วัน 51

วิธีเข้าเฝ้าพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 24:1-10
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 5:21-6:6ก
พันธสัญญาเดิม อพยพ 27:1-28:43

เกริ่นนำ

ในปี ค.ศ. 1949 การฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรเกิดขึ้นในเมือง เฮบริดส์ นายดันแคน แคมป์เบล นักเทศน์ผู้เป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูได้อธิบายในภายหลังว่ามันเริ่มต้นอย่างไร

ผู้ชาย 7 คน และผู้หญิง 2 คน ตัดสินใจอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อการฟื้นฟู คืนหนึ่งขณะที่การประชุม อธิษฐานได้จัดขึ้นในโรงนา ชายหนุ่มคนหนึ่งหยิบพระคัมภีร์ของเขาและอ่านจากสดุดี 24 (สดุดีสำหรับวันนี้) เขียนว่า ‘ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์? และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์? คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์’ (ข้อ 3–4ก)

เขาปิดพระคัมภีร์ลงและพูดว่า ‘สำหรับผมแล้ว ดูเหมือนว่าถือเป็นอารมณ์อ่อนไหวที่ค่อนข้างเสแสร้ง ถ้าเราจะเราจะอธิษฐานและรอคอยแบบที่เราทำอยู่ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในทางที่ถูกต้องเลย’ แล้วเขาทูลขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยว่า ชีวิตของเขานั้นสะอาดและใจของเขาบริสุทธิ์แล้วหรือยัง

คืนนั้นพระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนพวกเขาอย่างทรงพลัง ขณะที่พวกเขารอคอยพระเจ้า ‘การทรงสถิตที่ยอด เยี่ยมของพระองค์ล้อมรอบยุ้งฉาง’ พวกเขาเข้าใจว่าการฟื้นฟูมักจะเกิดในบรรยากาศที่ดูศักดิ์สิทธิ์เสมอ ฤทธิ์เดชถูกปลดปล่อยออกมาซึ่งสั่นสะเทือนชุมชนจากใจกลางถึงพื้นที่โดยรอบ

‘ชายสามคนนอนอยู่บนกองฟาง และตกอยู่ภายใต้ฤทธินุภาพของพระเจ้า พวกเขาถูกยกขึ้นจากความธรรมดาสู่ความพิเศษ พวกเขารู้ว่าพระเจ้ามาเยี่ยมพวกเขาและทั้งพวกเขาและชุมชนของพวกเขา จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป’

ห่างออกไป 4 ไมล์ หญิงชรา 2 คนอายุ 82 และ 84 ที่มีนิมิตของพระเจ้า พวกเขาเห็นคริสตจักรแออัด อนุชนและชุมชนก็แห่กันเข้ามาในคริสตจักร พวกเขามี ‘ความมั่นใจอันรุ่งโรจน์ว่าพระเจ้ากำลังมาด้วย พลังแห่งการฟื้นฟู’

ดันแคน แคมป์เบล ได้รับเชิญให้มาพูดคุยกับพวกเขา เมื่อดันแคนมาถึงคริสตจักรประจำตำบลก็มีคนหลายร้อยคนรออยู่ข้างนอก ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าพวกเขามาจากไหน ภายใน 10 นาทีหลังจาก เริ่มนมัสการ ชายและหญิงต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาพบกับพระเจ้าในความบริสุทธิ์ของพระองค์

มีความรู้สึกเช่นนี้เกี่ยวกับการประทับของพระเจ้าบนเกาะแห่งหนึ่ง มีนักธุรกิจมาเยี่ยมชมกล่าวว่า ‘ทันทีที่ฉันก้าวขึ้นฝั่ง ฉันก็รู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้า’ พระเจ้ากำลังนัดพบประชากรของพระองค์

คุณและผมพบกับพระเจ้าได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 24:1-10

ผู้ใดจะเข้าพระวิหาร?

เพลงสดุดีของดาวิด

1โลกกับสรรพสิ่งในโลกเป็นของพระยาห์เวห์
 ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น
2เพราะพระองค์เองทรงตั้งแผ่นดินไว้บนมหาสมุทร
 และทรงสถาปนามันไว้เหนือน้ำลึก
3ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์?
 และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์?
4คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์
 และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง
5เขาจะรับพระพรจากพระยาห์เวห์
 และรับความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอดของเขา
6อย่างนี้แหละเป็นพวกที่เสาะหาพระองค์
 พวกที่แสวงหาหน้าของท่านนะ ยาโคบเอ๋ย
7ประตูเมืองเอ๋ย จงยกหัวของเจ้าขึ้น
 บานประตูนิรันดร์เอ๋ย จงยกขึ้นเถิด
 เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะได้เสด็จเข้ามา
8กษัตริย์ผู้ทรงพระสิรินั้นคือผู้ใด?
 คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงเข้มแข็งและทรงอานุภาพ
 พระยาห์เวห์ผู้ทรงอานุภาพในสงคราม
9ประตูเมืองเอ๋ย จงยกหัวของเจ้าขึ้น
 บานประตูนิรันดร์เอ๋ย จงยกขึ้นเถิด
เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริจะได้เสด็จเข้ามา
10กษัตริย์ผู้ทรงพระสิรินั้นคือผู้ใด?
 คือพระยาห์เวห์จอมทัพ
 พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ

อรรถาธิบาย

โดยสิทธิพิเศษ

ดาวิดเริ่มสดุดีบทนี้ด้วยการเตือนใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ‘โลกกับสรรพสิ่งในโลกเป็นของ พระยาห์เวห์ ทั้งพิภพกับบรรดาผู้ที่อยู่ในพิภพนั้น’ (ข้อ 1) เขาปิดท้ายด้วยการเตือนว่าพระเจ้าทรงเป็น พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ ห้าครั้งเขาเรียกพระเจ้าว่า ‘กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ’ (ข้อ 7ข, 8ก, 9ข, 10ก, 10ข) พระองค์ทรงเป็น ‘พระยาห์เวห์จอมทัพ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ’ (ข้อ 10ข)

ในแง่ของพระลักษณะที่น่าเกรงขามของพระเจ้า ดาวิดจึงถามคำถามว่า ‘ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของ พระยาห์เวห์? และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์?’ (ข้อ 3) คำตอบนั้นคือเฉพาะผู้ที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้น 'ผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้มีจิตใจยกย่องสิ่งเท็จ’ (ข้อ 4)

แต่เรารู้ว่าไม่มีใครดำเนินชีวิตแบบนี้ได้ โดยทางพระเยซูเท่านั้นที่เราจะถูกทำให้บริสุทธิ์และเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ ‘โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับ การชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์ตลอดไป’ (ฮีบรู 10:14)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการพบกับพระองค์วันนี้ ขอทรงสำแดงให้ข้าพระองค์เห็นว่ามือของข้าพระองค์สะอาดและใจบริสุทธิ์หรือไม่ ขอบคุณที่พระโลหิตของพระเยซูทำให้ข้าพระองค์บริสุทธิ์ โปรดยกโทษบาปของข้าพระองค์ ชำระและเติมพระวิญญาณของพระองค์ให้ข้าพระองค์อีกครั้ง
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 5:21-6:6ก

บุตรสาวของไยรัสและหญิงที่ถูกต้องชายฉลองพระองค์ของพระเยซู

 21เมื่อพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว มหาชนมาเฝ้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ยังประทับที่ริมฝั่งทะเล 22และมีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาที่นั่น เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็กราบลงที่พระบาทของพระองค์ 23แล้วทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์ป่วยหนัก ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อเธอจะหายโรคและมีชีวิตอยู่” 24พระองค์จึงเสด็จไปกับเขา

มหาชนตามไปและเบียดเสียดพระองค์

 25มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคโลหิตตกมาสิบสองปีแล้ว 26เธอทนทุกข์ลำบากมากกับหมอหลายคน และสูญสิ้นทรัพย์ที่เธอมี แต่โรคนั้นก็ไม่ได้บรรเทา กลับยิ่งกำเริบหนักขึ้น 27เมื่อหญิงผู้นั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็เดินเข้าไปในฝูงชนที่มาทางข้างหลังพระองค์ และแตะต้องฉลองพระองค์ 28เพราะคิดว่า “ถ้าฉันได้แตะต้องเพียงฉลองพระองค์ ฉันก็จะหายโรค” 29ทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป และหญิงผู้นั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว 30พระเยซูเองก็ทรงรู้สึกทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ จึงเหลียวหลังมาหาฝูงชนตรัสว่า “ใครแตะต้องเสื้อของเรา?” 31พวกสาวกทูลว่า “พระองค์ทอดพระเนตรเห็นอยู่แล้วว่าฝูงชนกำลังเบียดเสียดพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครแตะต้องเรา’?” 32พระเยซูทอดพระเนตรดูรอบๆ เพื่อจะดูว่าใครเป็นคนที่ทำ 33หญิงผู้นั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงมากราบลงทูลพระองค์ตามความเป็นจริงทั้งสิ้น 34พระองค์จึงตรัสกับหญิงผู้นั้นว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด”
 35ขณะที่พระองค์ยังตรัสไม่ทันขาดคำ ก็มีบางคนมาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์อีกทำไม?” 36แต่พระเยซูไม่สนพระทัยสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้น พระองค์ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น” 37พระองค์ไม่ประทานอนุญาตให้ใครไปด้วย เว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงบ้านของนายธรรมศาลาแล้ว ก็เห็นคนกำลังวุ่นวายร้องไห้คร่ำครวญอย่างมาก 39เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้ว จึงตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านร้องไห้วุ่นวายไปทำไม? เด็กคนนั้นยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับอยู่เท่านั้น” 40พวกเขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ หลังจากพระองค์ไล่คนเหล่านั้นออกไปแล้ว จึงพาบิดามารดาและพวกสาวกที่ตามพระองค์มานั้นเข้าไปในที่ที่เด็กอยู่ 41พระองค์ทรงจับมือของเด็กหญิงผู้นั้นตรัสว่า “ทาลิธา คูม” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 42เด็กหญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินทันที เพราะว่าเด็กคนนั้นอายุสิบสองปีแล้ว พวกเขาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ 43พระองค์ทรงกำชับพวกเขาว่าอย่าให้คนอื่นล่วงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด แล้วทรงบอกให้พวกเขานำอาหารมาให้เด็กคนนั้นรับประทาน

มาระโก 6

ชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู

 1พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่นไปยังภูมิลำเนาของพระองค์ และพวกสาวกก็ตามพระองค์ไป 2พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในธรรมศาลา และคนจำนวนมากที่ได้ยินพระองค์ก็ประหลาดใจ พูดกันว่า “คนนี้ได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน? ปัญญาที่เขาได้รับเป็นปัญญาแบบไหนกันนี่? ถึงได้ทำการอัศจรรย์เหล่านี้ 3คนนี้เป็นช่างไม้แปลได้อีกว่า ช่างก่อสร้างลูกของมารีย์ไม่ใช่หรือ? ยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมนก็เป็นน้องชายของเขาไม่ใช่หรือ? และน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเราไม่ใช่หรือ?” พวกเขาจึงขัดเคืองใจในตัวพระองค์ 4พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความเคารพนับถือเว้นแต่ในเมืองของตน และในท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในวงศ์วานของตน” 5พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ เว้นแต่วางพระหัตถ์ถูกต้องคนเจ็บบางคนให้หายโรค 6และพระองค์ประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ

อรรถาธิบาย

สำแดงความเชื่อ

คุณกำลังดิ้นรนกับปัญหาที่ดูไม่ดีขึ้นเลยหรือไม่ (5:26)? คุณเคยถูก ‘ครอบงำไปด้วยความตื่นตระหนก’ และ ‘วิตกด้วยความกลัว’ หรือไม่ (ข้อ 36, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)? เราจะพบว่าพระเยซูทรงตอบสนองต่อผู้คนในสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ กล่าวถึงความรู้สึกพิเศษของผู้คนที่พบพระเจ้าผ่านทางพระเยซู อัครทูตยอห์น (1 ยอห์น 1:1) เขียนเกี่ยวกับ ‘พระวาทะแห่งชีวิต’ ที่เราเคย ‘ได้ยิน’ (มาระโก 5:27), ‘ได้เห็นกับตา’ (ข้อ 22) และ ‘แตะต้อง’ (ข้อ 27,30–31)

ผู้คนที่พบพระเยซูจะรู้สึกเหมือนได้เข้ามาในที่ประทับของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไยรัส ‘กราบแทบพระบาทของพระองค์’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) หญิงที่ป่วยก็ ‘กราบลง’ (ข้อ 33)

ผู้หญิงคนนี้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังมา 12 ปี ซึ่งไม่มีทางรักษา (ข้อ 26) เธอ ‘ได้ยินถึงเรื่องพระเยซู’ (ข้อ 27) และเธอตอบสนองความเชื่อโดย ‘แตะต้องฉลองพระองค์’ เพราะคิดว่า ‘ถ้าฉันได้แตะต้องเพียงฉลองพระองค์ฉันก็จะหายโรค’ (ข้อ 27–28) ‘ทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป และหญิงผู้นั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว’ (ข้อ 29)

การพบกับพระเยซูส่งผลอย่างมากต่อผู้คน พระเยซูตรัสกับหญิงป่วยว่า ‘จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด’ (ข้อ 34) ความเจ็บปวดตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ถูกแทนที่ด้วยสันติภาพและเสรีภาพ ไม่ว่าคุณกำลังดิ้นรนกับปัญหาใดในชีวิตและยาวนานเหมือนกับหญิงคนนี้ จงขอความช่วยเหลือจากพระเยซู

ลูกสาวของไยรัสได้รับประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในการพบกับพระเยซูเมื่อเธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขณะที่พระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่นมีหลายสิ่งหลายอย่างแต่หาใช่บรรยากาศแห่งความเชื่อ เกิดความปั่นป่วนและร่ำไห้ พวกเขากล่าวว่าอย่า ‘รบกวน’ พระเยซู (ข้อ 35) แต่พระเยซูตรัสว่า ‘อย่าตื่นตระหนกและหวาดกลัว; จงเชื่อเท่านั้น’ (ข้อ 36, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

พระเยซูตรัสว่า ‘เด็กคนนั้นยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับอยู่เท่านั้น’ (ข้อ 39) เนื่องจากพระเยซูกำลังจะ ปลุกเธอให้ฟื้นขึ้นมา ความตายของเธอไม่ยาวนานไปกว่าการหลับไป อัครทูตเปาโลกล่าวเช่นเดียวกับพระเยซู เมื่อคุณหลับสนิทสิ่งที่คุณรู้คือคุณจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เมื่อคุณตายในพระคริสต์สิ่งที่คุณรู้คือ คุณจะอยู่กับพระเจ้า

พระเยซูทรงรับสาวกเพียงสามคนที่มีความเชื่อและวางใจได้ (นอกเหนือจากบิดามารดา) ดูเหมือนว่า พระองค์ต้องการให้มีบรรยากาศแห่งความเชื่อขณะที่พระองค์อธิษฐานขอให้เธอฟื้นขึ้นจากความตาย

ไม่มีอะไรที่ ‘ยิ่งใหญ่กว่าจิตวิญญาณ' ของพระเยซู พระองค์บอกให้พวกเขา ‘นำอาหารมาให้เด็ก คนนั้นรับประทาน’ (ข้อ 43) อีกครั้งที่เรื่องราวเริ่มต้นด้วยความกลัวและจบลงด้วยความเชื่อ

เมื่อผู้คนเห็นสิ่งที่พระเยซูทำ พวกเขา ‘ประหลาดใจอย่างยิ่ง’ (ข้อ 42ข) และ ‘ประหลาดใจ’ (6:2ข) แน่นอนว่าทุกวันนี้ไม่ใช่ทุกคนที่มีปฏิกิริยาเช่นนั้น บางคน ‘หัวเราะเยาะพระองค์’ (5:40) และบางคนก็ ‘ขัดเคืองใจในตัวพระองค์' (6:3) ในบ้านเกิดพระเยซู ‘ผู้เผยพระวจนะ ...ขาดความเคารพ’ (6:4) คนเหล่านั้นที่ใกล้ชิดที่สุดกับพระเยซูต่างไม่ตระหนักในตัวตนของพระองค์ บางครั้งเราพบว่ามันยากที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ จากคนที่เรารู้ใกล้ชิดที่สุด

ในวันนี้บางคนจำพระเยซูได้ และบางคนก็พลาดโอกาสไปโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างที่สำคัญคือพวกเขามี ‘ความเชื่อ’ หรือไม่ พระเยซูตรัสกับหญิงป่วยว่า ‘ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ’ (5:34) พระองค์ตรัสกับ ไยรัสว่า ‘อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น’ (ข้อ 36ข) ในบ้านเกิด พระองค์ ‘ประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มี ความเชื่อ’ (6:6)

โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเยซูทรงบรรลุเงื่อนไขทั้งหมดในการได้พบพระเจ้า และตอนนี้เป็นเพราะความเชื่อที่ทำให้คุณและผมได้พบกับพระเยซูและโดยทางพระองค์นี่เอง ทำให้เราได้พบกับพระเจ้าพระบิดา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ได้พบพระองค์โดยความเชื่อ ขอทรงเพิ่มความเชื่อเมื่อข้าพระองค์ถูก ‘ครอบงำไปด้วยความตื่นตระหนก’ หรือ ‘วิตกด้วยความกลัว’ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ ‘เชื่อมั่น' ต่อไป
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 27:1-28:43

แท่นบูชา

 1“เจ้าจงทำแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศยาว 2.2 เมตร กว้าง 2.2 เมตร ให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 1.3 เมตร 2จงทำเชิงงอนสี่มุมบนแท่นให้เป็นเนื้อเดียวกับแท่น และจงหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ 3เจ้าจงทำหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า จงทำพลั่ว อ่าง สามง่ามและถาดรองไฟ คือเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่น เจ้าจงทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 4แล้วเจ้าจงทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น และทำห่วงทองสัมฤทธิ์ติดทั้งสี่มุมของตะแกรงนั้น 5และเจ้าจงให้ตะแกรงนั้นอยู่ใต้ขอบใน รอบแท่นบูชา และให้ยื่นลงมาจนถึงประมาณกึ่งกลางของแท่น 6และเจ้าจงทำไม้คานสำหรับหามแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศ และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ 7ไม้คานนั้นให้สอดในห่วง เพื่อไม้คานจะอยู่ข้างแท่นบูชาข้างละอันเวลาหาม 8จงทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานแต่ข้างในแท่นให้กลวงตามแบบที่แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงให้พวกเขาทำอย่างนั้น

ลานพลับพลา

 9“เจ้าจงสร้างลานพลับพลา โดยด้านใต้มีผ้าบังทำด้วยผ้าป่านเนื้อดียาว 44 เมตร 10ให้มีเสายี่สิบต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน ส่วนขอติดเสาและราวยึดเสานั้น ให้ทำด้วยเงิน 11ทำนองเดียวกัน ด้านเหนือให้มีผ้าบังยาว 44 เมตร กับเสายี่สิบต้น และฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอและราวยึดเสานั้นให้ทำด้วยเงิน 12ตามส่วนกว้างของลานด้านตะวันตก ให้มีผ้าบังยาว 22 เมตร กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน 13ส่วนกว้างของลานด้านตะวันออก ให้ยาว 22 เมตร 14ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งให้ยาว 6.6 เมตร มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน 15อีกข้างหนึ่งให้มีผ้าบังยาว 6.6 เมตร มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน 16ให้มีม่านบังตาที่ประตูของลานยาว 9 เมตร ทำด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ตกแต่งด้วยงานปัก กับเสาสี่ต้นและฐานรองรับเสาสี่ฐาน 17เสาทั้งหมดที่ล้อมรอบลานนั้น ให้มีราวทำด้วยเงินสำหรับยึดเสาให้ติดต่อกัน และให้ทำขอติดเสาสำหรับยึดผ้าบังด้วยเงิน ส่วนฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 18ความยาวของลานนั้นเท่ากับ 44 เมตร ความกว้าง 22 เมตร ความสูง 2.2 เมตร กั้นด้วยผ้าป่านเนื้อดี และมีฐานทองสัมฤทธิ์ 19เครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลาพร้อมทั้งหลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และหลักหมุดทุกตัวของลานพลับพลานั้น ให้ทำด้วยทองสัมฤทธิ์

น้ำมันสำหรับตะเกียง

 20“เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่สกัดไว้นั้นมาเพื่อให้ความสว่างเพื่อจะให้ตะเกียงนั้นส่องสว่างอยู่เสมอ 21ในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าหีบแห่งสักขีพยาน ให้อาโรนและบุตรของอาโรนดูแลรักษาตะเกียงนั้นอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนรุ่งเช้า ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่ชนชาติอิสราเอลต้องปฏิบัติตลอดชาติพันธุ์ของเขา

อพยพ 28

เสื้อตำแหน่งของปุโรหิต

 1“จงนำอาโรนพี่ชายของเจ้า กับบรรดาบุตรของเขาออกจากท่ามกลางชนชาติอิสราเอลให้มาอยู่ใกล้เจ้า เพื่อจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา คือทั้งอาโรนกับบรรดาบุตรของอาโรนได้แก่นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 2แล้วจงทำเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์สำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้าให้เป็นเกียรติและให้สง่างาม 3และเจ้าจงกล่าวกับช่างฝีมือทุกคน ซึ่งเราให้พวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา แล้วพวกเขาจะทำเสื้อตำแหน่งเพื่อแยกอาโรนออกมาปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต 4ให้พวกเขาทำเสื้อตำแหน่งดังต่อไปนี้คือ ทับทรวง เสื้อเอโฟด เสื้อคลุม เสื้อยาวกรอมเท้า ผ้ามาลา และสายรัดเอว และให้พวกเขาทำเสื้อตำแหน่งบริสุทธิ์สำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้าและบรรดาบุตรของเขา เพื่อจะได้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
 5“ให้พวกช่างฝีมือใช้ทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี

เสื้อเอโฟด

 6“ให้พวกเขาทำเสื้อเอโฟดด้วยทองคำ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ตัดด้วยฝีมือช่างชำนาญงาน 7ให้มีแถบผูกบ่าสองชิ้นที่ปลายสองข้าง เพื่อผูกเข้าด้วยกัน 8สายรัดเอวที่ทออย่างประณีตของเอโฟด ก็ให้ทำด้วยฝีมืออย่างเดียวกัน และใช้วัสดุอย่างเดียวกับเอโฟด คือทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี 9แล้วให้ใช้โอนิกซ์สองแผ่นสำหรับจารึกชื่อเผ่าภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า บุตรทั้งหลายของอิสราเอลไว้ 10ที่แก้วแผ่นหนึ่งให้จารึกชื่อหกชื่อ และแผ่นที่สองก็ให้จารึกชื่อที่เหลืออีกหกชื่อตามลำดับการเกิด 11ให้ช่างแกะสลักจารึกชื่อบรรดาบุตรอิสราเอลไว้ที่แก้วทั้งสองแผ่นนั้นเหมือนอย่างแกะตรา แล้วฝังบนกระเปาะทองคำซึ่งมีลวดลายวิจิตร 12แก้วทั้งสองแผ่นนั้นให้ติดบนบ่าทั้งสองข้างของเสื้อเอโฟด ให้เป็นที่ระลึกถึงบรรดาบุตรแห่งอิสราเอล และอาโรนจะแบกชื่อเขาทั้งหลายไว้บนบ่าทั้งสองข้าง เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อเป็นที่ระลึก 13เจ้าจงทำกระเปาะทองคำมีลวดลายวิจิตร 14กับทำสร้อยสองเส้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ เป็นสร้อยถักเกลียว แล้วติดที่กระเปาะนั้น

ทับทรวง

 15“และเจ้าจงทำทับทรวงสำหรับค้นหาพระทัยพระเจ้าภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ทับทรวงแห่งการตัดสิน ด้วยฝีมือช่างชำนาญงานเหมือนทำเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี 16และให้ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับทบกลางยาว 22 เซนติเมตร กว้าง 22 เซนติเมตร 17จงฝังอัญมณีเป็นสี่แถวบนทับทรวงนั้น แถวที่หนึ่งฝังคาร์เนเลียน เพอริโด และมรกต 18แถวที่สองฝังเทอร์คอยซ์ ไพลิน และเพชร 19แถวที่สามฝังเพทาย โมรา และแอเมทิสต์ 20แถวที่สี่ฝังเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ อัญมณีทั้งหมดนี้ให้ฝังในลวดลายอันละเอียดที่ทำด้วยทองคำ 21อัญมณีทั้งสิบสองอย่างนี้ให้จารึกชื่อแต่ละชื่อของบรรดาบุตรอิสราเอลไว้เหมือนแกะตรา ตามลำดับสิบสองเผ่า 22และเจ้าจงทำสร้อยถักเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับทับทรวง 23และเจ้าจงทำห่วงทองคำสองห่วงติดที่มุมบนทั้งสองของทับทรวง 24ส่วนสร้อยทองคำสองสายนั้น ให้เกี่ยวที่ห่วงสองห่วงตรงมุมทับทรวง 25และปลายสร้อยทั้งสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายวิจิตรทั้งสอง และให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดบนบ่าทั้งสองข้าง 26จงทำห่วงทองคำสองห่วง ติดที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด 27จงทำห่วงทองคำอีกสองห่วงใส่ใต้แถบที่ผูกบ่าทั้งสองข้างของเอโฟดเหนือสายรัดเอวซึ่งทออย่างประณีต 28ให้ผูกทับทรวงนั้นติดกับเสื้อเอโฟดด้วย โดยใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง ให้ทับทรวงทับสายรัดเอวที่ทำด้วยฝีมือประณีตของเสื้อเอโฟดเพื่อไม่ให้ทับทรวงหลุดไปจากเสื้อเอโฟด 29อาโรนจึงจะมีชื่อบรรดาบุตรของอิสราเอลจารึกไว้ที่ทับทรวงสำหรับค้นหาพระทัยพระเจ้าติดที่อกของตน ให้เป็นที่ระลึกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอ เมื่อเขาเข้าไปในวิสุทธิสถานนั้น 30จงใส่อูริมและทูมมิม ไว้ในทับทรวงสำหรับค้นหาพระทัยพระเจ้า และของสองสิ่งนี้จะอยู่ที่หัวใจของอาโรนเมื่อเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ อาโรนจะรับภาระการพิพากษาชนชาติอิสราเอลไว้ที่หัวใจของตนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอ

เสื้อตำแหน่งอื่นๆ ของปุโรหิต

 31“เจ้าจงทำเสื้อคลุมให้เข้าชุดกับเอโฟดด้วยผ้าสีฟ้าล้วน 32ให้ทำช่องคอกลางผืนเสื้อ แล้วขลิบรอบคอด้วยผ้าทอ เช่นเดียวกับคอเสื้อทหาร เพื่อจะไม่ให้ขาด 33ที่ชายล่างของเสื้อคลุมให้ปักรูปทับทิมด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ และติดลูกพรวนทองคำโดยรอบสลับกับผลทับทิม 34ลูกพรวนทองคำลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง ลูกพรวนทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง รอบชายล่างของเสื้อคลุม 35อาโรนจะสวมเสื้อคลุมตัวนั้นเมื่อทำงานปรนนิบัติ และจะได้ยินเสียงลูกพรวนเมื่อเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ในวิสุทธิสถาน และเมื่อเดินออกมา เพื่อเขาจะไม่ตาย
 36“เจ้าจงทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์ จารึกคำว่า ‘บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์’ ไว้เหมือนอย่างแกะตรา 37และเจ้าจงเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนผ้ามาลาให้อยู่ที่ข้างหน้าผ้ามาลา 38แผ่นทองคำนั้นจะอยู่ที่หน้าผากของอาโรน และอาโรนจะรับความผิดใดๆ ที่คนอิสราเอลทำเมื่อถวายของบูชาอันบริสุทธิ์ และแผ่นทองคำนั้นให้อยู่ที่หน้าผากของอาโรนเสมอ เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงรับสิ่งของเหล่านั้นจากเขา
 39“จงทอเสื้อยาวกรอมเท้าด้วยป่านเนื้อดี ส่วนผ้ามาลานั้นจงทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี และสายรัดเอวนั้นจงทำและตกแต่งด้วยงานปัก
 40“จงทำเสื้อยาวกรอมเท้า สายรัดเอวและหมวก สำหรับบรรดาบุตรของอาโรนให้เป็นเกียรติและให้สง่างาม 41จงตกแต่งอาโรนพี่ชายของเจ้าและบุตรของเขาด้วยเสื้อตำแหน่งของปุโรหิต แล้วจงเจิมและสถาปนาอีกทั้งชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เขาเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา 42จงทำชั้นในให้เขาทั้งหลายด้วยผ้าป่านยาวตั้งแต่เอวไปจนถึงต้นขาเพื่อจะปกปิดกายที่เปลือย 43ให้อาโรนกับบุตรของเขาสวมเมื่อเข้าไปในเต็นท์นัดพบ และเมื่อเข้าใกล้แท่นบูชาเพื่อจะปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน เพื่อไม่ให้พวกเขาทำบาปและต้องตาย เรื่องนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์สำหรับเขา และเชื้อสายของเขา

อรรถาธิบาย

โดยทางพระเยซู

เราไม่สามารถเข้าใจได้ว่าช่างเป็นสิทธิพิเศษอย่างน่าอัศจรรย์เพียงใดที่สามารถพบพระเจ้าหากเราไม่เห็นภูมิหลังของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เราจะได้เห็นคำอธิบายของเต็นท์นัดพบ (27:21) (ที่ซึ่งพระเจ้าพบกับโมเสสและปุโรหิต: 30:36; 28:30) การ ‘เข้าเฝ้าพระยาห์เวห์’ ถือเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม (28:30ก) อาโรนกำลัง ‘เข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ในวิสุทธิสถาน’ (ข้อ 35)

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูอธิบายว่าทั้งหมดนี้ชี้ไปที่พระเยซูอย่างไร พลับพลาเป็นเพียง ‘แบบจำลองและเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์’ (ฮีบรู 8:5ก) ถึงแม้บรรดาปุโรหิตก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวิสุทธิสถานเท่านั้น แต่ไม่ใช่อภิสุทธิสถาน ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทรงสำแดงว่า ทางที่นำเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่เปิด ตราบใดที่ห้องชั้นนอกนั้นตั้งอยู่’ (9:8) ซึ่งเป็นเครื่องหมายของยุคปัจจุบัน (ข้อ 9ก)

ตามที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูแสดงให้เห็นข้อความนี้เป็นภูมิหลังของการเสียสละของพระเยซูในนามของเรา ทำให้คุณและผมได้พบกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ผ่านพระโลหิตของพระเยซูซึ่งเป็นเครื่องบูชา ‘ครั้งเดียวเป็นพอ’ (ข้อ 28)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าขอบคุณที่พระองค์ทำให้เป็นไปได้โดยผ่านพระโลหิตของพระเยซูเพื่อให้ข้าพระองค์ได้เข้าไปในอภิสุทธิสถาน และเข้ามาในที่ประทับของพระเจ้า ขอบคุณที่ข้าพระองค์เข้าถึง ‘พระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียว’ ผ่านทางพระเยซู (เอเฟซัส 2:18) ขอบคุณที่ข้าพระองค์สามารถพบพระองค์ได้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มาระโก 5:21–34

มีบางสิ่งในชีวิตที่เรารู้สึกว่าเราไม่กล้าทูลต่อพระเยซู มันช่างน่าอายและอึดอัดเกินไปไหม? ผู้หญิงในพระธรรมมาระโก ทำให้ตัวเองอับอายและเอื้อมมือไปแตะต้องพระเยซู แล้วพระองค์ก็รักษาเธอให้หาย ทั้งความอับอาย ความทุกข์ทรมาน และความยากลำบากทั้งหมดของเธอก็หายไปทันที

ข้อพระคำประจำวัน

มาระโก 5:36

‘พระองค์ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น”’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม