วัน 36

ใช้คำพูดของคุณอย่างไรให้ดี

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 4:1-9
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 24:1-31
พันธสัญญาเดิม โยบ 35:1-37:24

เกริ่นนำ

หากคุณรวบรวมคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ จะมีมากกว่า 1,000,000 คำในภาษาอังกฤษ คนทั่วไปรู้คำศัพท์ประมาณ 20,000 คำ และใช้คำศัพท์ 2,000 คำต่อสัปดาห์ และทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะพูดประมาณ 16,000 คำต่อวันโดยเฉลี่ย

คำพูดของคุณมีความสำคัญ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่จำนวนคำที่คุณพูด แต่เป็นประเภทของคำที่คุณเลือกและจุดประสงค์ที่คุณใช้ อัครสาวกยากอบ บอกเราว่า แม้ว่า “ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็ก ๆ แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โต” (ยากอบ 3:5) ในข้อความสำหรับวันนี้เราจะเห็นว่าคุณสามารถใช้คำพูดของคุณได้อย่างไรเช่นเดียวกับที่อัครสาวกยากอบได้อธิบาย ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ในแต่ละวันคุณมีศักยภาพมากที่อาจจะทำลายหรือเสริมสร้าง

ในข้อความของเราสำหรับวันนี้เราเห็นกุญแจหกประการในการใช้คำพูดของคุณให้เป็นประโยชน์

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 4:1-9

คำแนะนำของพ่อ

1ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อ
 และจงใส่ใจเพื่อจะได้ความรอบรู้
2เพราะข้าให้ภาษิตดีแก่พวกเจ้า
 อย่าทอดทิ้งคำสอนของข้า
3เมื่อข้าเป็นเด็กอยู่กับพ่อข้า
 อ่อนเยาว์และเป็นแก้วตาของแม่ข้า
4พ่อสอนข้าว่า
 “ให้ใจของเจ้ายึดถ้อยคำของพ่อไว้ให้มั่น
 จงรักษาบัญญัติของพ่อ และมีชีวิตอยู่
5จงเอาปัญญาและจงเอาความรอบรู้
 อย่าลืมและอย่าหันจากถ้อยคำแห่งปากของพ่อ
6อย่าทอดทิ้งปัญญา แล้วเธอจะรักษาเจ้าไว้
 จงรักเธอ แล้วเธอจะคุ้มครองเจ้า
7จุดเริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้คือ จงเอาปัญญา
 ไม่ว่าเจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความรอบรู้ไว้
8จงตีราคาปัญญาให้สูง แล้วเธอจะยกย่องเจ้า
 เธอจะให้เกียรติเจ้า เมื่อเจ้ากอดเธอไว้
9เธอจะเอามงคลงามสวมศีรษะเจ้า
 จะให้มงกุฎแห่งศักดิ์ศรีแก่เจ้า”

อรรถาธิบาย

1. ฟังคำพูดที่ชาญฉลาด

ผมไม่อยากถึงจุดจบของชีวิตและมองย้อนกลับไปด้วยความเสียใจกับการตัดสินใจที่ทำไป สติปัญญาช่วยให้คุณตัดสินใจในตอนนี้เพื่อที่คุณจะมีความสุขในภายหลัง

ในข้อนี้เราเห็นคุณค่าของการเรียนรู้จากคำพูดที่ชาญฉลาดและการสอนของผู้อื่น “จงยึดถ้อยคำของพ่อไว้ให้มั่น จงรักษาบัญญัติของพ่อ จงเอาปัญญาและจงเอาความรอบรู้ อย่าลืมและอย่าหันจากถ้อยคำแห่งปากของพ่อ” (ข้อ 4–5) ความเต็มใจที่จะเรียนรู้เป็นหัวใจสำคัญของปัญญา แม้ว่าจะต้องเรียนรู้อย่างหนัก แต่ก็มีค่ามหาศาล “ปัญญาเป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้นจงเอาปัญญา ไม่ว่าเจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความรอบรู้ไว้” (ข้อ 7ข)

ณ จุดนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ของคนหนุ่มจากคนแก่ บิดาสอนบุตรชายของตนว่า “จงฟังคำสั่งสอนของพ่อ (ข้อ 1) เด็ก ๆ จะได้รับการสนับสนุนให้เรียนรู้จากพ่อแม่ให้มากที่สุด พ่อแม่มีความรับผิดชอบที่จะส่งต่อสติปัญญาให้กับลูก ๆ ให้มากที่สุด

ตลอดชีวิตของคุณเรียนรู้คุณค่า เห็นคุณค่า และยอมรับมัน (ข้อ 8) อย่างที่ยายของผมเคยพูดว่า “วันที่ฉันหยุดเรียน ฉันขอตายดีกว่า”

ไม่เพียงพอที่จะฟังคำพูดที่ชาญฉลาด และมีชีวิตอยู่ ข้อ 2,4,5ข) การนำถ้อยคำของพระเจ้าไปปฏิบัติและคุณจะได้รับสติปัญญา

หากคุณได้รับปัญญาและความเข้าใจนี้ “เธอจะทำให้ชีวิตของคุณรุ่งโรจน์ เธอจะประดับชีวิตของคุณด้วยความสง่างาม เธอจะเติมเต็มวันของคุณด้วยความงาม” (ข้อ 8–9 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เติบโตในสติปัญญาและความเข้าใจ โดยการอ่านและฟังคำพูดที่ชาญฉลาด และนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติในชีวิตของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 24:1-31

การทรงพยากรณ์ถึงการทำลายพระวิหาร

 1พระเยซูเสด็จออกจากบริเวณพระวิหาร ระหว่างเสด็จไป บรรดาสาวกของพระองค์มาชี้อาคารทั้งหลายในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ทอดพระเนตร 2พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่า “สิ่งทั้งหมดนี้พวกท่านเห็นแล้วไม่ใช่หรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด”

หมายสำคัญของการสิ้นยุค

 3ระหว่างที่พระเยซูประทับบนภูเขามะกอกเทศ สาวกทั้งหลายมาเฝ้าเป็นส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอโปรดให้พวกข้าพระองค์ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง?” 4พระเยซูตรัสตอบว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ใครล่อลวงพวกท่าน 5เพราะว่าจะมีหลายคนมาโดยอ้างนามของเราและกล่าวว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และพวกเขาจะล่อลวงคนเป็นจำนวนมาก 6ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง 7เพราะว่า ประชาชาติกับประชาชาติ และอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ 8แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก
 9“เวลานั้นพวกเขาจะมอบตัวท่านให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าท่านทั้งหลายเสีย และประชาชาติทั้งหมดจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา 10ในเวลานั้นคนจำนวนมากจะถดถอยไปและจะทรยศกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังกันและกันด้วย 11ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนจะเกิดขึ้น และล่อลวงคนจำนวนมาก 12ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป 13แต่ใครสู้ทนถึงที่สุดก็จะได้รับการช่วยให้รอด 14ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง

ความวิบัติยิ่งใหญ่

 15“เพราะฉะนั้นเมื่อท่านเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ ตามพระวจนะที่กล่าวโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) 16เมื่อนั้นให้พวกที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปที่ภูเขา 17คนที่อยู่บนดาดฟ้า อย่าลงมาเก็บข้าวของออกจากบ้านของตน 18ส่วนคนที่อยู่ตามทุ่งนา อย่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของตน 19วิบัติแก่บรรดาผู้หญิงที่มีครรภ์ และมีลูกอ่อนกินนมอยู่ในเวลานั้น 20จงอธิษฐานขอให้วันที่ท่านหนีนั้นจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต 21เพราะว่าในเวลานั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย 22ถ้าไม่ได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่พวกที่ทรงเลือก จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า 23ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย 24เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้ 25นี่แน่ะ เราบอกพวกท่านไว้ก่อนแล้ว 26เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกท่านว่า ‘ดูซิ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ อย่าออกไป หรือบอกว่า ‘ดูซิ อยู่ที่ห้องชั้นใน’ ก็อย่าเชื่อ 27เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น 28ซากศพอยู่ที่ไหนฝูงนกแร้งก็จะรุมล้อมกันอยู่ที่นั่น

การเสด็จมาของบุตรมนุษย์

 29“แต่พอความทุกข์ลำบากในวันเหล่านั้นหมดแล้ว
ดวงอาทิตย์จะมืดไป
 และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์
 และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว
 30เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง 31แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมาก และให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศ ตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น

อรรถาธิบาย

2. ยึดมั่นในถ้อยคำของพระเยซู

โลกจะสิ้นสุดเมื่อใด? จะลงเอยอย่างไร? คำตรัสของพระเยซูที่มีต่อเหล่าสาวกเกี่ยวกับอนาคต พระองค์ทรงตอบคำถามของพวกเขาเกี่ยวกับการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม (ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70) และเกี่ยวกับเวลาสิ้นสุด (คำถามอยู่ในมัทธิว 24:2) ข้อความอาจดูสับสนเนื่องจากเป็นการยากที่จะแยกประเด็นทั้งสองออกจากกัน จุดประสงค์ของพระเยซูไม่ได้มีไว้เพื่อกำหนดเวลาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอนาคต แต่เพื่อช่วยให้สาวกของพระองค์ไม่ต้องกังวลหรือฟุ้งซ่านกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

พระเยซูตรัสในตอนท้ายของหัวข้อนี้ (ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันนี้และจะสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้) ว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายเลย” (ข้อ 35) มีความไม่แน่นอนมากเกี่ยวกับเวลาสิ้นสุด อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่ชัดเจน

  • จะมีการกล่าวข้ออ้างคำเท็จมากมาย (ข้อ 4–5,23–26)
  • จะมีการเปลี่ยนแปลงการประหัตประหาร การแบ่งแยกและแม้กระทั่งการล้มหายตายจากไป (ข้อ 6–12)
  • ความรักในร่างกายที่ยิ่งใหญ่ของผู้คนจะเย็นชา (ข้อ 12 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
  • เมื่อเกิดขึ้นจริง ทุกคนจะเห็นได้ชัด (ข้อ 27–31)

ครั้งแรกพระเยซูมาด้วยความอ่อนแอ ครั้งที่สองที่พระองค์มาพระองค์ทรงจะกลับมาด้วยฤทธานุภาพ (ข้อ 27,30–31)

ในขณะที่คุณรอพระเยซูเสด็จกลับมา จงยึดมั่นในถ้อยคำของพระองค์และอย่ายอมให้ความรักของคุณ “เย็นชาลง” (ข้อ 12) เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำให้หัวใจของคุณลุกเป็นไฟด้วยความรักที่มีต่อพระองค์ จดจำรักแรกของคุณ (วิวรณ์ 2:4) ดังที่ จอยส์ ไมเออร์ เขียนว่า “กระตุ้นความรักในชีวิตของคุณ ต่อคู่สมรสและต่อครอบครัวเพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงาน เข้าถึงผู้อื่นที่กำลังทำร้ายและต้องการความช่วยเหลือ อธิษฐานเผื่อผู้คนและอวยพรพวกเขา จงเติบโตจนถึงจุดที่หนึ่งในความคิดแรกของคุณทุกเช้า คือเกี่ยวกับวิธีที่คุณจะอวยพรคนอื่นในวันนั้น”

3. มองเห็นคำทำนาย

“คำทำนาย” เป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งใจฟังถ้อยคำของ “ศาสดาพยากรณ์” ข้อความนี้เตือนเราถึงความสำคัญของคำพยากรณ์ที่แท้จริง (แม้ว่าจะไม่มีคำพยากรณ์ในยุคปัจจุบันที่จะมีอำนาจในระดับเดียวกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ก็ตาม)

เราจำเป็นต้องแยกความแตกต่างระหว่างคำทำนายจริงและเท็จ พระเยซูทรงเตือนผู้เผยพระวจนะเท็จที่ “จะปรากฎตัวและล่อลวงผู้คนจำนวนมาก” (มัทธิว 24:11) พระองค์ทรงเตือนว่าผู้เผยพระวจนะเท็จจะพยายามหลอกลวงผู้คนโดยอ้างว่า “เราคือพระคริสต์” (ข้อ 4-5) ผู้คนจะพูดว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่ หรือ อยู่ที่โน่น” (ข้อ 23) พระเยซูทรงเตือนเราว่าอย่าเชื่อพวกเขา พวกเขาคือ “พระเมสสิยาห์ปลอมและนักเทศน์ที่โกหก [ที่] จะปรากฎขึ้นทุกที่” (ข้อ 24 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในทางกลับกันพระเยซูทรงรับรองถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะที่แท้จริง พระองค์ประกาศว่าถ้อยคำที่ “ตามพระวจนะที่กล่าวโดยดาเนียล” (ข้อ 15) จะสำเร็จ (ดูดาเนียล 9:27; 11:31; 12:11) พระองค์อ้างจากผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ (ดูอิสยาห์ 13:10; 34:4) “ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะถูกทำให้หวั่นไหว” (มัทธิว 24:29)

ในความเป็นจริง คำอธิบายของพระองค์เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระองค์ (ข้อ 27 เป็นต้นไปดูโดยเฉพาะข้อ 30) พระองค์กำลังอ้างโดยปริยายว่าเป็นบุตรมนุษย์ที่เป็นพระเมสสิยาห์ตามที่ดาเนียลพยากรณ์ไว้ (ดูดาเนียล 7:13)

4. พูดคำที่เปลี่ยนแปลงชีวิต

ถ้อยคำของพระเยซูเปลี่ยนชีวิตของผมโดยสิ้นเชิงเมื่ออายุผมสิบแปดปี ตั้งแต่นั้นมาผมก็เฝ้าดูด้วยความสุขและมักจะประหลาดใจในฤทธิ์เดชของถ้อยคำของพระองค์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนอื่น

ระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกของพระเยซูและการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ เราได้รับมอบหมายให้นำข่าวสารที่เปลี่ยนแปลงชีวิตโดยพระกิตติคุณไปสู่คนทั้งโลก “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง” (มัทธิว 24:14)

ถ้อยคำของพระกิตติคุณมีพลังและเปลี่ยนแปลงชีวิต อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ” (โรม 1:16) อย่ายอมแพ้กับการประกาศพระกิตติคุณ คุณมีสิทธิพิเศษอย่างยิ่งที่จะได้รับความไว้วางใจด้วยคำพูดที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนในรูปแบบที่จริงจัง สำหรับชีวิตนี้และไปสู่นิรันดร์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ถ้อยคำของพระองค์เป็นนิรันดร์ ขอบคุณสำหรับสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพระองค์สามารถใช้คำพูดที่ทรงพลังที่สุดในโลกเพื่อดูชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงโดยพระเยซู ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ใช้ทุกโอกาส เพื่อส่งข้อความนี้ไปยังผู้คนให้ได้มากที่สุด
พันธสัญญาเดิม

โยบ 35:1-37:24

เอลีฮูตำหนิโยบที่มั่นใจว่าตัวเองชอบธรรม

1เอลีฮูพูดต่อไปว่า
2“ท่านคิดว่า นี่ยุติธรรมหรือ
 ที่ท่านพูดว่า ‘ข้าชอบธรรมต่อพระเจ้า’?
3ที่ท่านถามว่า ‘ข้าจะได้ประโยชน์อะไร?
 ข้าจะได้อะไรจากการไม่ทำบาป?’
4ข้าพเจ้าจะตอบท่าน
 กับมิตรสหายของท่านด้วย
5จงมองดูท้องฟ้าเถิด
 ดูเมฆซึ่งอยู่สูงกว่าท่าน
6ถ้าท่านทำบาป ท่านได้ทำอะไรที่กระทบกระเทือนพระองค์หรือ?
 ถ้าการละเมิดของท่านทวีขึ้น ท่านได้ทำอะไรพระองค์เล่า?
7ถ้าท่านเป็นคนชอบธรรม ท่านถวายอะไรแก่พระองค์หรือ?
 หรือพระองค์ทรงรับอะไรจากมือของท่าน?
8ความอธรรมของท่านก็เป็นอันตรายแก่คนอย่างท่าน
 และความชอบธรรมของท่านก็เป็นประโยชน์แก่มนุษย์
9“เหตุด้วยการถูกบีบบังคับเป็นอันมาก เขาได้ร้องทุกข์
 เขาร้องขอความช่วยเหลือเนื่องด้วยแขนของผู้ทรงอำนาจ
10แต่ไม่มีสักคนพูดว่า ‘พระเจ้าผู้ทรงสร้างข้า
 ผู้ประทานบทเพลงในยามค่ำคืน อยู่ที่ไหน
11ผู้ทรงสอนเรามากกว่าสอนสัตว์ในแผ่นดินโลก
 และทรงทำให้เรามีปัญญากว่านกบนฟ้า?’
12เขาร้องทุกข์ ณ ที่นั่น แต่พระองค์มิได้ทรงตอบ
 เนื่องจากความเย่อหยิ่งของคนชั่ว
13แน่ละ พระเจ้ามิได้ทรงฟังเสียงลมๆ แล้งๆ
 และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็มิได้ใส่พระทัยเสียงนั้น
14จะยิ่งน้อยกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อท่านว่า ท่านไม่เห็นพระองค์
 และเมื่อว่า คดีนั้นก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และท่านคอยพระองค์อยู่
15บัดนี้ เพราะพระพิโรธของพระองค์มิได้ลงโทษ
 และพระองค์มิได้สนพระทัยการละเมิดแม้แต่น้อย
16เพราะฉะนั้น โยบจึงอ้าปากพูดคำลมๆ แล้งๆ
 และทวีคำพูดโดยปราศจากความรู้”

โยบ 36

เอลีฮูยกย่องความดีของพระเจ้า

1และเอลีฮูพูดต่อไปด้วยว่า
2“ขอทนอยู่กับข้าพเจ้าสักหน่อย และข้าพเจ้าจะสำแดงแก่ท่าน
 เพราะข้าพเจ้ามีบางสิ่งที่จะพูดแทนพระเจ้าอีก
3ข้าพเจ้าจะเอาความรู้มาจากที่ไกล
 และถวายความชอบธรรมแก่ผู้ทรงสร้างข้าพเจ้า
4เพราะที่จริงถ้อยคำของข้าพเจ้ามิใช่คำเท็จ
 ผู้รอบรู้อยู่กับท่าน
5“ดูเถิด พระเจ้าทรงอานุภาพ และมิได้ทรงดูหมิ่นผู้ใดเลย
 พระองค์ทรงอานุภาพในเรื่องกำลังแห่งความเข้าใจ
6พระองค์ไม่ทรงสงวนชีวิตคนอธรรม
 แต่ประทานความยุติธรรมแก่ผู้ทุกข์ยาก
7พระองค์มิได้ละพระเนตรจากคนชอบธรรม
 แต่กับบรรดาพระราชาบนพระบัลลังก์
 พระองค์ทรงตั้งเขาไว้เป็นนิตย์ และเขาได้รับการยกย่อง
8และถ้าเขาถูกล่ามโซ่ตรวน
 และติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์ใจ
9พระองค์ก็ทรงสำแดงกิจการของเขาทั้งหลายแก่เขา
 และสำแดงการละเมิดของเขาว่าเขาได้ประพฤติตัวด้วยความยโส
10พระองค์ทรงเบิกหูของเขาให้ฟังคำเตือนสอน
 และทรงบัญชาให้เขาหันจากความชั่วของเขา
11ถ้าเขาเชื่อฟังและปรนนิบัติพระองค์
 เขาจะอยู่ครบอายุของเขาด้วยความเจริญรุ่งเรือง
 และอยู่ครบปีของเขาด้วยความสุขใจ
12แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ก็จะพินาศด้วยดาบ
 และตายโดยปราศจากความรู้
13“คนที่ใจไม่นับถือพระเจ้าก็เก็บความโกรธไว้
 เมื่อพระองค์ทรงมัดเขา เขาก็ไม่ร้องให้ช่วย
14เขาตายเมื่อยังหนุ่ม
 และชีวิตของเขาสิ้นสุดลงท่ามกลางพวกเทวทาส
15พระองค์ทรงช่วยกู้ผู้ทุกข์ยากไว้ด้วยความทุกข์ยากของเขา
 และทรงให้ความลำเค็ญเบิกหูของเขา
16เออ พระองค์ทรงชวนท่านให้ออกมาจากความทุกข์ใจ
 มายังที่กว้างไร้ขอบเขตจำกัด
 และสิ่งที่วางบนโต๊ะของท่านก็มีแต่อาหารชั้นเลิศ
17“แต่ท่านถูกพิพากษาอย่างที่สมกับคนอธรรม
 การพิพากษาและความยุติธรรมจับท่านได้
18จงระวังเถิด เกรงว่าพระพิโรธจะล่อชวนท่านให้เย้ยหยัน
 และอย่าให้สินบนก้อนโตทำให้ท่านหลงไป
19ความร่ำรวยจะช่วยให้ท่านพ้นจากความทุกข์ใจหรือ?
 ความพยายามสุดกำลังของท่านจะช่วยท่านได้หรือ?
20อย่าอาลัยถึงกลางคืน
 เมื่อชนชาติทั้งหลายถูกตัดขาดในที่ของเขา
21ระวังให้ดี อย่าหันไปหาความชั่ว
 เพราะเหตุนี้ ท่านจึงถูกทดสอบด้วยความทุกข์ใจ
22ดูเถิด พระเจ้าทรงเป็นที่ยกย่องด้วยพลานุภาพของพระองค์
 ผู้ใดเป็นผู้สั่งสอนเหมือนอย่างพระองค์เล่า?
23ผู้ใดกำหนดเส้นทางให้พระองค์?
 หรือผู้ใดจะพูดได้ว่า ‘พระองค์ทรงทำผิดแล้ว’?

เอลีฮูประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

24“จงระลึกถึงที่จะยกย่องพระราชกิจของพระองค์
 ซึ่งมนุษย์ได้ร้องเพลงกล่าวถึงนั้น
25มนุษย์ทั้งปวงเพ่งดูสิ่งนั้นอยู่แล้ว
 มนุษย์เห็นสิ่งนั้นได้แต่ไกล
26ดูเถิด พระเจ้าก็ใหญ่ยิ่ง และเราหาหยั่งรู้ถึงพระองค์ไม่
 อายุของพระองค์เป็นสิ่งที่ค้นหากันไม่ได้
27เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป
 มันกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์
28ซึ่งเมฆเทลงมา
 และหยดลงที่มนุษย์อย่างอุดม
29เออ มีคนใดเข้าใจการแผ่ของเมฆ
 และการคะนองแห่งพลับพลาของพระองค์หรือ?
30ดูเถิด พระองค์ทรงกระจายฟ้าแลบออกไปรอบพระองค์
 และคลุมก้นบึ้งทะเล
31เพราะพระองค์ทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยสิ่งนี้
 พระองค์ประทานอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์
32พระองค์ทรงกุมฟ้าแลบไว้ในอุ้งพระหัตถ์
 และทรงบัญชาให้ฟ้าผ่าจุดที่หมายไว้
33เสียงครืนๆ ของมันประกาศเกี่ยวกับพระองค์
 และฝูงปศุสัตว์ก็ประกาศเกี่ยวกับพายุซึ่งจะมาถึง

โยบ 37

1“เรื่องนี้ทำให้หัวใจของข้าพเจ้าสั่นรัว
 สะทกสะท้านขวัญหนีดีฝ่อ
2จงฟัง จงฟังเสียงกัมปนาทของพระองค์
 และเสียงกระหึ่มที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
3พระองค์ทรงปล่อยให้ไปทั่วใต้ฟ้าทั้งสิ้น
 และฟ้าแลบของพระองค์ไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
4หลังจากนั้น พระสุรเสียงของพระองค์ครางกระหึ่มตามไป
 พระองค์แผดพระสุรเสียงอันทรงอำนาจ
 พระองค์มิได้ทรงหน่วงเหนี่ยวฟ้าแลบ เมื่อพระสุรเสียง
  ของพระองค์กังวานไป
5พระเจ้าเปล่งพระสุรเสียงกัมปนาทของพระองค์อย่างอัศจรรย์
 พระองค์ทรงทำการใหญ่โตซึ่งเราเข้าใจไม่ได้
6เพราะพระองค์ตรัสกับหิมะว่า ‘ตกลงบนแผ่นดินซี’
 และในทำนองเดียวกันก็ตรัสกับฝน
 และกับห่าฝนอันหนักของพระองค์
7พระองค์ทรงมัดมือของมนุษย์ทุกคน
 เพื่อทุกคนจะรู้พระราชกิจของพระองค์
8แล้วสัตว์ป่าจึงเข้าไปสู่รังของมัน
 และพักอยู่ในถ้ำของมัน
9พายุออกมาจากห้องทิศใต้
 และความหนาวมาจากลมเหนือ
10พระเจ้าประทานน้ำแข็งด้วยลมหายใจของพระองค์
 และน้ำกว้างใหญ่ก็แข็งตัว
11พระองค์ทรงบรรทุกความชุ่มชื้นไว้ที่เมฆทึบ
 ทรงกระจายเมฆที่มีฟ้าแลบออกไป
12เมฆหันไปรอบๆ ตามการทรงนำของพระองค์
 เพื่อให้สำเร็จกิจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชามัน
 เหนือผิวพิภพที่มนุษย์อาศัยอยู่ได้
13ไม่ว่าจะเพื่อการตีสอน หรือเพื่อแผ่นดินของพระองค์
 หรือเพื่อความรักมั่นคง พระองค์ทรงทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
14“ท่านโยบ ขอฟังข้อนี้
 จงนิ่งพิจารณาพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระเจ้า
15ท่านทราบหรือว่าพระเจ้าทรงกำชับเมฆ
 และทำให้ฟ้าแลบจากเมฆของพระองค์อย่างไร?
16ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆ
 ว่าเป็นพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ผู้รอบรู้หรือ?
17ตัวท่าน ผู้ที่เสื้อผ้าของตนร้อน
 เมื่อแผ่นดินสงบนิ่งเพราะลมร้อนแห่งทิศใต้หรือ?
18ท่านแผ่ฟ้าออกไปอย่างพระองค์
 ให้แข็งอย่างคันฉ่องที่หลอมด้วยโลหะได้หรือ?
19จงสอนเรามาว่าเราควรจะทูลพระองค์อย่างไร
 เพราะความมืด เราจึงร่างสำนวนของเราไม่ได้
20จะทูลพระองค์ได้ไหมว่า ข้าพระองค์อยากจะทูล?
 มีผู้ใดเคยพูดไหมว่าเขาอยากจะตาย?
21“ส่วนมนุษย์เพ่งดูแสงสว่างไม่ได้
 เมื่อมันสุกใสอยู่ในท้องฟ้า
 เมื่อลมผ่านและกวาดกลุ่มเมฆไป
22แสงทองส่องมาจากทิศเหนือ
 พระเจ้าทรงฉลองพระองค์ด้วยความโอ่อ่าตระการอย่างน่าเกรงขาม
23องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น เราไม่อาจค้นพบพระองค์ได้
 พระองค์ใหญ่ยิ่งในเรื่องฤทธานุภาพ
 และโดยความยุติธรรมและความชอบธรรมเป็นอันมากยิ่ง พระองค์จะไม่ทรงกดขี่
24เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงยำเกรงพระองค์
 พระองค์ไม่ทรงนับถือผู้ใดที่ถือตัวว่ามีปัญญา”

อรรถาธิบาย

5. หลีกเลี่ยงการพูดที่ไม่มีสาระ

การโจมตีทางวาจาของเอลีฮูยังคงดำเนินต่อไปโดยมีส่วนผสมของความเท็จและความจริงครึ่งเดียว เขากล่าวว่า 'ข้าพเจ้ามิใช่คำเท็จ' (36:4) จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็น เขาแนะนำว่าบาปของเราไม่ส่งผลกระทบต่อพระเจ้า (35:6) ในความเป็นจริงบาปของเรามีผลต่อพระเจ้า ดังที่เราเห็นอย่างยิ่งใหญ่ที่กางเขนของพระคริสต์

ช่างน่าขัน เขากล่าวบางอย่างที่ดูเหมือนจะเข้าตัวเขาเอง แต่ไม่เป็นจริงในตัวโยบ เขากล่าวว่า “เพราะฉะนั้น โยบจึงอ้าปากพูดคำลม ๆ แล้ง ๆ และทวีคำพูดโดยปราศจากความรู้“ (ข้อ 16) (“โยบ คุณพูดเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง เรื่องไร้สาระไม่หยุดหย่อน” ข้อ 16 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบเกี่ยวกับวาจาของเอลีฮู เป็นการพูดเปล่า ๆ โดยปราศจากความรู้และ 'มากความ' ที่เอลีฮูวิพากษ์วิจารณ์โยบ

ความจริงแล้ว เราทุกคนสามารถพูดเรื่องไร้สาระได้ ไม่ใช่พูดไม่ได้ แต่เราควรตระหนักถึงผลกระทบต่อชีวิตของผู้อื่นทางลิ้น คุณอาจมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจ คุณอาจมีชื่อเสียงหรือตำแหน่งที่ใหญ่โตหรือไม่มี แต่คุณมีอำนาจและศักยภาพที่มาจากความสามารถในการสื่อสารด้วยคำพูด

6. นำถ้อยคำของพระเจ้าไปปฏิบัติ

เอลีฮูพูดหลายอย่างในข้อนี้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า (37:4–13) ขอบคุณที่พระเจ้าทรงตรัสด้วยตัวของพระองค์เอง โล่งใจที่สุด! ที่เรามีบทต่อจากบทปลอบโยนจอมปลอมและถ้อยคำที่ว่างเปล่า เราอยู่ในโลกเช่นนี้ เป็นความโล่งใจเมื่อพระเจ้าตรัส ซึ่งพระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนมานาจากสวรรค์และน้ำในทะเลทราย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงให้คำพูดที่ข้าพระองค์พูดในวันนี้ได้รับการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าทรงโปรดปกป้องริมฝีปากของข้าพระองค์และปกป้องลิ้นของข้าพระองค์ ขอบคุณที่พระองค์ทรงตรัสกับข้าพระองค์และถ้อยคำของพระองค์มีพลังและเปลี่ยนแปลงชีวิตได้เป็นอย่างมาก ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ได้ยินถ้อยคำของพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะนำไปพูดและนำไปปฏิบัติได้

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ฉันพบว่า เอลีฮูเป็นคนน่าเบื่อ!

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 4:6พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

“อย่าเดินไปจากปัญญา เธอปกป้องชีวิตของคุณ”

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม