วัน 48

เพิ่มพูนจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 5:1-14
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 2:18-3:20
พันธสัญญาเดิม อพยพ 21:1-22:31

เกริ่นนำ

พระเยซูถามคำถามในพระธรรมวันนี้ว่า ‘ในวันสะบาโตควรจะทำการดีหรือทำการร้าย?’ (มาระโก 3:4)

ผมเคยเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ผมเชื่อว่าร่างกายและจิตใจของเรา รวมถึงสถานการณ์ที่เราเกิดมาเป็นตัวกำหนดการกระทำทั้งหมดของเรา ตามหลักเหตุและผลสำหรับผมมันดูเหมือนว่าหากไม่มีพระเจ้าก็ไม่อาจมีมโนธรรมขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ดังนั้นถ้าตามหลักการนี้แล้วโลกนี้คงไม่อาจมีคำว่า ‘การดี’ และ ‘การร้าย’ อย่างแน่นอน

แต่ลึก ๆ แล้วผมรู้ว่ามีสิ่งที่ ‘ดี’ และ ‘ร้าย’ อยู่ถึงแม้ผมจะไม่เชื่อในพระเจ้าแต่ผมก็ใช้คำพูดเหล่านั้น จนกระทั่งผมได้มีประสบการณ์กับพระเยซู ผมเข้าใจว่ามีพระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลแห่งศีลธรรม ซึ่งในพระคัมภีร์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเป็นตัวตนของพระเยซูคริสต์ ทั้งการดีและการร้ายจะถูกเปิดเผยออกมา

พระเจ้าประทานมโนธรรมแก่เราเพื่อให้เรารู้ว่าบางสิ่งเป็นสิ่งที่ ‘ดี' และบางสิ่งเป็นสิ่งที่ ‘ร้าย’ แต่จิตสำนึกผิดชอบของเราอาจถูกทำให้มืดมนและจำเป็นต้องได้รับการเสริมให้เพิ่มพูนขึ้นด้วยความจริงอย่างเป็นรูปธรรม

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 5:1-14

คำตักเตือนให้ระวังการสำส่อนและการนอกใจ

1ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟังปัญญาของข้า
 จงเอียงหูของเจ้าฟังความเข้าใจของข้า
2เพื่อเจ้าจะรักษาความเฉลียวฉลาดไว้
 และปากของเจ้าจะระแวดระวังความรู้
3เพราะปากของหญิงแพศยาก็หยาดน้ำผึ้งออกมา
 และคำพูดของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน
4แต่ในที่สุด นางก็ขมอย่างบอระเพ็ด
 และคมอย่างดาบสองคม
5เท้าของนางก้าวลงไปสู่ความตาย
 ย่างเท้าของนางมุ่งตรงไปยังแดนคนตาย
6นางไม่สนใจวิถีแห่งชีวิต
 หนทางของนางวนเวียนไป และนางไม่รู้
7ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้จงฟังข้า
 และอย่าพรากจากถ้อยคำแห่งปากของข้า
8จงหลีกทางของเจ้าให้ไกลจากนาง
 อย่าไปใกล้ประตูบ้านของนาง
9เกรงว่าเจ้าจะให้เกียรติของเจ้าแก่คนอื่น
 และให้ปีเดือนของเจ้าแก่คนไร้เมตตา
10เกรงว่าคนแปลกหน้าจะอิ่มเอมด้วยทรัพย์สินของเจ้า
 และของที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเจ้าจะตกไปในบ้านของคนต่างด้าว
11และเมื่อบั้นปลายชีวิตของเจ้ามาถึง เจ้าจะครวญคราง
 เมื่อเนื้อและกายของเจ้าเสื่อมสิ้นไป
12และเจ้าพูดว่า “ข้าเกลียดการตีสอนเสียจริงๆ
 และจิตใจของข้าดูหมิ่นการตักเตือน
13ข้าไม่ฟังเสียงครูของข้า
 หรือเอียงหูให้แก่ผู้สั่งสอนของข้า
14ข้าจวนจะย่อยยับอยู่รอมร่อ
 ในท่ามกลางคนที่ประชุมกันอยู่นั้น”

อรรถาธิบาย

ระวังสิ่งที่ชั่วร้ายปลอมเป็นสิ่งที่ดี

บาปทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการหลอกลวง ซึ่งมักเป็นการปลอมแปลงจากสิ่งที่ชั่วเป็นสิ่งที่ดี และมันน่าดึงดูดใจเพียงชั่วครู่ ‘เพราะปากของหญิงแพศยาก็หยาดน้ำผึ้งออกมา และคำพูดของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน’ (ข้อ 3) แต่ในที่สุดเธอก็ ‘นางก็ขมอย่างบอระเพ็ด’ (ข้อ 4) และการเดินตามทางนั้นนำไปสู่ ‘ความตาย’ (ข้อ 5ก) และ ‘แดนคนตาย’ (ข้อ 5ข)

ข้อเหล่านี้แสดงออกถึงความดึงดูดใจและอันตรายจากการล่อลวงทางเพศ เราอยู่ในสังคมที่หมกมุ่นในเรื่องเพศมากขึ้น โดยมีสื่อลามกทางอินเตอร์เน็ต พร้อมนำเสนอภาพลามกอนาจารรอบ ๆ ตัวเรา และวัฒนธรรมที่กระ ตุ้นให้เราแสวงหา ‘การเติมเต็ม’ ทางเพศ

อันที่จริงเพศสัมพันธ์ถือเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้ (ดูปฐมกาล 2:24) แต่เมื่อใช้อย่างผิดวิธีก็อาจทำลายล้าง และสร้างความเสียหายได้ ข้อความเหล่านี้เตือนเราถึงความน่าดึงดูดใจของบาปทางเพศ และย้ำเตือนไม่ให้เราถูกล่อลวง

ให้เราหลีกเลี่ยงหนทางที่จะทำให้เราเศร้าสลด ‘รักษาระยะห่าง...อยู่ให้ไกลจากละแวกบ้านเธอ’ (ข้อ 8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากเราเพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ เราอาจจะเสียเวลา และชีวิตของเราจบลงที่ ‘เต็มไปด้วยความเสียใจ’ (สุภาษิต 5:11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อย่าเล่นหูเล่นตากับสิ่งล่อใจ จงหนีให้ห่างจากการล่อลวง

จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ปัญญาคือเพื่อนของเรา มันช่วยให้เราไม่ต้องเสียใจ ฉันคิดว่าสิ่งที่เศร้าที่สุดในโลก คือการมีชีวิตวัยชราและมองย้อนกลับไปในอดีตอย่างน่าสลดใจถึงสิ่งที่ฉันไม่ควรทำและสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำ สติปัญญาช่วยให้เราตัดสินใจในขณะนี้เพื่อที่เราจะมีความสุขในภายหน้า’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีความระมัดระวังอย่างชาญฉลาด เพื่อที่จะอยู่ห่างไกลจากสิ่งใด ๆ ที่อาจนำข้าพระองค์ไปสู่ความบาป ‘ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย’ (มัทธิว 6:13)
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 2:18-3:20

ปัญหาเรื่องการถืออดอาหาร

 18ระหว่างที่พวกศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังถืออดอาหาร ประชาชนมาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกศิษย์ของยอห์น และพวกศิษย์ของพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของพระองค์ไม่ถือ?” 19พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวควรอดอาหารขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? เจ้าบ่าวอยู่ด้วยนานเท่าไร เพื่อนๆ ก็ไม่ควรอดอาหารนานเท่านั้น 20แต่มีเวลาที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากจากพวกเขา ในวันนั้นแหละที่พวกเขาจะถืออดอาหาร 21ไม่มีใครเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ท่อนผ้าทอใหม่ที่ปะเข้าไปจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีกเมื่อมันหด 22และไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเหล้าองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงเก่าขาด ทั้งเหล้าองุ่นและถุงก็จะเสียไปด้วยกัน แต่เหล้าองุ่นหมักใหม่จะต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่”

สาวกเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต

 23ในวันสะบาโตหนึ่ง ขณะพระองค์กำลังเสด็จผ่านทุ่งนา และเมื่อพวกสาวกของพระองค์กำลังเดินไปนั้น พวกสาวกก็เริ่มเด็ดรวงข้าว 24พวกฟาริสีจึงถามพระองค์ว่า “ดูซิ ทำไมพวกเขาถึงทำสิ่งที่ต้องห้ามในวันสะบาโต?” 25พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่ได้อ่านสิ่งที่ดาวิดทำเมื่อท่านและพรรคพวกหิวและต้องการอาหารหรือ? 26คือในสมัยที่อาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและรับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคน เว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น และยังส่งให้คนที่มากับท่านรับประทานด้วย” 27พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ ไม่ได้ทรงสร้างมนุษย์ไว้เพื่อวันสะบาโต 28เพราะฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย”

มาระโก 3

ชายที่มือข้างหนึ่งลีบ

 1แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีก และมีคนที่มือข้างหนึ่งลีบอยู่ที่นั่น 2คนเหล่านั้นคอยเฝ้าดูว่า พระองค์จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ 3พระองค์ตรัสกับคนมือลีบว่า “มาข้างหน้าเถอะ” 4แล้วพระองค์ตรัสกับคนทั้งหลายว่า “ในวันสะบาโตควรจะทำการดีหรือทำการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” คนทั้งหลายก็นิ่งอยู่ 5พระองค์ทอดพระเนตรดูรอบๆ ด้วยพระพิโรธและเสียพระทัย ที่จิตใจของพวกเขากระด้าง แล้วพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ 6พวกฟาริสีจึงออกไปและปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดทันทีว่าทำอย่างไรพวกเขาถึงจะฆ่าพระองค์ได้

คนจำนวนมากที่ชายทะเล

 7พระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์จึงออกจากที่นั่นไปยังทะเลสาบ คนจำนวนมากจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปด้วย รวมทั้งคนจากแคว้นยูเดีย 8จากกรุงเยรูซาเล็มและจากอิดูเมอาเป็นแคว้นที่อยู่ทางใต้ของแคว้นยูเดีย จากแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก และจากดินแดนรอบเมืองไทระและเมืองไซดอน ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นก็มาหาพระองค์ 9พระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกให้เอาเรือมาคอยรับพระองค์เพื่อไม่ให้ฝูงชนเบียดเสียดพระองค์ 10เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาคนมากมายให้หายโรค จนบรรดาคนที่เป็นโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์ 11เมื่อไรก็ตามที่บรรดาผีโสโครกเห็นพระองค์ พวกมันจะหมอบลงกราบพระองค์แล้วร้องเสียงดังว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า” 12แต่พระองค์ทรงกำชับมันไม่ให้แพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร

การทรงเลือกสาวกสิบสองคน

 13แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพระองค์พอพระทัยผู้ใดก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ 14พระองค์จึงทรงแต่งตั้งสิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ [เป็นกลุ่มคนที่พระองค์ทรงเรียกว่าอัครทูต] เพื่อจะทรงใช้พวกเขาออกไปประกาศ 15และทรงให้มีสิทธิอำนาจขับผีออกได้ 16[แล้วพระองค์ทรงตั้งสาวกสิบสองคนได้แก่] ซีโมนคนที่พระองค์ประทานอีกชื่อหนึ่งว่า เปโตร 17และยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องของยากอบ ทั้งสองคนนี้พระองค์ประทานอีกชื่อหนึ่งว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง 18อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมน พรรคชาตินิยมภาษากรีกคือ คานาไนโอส แปลว่า พวกเอาจริงเอาจัง 19และยูดาสอิสคาริโอท คนที่ทรยศพระองค์

พระเยซูกับเบเอลเซบูล

 20แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ฝูงชนก็มาชุมนุมกันอีก จนพระเยซูและพวกสาวกไม่สามารถรับประทานอาหารได้

อรรถาธิบาย

การตัดสินใจเกี่ยวกับพระเยซู: การดีหรือการร้าย?

พระเยซูคือใคร? พวกเราทุกคนต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์เป็นผีร้ายหรือไม่? พระองค์เสียสติหรือเปล่า? หรือพระองค์คือพระเจ้า? นี่ไม่ใช่คำถามใหม่ ผู้คนในสมัยของพระเยซูต้องตัดสินใจเลือกสามทางเลือกนี้ด้วย

พระเยซูไม่ได้เป็นเพียงผู้สอนศาสนาที่ยิ่งใหญ่ พระองค์เข้าใจความเป็นพระองค์เองมากกว่านั้น พระเยซูทรง ตรัสถึงพระองค์เองอย่างน่าอัศจรรย์ แม้ในเนื้อหาของพระธรรมมาระโกที่ค่อนข้างสั้นนั้น เราก็เห็นการอ้างสิทธิ์ดังกล่าวจำนวนมาก

มีเพียง 3 ทางเลือกเท่านั้น: พระองค์เป็นผีร้าย หรือคนเสียสติ หรือทรงเป็นพระเจ้าจริงอย่างที่พระองค์ตรัสไว้

1.\tพระองค์เป็นผีร้ายหรือไม่?

ธรรมาจารย์กล่าวว่า ‘คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น’ (3:22) พวกเขาพูดว่า ‘พระองค์มีผีโสโครกเข้าสิง’ (ข้อ 30ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New International Version โดยผู้แปล)

2.\tพระองค์เสียสติหรือเปล่า?

ญาติมิตรของพระเยซูพูดถึงพระองค์ว่า ‘พระองค์เสียสติแล้ว’ (ข้อ 21ข)

3.\tพระองค์เป็นพระเจ้าหรือไม่?

พระเยซูตรัสโดยปริยายว่าพระองค์เป็นเจ้าบ่าว (2:18–19) พระองค์อธิบายถึงพระองค์เองว่า ‘เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย’ (ข้อ 28) และบรรดาผีโสโครกร้องว่า ‘พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า’ (3:11) พระเยซูไม่ได้ปฏิเสธแต่ ‘พระองค์ทรงกำชับมันไม่ให้แพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร‘ (ข้อ 12)

ซี.เอส. ลูอิส สรุปไว้ดังนี้ ‘ตอนนั้นเรากำลังเผชิญกับทางเลือกที่น่ากลัว ชายที่เรากำลังพูดถึงนั้นเป็น (และกำลัง เป็น) อย่างที่ท่านกล่าวไว้ หรือเป็นอย่างอื่น [เสียสติ] หรือเป็นอะไรที่แย่กว่านั้น ตอนนี้ผมเห็นได้ชัดว่าพระองค์ ไม่ได้ทั้งเป็น [คนเสียสติ] หรือเป็นผีมาร และด้วยเหตุนี้แม้จะดูแปลกประหลาดหรือน่ากลัวหรือไม่น่าเป็นไปได้ ผมจำเป็นต้องยอมรับแนวคิดที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าทั้งในอดีตและปัจจุบัน พระเจ้าได้เสด็จมาบนโลกที่ ถูกศัตรูยึดครองนี้ในรูปแบบของมนุษย์’

การตัดสินใจของเราว่าพระเยซูเป็นผีร้าย เสียสติหรือเป็นพระเจ้ามีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง

หลังจากใช้เวลากับพระเยซูสามปีสาวกของพระองค์ก็สรุปได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่เที่ยงแท้ เป็นพระวาทะผู้สร้างชีวิตและเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะคือพระเจ้า (2:21–22) พระเยซูทรงเรียกพวกเขา เช่นเดียวกับพระองค์ทรงเรียกพวกเราให้ ‘อยู่กับพระองค์’ ก่อนออกไปประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ไป ทั่วโลก (3:14–15)

พระเยซูตรัสกับคนที่บอกว่าพระองค์มีผีสิงดังนี้ ‘ใครกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงอภัย ให้คนนั้นไม่ได้ตลอดไป’ (ข้อ 29) หลายคนร้อนใจเรื่องนี้ แต่ใครก็ตามที่ร้อนใจจะไม่กล้าละเมิดบาปนี้ แท้จริง ผู้คนที่เป็นทุกข์ (และปรารถนาที่จะกลับใจ) เป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้ละเมิดการดูหมิ่นนี้ และผู้ที่กลับใจจะ ได้รับการอภัย

ที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ใช่เพียงการกล่าวแต่เพียงวาจา แต่นี่เป็นท่าทีที่แน่วแน่ พระเยซูไม่ได้บอกว่าพวกเขาทำบาป แต่เตือนพวกเขาถึงอันตรายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ คนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นธรรมาจารย์ผู้ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นครูสอนศาสนาให้กับคนของพระเจ้า ที่ต่างก็ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน

ความบาปเป็นท่าทีที่ตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว เช่นเดียวกับบุคคลที่จมดิ่งสู่จุดที่พวกเขาไม่สามารถกลับใจและไม่ยอมรับการอภัย คนเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเดียวกับ ‘ยูดาสอิสคาริโอท คนที่ทรยศพระองค์’ (ข้อ 19)

พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ได้รับรองเราว่า ใครก็ตามที่กลับใจและหันมาหาพระเยซูจะได้รับการให้อภัย

คำอธิษฐาน

พระเยซู วันนี้ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์ในฐานะเจ้าบ่าว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระบุตรของพระเจ้า
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 21:1-22:31

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับทาส

 1“ต่อไปนี้เป็นกฎหมายซึ่งเจ้าต้องประกาศให้เขาทั้งหลายทราบไว้
2“ถ้าเจ้าซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ 3หากเขามาคนเดียว จงปล่อยเขาไปคนเดียว หากเขามากับภรรยา ต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย 4หากนายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นคลอดบุตรชายหรือบุตรหญิงให้เขา ภรรยากับบุตรเหล่านั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัว 5ถ้าทาสนั้นมาพูดอย่างชัดเจนว่า ‘ข้ารักนายและลูกเมียของข้า ข้าไม่อยากเป็นอิสระ’ 6ให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พาเขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายตลอดไป
 7“ถ้าชายใดขายบุตรหญิงเป็นทาส หญิงนั้นจะไม่ได้เป็นไทอย่างที่ทาสเป็น 8ถ้าหญิงนั้นไม่เป็นที่พอใจของนายที่ยกเธอขึ้นเป็นภรรยาน้อยของตน นายต้องยอมให้เธอถูกไถ่คืน แต่นายไม่มีสิทธิ์จะขายหญิงนั้นให้แก่ชาวต่างประเทศ เพราะนายทำผิดสัญญาต่อหญิงนั้นแล้ว 9ถ้านายยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาของบุตรชายของตน ก็ให้นายปฏิบัติต่อหญิงนั้นดุจเป็นบุตรหญิงของตน 10ถ้าเขาเอาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา ห้ามเขาลดอาหารการกิน เสื้อผ้า และประเพณีผัวเมียกับคนเก่า 11ถ้าเขาไม่ได้ทำสามอย่างนี้แก่เธอ หญิงนั้นจะไปก็ได้โดยไม่ต้องมีค่าไถ่ ไม่ต้องเสียเงิน

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการทารุณ

 12“ผู้ใดทุบตีคนหนึ่งให้ตาย ผู้นั้นจำต้องรับโทษถึงตายเหมือนกัน 13ถ้าผู้ใดไม่ได้เจตนาฆ่าเขา แต่เขาตายเพราะพระเจ้าทรงปล่อยให้ตายด้วยมือของผู้นั้น เราจะกำหนดที่แห่งหนึ่งแก่เจ้าให้เขาหนีไปที่นั่น 14แต่ถ้าผู้ใดเจตนาหักหลังฆ่าเพื่อนบ้าน ก็ให้ดึงตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเรา เพื่อลงโทษให้ถึงตาย  15“ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย
 16“ผู้ใดลักคนไปขายก็ดี หรือมีผู้พบคนที่ถูกลักไปอยู่ในมือของผู้นั้นก็ดี ผู้ลักนั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย
 17“ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย
 18“ถ้าผู้ชายวิวาทกัน และฝ่ายหนึ่งเอาหินขว้างหรือชก แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เจ็บป่วยต้องนอนพัก 19ถ้าผู้บาดเจ็บนั้นลุกขึ้น ถือไม้เท้าเดินออกไปได้อีก ผู้ตีนั้นก็พ้นโทษ เพียงแต่จะต้องเสียค่าทำขวัญ และค่ารักษาพยาบาลจนเขาหายเป็นปกติ
 20“ถ้าผู้ใดทุบตีทาสชายหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษ 21หากว่าทาสนั้นมีชีวิตต่อไปได้วันหนึ่ง หรือสองวันจึงตาย นายก็ไม่ต้องถูกปรับโทษ เพราะทาสเป็นทรัพย์สินของนาย
22“ถ้าผู้ชายตีกัน แล้วไปถูกหญิงมีครรภ์ทำให้เด็กของนางออกมา แต่ไม่มีอันตราย ผู้นั้นจะถูกปรับตามแต่สามีของหญิงนั้นจะเรียกร้องเอาจากเขา และเขาจะต้องเสียตามที่ผู้พิพากษาตัดสิน 23ถ้าหากมีอันตราย ก็ให้วินิจฉัยดังนี้คือชีวิตแทนชีวิต 24ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า 25รอยไหม้แทนรอยไหม้ แผลแทนแผล รอยช้ำแทนรอยช้ำ
 26“ถ้าผู้ใดตีถูกตาของทาสชายหญิงแล้วทำให้บอดไป เขาต้องปล่อยทาสผู้นั้นเป็นอิสระ เนื่องด้วยตาของเขา 27ถ้าผู้ใดทำให้ฟันของทาสชายหญิงหลุดไป เขาต้องปล่อยทาสผู้นั้นเป็นอิสระเนื่องด้วยฟันของเขา

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับความรับผิดชอบของเจ้าของ

 28“ถ้าโคขวิดชายหรือหญิงถึงตาย จงเอาหินขว้างโคนั้นให้ตาย และห้ามกินเนื้อของมัน แต่เจ้าของโคตัวนั้นไม่มีโทษ 29แต่ถ้าโคนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของไม่ได้กักขังมันไว้ มันจึงขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างโคนั้นเสียให้ตาย และให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย 30ถ้าจะเรียกร้องการชดใช้จากผู้นั้น เขาต้องเสียค่าไถ่แทนชีวิตของเขาตามที่ได้เรียกร้อง 31หากโคนั้นขวิดบุตรชายหรือบุตรหญิง ก็จงปรับโทษตามกฎนี้เช่นกัน 32ถ้าโคนั้นขวิดทาสชายหญิงของผู้ใด เจ้าของโคต้องให้เงินสามสิบเชเขลแก่นายของทาสนั้น แล้วต้องเอาหินขว้างโคนั้นให้ตายเสียด้วย 33“ถ้าผู้ใดเปิดบ่อหรือขุดบ่อแต่ไม่ได้ปิดไว้ แล้วมีโคหรือลาตกลงไปในบ่อนั้น 34เจ้าของบ่อต้องชดใช้ ต้องจ่ายเงินแก่เจ้าของสัตว์ ส่วนสัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
35“ถ้าโคของผู้ใดทำร้ายโคของผู้อื่นตาย เขาต้องขายโคที่เป็นนั้น แล้วมาแบ่งเงินกัน และโคที่ตายนั้นก็ให้แบ่งเท่าๆ กันด้วย 36หรือถ้ารู้แล้วว่าโคนั้นเคยขวิดมาก่อน แต่เจ้าของไม่ได้กักขังไว้ เจ้าของต้องชดใช้โคแทนโค และโคที่ตายนั้นก็ตกเป็นของตัว

อพยพ 22

กฎข้อบังคับเกี่ยวกับการคืนของ

 1“ถ้าผู้ใดลักโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ให้ผู้นั้นชดใช้โคห้าตัวแทนโคหนึ่งตัว และแกะสี่ตัวแทนแกะหนึ่งตัว 2ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องย่องเบายามค่ำคืน แล้วตีขโมยนั้นตาย เขาไม่มีความผิด 3ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ตีจะมีความผิด ขโมยนั้นต้องชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ เขาต้องขายตัวเป็นทาสเพื่อจ่ายค่าของสัตว์ที่ลักไปนั้น 4ถ้าพบสัตว์ที่ลักไปนั้นยังเป็นอยู่ในมือของเขา จะเป็นโคหรือลาหรือแกะก็ตาม ขโมยนั้นต้องจ่ายค่าชดใช้เป็นสองเท่า
 5“ผู้ใดเลี้ยงสัตว์ในนาหรือในสวนองุ่น แล้วปล่อยให้สัตว์ของตนไปกินในนาของผู้อื่น เขาต้องชดใช้ด้วยของที่ดีที่สุดในนาของตนและของที่ดีที่สุดในสวนองุ่นของตน
 6“ถ้าไฟลุกกองหนาม และลามไปติดกองข้าว หรือต้นข้าวซึ่งยังไม่ได้เกี่ยว หรือติดทุ่งนาจนไหม้เสีย ผู้ที่จุดไฟนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายเต็มจำนวน
 7“ถ้าผู้ใดฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้าน แล้วของนั้นถูกขโมยไปจากบ้านผู้นั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยต้องจ่ายค่าชดใช้เป็นสองเท่า 8ถ้าจับขโมยไม่ได้ ก็ให้เจ้าของบ้านมาเข้าเฝ้าพระเจ้า เพื่อจะดูว่ามือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
 9“ในคดีฟ้องร้องทุกอย่าง จะเป็นเรื่องโค ลา แกะ หรือเสื้อผ้า หรือเรื่องสิ่งของใดๆ ที่หายไป ถ้ามีคนมาอ้างว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นของตน จงนำคดีของคู่ความนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าทรงตัดสินว่าผู้ใดผิด ผู้นั้นจะต้องใช้ค่าชดใช้เป็นสองเท่าแก่เพื่อนบ้านของเขา  10“ถ้าผู้ใดฝากลาหรือโคหรือแกะหรือสัตว์ใดๆ ไว้กับเพื่อนบ้าน และต่อมาสัตว์นั้นตาย หรือบาดเจ็บ หรือถูกต้อนไปโดยไม่มีใครเห็น 11ต้องให้ผู้รับฝากนั้นสาบานต่อพระยาห์เวห์ ต่อหน้าเพื่อนบ้านจะอยู่ระหว่างเขาทั้งสองฝ่าย ว่าเขาไม่ได้ลักของของเพื่อนบ้านไป แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยอมรับ ส่วนผู้รับฝากนั้นไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้ 12แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกลักไป ขณะที่ผู้รับฝากอยู่ด้วย ผู้รับฝากต้องจ่ายค่าชดใช้แก่เจ้าของ 13ถ้ามีสัตว์ร้ายมากัดฉีกสัตว์นั้นตาย จงเอาซากมาให้ตรวจดูเป็นหลักฐาน แล้วผู้รับฝากไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้สำหรับสัตว์ที่ถูกกัดฉีกนั้น
 14“ถ้าผู้ใดยืมสัตว์จากเพื่อนบ้าน แล้วมันเกิดบาดเจ็บ หรือตายระหว่างเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ ผู้ยืมต้องจ่ายค่าชดใช้เต็มตามจำนวน 15ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ยืมไม่ต้องจ่ายค่าชดใช้ ถ้าเป็นของเช่าให้คิดแต่ค่าเช่าเท่านั้น

กฎบัญญัติเกี่ยวกับจริยธรรมและศาสนา

 16“ถ้าผู้ใดล่อลวงหญิงพรหมจารีที่ยังไม่มีคู่หมั้นและหลับนอนกับหญิงนั้น ผู้นั้นจะต้องเสียเงินสินสอด และต้องรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาของตน 17ถ้าบิดาของนางไม่ยอมยกนางให้เป็นภรรยาเขาอย่างเด็ดขาด เขาก็ต้องเสียเงินเท่าสินสอดตามธรรมเนียมสู่ขอหญิงพรหมจารีนั้นเช่นกัน
 18“สำหรับแม่มด เจ้าอย่าให้มีชีวิตอยู่เลย
 19“ผู้ใดร่วมประเวณีกับสัตว์ ผู้นั้นจะต้องถูกประหาร
 20“ผู้ใดถวายบูชาแด่พระต่างๆ นอกจากพระยาห์เวห์องค์เดียว ผู้นั้นต้องถูกทำลายสิ้น
 21“ห้ามกดขี่ข่มเหงคนต่างด้าว เพราะพวกเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ 22ห้ามรังแกหญิงม่ายหรือลูกกำพร้า 23ถ้าเจ้ารังแกเขา และเขาร้องทุกข์ต่อเรา เราจะฟังคำร้องทุกข์ของเขาแน่นอน 24ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้น และเราจะประหารพวกเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของพวกเจ้าจะเป็นม่าย และบุตรของพวกเจ้าจะกำพร้า
25“ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจนและอยู่กับเจ้ายืมเงินไป ห้ามถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และห้ามคิดดอกเบี้ยจากเขา 26ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขาก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน 27เพราะเขามีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า? เมื่อเขาร้องทุกข์ต่อเรา เราจะฟังเพราะเรามีใจเมตตากรุณา
 28“ห้ามด่าพระเจ้า หรือสาปแช่งผู้นำประชาชนของเจ้า
 29“ห้ามชักช้าที่จะถวายพืชผลอันอุดม และน้ำผลไม้ของเจ้า
 “จงถวายบุตรหัวปีของเจ้าแก่เรา 30จงถวายลูกหัวปีของโค และของแพะแกะของเจ้าเช่นเดียวกัน ให้ลูกมันอยู่กับแม่เจ็ดวัน พอถึงวันที่แปดจงเอามาถวายเรา  31“เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์ของเรา ฉะนั้นห้ามกินเนื้อสัตว์ที่ถูกกัดตายในทุ่งนา จงทิ้งให้สุนัขกินเสีย

อรรถาธิบาย

ส่งเสริมสิ่งดีและป้องกันสิ่งชั่วร้าย

เมื่อประชากรของพระเจ้าร่างกฎเกณฑ์สำหรับชุมชนของพวกเขา กฎหมายบางฉบับอาจดูแปลกหรือรุนแรงในสายตาของเรา อย่างไรก็ตามหากเราเปรียบเทียบกับกฎหมายอื่น ๆ ของคนยุคโบราณ พวกเขามีมนุษยธรรมอย่างน่าทึ่งและหลักการบางอย่างยังคงใช้อยู่ในทุกวันนี้

กฎข้อบังคับเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อยับยั้งความชั่วร้าย ตัวอย่างเช่น เรามีสิทธิที่จะป้องกันตนเอง แต่ต้องไม่ใช้กำลังรุนแรงเกินไปในการป้องกันตัว (22:2–3) นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามไม่ให้เพิ่มระดับความรุนแรงและมีข้อกำหนดบทลงโทษที่เท่าเทียมกันนั่นคือ ‘ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ...’ ฯลฯ (21:23–25)

กฎข้อบังคับได้รับการออกแบบมาอย่างชัดเจนสำหรับผู้พิพากษาไม่ใช่สำหรับบุคคลทั่วไป (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:18–21) เป็นแนวทางสำหรับผู้พิพากษาและการพิจารณาคดี ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการแก้แค้นเป็นการส่วนตัว ในความเป็นจริงกฎหมายเหล่านี้แทบจะไม่เคยถูกนำมาใช้อย่างแท้จริงเลย ยกเว้นในกรณีความผิดฐานบุกรุก กฎหมายถูกกำหนดโทษสูงสุดที่เป็นไปได้ โดยทั่วไปบทลงโทษจะถูกไถ่ถอนด้วยค่าปรับและค่าเสียหาย

ในสมัยโบราณ การให้ความสำคัญกับสิทธิของทาสถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ทีเดียว เจ้านายต้องปล่อยทาส ของพวกเขาหลังจากผ่านไปไม่เกินหกปี (อพยพ 21:2) และมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อจำกัดการปฏิบัติ ต่อทาสอย่างทารุณ (ข้อ 20, 26–27) ดูเหมือนจะมีข้อบังคับพิเศษสำหรับสิทธิของทาสหญิงซึ่งน่าจะมีความ เสี่ยงเป็นพิเศษในสมัยก่อน พวกเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับทาสชาย (ข้อ 7) แต่ต้องแต่งงานหรือ ได้รับอนุญาตให้ไถ่คืนเท่านั้น (ข้อ 8–11)

ในขณะเดียวกันกฎหมายของอิสราเอลโบราณพยายามส่งเสริมสิ่งดี พระเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์ของเรา’ (22:31ก) จึงมีกฎบัญญัติในการคุ้มครอง ‘คนต่างด้าว’ (ข้อ 21) เช่นเดียวกับหญิงม่ายและลูกกำพร้า (ข้อ 22) ในเนื้อหาของวันพรุ่งนี้เราจะเห็นว่ามีกฎบัญญัติเพื่อให้แน่ใจว่า ‘ความยุติธรรม’ มีสำหรับคนยากจนด้วย (23:6) ทุกคนได้รับการสอนว่าอย่าพยายามแก้แค้นและอย่าแบกรับ ความขุ่นเคือง ยิ่งกว่านั้นพวกเขาถูกสอนว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ (เลวีนิติ 19:18)

กฎข้อบังคับช่วยสร้างชุมชนให้มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันเป็นหลักพื้นฐาน กฎแต่ละข้อถึงจะดูแปลกแต่ช่วยให้ผู้คนเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกันและดูแลซึ่งกันและกัน นี่เป็นบทเรียนที่เราทุกคน ต้องเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระและโดดเดี่ยวในการใช้ชีวิตยุคศตวรรษที่ 21 นี้ เราไม่ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับเพียงเพราะเราต้องทำ แต่เป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนคนที่ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีชีวิตเพื่อหลีกหนีจากสิ่งชั่วร้ายและกระทำแต่สิ่งดี โปรดช่วยข้าพระองค์ให้ปฏิบัติต่อทุกคนที่ข้าพระองค์พบเจอในวันนี้เหมือนบุคคลที่สร้างตามพระฉายของพระองค์ด้วยความรัก การให้เกียรติและให้ความเคารพ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

หลังจากอ่านอพยพ 21 และ 22 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อปกป้องสังคม ฉันดีใจมากที่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พระเยซูตีความกฎหมายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งเราเห็นได้จากพระองค์ทรงรักษาบางคนในวันสะบาโต

ข้อพระคำประจำวัน

อพยพ 22:31ก

“เจ้าทั้งหลายเป็นประชากรบริสุทธิ์ของเรา...”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม