มิตรภาพที่ใกล้ชิด
เกริ่นนำ
นิค ฮิลส์ เป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่ผมเคยพบ เขาเป็นนักวิชาการและผู้รอบรู้ เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม เราเคยอยู่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเดียวกัน ประมาณสามเดือนหลังจากที่ผมพบกับพระเยซูคริสต์ครั้งแรก (ในฐานะนักเรียนปีหนึ่ง) เขาก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเยซูเช่นกัน (อันที่จริงเขาไปช่วยจัสติน เวลบี ซึ่งปัจจุบันเป็นอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี และเขามีความศรัทธาในพระเยซู) นิคเริ่มอ่านหนังสือศาสนศาสตร์เล่มหนาในทันที
ผมจำได้ว่าเคยถามเขาว่าอ่านเกี่ยวกับเรื่องอะไร เขาตอบมาว่ากำลังอ่านในเรื่อง “อุตรภาพ และอัพภันตรภาพ” ของพระเจ้าอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าสองคำนี่มันหมายความว่าอะไรจึงไปค้นคำสองคำนี้ในพจนานุกรม
คำว่า “อุตรภาพ” และ “อัพภันตรภาพ” อธิบายถึงลักษณะในความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าซึ่งดูแล้วมันเหมือนจะขัดแย้งกัน ความ “อุตรภาพ” ของพระเจ้าหมายความว่าพระเจ้าทรงไม่ได้อยู่ในข้อจำกัดของวงจรของสิ่งของวัตถุและจักรวาล พระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดโดยสิ่งเหล่านั้น แต่พระองค์ทรงอยู่เหนือขอบจำกัดของสิ่งเหล่านั้น พระองค์สูงส่ง พระองค์ทรงสันทัด และยิ่งใหญ่เหนือกว่าเรา
ในทางกลับกัน “อัพภันตรภาพ” ของพระเจ้าหมายความว่าเราสามารถสัมผัสและมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ในทันที ดังข้อความในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำหรับวันนี้ พระธรรมโยบได้กล่าวถึง “มิตรภาพที่ใกล้ชิดของพระเจ้า” (โยบ 29:4)
เมื่อคุณเข้าใจถึงอุตรภาพของพระเจ้า คุณก็จะเห็นได้ว่าอัพภันตรภาพของพระองค์นั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด และเป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่คุณจะสามารถมีมิตรภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าได้
สดุดี 18:7-15
7แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง
รากฐานของภูเขาก็หวั่นไหวด้วย
และสั่นสะเทือน เพราะพระองค์กริ้ว
8ควันออกไปตามช่องพระนาสิก
และเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
ถ่านก็ติดเปลวไฟนั้น
9พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วย
ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
10พระองค์ทรงเครูบแล้วทรงเหาะไป
พระองค์เสด็จไปอย่างรวดเร็วโดยปีกของลม
11พระองค์ทรงทำให้ความมืดปกคลุมพระองค์ไว้
ให้เมฆมืดที่อุ้มน้ำเป็นปะรำของพระองค์
12มีลูกเห็บและถ่านเพลิงแตกออกมาทะลุเมฆ
จากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์
13พระยาห์เวห์ทรงคำรนครืนครั่นในฟ้าสวรรค์
และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียง
เป็นลูกเห็บและถ่านเพลิง
14พระองค์ทรงแผลงศร ทำให้พวกเขากระจัดกระจาย
พระองค์ทรงพุ่งสายฟ้าออกไป ทำให้พวกเขาแตกหนี
15แล้วก้นทะเลก็ปรากฏ
อีกทั้งรากฐานของพิภพก็เผยโฉม
เมื่อพระองค์ทรงกำราบมัน ข้าแต่พระยาห์เวห์
ด้วยลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
อรรถาธิบาย
นมัสการพระเจ้าผู้ประทับเหนือกว่าสิ่งทรงสร้างและรักในการทรงสถิตอันยอดเยี่ยมของพระองค์
กษัตริย์ดาวิดกล่าวถึงการประทับที่น่าเกรงขามของพระเจ้า “แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง รากฐานของภูเขาก็หวั่นไหวด้วย และสั่นสะเทือน...จากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์ ...พระยาห์เวห์ทรงคำรนครืนครั่นในฟ้าสวรรค์ และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียง” (ข้อ 7, 12-13)
ในบทเพลงสดุดีนี้เราเห็นทั้งฤทธิ์เดชและพระพิโรธของพระเจ้าผู้ประทับเหนือกว่าสิ่งทรงสร้าง “สิ่งเหล่านั้นสั่นสะเทือน เพราะพระองค์กริ้ว” (ข้อ 7) พระพิโรธของพระเจ้า (แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยประสงค์ร้าย) เป็นปฏิกิริยาส่วนตัวของพระองค์ที่มีต่อบาป
หากเรามองไปยังการเหยียดเชื้อชาติ การค้ามนุษย์ การทารุณกรรมเด็ก การกดขี่ข่มเหงในองค์กร หรือความอยุติธรรมที่เลวร้ายอื่น ๆ โดยไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เราก็ล้มเหลวที่จะรัก ความขุ่นเคืองต่อความชั่วร้ายเป็นองค์ประกอบสำคัญของความดี ในเพลงสดุดีบทนี้ เราได้เห็นว่าพระพิโรธของพระเจ้าเป็นอีกด้านหนึ่งของความรักของพระองค์
ถึงกระนั้น นี่คือเพลงสดุดีบทที่กษัตริย์ดาวิดแสดงถึงความสนิทสนมระหว่างเขากับพระเจ้า โดยเริ่มต้นว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รักพระองค์” (ข้อ 1) ดาวิดไม่ได้มองข้ามคุณค่าของความสนิทสนมระหว่างเขากับพระเจ้า แต่เขาเข้าใจถึงสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ของการมีมิตรภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้อยู่เหนือกว่าสิ่งใด
คำอธิษฐาน
มัทธิว 21:33-22:14
อุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า
33“จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง มีเจ้าของที่ดินคนหนึ่งทำสวนองุ่นไว้ เขาทำรั้วล้อมรอบ ขุดบ่อย่ำองุ่นในสวนนั้น และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่า แล้วก็ไปต่างประเทศ 34เมื่อถึงฤดูเก็บพืชผล จึงใช้บรรดาทาสไปหาพวกคนเช่าสวน เพื่อจะรับพืชผลของเขา 35แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นจับคนของเขาไปเฆี่ยนตีคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างจนตายคนหนึ่ง 36เขาก็ใช้พวกทาสอื่นๆ ซึ่งมากกว่าครั้งก่อนไปอีก แต่พวกคนเช่าสวนก็ทำกับพวกเขาเช่นเดิม 37ภายหลังเขาก็ใช้บุตรของเขาไปหา กล่าวว่า ‘พวกเขาจะเคารพลูกของเรา’ 38แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมาก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ฆ่าเขาเสีย แล้วเราก็จะได้มรดกของเขา’ 39พวกเขาจึงพากันจับบุตรนั้นผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่า 40เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าของสวนมา ท่านจะทำอย่างไรกับพวกคนเช่าสวนนั้น?” 41พวกเขาทูลตอบว่า “ท่านจะฆ่าคนร้ายเหล่านั้นให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน และจะให้สวนนั้นแก่คนเช่าอื่นที่จะแบ่งพืชผลให้ตามฤดูกาล”
42พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือ ที่ว่า
‘ศิลาที่บรรดาช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว
กลับกลายเป็นศิลามุมเอก
สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นสิ่งอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา’
43เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน ยกให้กับชนชาติหนึ่งที่จะทำให้เกิดผลสมกับแผ่นดินนั้น [ 44ใครล้มทับศิลานี้ คนนั้นจะต้องแตกหักไป และศิลานั้นจะตกทับใคร คนนั้นจะแหลกละเอียดไป]”
45เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีได้ยินอุปมาเหล่านั้น ก็หยั่งรู้ว่าพระองค์ตรัสเล็งถึงพวกเขา 46เขาอยากจะจับพระองค์ แต่กลัวฝูงชน เพราะเขาทั้งหลายถือว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ
มัทธิว 22
อุปมาเรื่องงานเลี้ยงในพิธีอภิเษกสมรส
1พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาอีกว่า 2“แผ่นดินสวรรค์ เปรียบเสมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงจัดงานอภิเษกสมรสคำราชาศัพท์หมายถึง แต่งงานให้กับโอรสของพระองค์ 3แล้วทรงใช้พวกบ่าวไปเชิญคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญให้มางานอภิเษกสมรสนี้ แต่พวกเขาไม่อยากจะมา 4พระองค์จึงทรงใช้บ่าวอื่นๆ ไปอีก มีรับสั่งให้บอกผู้รับเชิญเหล่านั้นว่า ‘นี่แน่ะ เราเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว ทั้งวัวและลูกวัวอ้วนของเราก็ฆ่าไว้แล้ว ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว เชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสนี้เถิด’ 5แต่เขาทั้งหลายเพิกเฉยและเดินจากไป บางคนไปไร่นาของตน บางคนก็ไปค้าขาย 6พวกที่เหลือก็จับบ่าวมาทำการอัปยศต่างๆ แล้วฆ่าเสีย 7กษัตริย์องค์นั้นก็กริ้ว จึงมีรับสั่งให้กองทหารไปฆ่าฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองของพวกเขา 8แล้วพระองค์มีรับสั่งกับพวกบ่าวว่า ‘งานอภิเษกสมรสเตรียมพร้อมแล้ว แต่พวกที่ได้รับเชิญนั้นไม่คู่ควร 9เพราะฉะนั้นจงออกไปตามถนนสำคัญๆ ต่างๆ เชิญทุกคนที่พวกเจ้าพบมาร่วมงานอภิเษกสมรสนี้’ 10บ่าวจึงออกไปตามถนนต่างๆ และรวบรวมทุกคนที่พบ ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวจนห้องโถงงานอภิเษกสมรสนั้นเต็มไปด้วยแขก
11“แต่เมื่อกษัตริย์องค์นั้นเสด็จไปทอดพระเนตรแขกทั้งหลาย ก็ทอดพระเนตรเห็นคนหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส 12จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ทำไมท่านมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส?’ คนนั้นก็นิ่งอั้นอยู่พูดไม่ออก 13กษัตริย์จึงมีรับสั่งกับพวกคนรับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปโยนทิ้งบริเวณที่มืดข้างนอก ซึ่งเป็นที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 14เพราะว่าคนที่ได้รับเชิญก็มีมาก แต่คนที่ได้รับการทรงเลือกก็มีน้อย”
อรรถาธิบาย
ยอมรับคำเชิญขององค์พระเจ้าและมีความสุขไปกับความใกล้ชิดสนิทสนมที่มาจากพระองค์
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเราได้เฉลิมฉลองให้กับงานพิธิอภิเษกสมรสถึงสองงานด้วยกันในสหราชอาณาจักร อันได้แก่งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมกับแคทเธอรีน มิดเดิลตัน และเจ้าชายแฮร์รีกับเมแกน มาร์เคิล ลองนึกดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าคุณเปิดตู้จดหมายของคุณและพบบัตรเชิญส่วนตัวไปร่วมพิธีสมรสของพวกเขา พระเยซูตรัสว่าเราทุกคนได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
พระเยซูอธิบายถึงแผ่นดินของพระเจ้าว่าเป็นดั่งสวนองุ่นและเหมือนงานเลี้ยงอภิเษกสมรม ทั้งสองภาพนี้พูดถึงพระเมตตาของพระเจ้าและความรักอันอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อคุณ
แต่ความรักของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของความอ่อนโยนเสมอไป อีกครั้ง ที่เราได้เห็นอีกด้านหนึ่งของความรักและความเมตตาของพระเจ้าผ่านการพิพากษาของพระองค์ต่อผู้ที่ปฏิเสธความรักและกระทำความชั่ว (21:35 เป็นต้นไป) เมื่อ “คนเช่าสวนจับคนของเขา(เจ้าของสวน)ไปเฆี่ยนตีคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างจนตายคนหนึ่ง” (ข้อ 35) และในการทรยศครั้งท้ายสุดคือเมื่อพวกเขาจับลูกชายของเจ้าของสวนและ “ผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่า” เสีย (ข้อ 39) หลังจากนั้นตามมาด้วยการพิพากษาคดีเกิดขึ้น (ข้อ 41)
พระเยซูกำลังพยากรณ์เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เอง พระองค์เป็น “บุตร” และ “ทายาท” (ข้อ37–38) ที่พระเจ้าส่งมา กระนั้นพวกคนเช่ากลับ “ฆ่าเขาเสีย” (ข้อ 39) พระองค์ทรงเป็นศิลาที่ “บรรดาช่างก่อสร้างทิ้งแล้ว กลับกลายเป็นศิลามุมเอก”(ข้อ 42) พระองค์เป็นผู้พิพากษา (ข้อ 44) การพิพากษากำลังจะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการที่พวกเขาปฏิเสธพระเยซู (พวกเขากำลังหาวิธีที่จะจับกุมพระเยซู ข้อ 46)
เช่นเดียวกันในกรณีของงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของกษัตริย์องค์หนึ่ง พระเจ้าทรงเชื่อเชิญเราให้มีส่วนในการใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์ นี่ถือเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีอภิเษกสมรสนี้ เป็นการเชิญที่มีค่ายิ่ง (ข้อ 4) และเป็นการเชิญอย่างเปิดกว้าง (ข้อ 9–10) และทุกคนก็ได้รับเชิญนี้ที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก (ข้อ 1–4)
ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่พระเยซูทรงเปรียบเทียบแผ่นดินของพระเจ้ากับงานเลี้ยง นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่หลายคนคิดเกี่ยวกับพระเจ้า คริสตจักรและความเชื่อ พวกเขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่มัวหมอง ซอมซ่อและน่าเบื่อ แต่พระเยซูตรัสว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นดั่งงานเฉลิมฉลอง เป็นการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความสุขและงานเลี้ยง
อย่างไรก็ตามมีบางคนเมื่อถูกเตือนเรื่องคำเชิญ “เพียงยักไหล่และไปเสีย บางคนไปไร่นาของตน บางคนก็ไปทำการค้าขาย” (22:5 ม พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทรัพย์สินและงานของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์ต่อองค์พระเยซู บางคนหยาบคายและโหดร้ายเป็นอย่างมาก พวกเขา “จับบ่าวมาทำการอัปยศต่าง ๆ แล้วฆ่าเสีย” (ข้อ 6) พระเยซูตรัสว่า “กษัตริย์องค์นั้นก็กริ้ว” (ข้อ 7)
คำเชิญที่น่าอัศจรรย์และแสนวิเศษของพระเจ้านี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรเมินหรือเพิกเฉยไป นี่เป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าผู้มีชัยเหนือทุกสิ่งกำลังเชิญให้คุณมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์ อย่างไรก็ตามการเดินเข้างานไปเฉย ๆ นั้นยังไม่เพียงพอ คุณต้องสวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส (ข้อ11–13) คุณไม่สามารถเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ตามแต่เงื่อนไขของคุณเอง จำเป็นต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของพระเยซูเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ พระเยซูได้จัดเตรียมเสื้อที่คุณคู่ควรไว้ให้แล้ว
คำอธิษฐาน
โยบ 25:1-29:25
บิลดัดว่า ‘มนุษย์จะชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร?’
1แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ตอบว่า
2“พระองค์ทรงอำนาจครอบครองและน่าเกรงกลัว
พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพในที่สูงของพระองค์
3กองทัพของพระองค์จะนับจำนวนได้หรือ?
ความสว่างของพระองค์ส่องไม่ถึงผู้ใดบ้าง?
4แล้วมนุษย์จะชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร?
คนที่เกิดจากผู้หญิงจะสะอาดได้อย่างไร?
5ดูเถิด แม้ดวงจันทร์ก็ไม่สุกใส
และดวงดาวก็ไม่สะอาดในสายพระเนตรของพระองค์
6มนุษย์ผู้เป็นเพียงตัวดักแด้จะสะอาดน้อยยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
และบุตรของมนุษย์เล่า ผู้เป็นเพียงตัวหนอน”
โยบ 26
โยบตอบว่า ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามิอาจคะเนได้
1แล้วโยบตอบว่า
2“แหม ท่านได้ช่วยผู้ไม่มีกำลังแล้วสินะ
ท่านได้ช่วยแขนที่ไม่มีแรงแล้วหนอ
3ท่านได้ให้คำปรึกษาแก่คนที่ไม่มีปัญญา
และได้ให้คำแนะนำดีๆ มากมายหนอ
4ท่านเปล่งวาจาออกมาด้วยความช่วยเหลือของผู้ใด?
และผู้ใดดลใจให้ท่านพูดเช่นนั้น?
5วิญญาณคนตายกลัวจนตัวสั่น
ใต้น้ำและผู้อาศัยในน้ำนั้นก็เช่นกัน
6แดนคนตายเปลือยอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
และแดนพินาศไม่มีผ้าห่ม
7พระองค์ทรงคลี่อุดรออกคลุมที่เวิ้งว้าง
และแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า
8พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์
และเมฆก็ไม่ปริออกเพราะน้ำนั้น
9พระองค์ทรงคลุมด้านหน้าของพระบัลลังก์
และคลี่เมฆของพระองค์ออกคลุมมันไว้
10พระองค์ทรงขีดเส้นรอบวงไว้บนพื้นน้ำ
เป็นเขตระหว่างความสว่างและความมืด
11เสาฟ้าก็หวั่นไหว
และประหลาดใจเมื่อทรงขนาบ
12ด้วยพลานุภาพ พระองค์ทรงปราบทะเลให้สงบ
ด้วยความเข้าพระทัย พระองค์ทรงฟาดราหับแหลกยับไป
13พระองค์ทรงทำให้ฟ้าสวรรค์สดใสด้วยกระแสลมของพระองค์
พระหัตถ์ของพระองค์แทงพญานาคที่กำลังหนีไป
14นี่แน่ะ เหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวพระราชกิจของพระองค์
ที่เราได้ยินถึงพระองค์ก็เป็นเพียงเสียงกระซิบ
ผู้ใดจะเข้าใจถึงฤทธิ์กัมปนาทอันเกรียงไกรของพระองค์ได้”
โยบ 27
โยบยังรักษาความซื่อสัตย์ของตนอยู่
1และโยบได้ยกกลอนภาษิตของตนมากล่าวอีกว่า
2“พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงนำความยุติธรรมของข้าไปเสีย
และองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงทำให้ใจข้าขมขื่น
3ลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด
และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในจมูกข้าตราบใด
4ริมฝีปากข้าจะไม่พูดความเท็จ
และลิ้นข้าจะไม่เปล่งคำหลอกลวง
5เมินเสียเถิดที่ข้าจะพูดว่าพวกท่านชอบธรรม
ข้าจะไม่ยอมทิ้งความซื่อสัตย์ของข้าจนวันตาย
6ข้ายึดความชอบธรรมของข้าไว้มั่นไม่ยอมปล่อยไป
จิตใจของข้าไม่ตำหนิข้า ไม่ว่าวันใดในชีวิตของข้า
7“ขอให้ศัตรูของข้าเป็นเหมือนคนอธรรม
และขอให้ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าเป็นเหมือนคนชั่ว
8เพราะคนที่ไม่นับถือพระเจ้าจะมีความหวังอะไร
เมื่อพระเจ้าทรงตัดเขาออกไปเสีย
เมื่อพระเจ้าทรงเอาชีวิตของเขาไป?
9พระเจ้าจะทรงฟังเสียงร้องของเขา
เมื่อความยากลำบากมาถึงเขาหรือ?
10เขาจะปีติยินดีในองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ?
เขาจะกราบทูลพระเจ้าทุกเวลาหรือ?
11ข้าจะสอนท่านทั้งหลายเรื่องฤทธิ์อำนาจ
ข้าจะไม่ปิดบังพระดำริขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
12ดูเถิด ท่านทุกคนได้เห็นเองแล้ว
ทำไมท่านจึงพูดเหลวไหลเช่นนั้นเล่า?
13“นี่เป็นส่วนของคนอธรรมจากพระเจ้า
และเป็นมรดกซึ่งผู้บีบบังคับได้รับจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
14ถ้าลูกหลานของเขาเพิ่มขึ้น ก็เพื่อถูกดาบ
และพงศ์พันธุ์ของเขาจะหาไม่พอกิน
15คนของเขาที่รอด โรคระบาดก็จะฝังเสีย
และเมียม่ายของเขาจะไม่คร่ำครวญ
16ถึงเขาจะสะสมเงินไว้มากดั่งผงคลีดิน
และกองเสื้อผ้าไว้ดั่งดินเหนียว
17เขาจะกองไว้ก็ได้ แต่คนชอบธรรมจะสวม
และคนไร้ผิดจะแบ่งเงินกัน
18บ้านที่เขาสร้างจะเหมือนรังไหมของดักแด้
เหมือนเพิงที่คนยามสร้าง
19เขานอนลงกับความมั่งคั่ง แต่เขาจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นต่อไป
เมื่อเขาลืมตา ทรัพย์สมบัติของเขาก็ไม่อยู่แล้ว
20ความสยดสยองท่วมเขาเหมือนน้ำท่วม
ในกลางคืนพายุหอบเขาไป
21ลมตะวันออกหอบเขาขึ้น และเขาก็จากไป
มันกวาดเขาออกไปจากที่ของเขา
22มันจะเหวี่ยงเขาอย่างไม่ปรานี
เขาจะรีบหนีจากพลังของมัน
23มันจะตบมือเย้ยเขา
และโห่ไล่เขาออกไปจากที่ของเขา
โยบ 28
จะพบปัญญาได้ที่ไหน?
1“แน่ละ มีเหมืองสำหรับแร่เงิน
และมีที่สำหรับทองคำที่เขาถลุง
2เหล็กเขาเอามาจากดิน
และทองแดงเขาหลอมเอาจากหิน
3มนุษย์กำจัดความมืด
และค้นหาไปยังที่ไกลสุด
ค้นแร่ดิบในที่มืดครึ้มและที่มืดทึบ
4เขาขุดปล่องไกลจากที่คนอาศัย
คนสัญจรไปมาลืมเขาแล้ว
เขาห้อยโหนแกว่งไกวอยู่ไกลจากผู้คน
5แผ่นดินนั้นมีอาหารออกมา
แต่ข้างใต้ก็สับสนอย่างถูกไฟไหม้
6ก้อนหินของที่นั่นเป็นที่อยู่ของไพลิน
และมันมีผงทองคำ
7“เหยี่ยวไม่รู้จักทางนั้น
และตาของเหยี่ยวดำก็หาเห็นไม่
8สัตว์ป่าที่งามสง่าไม่เหยียบที่นั่น
สิงห์ไม่ผ่านไปที่นั่น
9“เขายื่นมือไปที่หินแข็ง
และคว่ำภูเขาลงถึงราก
10เขาขุดร่องน้ำในศิลา
และดวงตาเขาเห็นของล้ำค่าทุกอย่าง
11เขากั้นตาน้ำไว้
แล้วสิ่งที่ซ่อนเร้นก็ปรากฏแจ้ง
12“แต่จะพบปัญญาได้ที่ไหน?
และความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
13มนุษย์ไม่รู้จักคุณค่าของปัญญา
และในแผ่นดินของคนเป็นก็หาไม่พบ
14ที่ลึกพูดว่า “ที่ข้าไม่มี”
และทะเลกล่าวว่า “ไม่อยู่กับข้า”
15จะเอาทองซื้อก็ไม่ได้
และจะชั่งเงินให้ตามราคาก็ไม่ได้
16จะตีราคาเป็นทองคำเมืองโอฟีร์ก็ไม่ได้
หรือเป็นโอนิกซ์ล้ำค่า หรือไพลินก็ไม่ได้
17จะเทียบเท่าทองคำและแก้วก็ไม่ได้
หรือจะแลกกับเครื่องทองคำนพคุณก็ไม่ได้
18อย่าเอ่ยถึงกัลปังหาและแก้วผลึกเลย
ค่าของปัญญาสูงกว่าทับทิม
19เพอริโดแห่งคูชก็เปรียบกับปัญญาไม่ได้
หรือจะตีราคาเป็นทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่ได้
20“ดังนั้นปัญญามาจากไหนเล่า?
และความเข้าใจอยู่ที่ไหน?
21เป็นสิ่งที่ซ่อนพ้นดวงตาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
และปิดบังไว้จากนกบนฟ้า
22แดนพินาศและมัจจุราชกล่าวว่า
‘เราได้ยินเสียงลือเรื่องปัญญากับหู’
23“พระเจ้าทรงทราบทางไปหาปัญญานั้น
และทรงทราบที่อยู่ของปัญญาด้วย
24เพราะพระองค์ทอดพระเนตรไปถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
และทรงเห็นทุกสิ่งใต้ฟ้าสวรรค์
25เมื่อพระองค์ประทานแรงแก่ลม
และตวงน้ำด้วยเครื่องตวง
26เมื่อพระองค์ทรงสร้างกฎให้ฝน
และสร้างทางไว้ให้แสงแลบของฟ้าผ่า
27แล้วพระองค์ทอดพระเนตรปัญญาและทรงชันสูตร
ทรงสถาปนาไว้และทรงวิจัย
28และพระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า
‘ดูเถิด ความยำเกรงองค์เจ้านาย นั่นแหละคือปัญญา
และการหันเสียจากความชั่วร้าย คือความเข้าใจ’ ”
โยบ 29
โยบยุติการโต้คารม
1แล้วโยบยกกลอนภาษิตของตนมากล่าวอีกว่า
2“โอ ข้าอยากจะอยู่อย่างแต่เก่าก่อน
อย่างในสมัยเมื่อพระเจ้าทรงพิทักษ์ข้า
3เมื่อประทีปของพระองค์ส่องเหนือศีรษะข้า
และข้าเดินฝ่าความมืดไปด้วยความสว่างของพระองค์
4อย่างเมื่อครั้งข้ายังหนุ่มแน่นอยู่
เมื่อพระเจ้าทรงปกป้องเต็นท์ของข้าไว้
5เมื่อองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังอยู่กับข้า
และลูกหลานห้อมล้อมข้า
6เมื่อเขาล้างย่างเท้าของข้าด้วยนมข้น
และก้อนหินเทธารน้ำมันออกให้ข้า
7เมื่อข้าออกมายังประตูเมือง
เมื่อข้านั่งลงที่ลานเมือง
8คนหนุ่มๆ เห็นข้าแล้วก็หลีกไป
คนสูงอายุลุกขึ้นยืน
9เจ้านายหยุดพูด
เอามือปิดปากของตนไว้
10เสียงของขุนนางก็สงบลง
และลิ้นของเขาก็เกาะติดเพดานปาก
11เมื่อหูได้ยินแล้ว ต่างก็เยินยอข้า
และเมื่อตาเห็นแล้ว ก็ยกย่องข้า
12เพราะข้าช่วยคนยากจนที่ร้องให้ช่วย
และเด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดอุปถัมภ์
13พรของคนที่กำลังจะตายก็มาถึงข้า
และข้าทำให้จิตใจของหญิงม่ายร้องเพลงด้วยความชื่นบาน
14ข้าสวมความชอบธรรม และมันก็ห่อหุ้มข้าไว้
ความยุติธรรมของข้าเหมือนเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะ
15ข้าเป็นดวงตาให้คนตาบอด
และเป็นเท้าให้คนง่อย
16ข้าเป็นบิดาให้คนขัดสน
และข้าเป็นธุระคดีความให้ผู้ที่ข้าไม่รู้จัก
17ข้าหักเขี้ยวเล็บของคนที่ไม่ชอบธรรม
และได้ดึงเอาเหยื่อจากฟันของเขา
18แล้วข้าคิดว่า ‘ข้าจะตายในรังของข้า
และข้าจะทวีวันเวลาของข้าอย่างทราย
19รากของข้าจะแผ่ไปถึงน้ำ
มีน้ำค้างบนกิ่งของข้าตลอดคืน
20ศักดิ์ศรีของข้าสดชื่นอยู่กับข้า
และคันธนูของข้าใหม่เสมออยู่ในมือข้า’
21“คนทั้งหลายฟังข้าและคอยอยู่
และนิ่งเงียบอยู่ฟังคำปรึกษาของข้า
22หลังจากที่ข้าพูดแล้ว เขาก็ไม่พูดอีกเลย
และคำของข้าก็กลั่นลงมาเหนือเขา
23เขาคอยข้าเหมือนคอยฝน
เขาอ้าปากเหมือนรอรับน้ำฝนชุกปลายฤดู
24ข้ายิ้มให้ เขาก็ไม่เชื่อ
และใบหน้ายิ้มแย้มของข้า เขามิได้คาดหวังว่าจะเห็น
25ข้าเลือกทางให้เขา และนั่งเป็นหัวหน้า
ข้าอยู่อย่างกษัตริย์ท่ามกลางกองทหาร
อย่างผู้ปลอบโยนคนที่คร่ำครวญ
อรรถาธิบาย
เข้าใจการประทับเหนือกว่าสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าและรับรู้และการทรงสถิตในทุกแห่งหนของพระองค์\t
คุณเคยรู้สึกหนักอึ้งจากปัญหาและความยากลำบากที่คุณกำลังเผชิญอยู่หรือไม่ คุณสงสัยในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า หรือคิดสงสัยว่าพระองค์อยากจะช่วยเหลือคุณไหม?
โยบเข้าใจถึงการประทับเหนือกว่าสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า โยบกล่าวว่า 'ข้าจะสอนท่านทั้งหลายเรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า' (27:11ก) โยบชี้ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เรามองเห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผ่านทางธรรมชาติรอบตัวเรา เป็นเพียง 'เศษเสี้ยวของผลงานของพระองค์' (26:14)
พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือคุณ
พระเจ้าไม่เพียงมีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือคุณเท่านั้น แต่พระองค์ทรงรักคุณมากพอที่จะทำเช่นนั้น โยบ ทราบทุกอย่างเกี่ยวกับการทรงสถิตในทุกแห่งหนของพระเจ้า เขาได้สัมผัสกับ 'มิตรภาพอันใกล้ชิดของพระเจ้า' (29: 4) ที่ซึ่งเขาพบปัญญาแท้
“ดูเถิด ความยำเกรงองค์เจ้านาย นั่นแหละคือปัญญา และการหันเสียจากความชั่วร้าย คือความเข้าใจ” (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) “ความยำเกรงพระเจ้า” หมายความถึง การให้เกียรติแด่พระเจ้า ในความสัมพันธ์ที่ให้เกียรติพระเจ้านี้เองที่คุณจะได้พบปัญญา ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระเยซูคริสต์เป็น พระปัญญาของพระเจ้า ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเยซูคุณจะพบกับปัญญาที่แท้จริง
โยบอธิบายถึงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของพระปัญญานี้ว่า “แต่จะพบปัญญาได้ที่ไหน …จะเอาทองซื้อก็ไม่ได้ และจะชั่งเงินให้ตามราคาก็ไม่ได้…พระเจ้าทรงเข้าใจถึงหนทางไปสู่ปัญญา และพระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่ว่าปัญญาอยู่ที่ไหน…” ดูเถิด ความยำเกรงองค์เจ้านาย นั่นแหละคือปัญญา และการหันเสียจากความชั่วร้าย คือความเข้าใจ” (28:12,15–28)
ปัญญานี้นำไปสู่ชีวิตแบบไหนหรือ ปัญญาจะนำไปสู่การหันเสียจากความชั่วร้าย (ข้อ 28) และการดูแลคนยากจน (29:12) โยบอธิบายชีวิตที่ชอบธรรมอย่างแท้จริงว่า เป็นการช่วย “คนยากจน…เด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดอุปถัมภ์… คนกำลังจะตาย หญิงม่าย คนตาบอด คนง่อย คนขัดสน คนแปลกหน้า” (ข้อ 12–16) โยบไม่เพียง แต่คำนึงถึงความยากจนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความยุติธรรมด้วย “ข้าสวมความชอบธรรม และมันก็ห่อหุ้มข้าไว้ ความยุติธรรมของข้าเหมือนเสื้อคลุมและผ้าโพกศีรษะ…ข้าหักเขี้ยวเล็บของคนที่ไม่ชอบธรรม และได้ดึงเอาเหยื่อจากฟันของเขา” (ข้อ 14,17)
เมื่อคุณเข้าใกล้พระเจ้าด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิด สิ่งที่พระองค์ห่วงใยจะกลายเป็นความห่วงใยของคุณ เช่นเดียวกับโยบ คุณจะปรารถนาที่จะช่วยเหลือคนยากจน เด็กกำพร้า คนไร้บ้าน และหญิงม่าย คุณจะอยากช่วยเหลือบรรดาเหยื่อของความอยุติธรรม คุณจะพยายามดูแลคนตาบอด คนง่อย คนขัดสน และผู้ลี้ภัยในแผ่นดินของคุณ
โยบไม่ได้สูญเสียความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าไป แต่เขาได้สูญเสียความรู้สึกถึงความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่จับต้องได้ ผ่านความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด สำหรับโยบ ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ ตัวคุณอาจกำลังประสบความทุกข์ยากลำบากเช่นโยบในเวลานี้ และหากคุณเป็นเช่นนั้น ขอให้เรื่องราวของชีวิตโยบเป็นกำลังใจให้คุณ
เมื่อเราอ่านจนถึงตอนท้ายของหนังสือโยบ เราเข้าใจแล้วว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเขา พระเจ้าทรงอวยพรเขามากเกินกว่าที่เขาจะทูลขอ หรือจินตนาการได้ พระเจ้าทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์คืนให้กับโยบ
บัดนี้ โดยทางพระเยซู เราทุกคนสามารถมีประสบการณ์กับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและรู้ว่าเราได้รับพรอันสูงสุดจากพระองค์ที่มีต่อชีวิตของเรา
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เราทุกคนต้องการจะปลอบโยนเพื่อนของเรา ในเวลาที่พวกเขาต้องการ และอย่างน้อยเพื่อนของโยบก็ไปเยี่ยมเขา ในบางครั้ง เมื่อเราพยายามอย่างที่สุดในการทำความเข้าใจกับความทุกข์ของเพื่อนหรือพยายามช่วยเหลือ สิ่งที่เราพูดอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลย! ยากมากที่จะปลอบโยนใครบางคนเมื่อเขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายแสนสาหัส บางคนทำได้อย่างถูกต้อง แต่บ่อยครั้งเหลือเกิน สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้ นั่นคือเพียงแค่ฟังเพื่อนระบายอยู่เป็นเพื่อนเขา ณ ตรงนั้น และอธิษฐานเผื่อเขา
ข้อพระคำประจำวัน
มัทธิว 22:4
“...ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว เชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสนี้เถิด”
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)