วัน 46

ขาขึ้นและขาลงของชีวิต

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 22:1-11
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 1:1-28
พันธสัญญาเดิม อพยพ 17:1-18:27

เกริ่นนำ

เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปตลอดสี่สิบหกปีที่ผ่านมาของชีวิตคริสเตียน มีช่วงเวลาที่เป็นขาขึ้นทางจิตวิญญาณ เช่น การมีประสบการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้า มีความสุขที่ได้เห็นผู้คนพบพระเยซูเป็นครั้งแรก พบคำตอบที่น่าอัศจรรย์ในการอธิษฐานและการได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ในทางกลับกันคือ ช่วงที่เป็นขาลงที่สุดทางจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน เช่นการมีประสบการณ์ในถิ่นทุรกันดาร การคิดสั้น ความผิดหวัง ความล้มเหลว การถูกล่อลวง การต่อต้าน ปัญหาสุขภาพ และการอ่อนกำลังเนื้อหาสำหรับวันนี้เราจะเห็นว่าจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดทางจิตวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 22:1-11

คำร้องขอความช่วยเหลือ ให้พ้นจากความทุกข์และศัตรู

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองกวางแห่งยามรุ่งอรุณ เพลงสดุดีของดาวิด

1พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?
 เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยต่อการช่วยกู้ข้าพระองค์และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์?
2ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลในเวลากลางวัน แต่พระองค์มิได้ตรัสตอบ
 ถึงเวลากลางคืน ข้าพระองค์ไม่มีความสงบเลย
3ถึงอย่างไร พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์
 ผู้ประทับเหนือคำสรรเสริญของคนอิสราเอล
4บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์
 เขาทั้งหลายวางใจ และพระองค์ทรงช่วยเขาให้พ้นภัย
5พวกเขาร้องทูล พระองค์ก็ทรงช่วยเขาให้รอด
 เขาวางใจในพระองค์ เขาจึงไม่อับอาย
6ข้าพระองค์เป็นดุจตัวหนอน มิใช่มนุษย์
 คนก็เยาะเย้ย ประชาก็ดูหมิ่น
7ทุกคนที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน
 เขาบุ้ยปากและสั่นศีรษะกล่าวว่า
8“เขามอบตัวไว้กับพระยาห์เวห์ ให้พระองค์ช่วยเขาให้พ้นภัยสิ
 ให้พระองค์ช่วยกู้เขา เพราะพระองค์พอพระทัยเขา”
9ถึงกระนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์
 และทรงให้ข้าพระองค์ปลอดภัยอยู่ที่อกแม่
10ตั้งแต่คลอด ข้าพระองค์ก็ต้องพึ่งพระองค์ ข้าพระองค์ก็ถูกโยนไปยังพระเจ้า
 พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา
11ขออย่าทรงห่างไกลข้าพระองค์
 เพราะความยากลำบากอยู่ใกล้
 และไม่มีผู้ใดช่วยได้เลย

อรรถาธิบาย

จงวางใจว่าท้ายที่สุดเราจะมีชัยชนะเหนือความทุกข์ยาก

พระธรรมสดุดีนี้เป็นดั่งเบื้องหลังของการคร่ำครวญของพระเยซูบนไม้กางเขน “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (ข้อ 1ก) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระเยซูยกพระธรรมสดุดีนี้ขึ้นมา (มัทธิว 27:46)

ในสดุดีข้อ 22 พยากรณ์ถึงไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งเราเห็นว่าสำเร็จเป็นจริงแล้วในองค์พระเยซู พระองค์ถูกผู้คนเยาะเย้ยและประชาชนดูหมิ่น (ข้อ 6) ถูกเย้ยหยัน (ข้อ 7) ถูกบุ้ยปากและสั่นศีรษะ (ข้อ 7ข) และถูกกล่าวว่า “เขามอบตัวไว้กับพระยาห์เวห์ ให้พระองค์ช่วยเขาให้พ้นภัยสิ” (ข้อ 8ก)

สิ่งนี้อธิบายถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูอย่างจริงแท้แน่นอน (ดู มัทธิว 27:31–46) แต่กระนั้นก็จบลงด้วยชัยชนะ

เนื้อหาในพระธรรมสดุดีเกี่ยวข้องกับความสำคัญของความเชื่อ เมื่อชีวิตเราอยู่ในช่วงขาลง (สดุดี 22:4–5, 9) ขณะที่พระเยซูอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตคือ เมื่อครั้งที่ทรงถูกตรึงกางเขนและถูกบดบังจากพระบิดา พระองค์ก็ยังคงวางใจในการช่วยกู้ของพระเจ้า เป็นที่แน่ชัดว่าความพ่ายแพ้บนไม้กางเขนกลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

หากคุณอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต จำไว้ว่าความทุกข์ทรมานไม่ใช่จุดสิ้นสุด ในองค์พระเยซูคริสต์ การฟื้นขึ้นจากความตายและชัยชนะ ของพระเจ้าคือปลายทางที่รอเราอยู่ จงรักษาความเชื่อในพระองค์ไว้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ สำหรับช่วงเวลาที่ข้าพระองค์ได้ร้องทูลต่อพระองค์และได้รับความรอด เชื่อมั่นในพระองค์และไม่ผิดหวัง โปรดช่วยข้าพระองค์ให้วางใจในพระองค์ในยามทุกข์ยาก
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 1:1-28

การประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

1ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเริ่มต้นตรงนี้ 2ตามที่เขียนในพระธรรมอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า
 “นี่แน่ะ เราใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน
  ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้
3 เสียงคนร้องในถิ่นทุรกันดารว่า
 จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
  จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป”

 4ยอห์นผู้ให้บัพติศมาพิธีชำระ ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาปปรากฏตัวขึ้นในถิ่นทุรกันดาร ท่านประกาศถึงบัพติศมาที่แสดงการกลับใจใหม่ เพื่อรับการยกโทษความผิดบาป 5คนทั้งแคว้นยูเดียกับคนทั้งกรุงเยรูซาเล็มพากันออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของพวกเขา และรับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน 6ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า 7ท่านประกาศว่า “ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งเสด็จมา พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์ 8ข้าพเจ้าให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พระเยซูทรงรับบัพติศมา

 9ในเวลานั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ก็ทอดพระเนตรเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกพิราบเสด็จลงมาประทับบนพระองค์ 11แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”

พระเยซูทรงถูกทดลอง

 12แล้วโดยทันที พระวิญญาณก็ทรงเร่งเร้าพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 13และประทับอยู่ที่นั่นถึงสี่สิบวัน ทรงถูกซาตาน และประทับอยู่กับสัตว์ป่า และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจที่แคว้นกาลิลี

 14หลังจากยอห์นถูกจับแล้ว พระเยซูเสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า 15โดยตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐ”

การทรงเรียกชาวประมงสี่คน

 16ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามชายทะเลสาบกาลิลี ก็ทอดพระเนตรเห็นชาวประมงสองคน คือซีโมนและอันดรูว์น้องของซีโมน กำลังทอดแหอยู่ในทะเลสาบ 17พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะตั้งพวกท่านให้เป็นผู้หาคนเหมือนหาปลา” 18พวกเขาก็ละแหตามพระองค์ไปทันที 19เมื่อพระองค์เสด็จต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือ 20พระองค์ทรงเรียกพวกเขาทันที พวกเขาจึงละเศเบดีผู้เป็นบิดาไว้ที่เรือกับพวกลูกจ้างแล้วตามพระองค์ไป

ชายที่มีผีโสโครก

 21พระองค์กับพวกเขาจึงเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม และพอถึงวันสะบาโต และนมัสการตามพระบัญญัติ พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเทศนาสั่งสอน 22คนทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนพวกธรรมาจาร 23ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีโสโครกเข้าสิงปรากฏตัวในธรรมศาลา 24มันร้องตะโกนว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ พระองค์มายุ่งกับเราทำไม? พระองค์จะมาทำลายเราหรือ? ข้ารู้ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์เป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 25พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า “จงนิ่งเสีย และออกจากตัวเขา” 26ผีโสโครกจึงทำให้คนนั้นชักดิ้นชักงอและร้องเสียงดัง แล้วมันก็ออกจากตัวเขา 27คนทั้งหลายก็ประหลาดใจถามกันว่า “นี่มันอะไรกัน ต้องเป็นคำสอนใหม่ที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจแน่ๆ เขาสั่งได้แม้แต่ผีโสโครกและพวกมันก็ยอมเชื่อฟังเขา” 28แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นกาลิลีในทันที

อรรถาธิบาย

การเติบโตขึ้นในสิทธิอำนาจผ่านการต่อสู้และพระพร

พิพพาและผมได้ดูวิดีโอของ บิลลี่ เกรแฮม เขาได้เทศนาที่ลอสแองเจลิสเมื่อปี 1963 วีดีโอทั้งหมดเป็นภาพขาวดำ เขาเทศนาจากพระคัมภีร์ฉบับที่ได้รับอนุญาต แต่แม้จะผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษข้อความเหล่านั้นก็ยังคงมีพลังเสมอ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในคำเทศนาของเขาคือ สิทธิอำนาจ และสิทธิอำนาจนี้สะท้อนให้เห็นถึงสิทธิอำนาจสูงสุดขององค์พระเยซูคริสต์

พระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมพระเยซูให้พร้อม เพื่อที่จะผ่านทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดทางจิตวิญญาณ ผ่านทางพระพรและการต่อสู้ที่พระองค์ต้องเผชิญ

พระธรรมมาระโกเป็นพระกิตติคุณที่สั้นที่สุด อีกทั้งยังครอบคลุมพระราชกิจของพระเยซูตลอดสามสัปดาห์และคำสอนของพระองค์ที่ใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาที เป็นหนึ่งในพระกิตติคุณที่มีชีวิตชีวามากที่สุด ที่มุ่งจากเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่งด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ เป็นการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แบบกระชับ

คำว่า “โดยทันที” เป็นคำโปรดที่มาระโกชอบใช้ พระเยซูทรงทราบทุกอย่างเกี่ยวกับความกดดันของชีวิต พระองค์มีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ทั้งสูงและต่ำ เมื่อทรงรับบัพติศมา พระเยซูทรงมีประสบการณ์ทางพระวิญญาณ โดยทรงเห็นนิมิต “ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออก” (ข้อ 10ข) ทรงได้สัมผัสกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ “พระวิญญาณดุจนกพิราบเสด็จลงมาประทับบนพระองค์” (ข้อ 10ข) ทรงได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า “พระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์” (ข้อ 11ก) พระองค์ยังได้รับการรับรองว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา” (ข้อ 11ข) ทรงรับรู้ถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อพระองค์เอง “บุตรที่รักของเรา” (ข้อ 11ค) และพระองค์ทรงปิติยินดีในความพอพระทัยของพระเจ้า “เราชอบใจท่านมาก” (ข้อ 11ง)

จากช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ได้ตรงเข้าไปในจุดที่ตกต่ำทางฝ่ายวิญญาณในถิ่นทุรกันดารซึ่งทรงถูกซาตานทดลองเป็นเวลาสี่สิบวัน (ข้อ 12)

อย่าแปลกใจกับการโจมตีทางฝ่ายจิตวิญญาณที่จะตามมาด้วยประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน เรามักพยายามเตือนผู้คนเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ ตัวอย่างเช่นในช่วงโปรแกรมอัลฟ่าสุดสัปดาห์ คุณจะได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งยังได้รับความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณและได้รู้ว่าคุณเป็นลูกของพระเจ้า แต่กระนั้นอย่าแปลกใจหากต้องเผชิญกับการโจมตีในรูปแบบของความสงสัยและการล่อลวงที่มักจะตามมา

เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิต ผมพบว่าแม้ช่วงเวลาแห่งการทดสอบเหล่านี้จะดูเจ็บปวดมากเพียงไหนในตอนนั้น แต่ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันสำคัญแค่ไหนในการตระเตรียมชีวิตผมให้พร้อมสำหรับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานของพระเจ้าโดย “พระวิญญาณ” เป็นผู้ส่งพระเยซูไปในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 12) เพื่อให้ “ถูกซาตานทดลอง” (ข้อ 13) ช่วงเวลาใน “ถิ่นทุรกันดาร” และการล่อลวงที่ดุเดือดทำให้มั่นใจได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ประสบการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องจริง แต่ในขณะเดียวกันการต่อสู้ทางฝ่ายวิญญาณและการทดลองอาจเต็มไปด้วยความรุนแรงมาก

พระเยซูทรงสำแดงสิทธิอำนาจเหนือการทดลองเหล่านี้

1.\tสิทธิอำนาจในการประกาศข่าวประเสริฐ

พระเยซูทรงประกาศพระกิตติคุณและเรียกผู้คนให้ติดตามพระองค์ การหยั่งรากลึกในความสัมพันธ์กับพระเยซูที่มีความสำคัญอันดับหนึ่ง

2. สิทธิอำนาจในการเป็นผู้นำ

พระเยซูทรงเรียกบางคนให้ละจากการงานและอุทิศตัวเพื่อแผ่นดินสวรรค์ (ข้อ 17, 20) ชีวิตของสาวกรุ่นแรก ๆ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อผู้คนได้กลายเป็นศูนย์กลางของพวกเขาแทนที่การหาปลา

3. สิทธิอำนาจในการสั่งสอน

ผู้คนประหลาดใจในคำสอนของพระเยซูเพราะ “พระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาด้วยสิทธิอำนาจ” (ข้อ 22) ทุกคนต่างประหลาดใจจนถามกันว่า “นี่มันอะไรกัน ต้องเป็นคำสอนใหม่ที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจแน่ ๆ” (ข้อ 27)

4. สิทธิอำนาจในการรักษาโรค

พระเยซูทรงรักษาชายที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พระองค์มีสิทธิอำนาจที่จะตรัสห้ามกับวิญญาณร้ายว่า “จงนิ่งเสีย และออกจากตัวเขา” (ข้อ 25) ผู้คนไม่เพียงแต่ประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ แต่ยังรวมถึงวิธีการที่พระองค์ทรง “สั่งได้แม้แต่ผีโสโครกและพวกมันก็ยอมเชื่อฟังเขา” (ข้อ 27)

ไม่ว่าคุณจะผ่านอะไรมาก็ตาม จงเชื่อมั่นไว้เสมอว่าพระเจ้ากำลังเตรียมชีวิตคุณและทรงเจิมคุณด้วยสิทธิอำนาจไม่ว่าพระองค์จะเรียกให้คุณทำอะไรก็ตาม

ทูลขอต่อพระองค์ให้เจิมคุณด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง ทราบไว้เถิดว่าพระเจ้าทรงมองคุณด้วยความปิติยินดี และให้เราฟังสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสกับคุณว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (ข้อ 11)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดเจิมข้าพระองค์ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เติบโตในสิทธิอำนาจในคำพูดและการกระทำของข้าพระองค์
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 17:1-18:27

น้ำออกมาจากหิน

 1ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดเคลื่อนออกจากถิ่นทุรกันดารสินไปเป็นระยะๆ ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 2เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงเอาเรื่องกับโมเสส และกล่าวกับโมเสสว่า “ให้น้ำพวกข้าดื่มซิ”
 โมเสสจึงบอกพวกเขาว่า “พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม? ทำไมพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีกับพระยาห์เวห์?” 3แต่ประชาชนกระหายน้ำ ณ ที่นั้น จึงบ่นต่อโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาเราทั้งบุตรและฝูงปศุสัตว์ของเราออกจากอียิปต์มาเพื่อให้อดน้ำตาย?” 4โมเสสจึงร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไรกับชนชาตินี้ดี? พวกเขาเกือบเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว”
 5พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปกับเจ้า จงถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำไนล์นั้นไปด้วย 6นี่แน่ะ เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่น บนศิลาที่ภูเขาโฮเรบ จงตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม”
 โมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 7โมเสสเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสา และเมรีบาห์ เพราะคนอิสราเอลหาเรื่องตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระยาห์เวห์ว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ?”

คนอามาเลขโจมตีคนอิสราเอล แต่พ่ายแพ้

 8เวลานั้น คนอามาเลขยกมารบกับคนอิสราเอลที่เรฟีดิม 9โมเสสสั่งโยชูวาว่า “จงเลือกผู้ชายฝ่ายเราออกไปสู้รบกับคนอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดเขา” 10โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส เขาออกไปรบกับคนอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ก็ขึ้นไปบนยอดเขานั้น 11โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็ได้เปรียบเมื่อนั้น 12แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองจึงนำก้อนหินมาวางให้โมเสสนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือทั้งคู่ของท่านจึงชูอยู่จนตะวันตกดิน 13ส่วนโยชูวาปราบกองทัพอามาเลขพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ
 14พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงในหนังสือเพื่อเตือนความจำ ทั้งเล่าให้โยชูวาฟัง คือเราจะล้างเผ่าพันธุ์อามาเลขให้สิ้น ไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของประชาชนภายใต้ฟ้าเลย” 15โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่ายาห์เวห์นิสสีแปลว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นธงของข้า 16กล่าวว่า “เพราะมีมือหนึ่งยกขึ้นต่อสู้พระที่นั่งของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะทรงทำสงครามกับคนอามาเลขทุกชั่วชาติพันธุ์”

คำแนะนำของเยโธร

 1เยโธรปุโรหิตแห่งมีเดียน พ่อตาของโมเสส ได้ยินถึงกิจการทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำเพื่อโมเสส และเพื่ออิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ 2เยโธรพ่อตารับศิปโปราห์ภรรยาของโมเสสไว้ หลังจากที่โมเสสส่งกลับไป 3พร้อมกับบุตรทั้งสองคนของนาง คนหนึ่งชื่อเกอร์โชม (เพราะโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าว ในต่างแดน”) 4อีกคนหนึ่งชื่อเอลีเอเซอร์ (เพราะท่านกล่าวว่า “พระเจ้าของบิดาข้าพเจ้าเป็นผู้อุปถัมภ์ของข้าพเจ้าและทรงให้ข้าพเจ้ารอดจากดาบของฟาโรห์”) 5เยโธรพ่อตาของโมเสสพาภรรยาและบุตรทั้งสองคนนั้นมาหาโมเสสในถิ่นทุรกันดาร ที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า 6เยโธรส่งข่าวไปบอกโมเสสว่า “เราเยโธรพ่อตาของท่านพาภรรยาของท่านกับบุตรทั้งสองของนางมาหาท่าน”
7โมเสสออกไปต้อนรับพ่อตา กราบลงและจูบท่าน ต่างไต่ถามทุกข์สุขกันและกัน แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์ 8โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกประการ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับฟาโรห์และกับคนอียิปต์ เพราะทรงเห็นแก่อิสราเอล ทั้งความทุกข์ยากลำบากทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นแก่คนอิสราเอลในระหว่างทาง และพระยาห์เวห์โปรดช่วยพวกเขาให้พ้นภัยอย่างไร 9เยโธรก็ยินดีที่ได้ทราบถึงคุณความดีทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำกับคนอิสราเอล ผู้ซึ่งพระองค์โปรดช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนอียิปต์
 10เยโธรจึงกล่าวว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงช่วยพวกท่านให้รอดจากมืออียิปต์และจากหัตถ์ของฟาโรห์ ผู้ทรงช่วยประชากรให้พ้นจากเงื้อมมือของคนอียิปต์ 11บัดนี้เราทราบว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้พ้นภัย เมื่อคนอียิปต์กดขี่พวกเขาอย่างฮึกเหิม” 12เยโธรพ่อตาของโมเสสก็นำเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเครื่องสัตวบูชาถวายแด่พระเจ้า ส่วนอาโรนกับบรรดาผู้ใหญ่ของอิสราเอลมารับประทานเลี้ยงกับพ่อตาของโมเสสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

การแต่งตั้งผู้พิพากษา

 13วันรุ่งขึ้น โมเสสนั่งตัดสินความให้ประชาชน พวกเขายืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น 14เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นทุกอย่างที่โมเสสทำเพื่อประชาชน จึงกล่าวว่า “นี่ท่านใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับประชาชนเล่า? ทำไมท่านจึงนั่งทำงานอยู่คนเดียว? และประชาชนทั้งหมดก็ยืนล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น” 15โมเสสจึงตอบพ่อตาว่า “เพราะประชาชนมาหาข้าพเจ้า เพื่อขอให้ทูลถามพระเจ้า 16เมื่อพวกเขามีการโต้เถียงกันก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตัดสินความระหว่างเขากับเพื่อนบ้าน และสอนเขาให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าและธรรมบัญญัติของพระองค์” 17พ่อตาของโมเสสจึงกล่าวกับท่านว่า “ท่านทำอย่างนี้ไม่ดี 18ทั้งท่านและประชาชนที่อยู่กับท่านนั้นคงจะอ่อนล้า เพราะภาระนี้หนักเหลือกำลังของท่าน ท่านไม่สามารถทำคนเดียวได้ 19จงฟังเราบ้าง เราจะให้คำแนะนำแก่ท่าน และขอให้พระเจ้าสถิตกับท่าน ท่านจงเป็นผู้แทนของประชาชนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นำความกราบทูลพระเจ้า 20ท่านจงสั่งสอนพวกเขาให้รู้กฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติ คือทำให้พวกเขารู้จักทางที่เขาต้องดำเนินชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ 21ยิ่งกว่านั้น จากประชาชนทั้งหมด ท่านจงมองหาคนที่มีความสามารถ ที่ยำเกรงพระเจ้า ที่ไว้ใจได้ และที่เกลียดสินบน จงแต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เหนือพวกเขา เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง22ให้พวกเขาพิพากษาคดีของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆ ก็ให้พวกเขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน 23ถ้าทำดังนี้และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว ท่านก็จะสามารถทนได้ และประชาชนทั้งหมดนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของตนด้วยความสงบสุข”
 24โมเสสก็เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่ท่านกล่าวทุกประการ 25โมเสสจึงเลือกคนที่มีความสามารถจากคนอิสราเอลทั้งหมด และตั้งให้เป็นหัวหน้าประชาชน เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง 26คนเหล่านั้นพิพากษาคดีของประชาชนอยู่เสมอ แต่คดียากๆ พวกเขานำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาตัดสินเอง 27โมเสสส่งพ่อตาของตนกลับไป พ่อตาก็กลับไปยังแผ่นดินของตน

อรรถาธิบาย

อธิษฐานและสำแดงชีวิตเพื่อเปลี่ยนขาลงของชีวิตให้เป็นขาขึ้น

โมเสสมีช่วงเวลาที่เป็นขาลงทางจิตวิญญาณมากเช่นกัน เมื่อประชาชน “เอาเรื่องกับโมเสส” (17:2) พวกเขา “บ่น” (ข้อ 3) “เกือบเอาหินขว้าง [เขา] ให้ตาย” (ข้อ 4) ทั้งยังมี “คนอามาเลขยกมารบกับคนอิสราเอล” (ข้อ 8) แต่พระเจ้าทรงพลิกสถานการณ์ที่ตกต่ำให้เป็นสถานการณ์ที่ดีเยี่ยมได้อย่างไร

1. รับภาระและหนุนใจซึ่งกันและกัน

ประการแรกโมเสสได้อธิษฐานเผื่อตัวเอง เขาร้องทูลต่อพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไร” [และ] พระเจ้าจึงตรัส” (ข้อ 4–5) ประการที่สองเขาร้องทูลเพื่อโยชูวาและประชาชน “ตราบใดที่โมเสสชูมือขึ้นชาวอิสราเอลก็ชนะ แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาลดมือลงชาวอามาเลขก็ชนะ”(ข้อ 11)

“แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า ... อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง... ส่วนโยชูวาปราบกองทัพอามาเลขพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ... “เพราะมีมือหนึ่งยกขึ้นต่อสู้พระที่นั่งของพระยาห์เวห์” (ข้อ12–13, 16)

พระธรรมตอนนี้ย้ำเตือนเราให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจและความจำเป็นของการอธิษฐานวิงวอน นอกจากนี้ยังเตือนเราให้เห็นถึงความสำคัญของการรับภาระด้วยความรักและหนุนใจซึ่งกันและกันเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย

2. เรียนรู้ที่จะมอบหมายหน้าที่

เยโธร พ่อตาของโมเสสให้คำแนะนำที่ดีเยี่ยมบางอย่างแก่โมเสส (18:19) เขาชี้ให้เห็นว่าถ้าเขาไม่ได้มอบหมายงานเขาจะทำให้ตัวเองหมดแรง “ภาระนี้หนักเหลือกำลังของท่าน ท่านไม่สามารถทำคนเดียวได้” (ข้อ18ข) โมเสสเป็นคนถ่อมตัวและฉลาดพอที่จะฟังพ่อตาของเขา

การพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองนั้น “ไม่ดี” (ข้อ 17) มันเป็นรูปแบบที่ไม่ดีในการเป็นผู้นำและนำไปสู่ความเหนื่อยล้า “เจ้าจะอ่อนกำลัง” (ข้อ18 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นอกจากนี้ยังส่งผลให้คนอื่นใช้ของประทานของตนเองไม่มากพอ พวกเขาอาจจะหงุดหงิดและคุณก็เช่นกัน

อย่างไรก็ตามการมอบหมายหน้าที่อย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเราจำเป็นที่ต้องมีผู้นำที่เหมาะสม หากคุณมอบหมายงานให้กับคนผิด ต่อให้ตามจุกจิกจู้จี้ขนาดไหนก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่หากคุณได้ผู้นำที่ใช่ คุณจะสามารถไว้วางใจพวกเขา ให้อิสระและมอบอำนาจให้พวกเขาได้อย่างเต็มที่

การทำตามคำแนะนำของเยโธร อย่างน้อยก็ใช้เกณฑ์ทั้งสามนี้ในการเลือกและแต่งตั้งผู้นำ ขั้นแรกคือเลือกคนที่มีความสามารถ (ข้อ21ก) คุณต้องการคนที่มีความสามารถเพื่อให้มีความมั่นใจได้ในขณะที่คุณมอบหมายงาน ประการที่สอง คือเลือกผู้นำบนพื้นฐานของจิตวิญญาณ นั้นคือผู้ที่ “ยำเกรงพระเจ้า” (ข้อ 21ข) และเกณฑ์ที่สามคือคุณลักษณะ คุณต้องการคนที่ “ไว้ใจได้” (ข้อ 21ค) ที่ซื่อสัตย์ รอบคอบ และเชื่อถือได้

โมเสสมอบหมายหน้าที่หลายประการแก่ผู้นำเหล่านั้นให้เป็นผู้ปกครองคน (“พันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง” ข้อ 21ค) โดยคาดการว่าขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน โมเสสตั้งพวกเขาให้พิจารณาคดีบางส่วนแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นคดีเล็กน้อย ๆ แต่ไม่ใช่คดียาก ๆ (ข้อ 26) ผลที่ได้คือ โมเสสสามารถ “ทนได้” และประชาชนทั้งหมดก็ไปยังที่อาศัยของตนอย่าง “สงบสุข” (ข้อ 23)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้การติดสนิทกับพระองค์เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งและให้ข้าพระองค์อยู่ใกล้ชิดสนิทกับพระองค์ ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม

เพิ่มเติมโดยพิพพา

อพยพ 18:9,17–19

เยโธรเป็นพ่อตาที่ดีมาก เขาชื่นชมยินดีกับความสำเร็จทั้งหมดของโมเสสและให้คำแนะนำเมื่อเห็นว่าเกิดปัญหาขึ้น

ข้อพระคำประจำวัน

มาระโก 1:11

“ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม