วัน 49

จดหมายรักของคุณ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 22:22-31
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 3:31-4:29
พันธสัญญาเดิม อพยพ 23:1-24:18

เกริ่นนำ

เป็นเรื่องน่าขอบพระคุณพระเจ้าในความสัมพันธ์ของผมกับพิพพา ที่ต้องแยกห่างจากกันเพียงไม่กี่ครั้ง อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะแต่งงาน มีช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่กับพิพพาถึง 3 สัปดาห์ ในสมัยนั้นไม่มีอีเมล หรือโทรศัพท์มือถือ วิธีเดียวที่เราจะสื่อสารกันได้คือการเขียนจดหมาย

ผมเขียนจดหมายทุกวัน เธอเขียนจดหมายทุกวัน ผมจำได้ดีถึงความรู้สึกตื่นเต้น และดีใจอย่างมาก เมื่อเห็นลายมือบนซองจดหมาย และรู้ว่ามีจดหมายจากพิพพาอยู่ข้างใน

ผมรีบรับจดหมายและออกไปหาที่เงียบสงบด้วยตัวเองเพื่ออ่านจดหมายอย่างตั้งใจ จริง ๆ แล้วตัวจดหมายไม่ได้มีค่าอะไร แต่ข้อความในจดหมายจากคนที่ผมรักต่างหากที่มีค่า

พระคัมภีร์เป็นจดหมายรักจากพระเจ้าถึงคุณ สิ่งที่ทำให้พระคัมภีร์น่าตื่นเต้นมากไม่ใช่ ตัวหนังสือ แต่เป็นความจริงที่ว่าเราได้พบกับคนที่เรารัก พระคัมภีร์ทั้งเล่มเชื่อมโยงถึงพระเยซู เห็นได้ชัดว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวย้ำชัดเจนถึงพระเยซู อย่างไรก็ตามพระเยซูตรัสถึงพระ คริสตธรรมคัมภีร์ที่มีอยู่ในช่วงชีวิตของพระองค์ (นั่นคือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม) ‘พระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา’ (ยอห์น 5:39)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 22:22-31

22ข้าพระองค์จะบอกเล่าพระนามของพระองค์แก่พี่น้องของข้าพระองค์
 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางชุมนุมชน
23ท่านผู้ยำเกรงพระยาห์เวห์ จงสรรเสริญพระองค์
 ท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของยาโคบเอ๋ย จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์
 ท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลเอ๋ย จงเกรงกลัวพระองค์
24เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน
 ต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ
 และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา
 เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง
25คำสรรเสริญของข้าพระองค์ในที่ชุมนุมชนใหญ่ มาจากพระองค์
 ข้าพระองค์จะแก้บนต่อหน้าผู้ที่ยำเกรงพระองค์
26ผู้ทุกข์ใจจะได้กินอิ่ม
 ผู้ที่แสวงหาพระองค์จะสรรเสริญพระยาห์เวห์
 ขอให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตสมบูรณ์พูนสุขเป็นนิตย์
27คนทั่วโลกจะระลึกถึง
 และหันกลับมาหาพระยาห์เวห์
และประชาชาติทุกตระกูล
 จะนมัสการเฉพาะพระพักตร์พระองค์
28เพราะอำนาจการปกครองเป็นของพระยาห์เวห์
 และพระองค์ทรงครอบครองบรรดาประชาชาติ
29เออ คนจองหองของแผ่นดินจะต้องนมัสการพระองค์
 ทุกคนที่ลงไปสู่ผงคลีจะกราบไหว้พระองค์
 คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาตัวให้คงชีวิตอยู่ได้
30จะมีพงศ์พันธุ์หนึ่งปรนนิบัติพระองค์
 คนรุ่นหลังจะได้ฟังเรื่ององค์เจ้านาย
31และประกาศการช่วยกู้ของพระองค์แก่ชนชาติหนึ่งที่ยังมิได้เกิดมา
 ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการนั้น

อรรถาธิบาย

ประกาศชัยชนะของพระเยซู

เพลงสดุดีนี้เริ่มต้นด้วยความสิ้นหวังและความทุกข์ทรมาน (ข้อ 1) กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูในเชิงพยากรณ์จบลงด้วยเสียงร้องแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ‘พระองค์ได้ทรงกระทำการนั้น!’ (ข้อ 31) ‘เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน ต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง’ (ข้อ 24)

ชัยชนะครั้งนี้จะทำให้ผู้คนทั่วโลกหันกลับมา ‘หาพระยาห์เวห์’ (ข้อ 27) ประชาชาติทั้งหมดจะกราบลงต่อหน้า พระองค์ (ข้อ 27ข) จะประกาศชัยชนะครั้งนี้ว่า ‘พวกเขาจะมาและประกาศการช่วยกู้ของพระองค์ต่อคนที่ยัง ไม่เกิดมา พระองค์ได้ทำ [สำเร็จแล้ว]’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล; ยอห์น 19:30)

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูไม่เพียงนำมาซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความใกล้ชิดใน ครอบครัวอีกด้วย คำที่แปลว่า ‘พี่น้องของข้าพระองค์’ (ในสดุดี 22:22) เป็นคำที่ใกล้ชิดหมายถึงเพื่อนสนิท และมักแปลว่า ‘พี่น้อง’ หรือ ‘ญาติ’ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู (ฮีบรู 2:11–12) พระเยซูทรงประกาศแก่พวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางเราและทรงมองว่าเราเป็นพี่น้องของพระองค์ ซึ่งเป็นสมาชิกร่วมในครอบครัวของพระองค์ด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอขอบพระคุณอย่างมาก ที่พระองค์ได้ทรงฟังเสียงร้องของข้าพระองค์เมื่อทูลขอความช่วยเหลือ (ข้อ 24) วันนี้เป็นอีกครั้งที่ข้าพระองค์อยากทูลขอความช่วยเหลือ
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 3:31-4:29

มารดาและบรรดาน้องชายของพระเยซู

 31เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาและยืนอยู่ข้างนอก พวกเขาใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์ 32ขณะนั้นฝูงชนกำลังนั่งล้อมรอบพระองค์ พวกเขาทูลพระองค์ว่า “นี่แน่ะท่าน มารดาและพวกน้องชายของท่านมาหาท่านอยู่ข้างนอก” 33พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา?” 34พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบนั้นแล้วตรัสว่า “คนเหล่านี้เป็นมารดาและพี่น้องของเรา 35คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”

มาระโก 4

อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช

 1แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนจำนวนมากพากันมาเฝ้าพระองค์ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเล และประชาชนอยู่บนฝั่ง 2พระองค์จึงตรัสสั่งสอนพวกเขาหลายประการเป็นอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสว่า 3“จงฟังเถิด มีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช 4และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย 5บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป 7บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล 8บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” 9แล้วพระองค์ตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”

จุดประสงค์ของอุปมา

 10เมื่อฝูงคนไปแล้ว คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคน ได้ทูลถามพระองค์ถึงอุปมานั้น 11พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ข้อความทุกอย่างจะแจ้งเป็นอุปมาแก่บุคคลภายนอก 12เพื่อว่า

 แม้พวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่จะมองไม่เห็น
  แม้ฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ
 มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและได้รับการอภัย”

พระเยซูทรงอธิบายอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช

 13พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอุปมาเรื่องนี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจะเข้าใจเรื่องอุปมาทั้งหมดได้อย่างไร? 14ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ 15ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย 16ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี 17แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที 18ส่วนพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้นได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ 19แล้วความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่างๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล 20ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”

ตะเกียงที่ตั้งอยู่ใต้ถัง

 21แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ตะเกียงมีไว้สำหรับตั้งใต้ถังหรือใต้เตียงนอนหรือ? ไม่ได้มีไว้สำหรับตั้งบนเชิงตะเกียงหรือ? 22เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ที่จะไม่ถูกนำออกมาเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ที่จะไม่ถูกแพร่งพราย 23ถ้าใครมีหู จงฟังเถิด” 24แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดี พวกท่านจะให้คนอื่นด้วยปริมาณเท่าใด พวกท่านก็จะได้รับด้วยปริมาณเท่ากัน และพวกท่านจะได้รับมากยิ่งขึ้น 25เพราะว่าใครมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้คนนั้นอีก แต่ใครไม่มี แม้สิ่งที่เขามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปจากเขา”

อุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น

 26พระองค์ตรัสว่า “แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน 27กลางคืนเขาก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาไม่รู้ 28เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง 29เมื่อสุกแล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”

อรรถาธิบาย

น้อมรับพระดำรัสของพระเยซู

พระเยซูมองว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ใกล้ชิดของพระองค์ พระองค์ต้องการให้เราทุกคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เปรียบเหมือนพี่น้องหรือมารดา (3:31–35)

ในข้อนี้เราเห็นว่าความสัมพันธ์นี้ได้รับการหล่อหลอมผ่านพระวจนะของพระเจ้า ทั้งโดยการฟังพระวจนะ และโดยการนำไปใช้ในชีวิตจริง ‘คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดา ของเรา’ (ข้อ 35)

พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพลังของพระดำรัสของพระองค์เองซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้า คำสอนของพระองค์ส่วนมากมักเป็นเรื่องเล่า ทุกคนมักตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าข้อคิดดี ๆ ซึ่งมีความหมายของ ‘คำอุปมา’ สอดแทรกอยู่ภายใน ผู้คนมักจะง่วงนอนขณะฟังคำเทศนาที่เป็นแค่นามธรรม แต่ตื่นตัวกับเรื่องเล่าดี ๆ เรื่องราวมีพลังที่จะผ่านเข้ามาหาเราก่อนที่ระบบการป้องกันตัวของเราจะทำงาน

คำอุปมาเรื่องผู้หว่านแสดงให้เห็นพลังของคำพูดที่จะเปลี่ยนชีวิต ถ้าคุณ ‘ได้ยินพระวจนะ [และ] ยอมรับมัน’ (4:20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คุณจะเป็นเหมือน ‘พืชที่หว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่ [บุคคล] ที่ได้ยินพระวจนะนั้น [และ] รับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง’ (ข้อ 20) คุณจะ ‘เก็บเกี่ยวผลที่เกินกว่าความฝันอันโหดร้าย [ของคุณ]’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เราเห็นอัลฟ่าครั้งแล้วครั้งเล่า ได้กล่าวถึงสิทธิอำนาจพิเศษในพระดำรัสของพระเยซูที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนอย่างสิ้นเชิง และทำให้พวกเขาเกิดผล มีการทวีคูณเมื่อผู้คนพาเพื่อนมาฟังพระดำรัสของพระเยซู

หากพระดำรัสของพระเยซูไม่มีผลใด ๆ ความผิดก็อยู่ที่ผู้ฟัง บางครั้งชีวิตของผมตื้นเขินจนพระดำรัสของ พระองค์ไม่หยั่งรากลึก (ข้อ 4–6) ในบางครั้งมีปัญหาในชีวิตหรือการต่อต้าน (‘ยากลำบากหรือการข่มเหง’ ข้อ 17) ทำให้ผมห่างจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเยซู ในบางครั้งก็ยังมี ‘ความกังวลของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งต่าง ๆ ประดังเข้ามา และรัดพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล’ (ข้อ 19)

พระดำรัสของพระเยซูมีอำนาจมากในความอ่อนแอ พระเยซูตรัสว่า ‘เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ที่จะไม่ถูกนำออกมาเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ที่จะไม่ถูกแพร่งพราย’ (4:22) เราไม่ได้หมายถึงการเก็บซ่อนหรือปกปิดในชีวิตของเรา การนำสิ่งเหล่านี้ออกมานั้นดีกว่ามาก เราอาจทำให้ผู้คนประทับใจด้วยความเข้มแข็งของเรา แต่เราเชื่อมต่อกับพวกเขาผ่านความอ่อนแอของเรา

พระเยซูทรงย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงความสำคัญของพระดำรัสและการได้ยินพระดำรัสของพระองค์ ‘จงระวังสิ่งที่คุณฟังให้ดี พวกท่านจะวัด [สิ่งที่คิดและสิ่งที่รู้] ของคนอื่น [ด้วยความจริงที่คุณได้ยิน] จะเป็นการวัด [คุณธรรมและความรู้] ของตัวคุณ และอีกมากมาย [นอกจากนี้] จะมอบให้กับทุกคนที่ตั้งใจฟัง’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ยิ่งคุณลงทุนในการศึกษาและนำพระคำของพระเจ้ามาใช้ในชีวิตมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น จงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ โดยให้เวลากับพระดำรัสของพระเยซูแล้วคุณจะไม่เสียใจ

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่เติบโตแสดงให้เห็นว่าเมื่อพระวจนะของพระเยซูได้รับการปลูกฝังในชีวิตของคุณ คุณสามารถคาดหวังว่าจะเกิดผลเก็บเกี่ยวในภายหลัง คุณอาจต้องอดทนในขณะที่รอการเก็บเกี่ยว แต่คุณมั่นใจได้ว่า ถ้าคุณหว่านเมล็ดพันธุ์ต่อไป คุณจะได้รับมากกว่าที่คุณเคยหว่านไว้ การเก็บเกี่ยวจะมาถึง (ข้อ 29)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ ที่จะไม่เพียงแต่ได้ยินพระดำรัสของพระองค์ แต่ขอให้ข้าพระองค์ได้เล่าให้คนอื่นได้ฟัง และได้เห็นฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่เปลี่ยนแปลงชีวิตข้าพระองค์และคนรอบข้าง
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 23:1-24:18

ความยุติธรรมสำหรับทุกคน

 1“ห้ามนำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆ กัน อย่าร่วมมือกับคนชั่วโดยเป็นพยานใจร้าย 2ห้ามทำชั่วตามอย่างคนหมู่มาก ห้ามเป็นพยานในคดีความโดยลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก จะทำให้เสียความยุติธรรมไป 3ห้ามลำเอียงเข้าข้างคนจนในคดีของเขา
 4“เมื่อเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนเขาให้ได้ 5เมื่อเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าเมินเฉย จงช่วยเขายกมันขึ้น
 6“ห้ามทำให้เสียความยุติธรรมที่คนจนควรได้รับในคดีของเขา 7เจ้าจงหลีกห่างจากการใส่ความคนอื่น อย่าประหารคนบริสุทธิ์ และคนชอบธรรม เพราะเราจะไม่ถือว่าคนทำชั่วนั้นเป็นคนชอบธรรม 8ห้ามรับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอดไป และทำให้คดีของคนชอบธรรมพลิกผันได้
 9“ห้ามข่มเหงคนต่างด้าว เจ้ารู้จักใจคนต่างด้าวแล้ว เพราะว่าเจ้าก็เคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์มาก่อน

ปีสะบาโตและวันสะบาโต

 10“ตลอดหกปีจงหว่านพืชในนาของเจ้าและเกี่ยวเก็บผล 11แต่ปีที่เจ็ดนั้นจงงดเสีย ปล่อยให้นานั้นว่างอยู่ เพื่อให้ประชาชนที่ยากจนของเจ้าเก็บกิน ส่วนที่เหลือนั้นก็ให้สัตว์ป่ากิน ส่วนสวนองุ่นและสวนมะกอกเจ้าจงทำเช่นเดียวกัน
 12“จงทำงานของเจ้าหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดนั้น จงหยุดพัก เพื่อโคและลาของเจ้าจะได้พัก และบุตรชายแห่งทาสีของเจ้า กับคนต่างด้าวจะได้พักผ่อนให้สดชื่นด้วย 13ทุกสิ่งที่เราสั่งพวกเจ้านั้น จงถือรักษาให้ดี และห้ามออกนามพระอื่นๆ ห้ามกล่าวให้ได้ยินจากปากของเจ้า

เทศกาลประจำปีสามเทศกาล

 14“จงฉลองเทศกาลเลี้ยงให้เกียรติเราปีละสามครั้ง 15จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว ตามเวลาที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าเรามือเปล่า 16และจงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยวพืชผลแรกที่เกิดจากแรงงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้หว่านพืชลงในนา เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บพืชผลปลายปี เมื่อเจ้าเก็บพืชผลจากทุ่งนาอันเป็นผลงานของเจ้า 17ให้ผู้ชายทุกคนของเจ้าเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์องค์เจ้านายปีละสามครั้ง
 18“ห้ามถวายเลือดจากเครื่องสัตวบูชาของเราพร้อมกับขนมปังใส่เชื้อ และห้ามปล่อยให้ไขมันในเทศกาลเลี้ยงของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
 19“จงนำส่วนที่ดีที่สุดของพืชผลแรกจากที่ดินของเจ้ามายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
 “อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมของแม่มันเลย

การยึดครองคานาอันดินแดนพระสัญญา

 20“นี่แน่ะ เราใช้ทูตของเรานำหน้าพวกเจ้า เพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และเพื่อนำพวกเจ้าไปถึงที่ที่เราได้เตรียมไว้ 21จงเอาใจใส่ทูตนั้น และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขาทำในนามของเราอยู่ภายในเขา
 22“ถ้าเจ้าเชื่อฟังเขาจริงๆ และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้ เราจะเป็นศัตรูต่อศัตรูของเจ้าและจะเป็นปฏิปักษ์ต่อปฏิปักษ์ของเจ้า
 23“เมื่อทูตของเราไปข้างหน้าเจ้า และนำเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะกวาดล้างคนเหล่านั้นเสีย 24ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติบรรดาพระของพวกเขา และห้ามทำตามแบบเขา แต่จงทำลายรูปเคารพของเขาให้สิ้นซาก และจงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด 25จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอวยพรแก่อาหารและน้ำของเจ้า เราจะเอาความเจ็บป่วยออกไปจากท่ามกลางเจ้า 26จะไม่มีการแท้งลูก หรือเป็นหมันในดินแดนของเจ้า เราจะให้เจ้ามีอายุยืนนาน
 27“เราจะให้ความสยดสยองนำหน้าเจ้า เราจะให้ความโกลาหลเกิดกับชาวเมืองทั้งหมดที่เจ้าไปเผชิญหน้านั้น เราจะให้ศัตรูทั้งหมดของเจ้าหันหลังหนีเจ้า 28เราจะใช้ให้ฝูงแตนนำหน้าเจ้า พวกมันจะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ ไปให้พ้นหน้าเจ้า 29เราจะไม่ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้าในปีเดียว เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะทวีขึ้นต่อสู้กับเจ้า 30แต่เราจะค่อยๆ ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า จนเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้ครอบครองดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ 31เราจะกำหนดเขตแดนของเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดง จนถึงทะเลของคนฟีลิสเตีย และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจรดแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเราจะมอบผู้อาศัยในแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเจ้า แล้วเจ้าจะขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า 32ห้ามทำพันธสัญญากับพวกเขา หรือกับบรรดาพระของพวกเขา 33ห้ามพวกเขาอาศัยในดินแดนของเจ้า เกรงว่าพวกเขาจะชักจูงให้เจ้าทำบาปต่อเรา เพราะถ้าเจ้าปรนนิบัติพระของพวกเขา การทำเช่นนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้าแน่”

อพยพ 24

โลหิตแห่งพันธสัญญา

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คน จงขึ้นมาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล 2ให้เฉพาะโมเสสผู้เดียวเข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ ส่วนคนอื่นๆ อย่าให้เข้ามาใกล้และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”
 3โมเสสจึงนำพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์และกฎหมายทั้งสิ้นมาชี้แจงให้ประชาชนทราบ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสไว้นั้น เราจะทำตาม”
 4โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ แล้วลุกขึ้นแต่เช้า สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้นตามจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล 5ท่านใช้ให้พวกคนหนุ่มๆ ของอิสราเอลถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและถวายโคเป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์ 6แล้วโมเสสเอาเลือดโคครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในอ่าง อีกครึ่งหนึ่งก็ประพรมที่แท่นบูชานั้น 7ท่านเอาหนังสือพันธสัญญามาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า “ทุกคำที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น เราจะทำตาม และเราจะเชื่อฟัง” 8โมเสสก็เอาเลือดประพรมประชาชนและกล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับพวกท่านตามพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้”

เข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขา

 9แล้วโมเสสกับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คนก็ขึ้นไป 10พวกเขาได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นเหมือนนิลสีคราม สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว 11พระองค์ไม่ได้ทรงลงโทษบรรดาผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม
 12พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงขึ้นมาหาเราบนภูเขา แล้วคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาที่มีธรรมบัญญัติและคำบัญชาซึ่งเราจารึกไว้เพื่อสอนพวกเขา” 13โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้รับใช้ของท่าน โมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า 14และกล่าวกับพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า “คอยอยู่ที่นี่จนกว่าพวกเราจะกลับมาหาพวกท่านอีก และนี่แน่ะ อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน ใครมีเรื่องราวอะไรก็จงไปหาเขาทั้งสองเถิด”
 15แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขา เมฆก็ปกคลุมภูเขาไว้ 16พระรัศมีของพระยาห์เวห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย เมฆนั้นปกคลุมภูเขาอยู่หกวัน พอถึงวันที่เจ็ด พระองค์ทรงเรียกโมเสสจากหมู่เมฆ 17พระรัศมีของพระยาห์เวห์ปรากฏแก่ตาของชนชาติอิสราเอลเหมือนเปลวไฟที่ไหม้อยู่บนยอดภูเขา 18โมเสสเข้าไปในหมู่เมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน

อรรถาธิบาย

เป็นผู้ปฏิบัติตามพันธสัญญาของพระเยซู

ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับประชาชนของพระองค์ถูกกำหนดโดยพันธสัญญา (ข้อตกลงระหว่างพระเจ้ากับ ประชาชน) บนภูเขาซีนาย ในพันธสัญญา พระเจ้าทรงผูกมัดพระองค์เองกับประชากรของพระองค์และขอให้ พวกเขาตอบสนองโดยถวายตัวให้กับพระองค์ พระองค์ทรงเรียกพวกเขาให้ดำเนินชีวิตที่ใกล้ชิดพระองค์ในความสัมพันธ์นี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นว่าพระเจ้าให้ความสำคัญเรื่องความยุติธรรมและความยากจนสูงเพียงใด (23:1–12) ในหลาย ๆ ส่วนของโลกแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนยากจนจะได้รับความยุติธรรม ผู้คนมักถูกจับเข้าคุกด้วยข้อ หาเท็จโดยมีการชดใช้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย กฎหมายบางระบบถูกครอบงำด้วยการรับสินบน หากเพียงแต่ ยึดข้อพระคำเหล่านี้ ‘ห้ามทำให้เสียความยุติธรรมที่คนจนควรได้รับในคดีของเขา...จงหลีกห่างจากการใส่ ความคนอื่น...ห้ามรับสินบน’ (ข้อ 6,8)

มันยากมากที่จะต่อต้านคนหมู่มาก และวัฒนธรรม แต่ มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะพูดว่า ‘นั่นเป็นวัฒนธรรม ทุกคนทำ อย่างนั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่น’ พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามทำชั่วตามอย่างคนหมู่มาก ห้ามเป็นพยานในคดีความโดยลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก’ (ข้อ 2)

พันธสัญญาในสมัยโบราณมักให้สัตยาบันโดยการกินอาหาร (‘ได้กินและดื่ม’ 24:11) พันธสัญญาถูกปิดผนึก โดยการหลั่งเลือด โมเสสเอาเลือดมาประพรมให้ประชาชนและกล่าวว่า ‘นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา’ (ข้อ 8)

ผู้เผยพระวจนะได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่า วันหนึ่งจะมีพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้จารึกไว้บนแผ่นศิลา (ข้อ 12) แต่อยู่ในใจของเรา (ตัวอย่างเช่น เยเรมีย์ 31:31–34) พระเยซูทรงอธิบายให้สาวกฟังว่าพันธสัญญาใหม่นี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรโดยพระโลหิตของพระองค์ (มาระโก 14:24) คุณเฉลิมฉลองพันธสัญญาใหม่นี้ผ่านอาหาร ทุกครั้งที่คุณรับศีลมหาสนิทและได้ยินคำว่า ‘ถ้วยนี้..เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา’ (ลูกา 22:20; 1 โครินธ์ 11:25)

ภายใต้พันธสัญญานี้บาปทั้งหมดของคุณได้รับการอภัย (ฮีบรู 9:15) คุณมีสัมพันธภาพกับพระเยซูไปตลอดกาล (13:20)

โดยทางพระเยซูคุณเป็นผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ (2 โครินธ์ 3:6) ตามพันธสัญญาเดิม ‘มาด้วยรัศมี’ (ข้อ 7) ‘พระรัศมีของพระยาห์เวห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย...เหมือนเปลวไฟที่ไหม้อยู่’ (อพยพ 24:16–17) อัครทูตเปาโลเขียนว่า ‘การปรนนิบัติตามพระวิญญาณก็จะมีรัศมียิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ? แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป’ (2 โครินธ์ 3:8,18)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์เมื่อใดที่ข้าพระองค์อ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ข้าพระองค์ได้เผชิญหน้ากับพระเยซู พระเจ้าโปรดช่วยข้าพระองค์ทุกวันขณะที่ข้าพระองค์จะฟังพระคำของ พระองค์และพบพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเติบโตในความรักความสัมพันธ์และเพื่อชีวิตของข้าพระองค์จะ สะท้อนพระสิริของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มาระโก 3:31–35

ในความคิดแรกฉันพบว่าข้อพระธรรมนี้เป็นเรื่องยาก ราวกับว่าพระเยซูกำลังละทิ้งครอบครัวที่แท้จริงของพระองค์ แต่สิ่งที่พระองค์พูดจริง ๆ คือทุกคนที่เชื่อ เป็นครอบครัวเดียวกับพระองค์ แม่และพี่น้องของพระองค์เชื่อในพระองค์ และติดตามพระองค์จนถึงที่สุด

ข้อพระคำประจำวัน

อพยพ 23:20

‘นี่แน่ะ เราใช้ทูตของเรานำหน้าพวกเจ้า เพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และเพื่อนำพวกเจ้าไปถึงที่ที่เราได้เตรียมไว้’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม