ชัยชนะ 3 ประการ ในชีวิตของคุณ
เกริ่นนำ
โฮเซ่ เฮนริเควซ เป็นหนึ่งในคนงานเหมืองแร่จำนวน 33 คนที่ติดอยู่ในเหมืองใต้ดินลึกลงไป 2,300 ฟุต เมื่อครั้งที่เกิดเหตุเหมืองทองแดงถล่ม ณ เมืองซาน โฮเซทางตอนเหนือของประเทศชิลี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2010 นับเป็นเวลาสิบเจ็ดวันที่ความพยายามในการช่วยเหลือทั้งหมดล้มเหลว ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในเหมืองทองแดง คนงานในเหมืองที่ติดอยู่ใต้ดินมีอาหารเพียงพอสำหรับสามวันและน้ำดื่มเพียงเล็กน้อย พวกเขากำลังเผชิญกับความตายที่เจ็บปวดทรมานจากความอดอยาก
ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์โฮเซ่ เฮนริเควซ และเบียงก้า ภรรยาของเขาที่คริสตจักร โฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น (HTB) พวกเขาเล่าว่า พวกเขาอธิษฐานทูลขอปาฏิหาริย์กับพระเจ้าอย่างไร เขาบรรยายถึงช่วงเวลาดังกล่าวนั้นว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ขณะที่หัวสว่านเจาะทะลุเข้าไปในอุโมงค์ที่มีคนติดอยู่ พวกเขาตอกสว่านด้วยแท่งเหล็ก พวกเขาพ่นสีมัน และเขียนข้อความมากมายบนนั้น มีเพียงข้อความเดียว ที่ยังคงปรากฎบนสว่านขณะที่มันถูกดึงกลับขึ้นสู่ผิวดิน ข้อความนั้นอ่านว่า 'พวกเราสบายดี มี 33 คนอยู่ในที่กำบัง'
ชายเหล่านี้รอดชีวิตจากการติดอยู่ใต้ดินเป็นระยะเวลานานรวมทั้งสิ้น 69 วันก่อนที่พวกเขาจะถูกนำขึ้นสู่ผิวดิน มีผู้คนมากกว่าพันล้านคนติดตามการช่วยเหลือซึ่งถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ มีฉากพิเศษขณะที่ทุกคนเฉลิมฉลองชัยชนะที่ยอดเยี่ยมนั้น
ถึงแม้ว่า ชีวิตแห่งความเชื่อจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ความยากลำบาก และการทดลอง แต่ก็มีช่วงเวลาแห่งชัยชนะเช่นกัน ในข้อความสำหรับวันนี้ เราจะเห็นชัยชนะสามประเภทที่แตกต่างกัน
สดุดี 18:16-24
16พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า
ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย
17พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูเข้มแข็ง
และจากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า
เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าข้าพเจ้ายิ่งนัก
18พวกเขาปะทะข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าประสบภัยพิบัติ
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
19พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างใหญ่
และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าไว้เพราะพระองค์พอพระทัยข้าพเจ้า
20พระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงตอบแทนข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด
21เพราะข้าพเจ้ารักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์
และไม่ได้ทำบาปโดยหันจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
22เพราะกฎหมายทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
และข้าพเจ้ามิได้ผลักกฎเกณฑ์ของพระองค์ไปเลย
23ข้าพเจ้าไร้ตำหนิต่อพระองค์
และข้าพเจ้ารักษาตัวไว้ไม่ทำชั่ว
24เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงทรงตอบแทนข้าพเจ้า
ตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาดในสายพระเนตรของพระองค์
อรรถาธิบาย
1. ชัยชนะเหนือศัตรูของคุณ
ดาวิดผ่านการเผชิญกับการต่อสู้มากมายในชีวิต เมื่อถูกศัตรูล้อมรอบนั้น ฝ่ายตรงข้าม “แข็งแกร่งเกินไป” สำหรับดาวิด (ข้อ 17ข) อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งเกินไปสำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยดาวิดจากผู้ที่แข็งแกร่งเกินไปสำหรับเขาและทรงนำเขาเข้าสู่ “ที่กว้างใหญ่” (ข้อ 19) “ฉันยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย ด้วยประหลาดใจที่ได้รับความรัก” (ข้อ 19ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
หากในเวลานี้ คุณอยู่ ณ “ที่กว้างใหญ่” อย่าลืมที่จะขอบคุณพระเจ้า แต่ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น จงร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อช่วยกู้ชีวิตคุณ และหากครอบครัวหรือเพื่อน ๆ ของคุณกำลังดิ้นรนกับความลำบากอยู่ในขณะนี้ ขอให้คุณอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าที่จะทรงนำพวกเขาเข้าสู่ “ที่กว้างใหญ่” ด้วยเช่นกัน
คำอธิษฐาน
มัทธิว 22:15-46
การส่งส่วยให้กับซีซาร์
15ขณะนั้นพวกฟาริสีก็ไปและปรึกษากันหาทางทำให้พระองค์ทรงติดกับดักด้วยคำพูด 16จึงใช้บรรดาศิษย์ของตนกับพวกเฮโรดไปทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ สั่งสอนทางของพระเจ้าตามความจริงโดยไม่ได้เอาใจใคร เพราะท่านไม่ได้เห็นแก่หน้าใคร 17เพราะฉะนั้นขอโปรดให้เราทราบว่าท่านคิดอย่างไร? การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่?” 18พระเยซูทรงทราบเจตนาร้ายของพวกเขาจึงตรัสว่า “คนหน้าซื่อใจคด พวกท่านมาทดลองเราทำไม? 19จงเอาเงินที่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู” เขาจึงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งถวายพระองค์ 20พระองค์ตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” 21พวกเขาทูลว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เพราะฉะนั้น ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” 22เมื่อได้ฟังแล้วพวกเขาก็ประหลาดใจ จึงละพระองค์ไว้และกลับไป
คำถามเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
23ในวันนั้น มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้สอนว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย 24เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าใครตายในขณะที่ยังไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายแต่งงานกับหญิงม่ายนั้นและมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชาย’ 25เรามีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่คนโตมีภรรยาแล้วก็ตาย เมื่อยังไม่มีบุตรก็ละภรรยาไว้ให้กับน้องชาย 26คนที่สอง คนที่สามก็เป็นแบบเดียวกัน จนถึงคนที่เจ็ด 27ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 28เพราะฉะนั้นในวันที่เป็นขึ้นจากความตาย หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใครในเจ็ดคนนั้น? เพราะพวกเขาได้นางมาเป็นภรรยาแล้วทุกคน”
29พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า 30เมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนบรรดาทูตในฟ้าสวรรค์ 31เกี่ยวกับเรื่องที่คนตายจะเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้กับท่านหรือ ว่า 32‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” 33เมื่อฝูงชนได้ยินก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์
พระบัญญัติข้อที่สำคัญที่สุด
34เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระองค์ทรงทำให้พวกสะดูสีนิ่งอั้นอยู่ จึงประชุมกัน 35มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งในพวกเขามาทดสอบพระองค์ว่า 36“ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?” 37พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน 38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก 39ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ 40ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้”
คำถามเรื่องเชื้อสายของดาวิด
41เมื่อพวกฟาริสียังประชุมอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงถามว่า 42“ท่านทั้งหลายคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์? พระองค์ทรงเป็นเชื้อสายของใคร?” พวกเขาตอบว่า “เป็นเชื้อสายของดาวิด” 43พระองค์ตรัสถามว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมดาวิดจึงทรงเรียกพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยเดชพระวิญญาณ และทรงกล่าวว่า
44 ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้อยู่ใต้เท้าของท่าน” 45ฉะนั้นถ้าดาวิดทรงเรียกท่านว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?” 46ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์สักคำหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นมาไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีก
อรรถาธิบาย
2. ชัยชนะเหนือผู้วิพากษ์วิจารณ์
ฝ่ายตรงข้ามของพระเยซูซักถามพระองค์ด้วยคำถามสามข้อ ได้แก่ กับดัก กลอุบาย และการทดสอบ (ข้อ 17,23,35) แต่ละครั้งพระองค์มีชัยชนะและให้คำตอบที่ไม่เพียงแต่ทำให้ประหลาดใจ (ข้อ 22) และอัศจรรย์ใจ (ข้อ 33) แต่ยังมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ทั้งหมดด้วย เราเรียนรู้อะไรบ้างจากคำตอบของพระเยซู?
* อย่าแบ่งชีวิตของคุณเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณ และชีวิตทางโลก
พวกฟาริสีวางแผนที่จะดักจับพระเยซูด้วยคำพูดของเขา พวกเขาพูดกับพระเยซูว่า “…ขอโปรดให้เราทราบว่าท่านคิดอย่างไร การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่” (ข้อ 17) ภาษีที่พวกเขาอ้างถึงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ชอบใจอย่างมาก ถ้าพระเยซูตรัสว่า “ควร” พระองค์คงน่าอดสูในสายตาของผู้คน ทุกคนคงเกลียดชังพระองค์และมองว่าพระองค์เป็นคนทรยศต่อชาติและต้องการช่วยเหลือชาวโรมัน
แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า “ไม่ควร” พระองค์จะมีความผิดโทษฐานปลุกระดมประชาชน ต้องถูกจับกุมและมีโทษประหารชีวิต
ด้วยพระปรีชาญาณที่ไม่เหมือนใครของพระเยซู พระองค์ไม่ได้วางกฎเกณฑ์และข้อบังคับ แต่อธิบายหลักการที่อยู่เหนือกาลเวลา พระองค์ให้คำตอบที่น่าทึ่งว่า 'ของของซีซาร์จงถวายแด่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า' (ข้อ 21)
เราทุกคนผู้ซึ่งติดตามพระเยซูจะมีสองสถานภาพ คือ การเป็นพลเมืองของพระเจ้า ที่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และ การเป็นพลเมืองที่ดีที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางสังคมบนโลกใบนี้
การที่คุณเป็นพลเมืองของสวรรค์ คุณมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยหลักการแล้ว ทั้ง ซีซาร์และพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน คุณถูกเรียกให้เป็นพลเมืองที่ดีทั้งฝ่ายสวรรค์และฝ่ายโลก จงมีส่วนร่วมในสังคมของคุณ อย่าปลีกตัวออกห่างจากสังคมเลย
ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงดูแลพื้นที่ “ศักดิ์สิทธิ์” ในชีวิตของคุณและรัฐบาลเป็นผู้ดูแลพื้นที่ “ทางโลก” ในชีวิตของคุณ แต่หมดทั้งชีวิตของคุณอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ส่วนหนึ่งของคำมั่นสัญญาที่คุณมีต่อพระเจ้าคือการถวายเกียรติและปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ ที่รัฐบาลประกาศไว้ในรูปแบบกฎหมาย ในทำนองเดียวกันกับเหรียญที่สลักเป็นรูปใบหน้าของซีซาร์ ตัวคุณมีพระลักษณะของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:26) พระเจ้ามีพระประสงค์ให้คุณมอบทั้งชีวิตให้แก่พระองค์
* รู้ว่าชีวิตหลังความตายมีจริง
จากนั้น บรรดาสะดูสี มาพร้อมกับคำถามหลอกล่อเกี่ยวกับหญิงที่มีสามีเจ็ดคน เนื่องจากสะดูสีไม่เชื่อในการฟื้นคืนชีพ พวกเขาจึงออกแบบคำถามที่ซับซ้อนเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไร้สาระมากเพียงใด (มัทธิว 22:23–28)
พระเยซูตรัสตอบว่า 'ท่านทั้งหลายผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า' (ข้อ 29) พระเยซูใช้พระคัมภีร์เบญจบรรณ (หนังสือห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ซึ่งสะดูสีเชื่อและวางใจ) เพื่อแสดงว่าพระเจ้า 'ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นของคนเป็น' (ข้อ 32ข)
พระองค์ทำเช่นนี้โดยอ้างถึงคำตรัสของพระเจ้าซึ่งตรัสกับโมเสสที่พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟในอพยพ 3:6 “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” (มัทธิว 22:32ก) แม้ว่าอับราฮัม อิสอัค และยาโคบจะเสียชีวิตไปหลายร้อยปีแล้ว แต่พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่า “เราเคยเป็นพระเจ้าของพวกเขา” แต่ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าของพวกเขา” พวกเขาเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่
พระเยซูกำลังแสดงให้เห็นว่าชีวิตนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต นอกจากนี้จะมีความต่อเนื่องระหว่างชีวิตนี้และชีวิตที่จะมาถึง จะมีการเป็นขึ้นจากตายทางกายภาพ แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีความไม่ต่อเนื่องเช่นกันสำหรับเรา “จะเป็นเหมือนเทวดาในสวรรค์” (ข้อ 30) เหนือสิ่งอื่นใด ข้อพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าจะมีการเป็นขึ้นจากตาย และถ้าพระเจ้าทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เล่า?
* จัดลำดับความสำคัญของความรักต่อพระเจ้าและผู้อื่น
หลังจากนั้น พวกฟาริสีมาพร้อมกับคำถามทดสอบ ซึ่งพระเยซูตรัสตอบอย่างยอดเยี่ยม ตรงประเด็นไปยังหัวใจสำคัญของทั้งพันธสัญญาเดิม นั่นคือ จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้า (“ด้วยสุดความปรารถนา สุดคำอธิษฐานและสติปัญญาทั้งหมดของคุณ” ข้อ 37, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และรักผู้คน (“รักคนอื่นและรักตัวเอง” ข้อ 39, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด คือ รายละเอียดในการทำตามพระบัญชาทั้งสองข้อนี้ (ข้อ 34–40)
หลังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลง พระเยซูจึงตรัสถามพวกเขาคำถามเกี่ยวกับตัวตนของพระองค์ พระองค์แสดงให้เห็นจากพระคัมภีร์ว่าพระคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงลูกของกษัตริย์ดาวิด แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของกษัตริย์ดาวิด (ข้อ 41–46) พระองค์แสดงให้เห็นว่าพระเมสสิยาห์ ทรงเป็นยิ่งกว่ากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ สิ่งนี้ไม่เพียงท้าทายสมมติฐานของพวกฟาริสีและ สะดูสีเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์เท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่งบอกถึงตัวตนของพระเยซูที่ถูกปิดบังไว้ด้วย
นี่เป็นช่วงเวลาแห่งชัยชนะของพระเยซู “ทำให้บรรดาฟาริสีและสะดูสี ผู้เป็นนักเขียนอักษร นิ่งงันไป และด้วยความไม่เต็มใจเข้าเสี่ยงที่จะเสียหน้าอีกครั้งในการปะทะคารมในที่สาธารณะ พวกเขาจึงไม่ตั้งคำถามอีกเลย (ข้อ 46, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
โยบ 30:1-32:22
1“แต่บัดนี้ พวกที่อ่อนวัยกว่าข้าได้เยาะเย้ยข้า
ซึ่งพวกบิดาของเขา ข้ายังปฏิเสธ
ที่จะให้อยู่กับสุนัขเลี้ยงแกะของข้า
2ข้าจะได้อะไรจากกำลังมือของพวกเขา
คือของคนที่หมดเรี่ยวแรงแล้ว
3ด้วยความขาดแคลนและหิวโหย
เขาแทะดินที่แห้งและทิ้งร้าง
4เขาเก็บผักชะครามกับใบไม้
และเอารากต้นซากมาเป็นอาหาร
5เขาถูกขับไล่ออกไปจากชุมนุมชน
มีคนตะโกนไล่เขาอย่างไล่โจร
6ฉะนั้น เขาต้องพักอยู่ที่ลำห้วย
ในโพรงดินและซอกหิน
7ท่ามกลางพุ่มไม้ เขาร้องเหมือนลา
ใต้ต้นเหงือกหนาม เขาเบียดเสียดกัน
8เป็นคนโง่เขลา เออ เป็นพวกที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก
เขาถูกกวาดออกไปจากแผ่นดิน
9“แต่บัดนี้ ข้ากลายเป็นเพลงล้อเลียนของเขา
เออ ข้าเป็นขี้ปากของเขา
10เขาสะอิดสะเอียนข้า และเหินห่างจากข้า
เขาไม่รั้งรอที่จะถ่มน้ำลายใส่หน้าข้า
11เพราะพระองค์ทรงหย่อนสายธนูของข้า และให้ข้าตกต่ำ
เขาจึงเหวี่ยงความยั้งคิดทิ้งเสียต่อหน้าข้า
12ฝูงชนลุกขึ้นที่ขวามือของข้า
เขาผลักข้าออกไป
เขาจู่โจมข้าเพื่อจะทำลายเสีย
13เขาพังทางเดินของข้า
เขามีส่วนทำให้ข้าพบหายนะ
โดยไม่ต้องมีผู้ใดช่วยเขาเลย
14เขาเข้ามาทางช่องโหว่
เขากลิ้งเข้ามาท่ามกลางสิ่งปรักหักพัง
15ความสยดสยองต่างๆ หันมาหาข้า
เกียรติของข้าถูกเขาไล่ตามอย่างลมไล่หลังมา
และความเจริญของข้าสูญไปอย่างเมฆ
16“บัดนี้ ชีวิตข้าค่อยๆ หมดไป
วันแห่งความทุกข์ใจยึดตัวข้าไว้
17กลางคืนเจาะไชกระดูกข้า
และความเจ็บปวดที่แทะข้านั้นไม่หยุดหย่อนเลย
18เสื้อผ้าข้าเสียรูปไปด้วยกำลังมหาศาล
พระองค์ทรงมัดข้าอย่างคอเสื้อรัดข้า
19พระองค์ทรงเหวี่ยงข้าลงในปลัก
ข้ากลายเป็นเหมือนผงคลีและขี้เถ้า
20ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ แต่พระองค์ไม่ทรงตอบข้าพระองค์
ข้าพระองค์ยืนขึ้น และพระองค์ก็เพียงทอดพระเนตรข้า
21พระองค์กลับทรงโหดร้ายต่อข้าพระองค์
พระองค์ทรงข่มเหงข้าพระองค์ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์
22พระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นเหนือลม
ทรงให้ข้าพระองค์ขี่ลม
และทรงให้พายุโยนข้าพระองค์ขึ้นลง
23ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์ตายเสีย
และให้กลับบ้านเก่าที่กำหนดของทุกชีวิต
24“แน่ทีเดียว คนจะไม่ยื่นมือออกตีผู้ที่บอบช้ำ
เมื่อเขาร้องขอความช่วยเหลือในยามหายนะ
25ข้ามิได้ร้องไห้เพื่อผู้ประสบวันทุกข์ยากหรือ?
ใจของข้ามิได้โศกสลดเพื่อคนขัดสนหรือ?
26แต่เมื่อข้ามองหาสิ่งดี สิ่งร้ายก็มาถึง
และเมื่อข้าคอยความสว่าง ความมืดก็มาถึง
27จิตใจของข้าพลุ่งพล่านไม่สงบเลย
วันแห่งความทุกข์ใจมาพบข้า
28ข้าหมองคล้ำไป มิใช่ด้วยแดด
ข้ายืนขึ้นในที่ชุมนุมชน และร้องขอความช่วยเหลือ
29ข้าเป็นพี่น้องกับหมาป่า
และเป็นเพื่อนกับนกกระจอกเทศ
30ผิวหนังของข้าดำและหลุดลอก
กระดูกของข้าร้อนอย่างไฟไหม้
31เพราะฉะนั้น เสียงพิณเขาคู่ของข้ากลายเป็นเสียงโหยไห้
และเสียงปี่ของข้ากลายเป็นเสียงของผู้ที่ร้องไห้
โยบ 31
1“ข้าได้ทำสัญญากับดวงตาของข้า
แล้วข้าจะมองหญิงสาวด้วยใจกำหนัดได้อย่างไร?
2อะไรจะเป็นส่วนที่ข้าได้จากพระเจ้าเบื้องบน
และเป็นมรดกที่ข้าได้จากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เบื้องสูง?
3มิใช่ความพินาศแก่คนชั่ว
และหายนะแก่คนประพฤติชั่วหรือ?
4พระองค์มิทรงเห็นทางของข้า
และนับทุกฝีก้าวของข้าหรือ?
5“ถ้าข้าเดินไปกับความเท็จ
และเท้าของข้าเร่งไปสู่ความหลอกลวง
6ก็ขอให้เอาข้าชั่งบนตราชูยุติธรรม
เพื่อพระเจ้าจะทรงทราบความซื่อสัตย์ของข้า
7ถ้าย่างเท้าของข้าหันออกจากทางนั้น
และใจของข้าตามดวงตาข้าไป
และถ้ารอยด่างพร้อยใดๆ เกาะติดมือข้า
8ก็ขอให้ข้าหว่าน แต่ให้คนอื่นกิน
และขอให้สิ่งที่งอกขึ้นเพื่อข้าถูกถอนรากเอาไป
9“ถ้าใจของข้าถูกล่อชวนไปหาผู้หญิง
และข้าได้ซุ่มอยู่ที่ประตูเพื่อนบ้านของข้า
10ก็ขอให้ภรรยาของข้าโม่แป้งให้คนอื่น
และให้คนอื่นโน้มทับนาง
11เพราะการกระทำของข้าเป็นเรื่องชั่วช้าน่าอาย
และเป็นความผิดอันมีโทษ
12เพราะนั่นจะเป็นไฟผลาญให้ไปถึงแดนพินาศ
และจะเผาทุกสิ่งที่ข้าได้มาจนสิ้น
13“ถ้าข้าไม่รับเรื่องของทาสหรือทาสีของข้า
เมื่อเขานำมาร้องทุกข์ต่อข้า
14แล้วข้าจะทำอะไรได้ เมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้น?
เมื่อทรงสอบถาม ข้าจะทูลตอบพระองค์อย่างไร?
15พระองค์ผู้ทรงสร้างข้าในครรภ์ มิได้ทรงสร้างเขาหรือ?
มิใช่พระองค์ผู้เดียวที่ทรงสร้างเราทั้งสองในครรภ์หรือ?
16“ถ้าข้าได้หน่วงเหนี่ยวสิ่งใดๆ ที่คนยากจนอยากได้
หรือทำให้ดวงตาหญิงม่ายหม่นหมอง
17หรือข้ากินอาหารแต่ลำพัง
และเด็กกำพร้าไม่ได้กินอาหารนั้นด้วย
18(แต่ความจริง ตั้งแต่เด็กมา ข้าเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเหมือนข้าเป็นบิดา
และตั้งแต่เกิด ข้าได้เป็นผู้แนะนำหญิงม่าย)
19ถ้าข้าเห็นคนใดพินาศเพราะขาดเสื้อผ้า
หรือเห็นคนขัดสนไม่มีผ้าคลุมกาย
20ถ้าเขามิได้อวยพรข้า
และเขามิได้อบอุ่นด้วยขนแกะของข้า
21ถ้าข้าข่มเหงเด็กกำพร้า
เพราะมีคนช่วยข้าที่ประตูเมือง
22ก็ขอให้กระดูกสะบักหลุดจากบ่าของข้า
และให้แขนของข้าหักหลุดจากข้อต่อเถิด
23เพราะข้ากลัวภัยพิบัติจากพระเจ้า
และเพราะความโอ่อ่าตระการของพระองค์ ข้าจึงมิอาจทำเช่นนั้นได้
24“ถ้าข้าให้ทองคำเป็นที่ไว้ใจของข้า
หรือพูดกับทองคำนพคุณว่า ‘เจ้าเป็นที่วางใจของข้า’
25ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เพราะสมบัติมากมายของข้า
หรือเพราะมือของข้าได้มามาก
26ถ้าข้าเพ่งดวงตะวันยามส่องแสง
หรือดวงเดือนยามเคลื่อนไปอย่างสง่า
27แล้วใจข้าถูกล่อชวนอย่างลับๆ
และมือข้าส่งจูบแด่สุริยันจันทรา
28นี่ก็เป็นความผิดด้วย ที่ผู้พิพากษาจะต้องปรับโทษ
เพราะข้าคงต้องปฏิเสธพระเจ้าเบื้องบน
29“ถ้าข้าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูพินาศ
หรือลิงโลดเมื่อเหตุร้ายมาทันเขา
30(ข้าไม่ยอมให้ปากของข้าทำบาป
โดยขอชีวิตของเขาด้วยคำแช่งสาป)
31ถ้าคนในเต็นท์ของข้ามิได้กล่าวว่า
ยังมีผู้ใดกินเนื้อที่เขาให้ไม่อิ่ม?’
32(คนต่างถิ่นมิได้ค้างแรมข้างถนน
ข้าเปิดประตูบ้านแก่คนเดินทาง)
33ถ้าข้าปิดบังการละเมิดอย่างคนอื่น
โดยซ่อนความผิดไว้ในอกของข้า
34เพราะข้ากลัวมวลชน
และกลัวว่าวงศ์ตระกูลจะเหยียดหยามข้า
ข้าจึงนิ่งเสีย ไม่ออกไปนอกบ้าน
35โอ ข้าอยากให้สักคนหนึ่งฟังข้า
(นี่แหละ ลายเซ็นของข้า ขอองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตอบข้า)
โอ ข้าอยากได้สำนวนฟ้องซึ่งคู่ความเขียนขึ้น
36ข้าจะใส่บ่าแบกไปแน่ทีเดียว
ข้าจะมัดมันไว้ต่างมงกุฎ
37ข้าจะทูลแจ้งทุกฝีก้าวของข้าแด่พระองค์
ข้าจะเข้าเฝ้าพระองค์โดยมิหวาดกลัว
38“ถ้าที่ดินของข้าร้องกล่าวโทษข้า
และร่องไถในนั้นพากันร้องไห้
39ถ้าข้ากินผลิตผลของมันโดยมิได้เสียเงิน
และทำให้เจ้าของที่ดินเดิมนั้นเสียชีวิต
40ก็ขอให้ต้นหนามงอกแทนข้าวสาลี
และหญ้าสาบแร้งแทนข้าวบาร์เลย์”
จบถ้อยคำของโยบ
โยบ 32
เอลีฮูตำหนิเพื่อนๆ ของโยบ
1ดังนั้น บุรุษทั้งสามคนนี้ก็เลิกโต้ตอบโยบ เพราะท่านชอบธรรมในสายตาของตนเอง 2แล้วเอลีฮูบุตรบาราเคล คนบุซี ตระกูลราม ก็โกรธ เขาโกรธโยบ เพราะท่านอ้างว่าตัวเองชอบธรรม หาใช่พระเจ้าไม่ 3เขาโกรธสหายสามคนของโยบด้วย เพราะเขาทั้งหลายตอบไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาหาว่าโยบผิด 4ส่วนเอลีฮูคอยจะพูดกับโยบ เพราะเขาทั้งสามอาวุโสกว่าตน 5และเมื่อเอลีฮูเห็นว่าไม่มีคำตอบในปากของบุรุษทั้งสามนี้แล้ว ความโกรธของเขาก็ปะทุขึ้น
6และเอลีฮูบุตรบาราเคล คนบุซี ตระกูลราม ตอบว่า
“ข้าพเจ้าเป็นผู้เยาว์ ส่วนพวกท่านเป็นผู้อาวุโส
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงวิตกและกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นแก่ท่าน
7ข้าพเจ้าว่า ‘ขอให้ผู้สูงอายุพูดเถิด
และให้ผู้อาวุโสสอนปัญญาเถิด’
8แต่วิญญาณที่อยู่ในมนุษย์
และลมหายใจขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้เขาเข้าใจ
9ไม่ใช่คนชราเท่านั้นที่มีปัญญา
หรือคนอาวุโสที่เข้าใจความยุติธรรม
10เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงว่า ‘ขอฟังข้าพเจ้า
ขอให้ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นด้วย’
11“ดูเถิด ข้าพเจ้ารอคอยคำของท่านทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคอยฟังเหตุผลของท่าน
ขณะที่ท่านสรรหาว่าจะพูดอะไร
12เออ ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพวกท่าน
และดูเถิด ไม่มีผู้ใดให้เหตุผลอันควรแก่โยบ
ในพวกท่านไม่มีผู้ใดตอบคำของเขาได้
13อย่าเพิ่งพูดนะว่า ‘เราพบปัญญาแล้ว
พระเจ้าจะทรงเอาชนะเขาได้ มิใช่มนุษย์’
14เขามิได้เล็งถ้อยคำของเขามาโต้ข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะไม่ตอบเขาด้วยคำพูดของพวกท่าน
15“เขาทั้งหลายก็ตกตะลึงและไม่ตอบอีก
เขาไม่มีถ้อยคำจะพูดสักคำเดียว
16และจะให้ข้าพเจ้าคอย เพราะเขาทั้งหลายไม่พูด
เพราะพวกเขายืนอยู่ที่นั่น ไม่ตอบอีก อย่างนั้นหรือ?
17ข้าพเจ้าเองจะให้คำตอบของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเองจะแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าด้วย
18เพราะข้าพเจ้ามีถ้อยคำเต็มปาก
จิตวิญญาณภายในข้าพเจ้าบังคับข้าพเจ้าอยู่
19ดูเถิด จิตใจข้าพเจ้าเหมือนเหล้าองุ่นซึ่งไม่มีที่ระบายออก
เหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นใหม่ที่พร้อมจะระเบิดแล้ว
20ข้าพเจ้าต้องพูดจึงจะได้ความบรรเทา
ข้าพเจ้าต้องเปิดริมฝีปากขึ้นตอบ
21ข้าพเจ้าจะไม่มีอคติต่อบุคคลใด
หรือประจบสอพลอผู้ใด
22เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบวิธีประจบสอพลอ
ถ้าทำอย่างนั้น พระผู้สร้างข้าพเจ้าก็จะกำจัดข้าพเจ้าเสียในไม่ช้า
อรรถาธิบาย
3. ชัยชนะเหนือการทดลอง
พระธรรมโยบแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่า บาปและความทุกข์ยากไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงโดยตรงกับบาปหรือการปราศจากบาปของแต่ละคน ใจความสำคัญของพระธรรมโยบ คือ ถึงแม้ว่าโยบจะไม่สมบูรณ์แบบ (13:26, 14:17) แต่ก็ไม่ใช่เพราะบาปของโยบที่ทำให้เขาต้องพบกับความทุกข์ลำบาก โยบเป็นผู้ “ไร้ตำหนิและเที่ยงธรรม เขายำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่วร้าย” (1:1)
โยบรู้ดีว่าแม้เพื่อนของเขาจะกล่าวหาต่าง ๆ นานา แต่เขาก็มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ชัดเจน ราวกับว่าเขากำลังถูกพิจารณาคดีที่ศาล โดยเผชิญหน้ากับ “ผู้กล่าวหา” พร้อมกับ “คำฟ้อง” (31:35) ในข้อความของวันนี้ โยบให้การเพื่อสู้คดีความ (ข้อ 35)
ชีวิตของโยบเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจ และความท้าทาย นี่คือภาพที่ยอดเยี่ยมของการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และชอบธรรม
* รักษาตัวให้บริสุทธิ์
โยบบอกว่า “ข้าได้ทำสัญญากับดวงตาของข้า ว่าจะไม่มองหญิงสาวด้วยใจกำหนัด” (ข้อ 1) เขาไม่ได้ล่อลวง (ข้อ 9) ในใจให้เป็นชู้ เขาตระหนักว่า “การล่วงประเวณีคือเปลวไฟที่เผาไหม้บ้านให้วอดวาย” (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
* หลีกเลี่ยงวัตถุนิยม
เขาไม่วางใจในความร่ำรวย (ข้อ 24) ทั้ง ๆ ที่เขามีทรัพย์สมบัติมากมาย เขาไม่ได้ตั้งความหวังไว้กับทองคำบริสุทธิ์การกล่าวว่า “เธอ (ทองคำ) คือความปลอดภัยของฉัน” (ข้อ 24) อีกครั้งที่หัวใจของโยบไม่ได้ถูก “ล่อลวง” อย่างลับ ๆ (ข้อ 27)
* รักศัตรูของคุณ
โยบต่อต้านการล่อลวงที่จะให้เกลียดชังศัตรู เขาไม่ได้ดีใจเมื่อศัตรูของเขากำลังตกที่นั่งลำบาก (ข้อ 29ข) ซึ่งเป็นสิ่งล่อลวงที่ทรงพลังมาก และยังมีการล่อลวงอันหนักหน่วง ที่จะล่อลวงให้กล่าวคำแสดงความโกรธ แต่โยบไม่ยอมให้ “ปากของเขาทำบาปด้วยการกล่าวคำแช่งสาป” (ข้อ 30) ต่อศัตรู
* มีใจกว้างขวาง
โยบหลีกเลี่ยงการทำบาปไม่ใช่แค่เพียงชีวิตส่วนตัวของเท่านั้น เขายังสำแดงความยุติธรรมต่อลูกจ้าง (ข้อ 13) เขาไม่ได้ปฏิเสธ “ความปรารถนาของคนยากจน” (ข้อ 16 วรรคแรก) “ประตูของเขาเปิดสำหรับคนเดินทางเสมอ” (ข้อ 32)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ฉันประทับใจมากกับความเชื่อมั่นของโยบว่าพระเจ้าจะพบว่าเขาไม่มีที่ติ (โยบ 31:6) โยบได้มอบรายการแห่งวิถีชีวิตที่ยาวนานมาก ซึ่งรวมถึงการที่เขาไม่ได้เก็บขนมปังไว้เพื่อตัวเอง (ข้อ 17) ฉันจำได้ว่า ก่อนโควิดระบาด ฉันเองไม่ได้ใจกว้างเลย เมื่อกลับบ้านมาพบว่านิคกี้แจกบราวนี่ช็อกโกแลตที่ฉันทำเก็บไว้เพื่อโอกาสพิเศษไปหมด บราวนี่ของฉันปลอดภัยแล้วในตอนนี้ แต่ฉันหวังว่า ตัวเองจะใจกว้างกว่านี้ในช่วงหลังโควิด
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 18:19
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างใหญ่ และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าไว้เพราะพระองค์พอพระทัยข้าพเจ้า
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)