วัน 35

คุณลักษณะ 7 ประการของผู้นำที่ดี

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 18:25-36
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 23:1-39
พันธสัญญาเดิม โยบ 33:1-34:37

เกริ่นนำ

“ความเป็นผู้นำคืออิทธิพล” เขียนโดยจอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์ ผู้ซึ่งองค์กรต่าง ๆ ของเขาได้ฝึกอบรมผู้นำมากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลก เขาชี้ให้เห็นว่าตามที่นักสังคมวิทยาระบุว่าแม้แต่บุคคลที่โดดเดี่ยวที่สุดก็ยังมีอิทธิพลต่อคนอื่น ๆ อีก 10,000 คนในช่วงชีวิตของเขาหรือเธอ!

ในแง่หนึ่งมีผู้นำเพียงคนเดียว ในการอ่านพระคัมภีร์ใหม่ของเราวันนี้ พระเยซูตรัสว่า “มีครูเพียงคนเดียวสำหรับท่าน ... พระคริสต์” (มัทธิว 23:10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในทางกลับกัน คริสเตียนทุกคนถูกเรียกให้เป็นผู้นำในแง่ที่คนอื่นจะมองคุณเป็นตัวอย่าง คุณมีอิทธิพลเหนือคนอื่นในรูปแบบต่าง ๆ การที่พระเจ้าทรงเรียกให้มีอิทธิพลต่อผู้อื่นถือเป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 18:25-36

25พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์
 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ
26พระองค์ทรงสำแดงพระองค์บริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์
 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่คดโกง
27เพราะพระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ถ่อมตัวให้รอด
 แต่ดวงตาที่หยิ่งยโสนั้น พระองค์ทรงทำให้ต่ำลง
28เพราะพระองค์ทรงจุดตะเกียงของข้าพระองค์
 พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง
29เพราะโดยพระองค์ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้
 และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กระโดดข้ามกำแพงได้
30สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์ไร้ตำหนิ
 พระดำรัสของพระยาห์เวห์พิสูจน์จนเห็นจริงแล้ว
 พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
31เพราะผู้ใดเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์?
 และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลา เว้นแต่พระเจ้าของพวกเรา?
32คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง
 และทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าปลอดภัย
33พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย
 และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูง
34พระองค์ทรงฝึกมือข้าพเจ้าให้ทำสงคราม
 แขนข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
35พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์
 และพระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์
 และการถ่อมพระองค์ลง ก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
36พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับย่างเท้าของข้าพระองค์
 เท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด

อรรถาธิบาย

ความมั่นใจ

ดาวิดเป็นผู้นำที่มีความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตามไม่ใช่ความมั่นใจในตัวเอง แต่เชื่อมั่นในพระเจ้า “เพราะโดยพระองค์ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้ และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กระโดดข้ามกำแพงได้” (ข้อ 29) ดาวิดตระหนักได้ว่าเขาต้องการพระเจ้าเพื่อ

1. การป้องกัน

“พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยในพระองค์” (ข้อ 30ข) “พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์ด้วยเกราะแห่งความรอด” (ข้อ 35 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. ความเข้มแข็ง

“คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง และทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าปลอดภัย พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูง” (ข้อ 32–33)

3. การฝึกฝน

พระองค์ทรงฝึกมือข้าพเจ้าให้ทำสงคราม” (ข้อ 34ก) ขณะที่ผมกำลังอ่านข้อนี้พระคำนี้ ย้อนกลับไป ในปี 1992 ผมตระหนักถึงความจำเป็นในการฝึกอบรมกลุ่มเจ้าภาพและผู้ช่วยกลุ่มเล็ก ๆ ของเราก่อนที่กลุ่มอัลฟ่าจะเริ่มขึ้น

4. คำแนะนำ

“เพราะพระองค์ทรงจุดตะเกียงของข้าพระองค์ พระยาเวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง” (ข้อ 28) “สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์ไร้ตำหนิ พระดำรัสของพระยาห์เวห์พิสูจน์จนเห็นจริงแล้ว” (ข้อ 30)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานขอการปกป้อง ความเข้มแข็ง และการทรงนำของพระองค์ ขอทรงโปรดนำข้าพระองค์ไปในทางที่สมบูรณ์แบบของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 23:1-39

การทรงประณามพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี

 1เวลานั้น พระเยซูตรัสกับฝูงชนและบรรดาสาวกของพระองค์ว่า 2“พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส 3เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตามยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน 4เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก 5การกระทำของพวกเขาล้วนทำเพื่ออวดคนอื่น พวกเขาทำกลักพระธรรมขนาดใหญ่และสวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาว 6พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งโดดเด่นในธรรมศาลา 7ชอบรับการคำนับที่กลางตลาดและชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ 8ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน 9และอย่าให้เกียรติใครในโลกว่าเป็นพระบิดาของพวกท่าน เพราะพวกท่านมีพระบิดาเพียงผู้เดียว คือผู้ที่สถิตในสวรรค์ 10อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์ 11คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน12ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น
 13“วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม [14วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น]
 15“วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า
 16“วิบัติแก่พวกเจ้า คนนำทางที่ตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ใครที่จะสาบานโดยอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหาร คนนั้นจะต้องทำตามคำสาบาน’ 17โอ เจ้าพวกคนโง่เขลาและตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์? 18และพวกเจ้ายังสอนว่า ‘ใครจะสาบานโดยอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างเครื่องถวายบนแท่นบูชา คนนั้นต้องทำตามคำสาบาน’ 19เจ้าพวกคนตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่ากัน เครื่องถวาย หรือแท่นบูชาที่ทำให้เครื่องถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? 20เพราะฉะนั้นใครที่สาบานโดยอ้างแท่นบูชา ก็สาบานโดยอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย 21ใครสาบานโดยอ้างพระวิหาร ก็สาบานโดยอ้างพระวิหารและพระองค์ผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย 22ใครสาบานโดยอ้างสวรรค์ ก็สาบานโดยอ้างพระที่นั่งของพระเจ้า และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย
 23“วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์คือ ร้อยละสิบที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย 24โอ เจ้าพวกคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
 25“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส 26โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
 27“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก 28พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม
 29“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของคนชอบธรรมทั้งหลาย 30แล้วกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยของบรรพบุรุษ เราจะไม่มีส่วนร่วมกับพวกเขา ในการทำให้โลหิตของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตก’ 31ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า พวกเจ้าเป็นบุตรของพวกที่ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น 32เจ้าก็จงทำอย่างที่บรรพบุรุษทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด 33เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้ายเจ้าจะพ้นโทษนรกได้อย่างไร? 34เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้บรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรดานักปราชญ์ และธรรมาจารย์ทั้งหลายไปหาพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายก็จะฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของพวกเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง 35เพื่อจะให้โลหิตของคนชอบธรรมทั้งหมดที่ตกในแผ่นดินโลกนั้นตกบนตัวพวกเจ้า ตั้งแต่โลหิตของอาเบล คนชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ บุตรเบเรคียาห์ที่เจ้าฆ่าเสียในที่ระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น 36เราบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า สิ่งทั้งหมดนี้จะตกกับคนในยุคนี้

การทรงคร่ำครวญถึงกรุงเยรูซาเล็ม

 37“โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างพวกที่ถูกส่งให้มาหาเจ้าถึงตาย บ่อยครั้งที่เราปรารถนาจะรวบรวมลูกๆ ของเจ้าไว้ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอม 38นี่แน่ะ นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งให้ร้างเปล่า 39เพราะว่าเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะไม่เห็นเราอีก จนกว่าพวกเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้ท่านผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’ ”

อรรถาธิบาย

คุณลักษณะ

พระเยซูทรงประณามพวกธรรมาจารย์ในสมัยของพระองค์ด้วยภาษาที่รุนแรง 'เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้าย' (ข้อ33) ภาษานี้เป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาได้รับการยกย่องและเป็นคนที่น่านับถือพวกธรรมาจารย์เป็นนักกฎหมาย

พวกเขารักษาและตีความกฎหมาย พวกเขาได้รับมอบอำนาจให้ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา พวกเขาได้รับการบวชหลังจากจบการศึกษา พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์ พวกเขาเป็นครูที่มีลูกศิษย์ลูกหารอบตัว

พวกฟาริสีเป็นคนธรรมดา พวกเขามักจะมาจากชนชั้นกลาง (ต่างจากชาวสะดูสีที่เป็นชนชั้นสูงมากกว่า) พวกเขาได้รับความเคารพนับถือมากในเรื่องการเคร่งศาสนา พวกเขาอธิษฐานและอดอาหารบ่อยครั้ง พวกเขาเข้าประชุม พวกเขาถวายเป็นประจำ พวกเขานำ 'ชีวิตอย่างตรงไปตรงมาและมีศีลธรรม' พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากในสังคม พวกเขาเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไป

กระนั้นพระเยซูทรงวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด 'พวกเขาสอนสั่งให้ทำตาม แต่อย่าไปทำตามสิ่งที่เขาทำเลย เพราะเขาสอนอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง' (ข้อ 3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

'วิบัติ 7 อย่าง' ที่พระเยซูตรัสไว้ ท้าทายให้ผมปรารถนาที่จะมีคุณลักษณะเจ็ดประการของผู้นำที่ดี

1. ความซื่อสัตย์

พระเยซูทรงประณามความหน้าซื่อใจคดของพวกธรรมาจารย์ (ข้อ 3–4) พระองค์ตรัสว่า 'เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก' (ข้อ 3ข–4) ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งนี้ หมายถึงการฝึกฝนสิ่งที่คุณเทศนา และทำให้แน่ใจว่าคำพูดของคุณช่วยยกระดับผู้คนมากกว่าที่จะทำให้เค้าความรู้สึกผิดหรือแบกภาระอื่น ๆ

2. ความจริง

พระเยซูโจมตีความผิวเผินของพวกเขา (ข้อ 5–7) พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า 'การกระทำของพวกเขาล้วนทำเพื่ออวดคนอื่น' (ข้อ 5ก) แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณเป็นใครเมื่อไม่มีใครมอง พระเยซูตรัสเกี่ยวกับชีวิต 'ความลับ' ของคุณกับพระเจ้า ที่พยายามจะพัฒนาชีวิตส่วนตัวที่แท้จริงกับพระเจ้า

3. ความถ่อมใจ

พระเยซูเตือนไม่ให้รักความมีชื่อเสียงและการยอมรับ (ข้อ 8–11) ระวังตัวเพื่อไม่ให้คุณถูกล่อลวงโดย 'ตำแหน่งที่โดดเด่น' 'คำเยินยอในที่สาธารณะ' และได้รับตำแหน่งอย่างใดอย่างหนึ่ง (ข้อ 6-7 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูเตือนว่า “อย่าปล่อยให้คนทำกับคุณและวางคุณไว้บนแท่นแบบนั้น” (ข้อ 8 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นการทดลอง แต่พระเยซูตรัสว่า “ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น” (ข้อ 12) พยายามยกย่องพระเยซูเสมอไม่ใช่ตัวคุณเอง

4. ความเมตตากรุณา

พระเยซูทรงโจมตีพวกธรรมาจารย์ที่วางสิ่งที่ทำให้คนอื่นสะดุด (ข้อ 13–15) พระองค์ตรัสว่า “พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (ข้อ 13) ผู้นำต้องมีจิตวิญญาณที่ตรงกันข้าม นั่นคือเปิดกว้างและต้อนรับทุกคน

พระเยซูทรงเป็นตัวอย่างของความเมตตา พระองค์ตรัสว่า 'โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม บ่อยครั้งที่เราปรารถนาที่จะรวบรวมลูก ๆ ของเจ้าไว้ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน' (ข้อ 37)

5. นิมิต

ผู้นำควรมีนิมิตที่ยิ่งใหญ่ พระเยซูทรงโจมตีความคิดเล็กคิดน้อยและใจแคบของผู้นำศาสนา (ข้อ 16–22) “สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน” (ข้อ 19 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขามองไม่เห็นไม้สำหรับต้นไม้ มีสมาธิจดจ่อกับประเด็นสำคัญ อธิษฐานขอนิมิตของพระเจ้าและอย่าหลงประเด็น ขอพระเจ้าทรงประทานนิมิตที่ยิ่งใหญ่เพราะหากไม่มีพระองค์ทุกสิ่งก็เป็นไปไม่ได้

6. จดจ่อ

เน้นไปที่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ (ข้อ 23–24) หลีกเลี่ยงการจมอยู่กับรายละเอียดเล็กน้อยและการยึดถือกฎ พระเยซูทรงตรัสว่า “เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” (ข้อ 24) แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ “เรื่องที่สำคัญกว่า ... ยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อ” (ข้อ 23) ต่อสู้กับความอยุติธรรม ปกป้องคนยากจนและแสดงให้เห็นถึง “ความซื่อสัตย์” ในความสัมพันธ์ของคุณกับครอบครัวและคนอื่น ๆ

7. ความใจกว้าง

สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับความโลภและความหลงตัวเองซึ่งพระเยซูทรงประกาศ (ข้อ 25–28) ชีวิตภายในของพวกเขาแตกต่างจากชีวิตภายนอกมาก พระเยซูทรงเรียกให้คุณเป็นตัวของตัวเอง เพื่อให้ภายในเป็นเหมือนภายนอก (ข้อ 27–28)

สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรฐานที่สูงมากและยากที่จะบรรลุ คำพูดของพระเยซูในที่นี้ขณะที่ “ความวิบัติ” มาถึงจุดสูงสุด (ข้อ 29–36) เป็นคำพูดที่แรงที่สุดที่จะออกมาจากปากของพระองค์ สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าพวกเขาไม่ได้ส่งถึงคนทั่วไป พระเยซูกำลังวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำที่มีอำนาจซึ่งพยายาม “ยกตัวขึ้น” (ข้อ 2) และผู้ที่ “ปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์” (ข้อ 13)

อย่าใช้คำพูดของพระเยซูเป็นข้ออ้างในการดูถูกคนธรรมดา หรือแม้แต่ผู้นำที่ต้องการชี้ให้ผู้คนไปหาพระเยซูอย่างแท้จริง ผมต้องสั่งพวกเขาด้วยตัวเอง คำเหล่านี้เป็นคำที่ท้าทาย แต่ไม่ควรนำความท้าทายไปที่คนผิด!

สิ่งที่น่าทึ่งมากเกี่ยวกับคำพูดของพระเยซูคือการพูดอย่างมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่ในฐานะที่อ่อนแอมาก แต่พระองค์ก็ไม่กลัวที่จะรับอำนาจในสมัยของพระองค์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ในช่วงเวลาที่ข้าพระองค์ล้มเหลวในสิ่งเหล่านี้ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้มีชีวิตที่ซื่อสัตย์ มีความจริงใจ ถ่อมใจ มีเมตตาและมีนิมิต มีความมุ่งมั่นและใจกว้าง ช่วยข้าพระองค์ให้มีความห่วงใยบ้านเมืองของข้าพระองค์เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงมี
พันธสัญญาเดิม

โยบ 33:1-34:37

เอลีฮูต่อว่าโยบ

1“ท่านโยบ บัดนี้ขอฟังคำของข้าพเจ้า
 และขอเงี่ยหูฟังถ้อยคำทั้งสิ้นของข้าพเจ้า
2ดูเถิด ข้าพเจ้าเปิดปาก
 ลิ้นภายในปากก็พูด
3ถ้อยคำของข้าพเจ้าสำแดงความซื่อตรงแห่งจิตใจ
 และริมฝีปากของข้าพเจ้ารู้อะไรก็พูดออกมาอย่างจริงใจ
4พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างข้าพเจ้า
 และลมหายใจขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้า
5ถ้าท่านตอบได้ ก็ตอบข้าพเจ้ามาสิ
 จงเรียบเรียงถ้อยคำของท่านต่อหน้าข้าพเจ้า เชิญเถอะ
6ดูเถิด ข้าพเจ้ากับท่านก็ไม่ต่างกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
 พระองค์ทรงปั้นข้าพเจ้าจากดินเช่นกัน
7ดูเถิด อย่าให้ความกลัวข้าพเจ้าทำให้ท่านตกใจ
 ข้าพเจ้าจะไม่กดดันท่านหนักไป
8“แน่ละ ท่านพูดให้ข้าพเจ้าฟัง
 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงถ้อยคำของท่าน
9ท่านว่า ‘ข้าสะอาด ปราศจากการละเมิด
 ข้าบริสุทธิ์ ไม่มีความผิดในข้าเลย
10ดูเถิด พระองค์ทรงหาเรื่องข้า
 พระองค์ทรงนับข้าเป็นศัตรูของพระองค์
11พระองค์ทรงเอาเท้าของข้าใส่ขื่อไว้
 และทรงเฝ้าดูทางทั้งสิ้นของข้า’
12“ดูเถิด ในเรื่องนี้ท่านผิด ข้าพเจ้าจะตอบท่าน
 พระเจ้าใหญ่ยิ่งกว่ามนุษย์
13ไฉนท่านจึงสู้คดีกับพระองค์
 โดยกล่าวว่า ‘พระองค์ไม่ทรงตอบถ้อยคำของมนุษย์เลย’?
14เพราะพระเจ้าตรัสวิธีหนึ่ง
 เออ สองวิธี แต่มนุษย์ไม่รับรู้
15ในความฝัน ในนิมิตกลางคืน
 เมื่อคนหลับสนิท
 เมื่อเขาเคลิบเคลิ้มอยู่บนที่นอนของเขา
16แล้วพระองค์ทรงเบิกหูของมนุษย์
 และประทับตราคำเตือนพวกเขา
17เพื่อจะหันมนุษย์กลับจากกิจการชั่ว
 และตัดความเย่อหยิ่งออกเสียจากมนุษย์
18พระองค์ทรงยึดตัวเขาไว้จากหลุมมรณะ
 และยึดชีวิตเขาไว้จากการพินาศด้วยดาบ
19“มนุษย์ถูกตีสอนด้วยความเจ็บปวดบนที่นอน
 และด้วยความปวดร้าวเสมอไปในกระดูก
20ชีวิตของเขาจึงเบื่ออาหาร
 และจิตใจก็เบื่อของกินเลิศรส
21เนื้อของเขาซูบโทรมลงมากจนมองไม่เห็น
 กระดูกของเขาซึ่งแลไม่เห็นนั้นก็โผล่ออกมา
22เออ วิญญาณของเขาเข้าไปใกล้หลุมมรณะ
 และชีวิตของเขาเข้าไปใกล้ผู้ที่นำความตายมา
23ถ้ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาเพื่อเขา
 เป็นผู้หนึ่งจากจำนวนพันที่จะเป็นตัวแทนให้เขา
 เพื่อแถลงแก่มนุษย์ว่าเขาซื่อตรง
24และทูตนั้นกรุณาเขา ทูลว่า
‘ขอทรงช่วยเขาให้พ้นจากการลงไปยังหลุมมรณะ
 ข้าพระองค์พบค่าไถ่แล้ว
25ขอให้เนื้อของเขาอ่อนกว่าเนื้อเด็ก
 ขอให้เขากลับมีกำลังเหมือนเมื่อครั้งยังหนุ่ม’
26คนนั้นจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์พอพระทัยเขา
 เขาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความชื่นบาน
 แล้วพระองค์ทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม
27และเขาร้องเพลงต่อหน้าประชาชน กล่าวว่า
 ‘ข้าได้ทำบาป และเห็นผิดเป็นชอบ
 แต่ข้ามิได้ถูกพระองค์ลงโทษ
28พระองค์ทรงไถ่วิญญาณจิตของข้าให้พ้นจากการลงไปสู่หลุมมรณะ
 และชีวิตของข้าจะเห็นความสว่าง’
29“ดูเถิด พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
 กับมนุษย์สองครั้ง สามครั้ง
30เพื่อจะนำวิญญาณเขากลับมาจากหลุมมรณะ
 เพื่อให้เขาเห็นความสว่างแห่งชีวิต
31ท่านโยบ ขอตั้งใจฟังข้าพเจ้า
 ขอเงียบ และข้าพเจ้าจะพูด
32ถ้าท่านมีอะไรพูด ก็ตอบข้าพเจ้ามาเถอะ
 พูดสิ เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะแก้คดีให้ท่าน
33ถ้าไม่มี ก็ขอฟังข้าพเจ้า
 ขอเงียบ และข้าพเจ้าจะสอนปัญญาแก่ท่าน”

โยบ 34

เอลีฮูประกาศว่า พระเจ้ายุติธรรม

 1เอลีฮูพูดต่อไปว่า
2“ท่านทั้งหลายผู้มีปัญญา ขอฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า
 ท่านผู้มีความรู้ ขอเงี่ยหูฟังข้าพเจ้า
3เพราะหูก็ตรวจสอบถ้อยคำ
 อย่างลิ้นลิ้มรสอาหาร
4ขอให้เราเลือกสิ่งที่ถูกต้อง
 ขอให้เราเรียนรู้ในหมู่เราว่าอะไรดี
5เพราะโยบกล่าวว่า ‘ข้าเป็นคนชอบธรรม
 แต่พระเจ้าทรงเอาความยุติธรรมของข้าไป
6ถึงแม้ข้าชอบธรรม ข้าก็ถูกนับเป็นคนโกหก
 แผลของข้ารักษาไม่หาย แม้ว่าข้าไม่มีการละเมิดเลย’
7ผู้ใดเล่าจะเหมือนโยบ
 ผู้ดื่มความเหยียดหยามเหมือนดื่มน้ำ
8ผู้เข้าสังคมกับคนทำชั่ว
 และเดินไปกับคนอธรรม?
9เพราะท่านได้กล่าวว่า ‘ไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เรา
 ที่จะปีติยินดีในพระเจ้า’
10“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายผู้มีความเข้าใจ ขอฟังข้าพเจ้า
 เมินเสียเถิดที่พระเจ้าจะทรงทำการอธรรม
 และที่องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงทำผิด
11เพราะพระเจ้าทรงสนองมนุษย์ตามการกระทำของเขา
 และทรงให้เกิดแก่เขาตามวิถีของเขา
12แน่ทีเดียว พระเจ้าจะไม่ทรงทำชั่ว
 และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะไม่ทรงบิดเบือนความยุติธรรม
13ผู้ใดแต่งตั้งให้พระองค์ปกครองโลก?
 ผู้ใดมอบทั้งพิภพแก่พระองค์?
14ถ้าพระองค์ตั้งพระทัย
 และทรงรวบรวมวิญญาณกับลมหายใจของพระองค์กลับสู่พระองค์
15เนื้อหนังทั้งสิ้นก็จะพินาศไปด้วยกัน
 และมนุษย์ก็จะกลับไปเป็นผงคลีดิน
16“ถ้าท่านมีความเข้าใจ ขอฟังข้อนี้
 ขอฟังเสียงถ้อยคำของข้าพเจ้า
17ผู้ที่เกลียดชังความยุติธรรมจะได้ปกครองหรือ?
 ท่านจะประณามพระผู้ชอบธรรมและทรงอานุภาพหรือ?
18ท่านจะประณามพระผู้ตรัสแก่พระราชาว่า ‘เจ้าผู้ไร้ค่า’
 และแก่เจ้านายทั้งหลายว่า ‘เจ้าผู้อธรรม’
19ผู้ไม่ทรงมีอคติเข้าข้างเจ้านาย
 และไม่เห็นแก่หน้าคนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน
 เพราะเขาทุกคนเป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์หรือ?
20สักครู่เดียวเขาทั้งหลายก็ตาย
 เวลาเที่ยงคืน ประชาชนตัวสั่นและตายไป
 และผู้มีอำนาจก็ถูกเอาไปเสีย มิใช่ด้วยมือมนุษย์
21“เพราะพระเนตรของพระองค์เฝ้าดูทางของคน
 พระองค์ทรงเห็นทุกย่างเท้าของเขา
22ไม่มีที่มืดครึ้มหรือที่มืดทึบ
 ซึ่งคนชั่วจะซ่อนตัวได้
23เพราะพระองค์ไม่ทรงกำหนดเวลาแก่ผู้ใด
 ให้เข้าเฝ้าพระเจ้าเพื่อรับการพิพากษา
24พระองค์ทรงสังหารผู้มีอำนาจโดยไม่ต้องสอบสวน
 และทรงตั้งคนอื่นไว้แทน
25ดังนั้น ด้วยทรงทราบกิจการของเขาทั้งหลาย แล้ว  จึงทรงคว่ำเขาเสียในกลางคืน เขาก็แหลกไป 26พระองค์ทรงตีเขาทั้งหลาย เพราะความอธรรมของเขา
 ต่อหน้าต่อตามนุษย์
27เพราะว่าเขาทั้งหลายหันจากการติดตามพระองค์
 และไม่ใส่ใจพระมรรคาแปลว่า ทางของพระองค์เลย
28เป็นเหตุให้เสียงร้องของคนยากจนมาถึงพระองค์
 และพระองค์ทรงฟังเสียงร้องของผู้ทุกข์ยาก
29เมื่อพระองค์ทรงนิ่ง ผู้ใดจะกล่าวโทษพระองค์ได้?
 เมื่อพระองค์ซ่อนพระพักตร์ ผู้ใดจะเห็นพระองค์ได้?
 ไม่ว่าเป็นประชาชาติหรือบุคคล
30เพื่อว่าคนชั่วจะไม่ได้ครอบครอง
 และเขาจะไม่วางกับดักประชาชน
31“เพราะมีผู้ใดร้องทูลพระเจ้าแล้วหรือว่า
 ‘ข้าพระองค์ถูกตีสอนแล้ว ข้าพระองค์จะไม่ทำผิดอีก
32ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงสิ่งที่ข้าพระองค์มองไม่เห็น
 ถ้าข้าพระองค์ทำชั่ว ข้าพระองค์ก็จะไม่ทำอีก’?
33พระองค์จะทรงสนองท่านอย่างเหมาะสม
 เพราะท่านปฏิเสธหรือ?
เพราะท่านเองต้องเลือก ไม่ใช่ข้าพเจ้า
 ดังนั้นท่านรู้อะไร ก็บอกมาเถิด
34คนทั้งหลายที่เข้าใจจะพูดกับข้าพเจ้า
 คือคนมีปัญญาที่ฟังข้าพเจ้า จะพูดว่า
35‘โยบพูดอย่างไม่มีความรู้
 ถ้อยคำของเขาไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งเลย’
36อยากจะให้โยบถูกทดลองต่อไปถึงที่สุด
 เพราะว่าเขาตอบเหมือนอย่างคนอธรรม
37เพราะเขาเพิ่มการละเมิดเข้ากับบาปของเขา
 เขาตบมือเย้ยอยู่ท่ามกลางเรา
 และทวีถ้อยคำของเขากล่าวร้ายพระเจ้า”

อรรถาธิบาย

วิพากษ์วิจารณ์

ดังที่ ริค วอร์เรน ชี้ให้เห็นว่า 'การวิพากษ์วิจารณ์เป็นต้นทุนของการมีอิทธิพล ตราบใดที่คุณไม่ได้มีอิทธิพลต่อใครก็ไม่มีใครพูดถึงคุณ แต่ยิ่งคุณมีอิทธิพลมากเท่าไหร่ คุณก็จะมีนักวิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น'

โยบผู้น่าสงสาร ซึ่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำที่โดดเด่น (ดูบทที่ 1) ต้องทนกับการถูกดูถูกเหยียดหยามจากสิ่งที่เรียกว่า “เพื่อน” ของเขาอย่างต่อเนื่อง การวิพากษ์วิจารณ์นั้นยากที่สุดเสมอ เมื่อมาจากคนที่ควรจะเป็นเพื่อนของเรา เป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำคริสเตียนอย่างไม่ยุติธรรมมาจากภายในคริสตจักรเอง จากสิ่งที่เรียกว่า 'เพื่อน'

ต้องเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งสำหรับโยบที่ต้องฟังเอลีฮู ซึ่งอายุน้อยกว่ามากและยังเชื่อมั่นในประสบการณ์ของตัวเองโดยพูดกับโยบอย่างหยิ่งผยองว่า “ข้าพเจ้าจะสอนปัญญาแก่ท่าน” (33:33) และ “โยบพูดอย่างไม่มีความรู้ ถ้อยคำของเขาไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งเลย” (34:35) และเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเขา “เพราะเขาเพิ่มการละเมิดเข้ากับบาปของเขา [ต่อพระเจ้า]” (ข้อ 37)

เอลีฮูก็เป็นเช่นเดียวกับนักวิจารณ์หลายคนอ้างว่า “คิดอย่างรอบคอบ” และ “ไม่มีแรงจูงใจแอบแฝง” (ข้อ 33:2–3 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาอ้างว่าคนอื่นเห็นด้วยกับเขา “คนคิดถูกทุกคนพูด และคนฉลาดที่ฟังฉันเห็นพ้องต้องกัน "โยบเป็นคนโง่เขลา เขาพูดเรื่องไร้สาระที่สุด” (34:34–35 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผมเองก็ตกหลุมพรางของการตัดสินคนของพระเจ้าแบบผิวเผินเช่นเดียวกับที่เอลีฮูทำ จงระวังอันตรายจากการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

แม้ว่าจะมีการชี้ให้เห็นว่าไม่เคยมีใครสร้างอนุสาวรีย์ให้กับนักวิจารณ์ แต่ก็ไม่ได้หยุดเราทุกคนที่ต้องการเป็นนักวิจารณ์ ระวังสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับคนอื่นให้มาก และหากคุณอยู่ในช่วงท้ายของคำวิจารณ์ก็อย่าแปลกใจ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์หลีกเลี่ยงการตัดสินคนอื่นแบบผิวเผิน ขอทรงประทานสติปัญญาและความอ่อนไหวต่อผู้ที่กำลังดิ้นรนต่อสู้ชีวิต ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้จับจ้องไปที่พระเยซูผู้นำที่แท้จริงเพียงองค์เดียว ที่ข้าพระองค์จะอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ และทำตามแบบอย่างของพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เนื่องจากฉันไม่มีกำลังทางกายภาพมากนัก ฉันจึงรักข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ “โดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กระโดดข้ามกำแพงได้” (สดุดี 18:29) “คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง” (ข้อ 32) “พระองค์ทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูง” (ข้อ 33ข) “พระองค์ทรงฝึกมือข้าพเจ้าให้ทำสงคราม” (ข้อ 34) พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ (ข้อ 35ก) “พระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์” (ข้อ 35ข) ข้อเหล่านี้ทั้งหมดในพระธรรมสดุดี 18 ช่วยฉัน เมื่อฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและร่างกายไม่ได้อยู่เหนือสิ่งอื่นใด คำพูดเหล่านี้เป็นกำลังใจจริง ๆ

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 18:32ก

“คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม