตยิว และเป็นชาวครีตและชาวอาระเบีย เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” 12พวกเขาจึงประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน?” 13แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “พวกเขาเมาเหล้าองุ่นใหม่”
เปโตรปราศรัยในวันเพ็นเทคอสต์
14แต่เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และกล่าวกับเขาทั้งหลายด้วยเสียงดังว่า “พี่น้องชาวยิวกับทุกท่านที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า 15คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด เพราะว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น 16แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า
17‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย
*เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด
บุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะ
บรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิต
และบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น
18 แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรา
บนทาสทาสีของเรา
และเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ
19 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน
และ หมายสำคัญที่แผ่นดิน เบื้องล่าง
เป็นเลือด ไฟ และไอควัน
20 ดวงอาทิตย์จะมืดไป
และดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด
ก่อนถึงวันยิ่งใหญ่และสง่างามของพระเจ้า
21 และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จะได้รับความรอด’ *
อรรถาธิบาย
เสียงขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
นี่สำหรับคุณและผม ประสบการณ์ของวันเพ็นเทคอสต์ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ มันสามารถกลายเป็นความจริงในปัจจุบันสำหรับคุณได้ (2:29) อย่างที่โยเอลพยากรณ์ไว้ ‘เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมด’ ชายและหญิง คนชราและคนหนุ่มสาว คนมั่งมีและคนยากจน (ข้อ 17–21) นี่รวมทั้งคุณและผมแน่นอน!
- แสวงหาประสบการณ์
ประสบการณ์เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์ประกอบด้วยสามสิ่ง:
อันดับแรก นี่เกี่ยวข้องกับฤทธิ์เดชจากพระเจ้า พวกเขาได้ยินเสียงพายุ ซึ่งไม่ใช่พายุจริง ๆ ‘เหมือนเสียงพายุแรงกล้า’ (ข้อ 2) เสียงซึ่งคล้ายคลึงกับลมพายุฝนฤดูร้อนที่พัดกระหน่ำ นี่อาจเป็นฤทธิ์เดชที่มองเห็นได้ของพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ภายนอกและมองเห็นได้ของความจริงฝ่ายวิญญาณและอยู่ภายใน
ศัพท์ฮีบรู ‘รัวห์’ (Ruach) ความหมายตรงตามตัวอักษรคือ ‘ลมหายใจ’ หรือ ‘ลม’ รัวห์ ถูกใช้พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้า วันเพ็นเทคอสต์นั้นสำเร็จเป็นจริงเมื่อพระเยซูทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า ‘จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด’ (ยอห์น 20:22)
สำคัญที่สุด ประสบการณ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์แห่งความรักของพระเจ้าต่อคุณ (โรม 5:5) นี่เป็นวิธีที่คุณจะสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ เพื่อคุณสามารถพูดได้เหมือนที่อัครสาวกเปาโลพูดไว้ว่า ‘พระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า’ (กาลาเทีย 2:20) เหมือนที่ ริค วอร์เรน ว่าไว้ ‘การสัมผัสว่าพระเจ้าทรงรักคุณ…เป็นจุดเริ่มต้นของทุกพันธกิจ ทุกการฟื้นฟู ทุกการเริ่มต้นใหม่ ทุกการตื่นตัวครั้งใหญ่’
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้เดียวที่ทรงจัดเตรียมฤทธิ์เดชสำหรับทุกการฟื้นฟู และพระองค์ทรงทำสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยทำให้ประชากรของพระเจ้าที่จะสัมผัสถึง มีประสบการณ์ และรับรู้ถึงความรักของพระเจ้าได้ในหัวใจของพวกเขา เป็นความรู้ที่เดินทางจากสมองไปถึงหัวใจของคุณ
อย่างที่สอง นี่เกี่ยวข้องกับไฟจากพระเจ้า พวกเขาเห็นเปลวไฟ อีกครั้งนี่ไม่ใช่ไฟจริง ๆ ‘บางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน’ (กิจการ 2:3, Amplified Bible โดยผู้แปล) อีกครั้งที่เป็นสัญลักษณ์ภายนอกและมองเห็นได้ของความจริงฝ่ายวิญญาณซึ่งอยู่ภายใน ไฟแห่งความรักของพระเจ้าแสดงถึงฤทธิ์เดช ความบริสุทธิ์ และความร้อนรนของพระเจ้า
ไม่ว่าที่ใดที่มีประสบการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะทรงนำเอาไฟและความร้อนรนใหม่เข้าสู่ชีวิตของคุณ
อย่างที่สาม นี่เกี่ยวข้องกับภาษาจากพระเจ้า 'พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด ’ (ข้อ 4) เป็นภาษาสวรรค์ที่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน อัครสาวกเปาโลพูดถึง ‘ภาษาสวรรค์' เช่นเดียวกับภาษาต่าง ๆ ของ ‘มนุษย์’ (1 โครินธ์ 13:1) ภาษาซึ่งเป็นที่รู้จัก และเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกได้ถูกพูดออกมา (ข้อ 5–11) นี่ตรงข้ามกับความวุ่นวาย และความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันของหอคอยบาเบล (ปฐมกาล 11:1–9)
ประสบการณ์เรื่องความรักของพระเจ้าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ นำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันสู่คริสตจักร เมื่อเราระลึกได้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันนั้นที่ทำงานในคาทอลิค ออร์ธอดอกซ์ โปรเตสแตนท์ และเพ็นเทคอสต์ หรือไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรหรือคณะนิกายใด ๆ ก็ตาม มีการเยียวยาของการแบ่งแยกและประสบการณ์ที่มองเห็นได้ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในวันเพ็นเทคอสต์ มีปฏิกิริยาสามแบบเกิดขึ้น (ทั้งหมดนั้นเราพบได้ในปัจจุบันในพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์) ปฏิกิริยาแรกคือความแปลกใจ บางคน ‘แปลกใจ’ (กิจการ 2:7) ปฏิกิริยาอย่างที่สองคือ ฉงนสนเท่ห์ ‘พวกเขาจึงประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน?’ (ข้อ 12) ปฏิกิริยาอย่างที่สามคือ เยาะเย้ย ‘แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “พวกเขาเมาเหล้าองุ่นใหม่”’ (ข้อ 13)
- ศึกษาคำอธิบาย
เปโตรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น (ข้อ 14 เป็นต้นไป)
ประการแรก ท่านตอบโต้คำอธิบายที่ไม่ถูกต้อง (ข้อ 15) บางคนเสนอคำอธิบายตามธรรมชาติต่อบางสิ่งซึ่งเหนือธรรมชาติ อาจดูเหมือนพวกเขาเมาเหล้าองุ่นเพราะว่าพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสูญเสียการยับยั้งชั่งใจ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ความมึนเมาด้วยเหล้าองุ่นแต่เป็นการเมาพระวิญญาณบริสุทธิ์ การมึนเมาแบบเดียวเท่านั้นที่ทำให้คุณไม่เมาค้าง!
จากนั้น ท่านได้เสนอคำอธิบายที่ถูกต้อง (ข้อ 16 เป็นต้นไป) เปโตรเริ่มต้นคำพูดของท่านโดยชี้ไปว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปตามพระคัมภีร์ (เราจะมองไปที่คำอธิบายที่เหลือพรุ่งนี้) บางคนดึงเอาความขัดแย้งแบบผิด ๆ ระหว่างพระวจนะและพระวิญญาณ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้เขียนพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม นั่นคือ พระวจนะของพระเจ้า ชี้ไปที่การเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 16–20) เปโตรซึ่งเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชี้กลับไปที่พระคัมภีร์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำมาซึ่งความหิวกระหายพระวจนะพระเจ้า
คำอธิษฐาน
2 ซามูเอล 5:6-6:23
ตั้งเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง
6พระราชาและคนของพระองค์ไปเยรูซาเล็ม ต่อสู้กับคนเยบุส ชาวแผ่นดินนั้นกล่าวกับดาวิดว่า “เจ้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้ เพราะคนตาบอดและคนง่อยก็จะป้องกันไว้ได้” ด้วยคิดว่า “ดาวิดเข้ามาที่นี่ไม่ได้” 7แต่อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดศิโยนที่กำบังเข้มแข็งได้ ซึ่งก็คือนครดาวิด 8ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ใครจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นไปตามรางน้ำ ไปสู้คนง่อยและคนตาบอดผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง” เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงพูดว่า “อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ” 9ดาวิดก็ประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่านครดาวิด และดาวิดทรงขยายเมืองให้กว้างออกไป ตั้งแต่แนวกั้นดินเข้าไปข้างใน 10และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพสถิตกับพระองค์
11ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระทรงส่งพวกผู้สื่อสารมาหาดาวิด และส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้ และพวกช่างสลักหินมาสร้างพระราชวังของดาวิด 12และดาวิดทรงทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
13ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรน ดาวิดทรงได้เหล่านางสนมและพวกมเหสีในเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และมีราชโอรสและราชธิดาของดาวิดประสูติอีก 14ต่อไปนี้เป็นรายชื่อราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 15อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย 16เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท
ดาวิดทรงรบชนะคนฟีลิสเตีย
17เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดรับการเจิมเป็นพระราชาเหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบ จึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง 18ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็มาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม 19และดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ? พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือ?” และพระยาห์เวห์ทรงตอบดาวิดว่า “จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่” 20ดาวิดเสด็จมายัง บาอัลเป-ราซิมแปลว่า เจ้าแห่งการทะลวง และดาวิดทรงชนะพวกเขาที่นั่น พระองค์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงทะลวงเหล่าข้าศึกของข้าพเจ้าต่อหน้าข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า บาอัลเป-ราซิม 21และคนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น ดาวิดกับคนของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย
22คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีก และขยายแนวอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 23และเมื่อดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ พระองค์ตรัสว่า “เจ้าอย่าขึ้นไป แต่จงอ้อมไปข้างหลังของพวกเขา และเข้าถึงพวกเขาตรงหน้าหมู่ต้นยาง 24และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ข้างหน้าหมู่ต้นยาง เจ้าจงรุกเข้าไป เพราะขณะนั้นพระยาห์เวห์เสด็จไปข้างหน้าเจ้า เพื่อโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย” 25และดาวิดทรงทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ และทรงโจมตีคนฟีลิสเตียจากเกบาถึงเกเซอร์
2 ซามูเอล 6
ดาวิดทรงนำหีบพันธสัญญามาเยรูซาเล็ม
1ดาวิดทรงรวบรวมทหารทั้งปวงในอิสราเอลที่ถูกคัดแล้วอีกครั้งหนึ่งได้ 30,000 คน 2และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ 3และพวกเขาก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยพวกบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น 4และบรรทุกหีบของพระเจ้า นำจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอาหิโยเดินหน้าหีบ 5ดาวิดกับพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ร่าเริงกันเต็มที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี และด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
6และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด 7และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาที่นั่น เพราะความผิดของเขาความหมายในภาษาฮีบรูไม่ชัดเจน เขาจึงตายข้างหีบของพระเจ้า 8และดาวิดก็กริ้ว เพราะพระยาห์เวห์ทรงทลายด้วยการทำลายอุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์จนถึงทุกวันนี้ 9ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระยาห์เวห์ และตรัสว่า “หีบของพระยาห์เวห์จะมาถึงข้าได้อย่างไร?” 10ดังนั้นดาวิดจึงไม่ทรงยอมนำหีบของพระยาห์เวห์เข้าไปในนครดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดทรงให้เลี้ยวไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท 11หีบของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทสามเดือน และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรโอเบดเอโดมและครอบครัวของเขาทุกคน
12มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้า จากบ้านของโอเบดเอโดมถึงนครดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี 13และเมื่อผู้หามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 14และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่ 15ดังนั้นดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอล นำหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์
16ขณะเมื่อหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาถึงนครดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดทรงกระโดดและเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ นางก็ดูหมิ่นดาวิดในใจ 17พวกเขานำหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนด ตรงกลางเต็นท์ซึ่งดาวิดทรงตั้งไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 18และเมื่อดาวิดทรงเสร็จสิ้นการถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชาแล้ว พระองค์ก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ 19และแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมลูกเกดคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งชายและหญิง แล้วประชาชนทั้งปวงต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
20และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียว นะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าพวกสาวใช้ของเหล่าข้าราชการของฝ่าพระบาท อย่างกับไพร่คนหนึ่งแก้ผ้าไร้ยางอาย” 21และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นสิ่งที่ทำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชากรของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เราจึงเริงโลดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 22เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา แต่พวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น สำหรับพวกเขา เราจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ” 23และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
อรรถาธิบาย
เสียงแห่งการเฉลิมฉลอง
ก่อนที่เราจะดูที่เสียงแห่งการเฉลิมฉลอง เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการกล่าวถึงอีกเสียงในพระธรรมตอนนี้ เมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าว่า เขาควรจะขึ้นไปสู้รบ คำตอบแรกของพระเจ้าคือ ‘จงขึ้นไปเถิด’ (5:19) จากนั้นครั้งที่สองท่านทูลถามพระเจ้า และพระเจ้าทรงตอบว่า ‘เจ้าอย่าขึ้นไป แต่...เมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ข้างหน้าหมู่ต้นยาง เจ้าจงรุกเข้าไป’ (ข้อ 23–24)
ความหมายตรงนี้ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตามนี่เป็นการแสดงการกระตุ้น บางทีนี่อาจหมายความว่าทันทีที่เราได้ยินว่าพระเจ้าทรงเคลื่อน เราควรตอบสนองอย่างรวดเร็ว
พระเจ้าทรงประทานชัยชนะให้แก่ดาวิด และนี่นำไปถึงการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ‘ดาวิดกับพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ร่าเริงกันเต็มที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี และด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ’ (6:5) นี่น่าจะเป็นเสียงดังอึกทึกครึกโครม!
ดาวิดทรงเต้นรำและนมัสการพระเจ้าในแบบที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง ‘และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่…’ (ข้อ 14) มีคาล มเหสีของดาวิดรู้สึกอับอาย และ ‘หมิ่นดาวิดในใจ’ (ข้อ 16) ต่อการแสดงความร้อนรนของท่าน
ดาวิดตอบกลับว่า ท่านจะยังคงนมัสการด้วยความร้อนรนและองอาจยิ่งกว่าเดิม ‘ดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า... “...เราจึงเริงโลดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้”' (ข้อ 21–22) จุดนี้เราได้เห็นตัวอย่างตามพระคัมภีร์ถึงการเฉลิมฉลองที่เสียงดังสนั่นและไม่ยั้งใจ มีคำเตือนในพระธรรมตอนนี้ต่อการดูถูกหรือดูหมิ่นวิธีที่คนอื่นแสดงออกถึงการนมัสการพระเจ้าของพวกเขา (ข้อ 23) แน่นอน เราควรหลีกเลี่ยงการแสดงออกแบบอวดตัว แต่ความลิงโลดของดาวิดออกมาจากใจ และเป็นการเฉลิมฉลองอย่างจริงใจ
เราจำเป็นต้องไวต่อความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขอยกตัวอย่างในสัปดาห์แรก ๆ ในอัลฟ่า เมื่อมีคนมากมายที่ไม่คุ้นเคยกับการนมัสการแบบลิงโลด อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปคุณสามารถเป็นแสดงออกอย่างอิสระในการนมัสการพระเจ้าอย่างร้อนรนเท่าที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 ซามูเอล 6:14–16
‘และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่...มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดทรงกระโดดและเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ นางก็ดูหมิ่นดาวิดในใจ’
ฉันเห็นใจมีคาลอยู่บ้าง ฉันเองก็เคยถูกทดลองให้ดูหมิ่นการเต้นรำตามประเพณีในอดีต บางทีฉันคงต้องยับยั้งชั่งใจลงบ้าง ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสวมเอโฟดไหว แต่ไว้รอดูวันอาทิตย์ก็แล้วกันค่ะ!
ข้อพระคำประจำวัน
กิจการ 2:21
‘…และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด’’

App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)