วัน 47

ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดมาก่อน

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 22:12-21
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 1:29-2:17
พันธสัญญาเดิม อพยพ 19:1-20:26

เกริ่นนำ

ไม่นานหลังจากที่เราแต่งงานกัน พิพพากับผมได้ไปสัมมนาเกี่ยวกับคู่สมรส หนึ่งในเนื้อหาที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย คือเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ เราได้รับการ์ดมาห้าใบ โดยแต่ละใบจะมีคำว่า “การงาน” “พระเจ้า” “งานรับใช้” “สามี / ภรรยา” และ “ลูก ๆ” เราถูกขอให้จัดลำดับสิ่งเหล่านั้นตามลำดับความสำคัญ เมื่อได้ใคร่ครวญแล้วผมกลับพบว่าผมจัดลำดับผิดมาโดยตลอด

ผมให้ความสำคัญกับ “พระเจ้า” เป็นอันดับแรก (อย่างน้อยลำดับนั้นก็ถูกต้อง แต่นั้นเป็นอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้ว!) ตามมาด้วยงานรับใช้ ภรรยา การงาน และลูก ๆ ในท้ายที่สุด (เนื่องจากเรายังไม่มีลูกในตอนนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนไม่สำคัญมากเท่าไหร่!)

เมื่อผู้นำสัมมนาพาเราจัดลำดับความสำคัญเหล่านี้ ผมได้เห็นชัดเลยว่าลำดับความสำคัญของผมควรเป็นดังนี้ อันดับแรกคือพระเจ้า จากนั้นภรรยาของผม (การทรงเรียกหลักของผม) ตามด้วยลูก ๆ ของเรา และการงาน (ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของผม) และท้ายที่สุดคืองานรับใช้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสำคัญมากทีเดียว แต่ไม่ควรได้รับอนุญาตให้แทนที่ความรับผิดชอบหลักในชีวิตของผม ดังที่นักปรัชญาเกอเธ่กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องไม่อยู่ในความเมตตาของสิ่งที่สำคัญน้อยที่สุด”

ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพระเจ้าควรเกิดขึ้นเป็นอันดับแรกในชีวิตของเรา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 22:12-21

12โคผู้มากมายล้อมข้าพระองค์ไว้
 โคบึกบึนแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์
13พวกศัตรูอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์
 ดั่งสิงห์ขณะกัดฉีกและคำรามร้อง
14ข้าพระองค์ถูกเทออกเหมือนอย่างน้ำ
 กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์เคลื่อนหลุดจากที่
ใจของข้าพระองค์ก็เหมือนขี้ผึ้ง
 ละลายภายในอก
15กำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปเหมือนเศษหม้อดิน
 และลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร
 พระองค์ทรงวางข้าพระองค์ไว้ในผงคลีแห่งความตาย
16พวกสุนัขล้อมข้าพระองค์ไว้
 คนทำชั่วกลุ่มหนึ่งโอบล้อมข้าพระองค์
 พวกเขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์
17ข้าพระองค์นับกระดูกของข้าพระองค์ได้ทุกชิ้น
 พวกเขาจ้องมองและยิ้มเยาะข้าพระองค์
18พวกเขาเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาแบ่งกัน
 ส่วนเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับฉลากกัน
19ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงห่างไกลเลย
 ข้าแต่องค์อุปถัมภ์ ขอทรงเร่งรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
20ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากดาบ
 ช่วยชีวิตข้าพระองค์จากเขี้ยว
21ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์
 และทรงช่วยข้าพระองค์จากเขาของเหล่ากระทิงป่าด้วย

อรรถาธิบาย

ความสำคัญของการติดสนิท

ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าควรเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ในพระธรรมสดุดีนี้เราจะเห็นว่าความสำคัญอันดับแรกของผู้เขียนบทเพลงสดุดีนั้นคือความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า (และพยากรณ์เกี่ยวกับความสำคัญอันดับแรกของพระเยซูด้วยเช่นกัน)

ประตูที่นำเราผ่านไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้าคือไม้กางเขน เช่นเดียวกับส่วนแรกของพระธรรมสดุดี เราจะเห็นความต่อเนื่องของคำพยากรณ์เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่สำเร็จเป็นจริงในพันธสัญญาใหม่

ราวกับว่าบทเพลงสดุดีนี้ถูกเขียนออกมาจากบุคคลหนึ่งโดยมีคนแขวนเขาไว้บนไม้กางเขน หลายร้อยปีก่อนที่ชาวโรมันจะคิดค้นการตรึงกางเขนด้วยซ้ำ เป็นคำพยากรณ์ที่แม่นยำเป็นพิเศษเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของพระเยซูซึ่งอธิบายถึงความโหดร้ายของการตรึงกางเขน

1.\t“กระดูกทั้งสิ้นของข้าพระองค์เคลื่อนหลุดจากที่…ลิ้นของข้าพระองค์ก็เกาะติดที่ขากรรไกร” (ข้อ 14ก, 15ข, ยอห์น 19:28)
2.\t“พวกเขาแทงมือแทงเท้าข้าพระองค์” (สดุดี 22:16ค, ยอห์น 19:37)
3.\t“คนทำชั่วกลุ่มหนึ่งโอบล้อมข้าพระองค์ ข้าพระองค์นับกระดูกของข้าพระองค์ได้ทุกชิ้น พวกเขาจ้องมองและยิ้มเยาะข้าพระองค์” (สดุดี 22:16ข–17ข, ลูกา 23:17,35)
4.\t“พวกเขาเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาแบ่งกันส่วนเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์นั้นเขาก็จับฉลากกัน” (สดุดี 22:18, ยอห์น 19:23–24)

อย่างที่เราเห็นเมื่อวานนี้ ความทุกข์ทรมานของพระเยซูบนไม้กางเขนนั้นยิ่งใหญ่กว่าความน่ากลัวของการตรึงกางเขนเสียอีก พระองค์ทรงยอมรับเอาความผิดบาปของเราและยอมถูกพระเจ้าทอดทิ้งแทนเรา (สดุดี 22:1) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อที่คุณจะได้กลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าอีกครั้ง

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์ทรงเผชิญความทุกข์ทรมานจากการตรึงกางเขนเพื่อข้าพระองค์เพื่อให้ความสัมพันธ์ของข้าพระองค์กับพระเจ้าได้รับการฟื้นฟูและกลายเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 1:29-2:17

การทรงรักษาคนจำนวนมากที่บ้านของซีโมน

 29หลังจากออกมาจากธรรมศาลา พระองค์ก็ทรงเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์ทันทีพร้อมกับยากอบและยอห์น 30แม่ยายของซีโมนกำลังนอนป่วยจับไข้อยู่ พวกเขาจึงมาทูลเรื่องของนางให้พระองค์ทราบทันที 31พระองค์จึงเสด็จไปหาและทรงจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หายไข้ และปรนนิบัติพระองค์กับพวกเขา
 32ในเย็นวันนั้นเมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วย และคนที่มีผีสิงมาเฝ้าพระองค์ 33และคนทั้งเมืองก็มาออกันอยู่ที่ประตู 34พระองค์จึงทรงรักษาคนจำนวนมากที่เป็นโรคต่างๆ ให้หาย และทรงขับผีออกไปมากมาย และทรงห้ามพวกมันพูด เพราะว่าพวกมันรู้จักพระองค์

การเทศนาสั่งสอนตามที่ต่างๆ

35ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น 36ซีโมนและคนเหล่านั้นที่อยู่ด้วยก็ตามหาพระองค์ 37เมื่อพบแล้วพวกเขาจึงทูลว่า “ทุกคนกำลังตามหาพระองค์” 38พระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า “ให้พวกเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียง เราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย การที่เรามาก็เพื่อสิ่งนี้” 39แล้วพระองค์เสด็จไปประกาศในธรรมศาลาของพวกเขาทั่วแคว้นกาลิลี และขับผีทั้งหลายออก

การทรงรักษาคนโรคเรื้อน

 40มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์และคุกเข่าลงทูลวิงวอนพระองค์ว่า “เพียงแต่พระองค์พอพระทัย ก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” 41พระเยซูทรงสงสารเขาจึงยื่นพระหัตถ์แตะต้องคนนั้น ตรัสกับเขาว่า “เราพอใจแล้ว จงหายสะอาดเถิด” 42ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็ออกจากตัวเขาไป และคนนั้นได้รับการชำระให้สะอาด 43พระองค์ทรงกำชับคนนั้น และทรงส่งเขาไปทันที 44โดยตรัสกับเขาว่า “อย่าเล่าอะไรให้ใครฟังเลย แต่จงไปแสดงตัวต่อปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายสะอาดแล้วตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันต่อคนทั้งหลาย” 45แต่เมื่อคนนั้นออกไป เขาก็เริ่มป่าวประกาศข่าวนี้ไปทั่ว จนพระองค์ไม่สามารถเสด็จเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยได้อีกต่อไป แต่ต้องประทับนอกเมือง และมีคนจากทุกหนแห่งมาหาพระองค์

มาระโก 2

การทรงรักษาคนง่อย

 1หลังจากผ่านไปหลายวัน พระองค์เสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีก เมื่อคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ที่บ้าน 2คนจำนวนมากก็มาชุมนุมกันจนล้นออกไปถึงนอกประตู ขณะที่พระองค์กล่าวพระวจนะให้พวกเขาฟังอยู่นั้น 3มีคนสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ 4แต่เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าไปถึงตัวของพระองค์เพราะมีคนมาก พวกเขาจึงเจาะดาดฟ้าตรงที่พระองค์ประทับนั้น และเมื่อทำเป็นช่องแล้ว พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงไป 5เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 6แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นและคิดในใจว่า 7“ทำไมคนนี้พูดอย่างนี้ หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียว” 8พระเยซูทรงทราบในพระทัยทันทีว่าพวกเขาสนทนากันในหมู่พวกเขาอย่างนั้น จึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านถึงคิดในใจอย่างนี้ 9การที่พูดกับคนง่อยว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน 10ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า 11“เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน” 12คนง่อยก็ลุกขึ้น แล้วยกแคร่ของตนทันที เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งหลาย ทุกคนก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย”

การทรงเรียกเลวี

 13พระองค์เสด็จไปตามชายทะเลสาบอีก ฝูงชนทั้งหมดก็มาเฝ้าพระองค์ และพระองค์ตรัสสั่งสอนพวกเขา 14เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวีบุตรอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
15เมื่อพระองค์ประทับเสวยอาหารอยู่ในบ้านของเลวีนั้น มีพวกเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคนร่วมสำรับกับพระเยซูและกับพวกสาวกของพระองค์ด้วย เพราะมีคนติดตามพระองค์มาก 16เมื่อพวกธรรมาจารย์ที่เป็นพวกฟาริสีเห็นพระองค์เสวยอาหารกับพวกคนบาปและพวกคนเก็บภาษี จึงถามสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงร่วมรับประทานด้วยกันกับพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาป” 17เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้ว จึงตรัสกับพวกเขาว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

อรรถาธิบาย

ความสำคัญของพระเยซู

ผมรักพระเยซู พระองค์ทรงน่าทึ่งและน่าดึงดูดใจอย่างน่าอัศจรรย์ ทรงรักผู้คนและเปี่ยมไปด้วย “ความสงสาร” ต่อพวกเขาเหล่านั้น (1:41) พวกเขาต่างรักพระองค์ “มีคนจากทุกหนแห่งมาหาพระองค์” (ข้อ 45) ทุกคนอยากพบพระเยซู “ทุกคนกำลังตามหาพระองค์” (ข้อ 37)

พวกเขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อนำคนอื่นมาพบพระเยซูด้วยเช่นกัน (2:4) ฝูงชนทั้งหมดก็มาเฝ้าพระองค์ (ข้อ 13) และเมื่อพระองค์พูดกับพวกเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” พวกเขาก็ติดตามพระองค์ไป (ข้อ 14) บ้างก็พาคนป่วยมาหาพระเยซูและพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หาย (1:32–34) รวมถึงแม่ยายของซีโมนด้วย (ข้อ 30–31) พระองค์ยังรักแม้กระทั่งคนเก็บภาษี คนบาปและทรงปีติยินดีมาก ที่ได้ไปร่วมทานอาหารเย็นกับพวกเขา (ข้อ 15) พระองค์มาเพื่อ "คนบาป" อย่างเราจริง ๆ (ข้อ 17)

คุณสามารถบอกลำดับความสำคัญของคนอื่น ๆ จากเวลาที่พวกเขาใช้ไป ในข้อนี้เราจะเห็นว่าพระเยซูทรงใช้เวลาของพระองค์อย่างไร

1.\tอธิษฐานต่อพระเจ้า

คนส่วนใหญ่มักจะไม่ตื่นเช้ามากนัก เว้นแต่หากพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ สิ่งสำคัญอันดับแรกของพระเยซูคือความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้าพระบิดา “ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น” (ข้อ 35) สิ่งนี้ท้าทายให้เราทุกคนตื่นแต่เช้าหา “จุดที่เงียบสงบ” (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และอธิษฐาน

โดยส่วนตัวแล้ว ผมพบวิธีเดียวที่จะทำให้ตื่นเช้าเป็นประจำสม่ำเสมอนั้นก็คือ เข้านอนให้เร็วขึ้นนั่นเอง

2. ประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์

พระเยซูตรัสว่า “ให้พวกเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียง เราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย การที่เรามาก็เพื่อสิ่งนี้” (ข้อ 38) ทรงประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินขององค์พระผู้เป็นเจ้าและความจำเป็นที่ผู้คนต้อง “กลับใจใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐ” (ข้อ 14–15) เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการให้อภัย (2:5,10) และเป็นข่าวประเสริฐสำหรับ “คนบาป” โดยเฉพาะ (ข้อ 17) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องได้ยิน สำหรับพระเยซู การให้อภัยมีความสำคัญมากกว่าการรักษาด้วยซ้ำ

3. การประกาศที่ทรงพลัง

พระเยซูทรง “สงสาร” (1:41) และด้วยความรักที่มีต่อผู้คนที่พระองค์จึงต้องการนำข่าวประเสริฐเรื่องการให้อภัยมาสู่พวกเขาก่อน แต่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำสอนเท่านั้น พระองค์ทรงสำแดงผ่านการรักษาคนป่วย (ข้อ 40–42, 2:8–12) และขับผีวิญญาณชั่ว (1:39) พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจและมีฤทธิ์อำนาจในการยกโทษบาปได้ (2:9–11) ผ่านการรักษาคนง่อย

พระเยซูทรงจัดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน พระเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง และอันดับที่สองคือผู้คน และที่เหลือก็คือการสำแดงออกมาอย่างเป็นรูปธรรมถึงการให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ความสำคัญกับการติดสนิทพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพระองค์สามารถประกาศข่าวประเสริฐเรื่องการให้อภัยแก่ผู้อื่นได้ โปรดเจิมข้าพระองค์ด้วยความเมตตาสงสารขณะที่ได้อธิษฐานเผื่อผู้ป่วยและแสวงหาผู้ที่ต้องการจะได้รับการปลดปล่อย
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 19:1-20:26

อิสราเอลมาถึงภูเขาซีนาย

 1ในเดือนที่สามนับตั้งแต่ชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ในวันนั้นพวกเขามาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย 2เมื่อเคลื่อนออกจากเรฟีดิม มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร คนอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่นั่นหน้าภูเขานั้น 3โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านจากภูเขานั้นว่า “จงบอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า 4พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราทำกับคนอียิปต์แล้ว และที่เราชูพวกเจ้าขึ้นดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำพวกเจ้ามาถึงเรา 5ฉะนั้น ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริงๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ พวกเจ้าจะเป็นของล้ำค่าของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา 6พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกกับคนอิสราเอล”
 7โมเสสจึงมาเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของประชาชน แล้วประกาศข้อความทั้งหมดนี้ต่อหน้าพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่าน 8ประชาชนทั้งสิ้นก็ตอบพร้อมกันว่า “ทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น พวกข้าพเจ้าจะทำตาม”
 โมเสสจึงนำถ้อยคำของประชาชนกลับไปกราบทูลพระยาห์เวห์ 9พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “นี่แน่ะ เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อประชาชนจะได้ยินขณะที่เราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อถือเจ้าเสมอ”

ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์

 เมื่อโมเสสนำถ้อยคำของประชาชนไปกราบทูลพระยาห์เวห์ 10พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาประชาชนและชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ และให้พวกเขาซักเสื้อผ้าให้สะอาด 11จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม เพราะในวันที่สามนั้น พระยาห์เวห์จะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง 12จงกำหนดเขตให้ประชาชนอยู่รอบภูเขา แล้วกำชับว่า ‘จงระวังตัวให้ดี อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือถูกต้องเชิงเขานั้น ใครถูกต้องภูเขาต้องมีโทษถึงตาย 13ห้ามเอามือถูกต้องผู้นั้น แต่ให้เอาหินขว้างหรือยิงด้วยลูกศร จะเป็นสัตว์ก็ดีหรือเป็นมนุษย์ก็ดี ห้ามไว้ชีวิต’ เมื่อมีเสียงแตรเป่ายาว จึงให้พวกเขาขึ้นมาที่ภูเขานั้น”
 14โมเสสลงจากภูเขามายังประชาชน แล้วชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ และพวกเขาก็ซักเสื้อผ้าให้สะอาด 15แล้วท่านกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม อย่าเข้าหาผู้หญิงเลย”
16อยู่มาพอถึงรุ่งเช้าวันที่สาม ก็เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ มีเมฆหนาทึบปกคลุมภูเขานั้นกับมีเสียงแตรดังสนั่น จนประชาชนทุกคนในค่ายพากันกลัวจนตัวสั่น 17โมเสสก็นำประชาชนออกจากค่ายไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พวกเขามายืนอยู่ที่ตีนเขา 18ภูเขาซีนายมีควันหุ้มอยู่ทั้งหมด เพราะพระยาห์เวห์เสด็จลงมาบนภูเขานั้นในเพลิง และควันก็พลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาเผา ภูเขาทั้งลูก ประชาชนทั้งหมดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
19เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้น โมเสสก็กราบทูล แล้วพระเจ้าตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง 20พระยาห์เวห์เสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระยาห์เวห์ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป 21พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปกำชับประชาชน ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาเพื่อดูพระยาห์เวห์ แล้วต้องพินาศไปเป็นจำนวนมาก 22อนึ่ง พวกปุโรหิตที่เข้ามาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์นั้น ให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระยาห์เวห์จะทรงลงโทษพวกเขา” 23โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น และชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์’ ” 24พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปทันที แล้วกลับขึ้นมาอีกพาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระยาห์เวห์ เกรงว่าพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา” 25โมเสสก็ลงไปบอกประชาชนตามนั้น

อพยพ 20

พระบัญญัติสิบประการ

 1พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า 2“เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส
3“ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
4“ห้ามทำรูปเคารพแปลได้อีกว่า รูปแกะสลักสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน 5ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน 6แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราจนถึงนับพันชั่วอายุคน
 7“ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะผู้ที่ใช้พระนามของพระองค์ไปในทางที่ผิดนั้น พระยาห์เวห์จะทรงเอาโทษ 8“จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ 9จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน 10แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า 11เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์
 12“จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนยาวบนแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า
 13“ห้ามฆ่าคน
 14“ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา
 15“ห้ามลักขโมย
 16“ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
 17“ห้ามโลภบ้านเรือนของเพื่อนบ้าน ห้ามโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน” 18ประชาชนทุกคนได้ยินเสียงฟ้าร้อง และเสียงแตร อีกทั้งได้เห็นฟ้าแลบและควันที่พลุ่งขึ้นจากภูเขานั้น ประชาชนก็กลัวจนตัวสั่นยืนอยู่แต่ไกล 19พวกเขาจึงกล่าวกับโมเสสว่า “ท่านจงนำความมาเล่าเถิด เราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับเราเลย เกรงว่าเราจะตาย”  20โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงลองใจพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และจะได้ไม่ทำบาป” 21ประชาชนยืนอยู่แต่ไกล แต่โมเสสเข้าไปใกล้ความมืดทึบที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชา

 22พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้เห็นแล้วว่า เราพูดกับพวกเจ้าจากท้องฟ้า 23ห้ามทำรูปพระใดๆ ไว้บูชาเทียบเท่ากับเรา ห้ามทำรูปพระด้วยเงินหรือทองคำสำหรับตัว 24จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเป็นเครื่องศานติบูชาแก่เรา และเราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้าในทุกแห่งที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา 25ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา ห้ามก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็ทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน 26และห้ามขึ้นไปยังแท่นบูชาของเราทางบันได เพื่อจะไม่เป็นที่อุจาดตา’

อรรถาธิบาย

ความสำคัญของความรัก

แม้ว่าพระเจ้าจะเชิญคุณให้ใกล้ชิดสนิทกับพระองค์ แต่อย่าลืมความอัศจรรย์ของความบริสุทธิ์และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระเจ้าทรงชื่นชมในตัวคุณมาก ดังนั้นพระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณมีน้อยกว่าที่คุณเป็น พระองค์ต้องการให้เราเรียนรู้ความบริสุทธิ์จากพระองค์

ตั้งแต่อพยพ 19 ถึง กันดารวิถี 10:10 ประชากรของพระเจ้าอยู่ในจุดเดียวกันที่จะต้องเรียนรู้การเป็นประชากรของพระเจ้า พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ความบริสุทธิ์และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถแตะต้องภูเขาที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ได้ จากนั้นพระองค์ตรัสกับพวกเขาเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของพวกเขาผ่านบัญญัติสิบประการ

1.\tพระเจ้ารักคุณ

ในบริบทพระธรรมบทที่ 20:2 “เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือจากดินแดนทาส” พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่สำแดงความรักต่อคนพันชั่วอายุคน (ข้อ 6) และเราได้เห็นภาพความรักของพระเจ้าในพระธรรมตอนก่อนหน้านี้ ที่พระเจ้าตรัสว่า “เราชูพวกเจ้าขึ้นดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำพวกเจ้ามาถึงเรา” (19:4) พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พวกเจ้าจะเป็นของล้ำค่าของเรา...” (ข้อ 5) เราสามารถสำแดงความรักของเราได้โดยการตอบสนองต่อความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ในบริบทของบัญญัติสิบประการ คือ ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณ บางคนพลาดข้อเท็จจริงนี้และมองว่าเป็นเพียงกฎเกณฑ์ พระเจ้าประทานพระบัญญัติเพื่อเป็นการสำแดงความรักที่มีต่อคุณ ให้เราตอบสนองความรักของพระเจ้าโดยการเชื่อฟังและทำตามพระบัญญัติของพระองค์

2. รักพระเจ้า

บัญญัติสี่ประการแรกเกี่ยวกับวิธีที่เราตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าโดยการรักพระองค์ “เรารักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1 ยอห์น 4:19) ความรักของเราคือการมีเอกสิทธิ์ (อพยพ 20:3–4) ยำเกรง (ข้อ 7) และสำแดงผ่านการใช้เวลากับพระองค์ (ข้อ 10)

3. รักผู้อื่น

บัญญัติหกข้อสุดท้ายเกี่ยวกับความรักที่เรามีต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเรา (ข้อ 12) สามี / ภรรยา (ข้อ 14) และเพื่อนบ้านของเรา “ห้ามฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้านหรือภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา” (ข้อ 13–17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเยซูทรงสรุปไว้ดังนี้ว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่านและด้วยสุดความคิดของท่าน” นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้ (มัทธิว 22:37–40)

บัญญัติสิบประการนี้ไม่ใช่บันไดที่ผู้คนต้องปีนขึ้นไปเพื่อเข้าสู่การทรงสถิตของพระเจ้า แต่เป็นรูปแบบชีวิตที่พระเจ้าประทานให้สำหรับผู้ที่เข้าถึงพระคุณและการไถ่ของพระองค์ ไม่ได้ให้ไว้เพื่อจำกัดอิสระภาพของคุณ แต่เพื่อเป็นการป้องกันต่างหาก สิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณมีอิสระในการดำเนินชีวิตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า สำแดงให้คุณเห็นถึงวิธีดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ความรักของคุณที่มีต่อพระเจ้าได้หลั่งไหลออกมาจากความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ และถือเป็นการตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณด้วยเช่นกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา วันนี้ข้าพระองค์นมัสการด้วยความเคารพและยำเกรง ขอบคุณพระองค์ที่ทรงยกชูข้าพระองค์ไว้บนปีกของนกอินทรีและนำมาหาพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ทรงบอกว่าข้าพระองค์เป็นสมบัติล้ำค่าของพระองค์ โปรดช่วยให้สิ่งสำคัญอันดับแรกของข้าพระองค์คือการนมัสการและรักพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ และให้ข้าพระองค์รักคนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขในแบบที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

“ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น” (มาระโก 1:35)

ฉันถูกท้าทายด้วยคำว่า “ในเวลาเช้ามืด” ฉันไม่ค่อยชอบที่มันเป็นตอนเช้าและยิ่งแย่ลงในขณะที่มัน “ยังมืด” อยู่ การนอนอยู่บนที่นอนอันอบอุ่นเป็นการทดลองที่ยากเกินจะต้านทานได้ แต่ฉันตระหนักดีว่า นั่นอาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการค้นพบความสงบสุข ถ้าพระเยซูตื่นแต่เช้าเพื่ออธิษฐาน อย่างน้อยฉันก็ควรพยายามทำเช่นเดียวกัน

ข้อพระคำประจำวัน

มาระโก 1:35

“ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม