วัน 50

พระเจ้ารักฉัน

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 23:1-6
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 4:30-5:20
พันธสัญญาเดิม อพยพ 25:1-26:37

เกริ่นนำ

ผู้รับใช้พระเจ้าสองคนได้พบกับเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน และไม่รู้หนังสือบนเนินทุ่งหญ้าสูงในเวลส์ พวกเขาพยายามอธิบายกับเด็กหนุ่มคนนั้นว่า พระเยซูปรารถนาจะเป็นพระผู้เลี้ยงของเขา ทรงคอยดูแลเขาเหมือนดั่งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดูแลแกะของเขาเอง พวกเขาทั้งสองสอนเด็ก หนุ่มให้พูดซ้ำ ๆ ว่า ‘The Lord is my shepherd’ (‘พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ’) (สดุดี 23:1) โดยใช้นิ้วมือและนิ้วหัวแม่มือข้างขวาช่วยให้ในการจดจำ โดยเริ่มนับจากนิ้วหัวแม่มือไล่ไปทีละคำและเรียงไปยังนิ้วต่อ ๆ ไป พวกเขาบอกให้เด็กหนุ่มหยุดที่คำที่สี่ ‘my’ (ของฉัน) และให้เขาระลึกไว้ว่า ‘บทเพลงสดุดีนี้มีความหมายสำหรับตัวเขาเอง’

หลายปีต่อมา หนึ่งในสองผู้รับใช้ได้เดินผ่านหมู่บ้านเดิมและถามหาเด็กเลี้ยงแกะคนนั้น ปรากฏว่าฤดูหนาวที่ผ่านมามีพายุรุนแรง และเด็กหนุ่มคนนั้นถูกฝังอยู่ในกองหิมะ และเสียชีวิตบนเนินเขา ชาวบ้านที่กำลังเล่าเรื่องอยู่กล่าวว่า ‘แต่มีเรื่องหนึ่งที่เราไม่เข้าใจ เมื่อพบร่างของเด็กคนนั้น เขากำลังกำนิ้วที่สี่ของมือขวาตัวเองอยู่’

เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน

หลายคนในปัจจุบันคิดว่าพระเจ้าเป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร้ซึ่งตัวตน อย่างไรก็ตามในพระคริสตธรรมคัมภีร์ พระเจ้านั้นแตกต่างออกไปมาก ความสัมพันธ์ของพระองค์กับเราเป็นเรื่องส่วนตัว อัครทูตเปาโลบรรยาย ไว้ว่า ‘พระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า’ (กาลาเทีย 2:20) พระองค์คือ ‘พระเจ้าของข้าพเจ้า’ (ฟีลิปปี 4:19) แน่นอนว่าพระเจ้าทรงรักเรา

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 23:1-6

พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ

เพลงสดุดีของดาวิด

1พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
2พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
3พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า
 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม
 เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
4แม้ข้าพระองค์าจะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ
 เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์
5พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้ข้าพระองค์
ต่อหน้าต่อตาคู่อริของข้าพระองค์
 พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน
ถ้วยของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
6แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป
 ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
 และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์สืบไปเป็นนิตย์

อรรถาธิบาย

1. พระผู้เลี้ยงของฉัน

พระเจ้าทรงห่วงใยเราดุจผู้เลี้ยงดูแลแกะ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกอยากได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ ผมชอบความจริงที่ว่า ‘พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า’ (ข้อ 3ก) หลายครั้งที่ผมได้บรรยายถึงสถานการณ์ที่ผมต้องการการทรงนำและหลังจากนั้นผมสามารถขอบคุณพระเจ้าได้เพราะ ‘พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรมเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์’ (ข้อ 3ค) พระเจ้ามีพระประสงค์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของคุณ แค่คุณยอมให้พระองค์นำทางคุณไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วคุณจะไม่ต้องเผชิญชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับคุณ (ข้อ 4)

2. พระเจ้าผู้จัดเตรียมของฉัน

เหตุการณ์ได้เปลี่ยนจากผู้เลี้ยงแกะกับแกะ เป็นเจ้าบ้านกับแขกที่เชิญมา นี่เป็นภาพที่ยอดเยี่ยมของการได้ใกล้ชิดพระเจ้าเพียงลำพังท่ามกลางความยุ่งเหยิงในชีวิต ‘พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาคู่อริของข้าพระองค์’ (ข้อ 5ก) พระองค์สนองความหิวกระหายในฝ่ายวิญญาณของคุณด้วยงานเลี้ยง ให้เราตอบรับคำเชิญของพระองค์และใช้เวลาในแต่ละวันหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของคุณต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์

ในบางช่วงเราทุกคนอาจจะ ‘เดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราช’ (ข้อ 4) เผชิญหน้ากับความตายของตัวเองหรือการตายของคนที่เรารัก ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา (ข้อ 4)

ผมมักจะอ่านพระธรรมสดุดีตอนนี้ให้กับคนที่เจ็บป่วยหรือกำลังจะหมดลมหายใจได้ฟัง เป็นการหนุนใจอย่างดีเยี่ยมที่ทำให้เราได้รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้เราตลอดเวลา ‘แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ สืบไปเป็นนิตย์' (ข้อ 6)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับการทรงนำและการปกป้องที่มีต่อข้าพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงตอบสนองความหิวกระหายทางฝ่ายวิญญาณของข้าพระองค์ด้วยการทรงสถิตและ ความรักของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 4:30-5:20

อุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

 30พระองค์ตรัสอีกว่า “แผ่นดินของพระเจ้า จะเปรียบเหมือนสิ่งใด? หรือจะแสดงด้วยอุปมาอย่างไร? 31ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดเล็กๆ ชนิดหนึ่งซึ่งมีในปาเลสไตน์ ต้นของมันขึ้นสูงถึงสาม สี่เมตรและมีกิ่งก้านเมล็ดหนึ่ง ตอนที่เพาะลงในดิน ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน 32แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้”

การที่ทรงใช้อุปมา

 33พระองค์กล่าวพระวจนะกับพวกเขาเป็นอุปมาหลายอย่าง เท่าที่พวกเขาจะสามารถฟังเข้าใจได้ 34นอกจากอุปมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรกับพวกเขาอีก แต่เมื่ออยู่ตามลำพัง พระองค์ทรงอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกสาวก

การทรงห้ามพายุ

 35เย็นวันนั้น พระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งโน้นเถิด” 36เมื่อละจากประชาชนแล้ว พวกเขาจึงพาพระองค์ซึ่งประทับในเรือไปใน บอกให้เราทราบว่าพระเยซูประทับในเรือเมื่อพระองค์ทรงสั่งสอนประชาชน มีเรืออีกหลายลำตามไปด้วย 37และมีพายุใหญ่เกิดขึ้น คลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนน้ำจวนจะเต็มเรืออยู่แล้ว 38ส่วนพระองค์กำลังบรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ?” 39พระองค์จึงทรงลุกขึ้นห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า “จงสงบเงียบ” แล้วลมก็สงบ พายุก็เงียบสนิท 40พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้ากลัว? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?” 41พวกเขาก็เกรงกลัวอย่างยิ่ง และพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันหนอ? ขนาดลมกับทะเลยังเชื่อฟังท่าน?”

มาระโก 5

การทรงรักษาคนผีเข้าที่เมืองเก-ราซา

 1พระองค์กับพวกสาวกก็ข้ามทะเลไปอีกฟากหนึ่ง ไปยังเขตแดนของเมืองเก-ราซา 2พอพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ชายคนหนึ่งที่มีผีโสโครกสิงออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ทันที 3คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ ไม่มีใครสามารถล่ามเขาไว้ได้อีกแล้วแม้จะด้วยโซ่ตรวน 4เพราะเคยล่ามโซ่ใส่ตรวนเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนหลุดออก ไม่มีใครมีแรงพอจะทำให้เขาสงบได้ 5เขาคลั่งร้องอื้ออึงและเอาหินเชือดเนื้อตัวเองอยู่เสมอตามอุโมงค์ฝังศพและบนภูเขาทั้งกลางคืนและกลางวัน 6เมื่อเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งเข้ามากราบไหว้พระองค์ 7แล้วร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้า? ขอพระองค์สาบานในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ทรมานข้า” 8ที่พูดเช่นนี้เพราะพระองค์ตรัสกับมันว่า “ไอ้ผีโสโครก จงออกมาจากคนนั้น” 9แล้วพระองค์ตรัสถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร?” มันตอบว่า “ข้าชื่อกองพล เพราะว่าพวกเรามีหลายตนด้วยกัน” 10มันจึงอ้อนวอนพระองค์อย่างมาก ที่จะไม่ให้ขับไล่พวกมันออกจากเขตแดนเมืองนั้น 11ขณะนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ไหล่เขาใกล้ๆ นั้น 12ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอส่งพวกเราเข้าไปในฝูงสุกร เพื่อให้พวกเราสิงในตัวพวกมัน” 13พระองค์ก็ทรงอนุญาต ผีโสโครกเหล่านั้นจึงออกไปสิงอยู่ในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงประมาณสองพันตัวก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลและสำลักน้ำตาย
 14ส่วนพวกคนที่เลี้ยงสุกรนั้นต่างหนีไปและเล่าเรื่องนี้ทั้งในเมืองและนอกเมือง คนทั้งหลายก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น 15พวกเขามาหาพระเยซูและเห็นคนที่เคยถูกผีทั้งกองเข้าสิง นุ่งห่มผ้ามีสติสัมปชัญญะนั่งอยู่ที่นั่น พวกเขาจึงเกรงกลัว 16แล้วคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงเรื่องที่เกิดกับคนที่ถูกผีสิงและที่เกิดกับฝูงสุกร 17คนทั้งหลายจึงพากันอ้อนวอนขอให้พระองค์เสด็จไปเสียจากเขตเมืองของพวกเขา 18ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จลงเรือ คนที่เคยถูกผีสิงอ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไปด้วย 19แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของท่านที่บ้าน แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร และเล่าถึงพระเมตตาที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ท่าน” 20คนนั้นจึงทูลลา แล้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรี ถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงทำเพื่อเขา และคนทั้งหลายก็ประหลาดใจ

อรรถาธิบาย

3. องค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่จู่ ๆ ชีวิตของคุณดูเหมือนจะถูกพายุเฮอริเคนถล่มโดยไม่มีการเตือนใด ๆ ไหม? (4:37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ทะเลสาบกาลิลีมีชื่อเสียงในเรื่องการเกิดพายุฉับพลัน เหล่าสาวกรู้ดีว่าคลื่นขนาดนั้นสามารถพลิกเรือและเอาชีวิตพวกเขาได้

กระนั้นพระเยซูยังทรงบรรทมอยู่ (ข้อ 38) บางครั้งเมื่อพายุพัดมาดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ดูเหมือนพระองค์ไม่ทรงตอบหรือแม้แต่ฟังคำอธิษฐานของคุณ ในช่วงเวลาเช่นนี้แหละที่ความเชื่อของคุณกำลังถูกทดสอบ

ท้ายที่สุดพระเยซูทรงทำให้พายุสงบได้ พระองค์ตรัสถึงฤทธิ์อำนาจที่อยู่เบื้องหลังพายุทะเลด้วยคำพูดที่ใครบางคนอาจใช้กับลูกสุนัขว่า ‘จงสงบเงียบ!’ (ข้อ 39) นั่นเองแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง สำหรับเหล่าสาวก เหตุการณ์นี้ เหล่าสาวกเริ่มต้นด้วยความหวาดกลัวและจบลงด้วยความเชื่อ วิกฤตต่าง ๆ เป็นบททดสอบความเชื่อของคุณ พระเยซูต้องการให้คุณเรียนรู้ที่จะเอาชนะความกลัวและ ไว้วางใจในพระองค์แม้ต้องอยู่ท่ามกลางพายุแห่งชีวิตก็ตาม

บางครั้งพระเจ้าก็ทรงห้ามพายุ แต่บางครั้งพระองค์ก็ปล่อยให้พายุโหมกระหน่ำและทำให้คุณสงบลง

จากนั้นพระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนืออำนาจที่พยายามทำลายชีวิตของเรา อย่างไรก็ตามชายที่ถูกผีเข้าคนหนึ่ง (ที่มีชื่อว่า กองพล 5:9) ได้ตกอยู่ในสถานที่อันแสนทุกข์ ทรมาน มีการทำร้ายร่างกายตัวเอง (ข้อ 5) และถูกล่ามโซ่ (ข้อ 4) ซึ่งทำได้เพียงอย่างเดียวคือต้องขังเขาไว้ นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ อำนาจของนักการเมือง รัฐและตำรวจนั้นต่างมีอยู่อย่างจำกัด พระเยซูไม่ได้พิพากษาหรือกล่าวโทษชายคนนั้น แต่พระองค์ทรงเห็นโอกาสที่เขาจะได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกได้อีก พระเยซูทรงมอบคำสั่งที่มีสิทธิอำนาจและสำแดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระและนำการรักษามาให้เรา

มีการตอบสนองที่แตกต่างกันสองประการจากผู้คนต่อการครอบครองของพระเยซู บ้างขับไล่พระองค์ (ข้อ 17) เนื่องด้วยผลประโยชน์ทางการค้าที่อาจได้รับความเสียหาย มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดเมื่อเห็นการใช้สิทธิอำนาจที่แท้จริงของพระองค์ถูกควบคุม ในทางกลับกันก็มีบางคนที่ประหลาดใจในสิ่งที่พระองค์ ทรงกระทำ (ข้อ 20)

หนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือหลังจากที่พระเยซูทรงรักษาชายที่ถูกผีเข้าและปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ ชายคนนั้นก็อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไป (ข้อ 18) แต่พระองค์ไม่ทรงอนุญาต (ข้อ 19)

ในตอนแรกผมก็นึกว่าชายคนนั้นจะได้รับสิทธิพิเศษจากการติดตามพระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ ตามพระเยซูทรงให้เขามีส่วนร่วมในการประกาศข่าวประเสริฐทันที พระองค์ตรัสว่า ‘จงไปหาพวกพ้องของท่านที่บ้าน แล้วบอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร’ (ข้อ 19) และเขาทำเช่นนั้นทันที (ข้อ 20)

ไม่ควรปกป้องคนที่เพิ่งรับเชื่อมากเกินไป บางครั้งก็เป็นการดีที่จะให้พวกเขาเป็นคำพยานต่อสาธารณชน เกี่ยวกับความเชื่อใหม่ของพวกเขาในทันที ซึ่งในภายหลังที่พระเยซูเสด็จมาที่แคว้นทศบุรีมีคนมาฟัง พระองค์ราว 4,000 คน ซึ่งแน่นอนดูเหมือนคำพยานของชายคนนั้นจะส่งผลอย่างมากมายเลยทีเดียว

บางที นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่มาระโกได้บันทึกเรื่องราวสั้น ๆ นี้ไว้ต่อท้ายจากคำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด ชายที่ถูกผีสิงอาจจะคิดว่าตัวเขาเองไม่ได้มีอะไรที่จะมอบให้ผู้อื่นได้มากนัก แต่อันที่จริงชีวิตของเขากลับสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล พระเยซูตรัสว่าพระเจ้าสามารถทำอะไรได้มากมายด้วยเมล็ดเล็ก ๆ นั่นคือเมล็ดมัสตาร์ด (4:31) ‘เพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่’ (ข้อ 32)

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณมีมากแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณจะทำอย่างไรกับมันต่างหาก เมล็ดมัสตาร์ดจำเป็นต้องลงดินทันที มิฉะนั้นมันจะสูญหายไป เมื่อได้รับการปลูกแล้วมันก็จะเจริญเติบโตแข็งแรงจนสามารถผ่านคอนกรีตที่หนาได้ บทเรียนนั้นง่ายมาก ใช้มันหรือสูญเสียมันไป ให้เราใช้สิ่งที่มีแล้วพระเจ้าจะทวีคูณให้ขึ้นหลายเท่า

คำอธิษฐาน

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์สามารถวางใจในพระองค์ได้ในยามทุกข์ยากและไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใด
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 25:1-26:37

ของถวายสำหรับพลับพลา

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงบอกชนชาติอิสราเอลให้นำของมาถวายเรา ของนั้นให้รับมาจากทุกๆ คนที่เต็มใจถวาย 3เครื่องถวายซึ่งเจ้าจะรับจากพวกเขาคือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ 4ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ผ้าป่านเนื้อดีและขนแพะ 5หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังอย่างดี และไม้กระถินเทศ 6น้ำมันตะเกียง เครื่องเทศสำหรับปรุงน้ำมันเจิม และสำหรับปรุงเครื่องหอม 7โอนิกซ์ และพลอยอื่นๆ สำหรับฝังในเอโฟดและทับทรวง 8แล้วให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา 9พวกเจ้าจงสร้างพลับพลาและเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลานั้นตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าทุกประการ

หีบแห่งสักขีพยาน

 10“ให้พวกเขาทำหีบใบหนึ่ง ด้วยไม้กระถินเทศยาว 110 เซนติเมตร กว้าง 66 เซนติเมตร และสูง 66 เซนติเมตร 11เจ้าจงหุ้มหีบนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านในและด้านนอก แล้วจงทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบหีบนั้น 12เจ้าจงหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วงและด้านนั้นสองห่วง 13ให้ทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ 14แล้วสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหามหีบนั้น 15ไม้คานหามให้สอดไว้ในห่วงของหีบ ห้ามถอดออก 16เจ้าจงเก็บพระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น 17แล้วเจ้าจงทำพระที่นั่งกรุณา ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาว 110 เซนติเมตร กว้าง 66 เซนติเมตร 18เจ้าจงทำเครูบหมายถึง ทูตสวรรค์จำพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความยิ่งใหญ่และการสถิตอยู่ของพระเจ้าทองคำสองรูป โดยใช้ค้อนเป็นเครื่องมือทำและตั้งไว้ที่ปลายทั้งสองข้างของพระที่นั่งกรุณา 19เจ้าจงทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป และให้เครูบติดเป็นเนื้อเดียวกับปลายทั้งสองข้างของพระที่นั่งกรุณา 20ให้เครูบกางปีกขึ้นสูงปกพระที่นั่งกรุณาไว้ และให้หันหน้าเข้าหากัน โดยหน้าของเครูบมองตรงมายังพระที่นั่งกรุณา 21แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงเก็บพระโอวาทซึ่งเราจะให้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น 22เราจะพบกับเจ้า ณ ที่นั้น คือที่เหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งอยู่บนหีบแห่งสักขีพยาน และเราจะบอกกับเจ้าทุกสิ่งที่เราจะสั่งเจ้าให้ประกาศแก่ชนชาติอิสราเอล

โต๊ะขนมปังเฉพาะพระพักตร์

 23“แล้วจงทำโต๊ะตัวหนึ่งด้วยไม้กระถินเทศ ยาว 88 เซนติเมตร กว้าง 44 เซนติเมตร และสูง 66 เซนติเมตร 24เจ้าจงหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบโต๊ะนั้นด้วย 25จงทำกรอบล้อมรอบโต๊ะนั้นโดยให้กว้าง 7.5 เซนติเมตร แล้วทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบกรอบนั้น 26จงทำห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่ 27ห่วงนั้นให้อยู่ชิดกรอบเพื่อเอาไว้สอดคานหาม 28เจ้าจงทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ หุ้มด้วยทองคำ ให้หามโต๊ะด้วยไม้นี้ 29เจ้าจงทำจานและชามเล็กด้วยทองคำบริสุทธิ์รวมทั้งคนโท และอ่างที่ใช้สำหรับรินเครื่องดื่มบูชา 30และเจ้าจงวางขนมปังเฉพาะพระพักตร์ไว้บนโต๊ะนั้นต่อหน้าเราเป็นนิตย์

คันประทีปทองคำ

 31“เจ้าจงทำคันประทีปอันหนึ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ จงใช้ค้อนเป็นเครื่องมือทำฐานและลำตัวคันประทีป สำหรับดอก คือฐานดอกและกลีบให้ติดเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป 32ให้กิ่งหกกิ่ง แยกออกจากลำคันประทีปข้างละสามกิ่ง 33แต่ละกิ่งที่ยื่นออกจากลำคันประทีปมีดอกเหมือนดอกอัลมอนด์สามดอก ทุกๆ ดอกจะมีฐานดอกและกลีบ 34และตรงลำคันประทีปนั้นให้มีสี่ดอกเหมือนดอกอัลมอนด์ ทั้งฐานดอกและกลีบ 35ใต้กิ่งทุกๆ คู่ที่ยื่นออกจากลำคันประทีปนั้น จะมีฐานดอกหนึ่งอัน 36ฐานดอกและกิ่งจะต้องเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป ให้ทุกส่วนเป็นเนื้อเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนเป็นเครื่องมือ 37และเจ้าจงทำตะเกียงเจ็ดดวงสำหรับคันประทีปนั้น แล้วตั้งไว้บนยอดแต่ละกิ่งให้ส่องสว่างบริเวณหน้าคันประทีป 38ให้ทำตะไกรตัดไส้ตะเกียง และถาดใส่ตะไกรด้วยทองคำบริสุทธิ์ 39คันประทีปกับเครื่องใช้ทุกอย่างให้ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 35 กิโลกรัม 40จงระวังทำสิ่งเหล่านี้ตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา

อพยพ 26

พลับพลา

 1“นอกจากนั้น เจ้าจงสร้างพลับพลาด้วยม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าป่านเนื้อดี และด้ายย้อมสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และจงปักภาพเครูบซึ่งออกแบบไว้ที่ม่านนั้น 2ม่านผืนหนึ่งให้ยาว 12 เมตร กว้าง 2 เมตร ม่านทุกผืนให้มีขนาดเท่ากัน 3ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นก็ให้เกี่ยวติดกันด้วย 4และเจ้าจงทำหูม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบม่านด้านนอกสุดทั้งชุดที่หนึ่งและชุดที่สอง 5เจ้าจงทำหูห้าสิบหูที่ม่านผืนหนึ่ง และเจ้าจงทำหูห้าสิบหูที่ขอบม่านในชุดที่สอง ให้หูม่านเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกันและกัน 6จงทำขอทองคำห้าสิบขอ และจงใช้ขอเหล่านั้นเกี่ยวม่านทั้งสองชุด เพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
 7“และเจ้าจงทำม่านอีกสิบเอ็ดผืนด้วยขนแพะสำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลา 8ม่านผืนหนึ่งยาว 13 เมตร กว้าง 2 เมตร ทั้งสิบเอ็ดผืนให้ขนาดเท่ากัน 9ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหาก และม่านอีกหกผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากเช่นกัน และจงพับม่านผืนที่หกนั้นสองทบ ให้ห้อยซ้อนลงมาข้างหน้าเต็นท์ 10จงทำหูม่านห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และอีกห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
 11“แล้วเจ้าจงทำขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบขอ และจงเกี่ยวขอเข้าที่หูม่าน และจงโยงเต็นท์ให้ติดกันเป็นหลังเดียว 12ม่านเต็นท์ส่วนที่เกินอยู่ คือม่านครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่นั้น จงให้ห้อยลงมาด้านหลังพลับพลา 13ส่วนม่านคลุมพลับพลาซึ่งยาวเกินไปข้างละครึ่งเมตรนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆ พลับพลาทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง 14เจ้าจงทำผ้าคลุมเต็นท์ด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และคลุมด้วยหนังอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง

กรอบไม้

 15“เจ้าจงทำกรอบไม้สำหรับพลับพลานั้นจากไม้กระถินเทศที่ตั้งตรง 16กรอบไม้นั้นให้ยาว 4 เมตร กว้าง 66 เซนติเมตร 17ให้กรอบไม้แต่ละอันมีสองเดือยเพื่อให้ยึดติดกันและกัน และเจ้าจงทำกรอบไม้ทุกอันของพลับพลาอย่างนั้น 18เจ้าจงทำกรอบไม้สำหรับพลับพลาดังนี้ ด้านใต้ให้ทำยี่สิบอัน 19จงทำฐานรองรับเดือยด้วยเงินจำนวนสี่สิบฐานใต้กรอบไม้ยี่สิบอัน ใต้กรอบไม้อันหนึ่งให้มีฐานรองรับเดือยสองฐาน สำหรับสวมเดือยสองอัน 20ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้น ให้ใช้กรอบไม้ยี่สิบอัน 21และฐานเงินรองรับเดือยสี่สิบฐาน ใต้กรอบไม้แต่ละอันจะมีฐานรองรับเดือยสองฐาน 22ส่วนด้านหลังของพลับพลาข้างทิศตะวันตก เจ้าจงทำกรอบไม้หกอัน 23และทำอีกสองอันสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง 24ข้างล่างของกรอบให้จับเป็นคู่ๆ โดยตอนบนยอดให้ติดกัน ทั้งสองแห่งให้ทำเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้เกิดมุมสองมุม 25ดังนั้นจะมีกรอบไม้แปดอันพร้อมกับฐานเงินรองรับเดือยสิบหกฐาน ใต้กรอบไม้แต่ละอันมีฐานรองรับอยู่สองฐาน
 26“เจ้าจงทำกลอนห้าอันจากไม้กระถินเทศสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหนึ่ง 27และอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และสุดท้ายอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหลัง คือด้านตะวันตก 28กลอนอันกลางซึ่งอยู่ตอนกลางของกรอบไม้นั้นให้ร้อยติดกันจากปลายด้านหนึ่งถึงปลายอีกด้านหนึ่ง 29เจ้าจงหุ้มกรอบไม้เหล่านั้นด้วยทองคำ และทำห่วงทองคำสำหรับร้อยกลอน และเจ้าจงหุ้มกลอนเหล่านั้นด้วยทองคำ 30และเจ้าจงตั้งพลับพลานั้นตามรูปแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าแล้วบนภูเขา

ม่าน

 31“จงทำม่านผืนหนึ่ง ทอด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อดี เจ้าจงปักภาพเครูบที่ออกแบบไว้ที่ม่านนั้นแปลได้อีกว่า จงให้ช่างฝีมือปักภาพเครูบที่ม่านนั้น 32และเจ้าจงแขวนม่านนั้นด้วยขอทองคำไว้ที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ และที่ตั้งอยู่บนฐานเงินสี่ฐาน 33และเจ้าจงแขวนม่านนั้นไว้กับขอสำหรับเกี่ยวม่าน แล้วเอาหีบแห่งสักขีพยานเข้ามาไว้ข้างในหลังม่าน และม่านนั้นจะแบ่งพลับพลาเป็นสองส่วนคือ วิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน 34และเจ้าจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบแห่งสักขีพยานในอภิสุทธิสถาน 35และเจ้าจงตั้งโต๊ะขนมปังเฉพาะพระพักตร์ไว้ข้างนอกม่าน และจงตั้งคันประทีปไว้ตรงข้ามกับโต๊ะนั้นทางด้านใต้ของพลับพลา เจ้าจงตั้งโต๊ะไว้ทางด้านเหนือ
 36“เจ้าจงทำม่านบังตาที่ประตูเต็นท์นั้นด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อดี ตกแต่งด้วยงานปัก 37และจงทำเสาห้าต้นจากไม้กระถินเทศสำหรับติดม่านบังตาที่ประตู แล้วจงหุ้มเสาเหล่านั้นด้วยทองคำ ส่วนขอสำหรับแขวนที่เสานั้นๆ จงทำด้วยทองคำ แล้วจงหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้น

อรรถาธิบาย

4. พระเจ้าผู้ทรงนำของฉัน

ใจที่กว้างขวาง คือการสำแดงออกของความเต็มใจ หากคุณเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณจะให้ด้วยใจกว้างขวางเพื่อให้พระนามของพระองค์ได้รับการสรรเสริญ ประชากรของพระเจ้าสามารถสะสมเงินที่จำเป็นเพื่อกิจการงานของพระองค์จาก ‘ทุก ๆ คนที่เต็มใจถวาย’ (25:2ข) พวกเขาให้แบบ ‘เต็มใจและไม่ เกรงใจ’ (ข้อ 2ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความรักของพระเจ้าไม่เคยบีบ บังคับคุณ พระองค์ต้องการให้คุณตอบสนองออกมาอย่างเต็มใจ

พลับพลา (‘เต็นท์นัดพบ’) เป็นสถานที่ที่ประชากรของพระเจ้าใช้เข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าชั่วคราว ในทางทฤษฎีแล้วพลับพลาซึ่งเป็นที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนโลกซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถานที่แรกในบรรดาสถานที่ทั้งหมดแห่งการทรงสถิตของพระเจ้า อันได้แก่ พลับพลา, พระวิหาร, พระเยซู, ชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน, คริสตจักร

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงนำแม้กระทั่งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ ‘พวกเจ้าจงสร้างพลับพลา และเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลานั้นตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าทุกประการ’ (ข้อ 9) พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงนำของเราในทุกรายละเอียดของชีวิต

5. พระผู้ช่วยให้รอดของฉัน

ผู้เขียนฮีบรูอธิบายว่าอภิสุทธิสถานที่ได้ถูกบรรยายไว้ใน (อพยพ 25:10-26:37) ‘เป็นแต่แบบจำลองและเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ดังโมเสสเมื่อท่านจะตั้งพลับพลานั้น พระเจ้าก็ตรัสสั่งว่า “จงระวังที่จะทำทุกสิ่งตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา”’ (ฮีบรู 8:5–6)

คำแนะนำทั้งหมดเหล่านี้สำหรับวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน คือการเตรียมไว้สำหรับพันธกิจแห่งการทรง ไถ่ขององค์พระเยซูคริสต์ ‘แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งบรรดาสิ่งประเสริฐซึ่งมาถึง แล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่พลับพลาที่ใหญ่และสมบูรณ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างของโลกนี้) คือเสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ครั้งเดียวเป็นพอ และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป จึงได้มาซึ่งการไถ่บาป ชั่วนิรันดร์’ (9:11–12)

ด้วยการถวายเครื่องบูชาชดใช้บาปของพระเยซู คุณและผมสามารถเข้าถึงอภิสุทธิสถาน (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด) ได้ พระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอดของคุณและผม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเป็นพระผู้เลี้ยง ผู้จัดเตรียม พระเจ้า ผู้ทรงนำและพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์ ขอบคุณที่ทรงรักข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

บ่อยครั้งที่พายุแห่งชีวิตดูเหมือนจะมาจากที่ไหนซักแห่งเมื่อสิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่น เป็นเรื่องง่ายที่ความเชื่อจะถูกโยนทิ้งไปในตอนนั้น แต่สาวกได้ในทำสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาไปหาพระเยซูแม้ว่าพระองค์จะตำหนิพวกเขาที่ขาดความเชื่อ แต่พระเยซูก็ยังคงอ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นออก ฉันชอบที่ว่า หลังจากพายุสงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ช่างดูสงบนิ่งซะจริง ๆ (มาระโก 4:39)

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 23:1–3

‘พระยาห์เวห์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ พระองค์ทรงคืนความสดชื่นแก่ชีวิตข้าพเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม