วัน 263

วิธีจัดการกับความขัดแย้ง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 109:1-20
พันธสัญญาใหม่ กาลาเทีย 5:7-26
พันธสัญญาเดิม อิสยาห์ 47:1-49:7

เกริ่นนำ

‘พระคัมภีร์บอกให้เรารักเพื่อนบ้านและรักศัตรูของเราด้วย อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นคน ๆ เดียวกัน!’ เขียนโดย จี.เค. เชสเตอร์ตัน

ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่พวกหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าก็เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเราดำเนินชีวิตไป เราจะต้องเผชิญกับคนที่เราจะขัดแย้งด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ สำหรับคริสเตียน ยังมีความขัดแย้งภายในระหว่างความปรารถนาของธรรมชาติที่เป็นบาปของเรากับพระวิญญาณบริสุทธิ์

เราอาจประสบกับความขัดแย้งเมื่อเรายืนหยัดเพื่อความจริงภายในคริสตจักร หรือเมื่อเรามีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมที่แพร่หลาย แม้แต่ในสหราชอาณาจักร ประเทศซึ่งวัดจากประเพณีแล้วสมควรถูกมองว่าเป็น ‘คริสเตียน’ วัฒนธรรมที่แพร่หลายก็เริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อความเชื่อของคริสเตียนมากขึ้น

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 109:1-20

คำร่ำร้องขอพระเจ้าทรงแก้แค้น

ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระเจ้า ผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญ ขออย่าทรงนิ่งเสีย
2เพราะคนอธรรมและคนหลอกลวงใส่ร้ายข้าพระองค์
 เขาพูดปรักปรำข้าพระองค์ด้วยลิ้นมุสา
3พวกเขาล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยถ้อยคำเกลียดชัง
 และโจมตีข้าพระองค์โดยไร้เหตุผล
4พวกเขาตอบแทนความรักของข้าพระองค์โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าพระองค์
 ส่วนข้าพระองค์ได้แต่อธิษฐาน
5พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่ว
 และตอบแทนความรักของข้าพระองค์ด้วยความเกลียดชัง
6พวกเขากล่าวว่าภาษาฮีบรูไม่มีข้อความนี้ “ขอทรงตั้งคนอธรรมปรักปรำเขา
 และให้ปรปักษ์ยืนที่ขวามือของเขาหมายถึง ให้ศัตรูฟ้องร้องเขาในคดีความ
7เมื่อเขาถูกตัดสินความ ก็ให้ปรากฏว่าเขาผิด
 และให้คำอธิษฐานของเขากลายเป็นบาป
8ขอให้วันเวลาของเขาน้อย
 ขอให้อีกผู้หนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา
9ขอให้ลูกๆ ของเขากำพร้าพ่อ
 และภรรยาของเขาเป็นม่าย
10ขอให้ลูกของเขาต้องพเนจรขอทานไป
 ขอให้พวกเขาเสาะหาอาหารจากที่ปรักหักพังของตน
11ขอให้เจ้าหนี้มายึดของทั้งสิ้นที่เขามีอยู่
 ขอคนต่างถิ่นมาปล้นผลผลิตของเขาไป
12ขออย่าให้ผู้ใดกรุณาเขา
 อย่าให้ผู้ใดสงสารลูกกำพร้าของเขา
13ขอให้วงศ์วานของเขาถูกทำลาย
 ขอให้ชื่อของพวกเขาถูกลบไปในคนรุ่นต่อมา
14ขอพระยาห์เวห์ทรงระลึกถึงความชั่วของบรรพบุรุษของเขา
 และอย่าทรงลบบาปของมารดาเขา
15ขอให้บาปเหล่านั้นอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอ
 เพื่อจะทรงตัดอนุสรณ์ของพวกเขาเสียจากแผ่นดินโลก
16เพราะเขาไม่คิดที่จะแสดงความกรุณา
 แต่ได้ข่มเหงคนยากจนและคนขัดสน
 และคนท้อใจจนตาย
17เขารักที่จะแช่ง ขอให้คำแช่งตกบนเขา
 เขาไม่ยินดีที่จะให้พร ขอให้พรห่างไกลจากเขา
18เขาสวมการแช่งอย่างกับสวมเสื้อผ้า
 ขอให้มันซึมเข้าไปในกายของเขาอย่างน้ำ
 เข้าไปในกระดูกของเขาอย่างน้ำมัน
19ให้เหมือนเสื้อผ้าที่เขาพันกายอยู่
 เหมือนเข็มขัดที่เขาคาดไว้เสมอ”
20ขอให้สิ่งนี้เป็นบำเหน็จจากพระยาห์เวห์แก่ปฏิปักษ์ของข้าพระองค์
 แก่ผู้ที่กล่าวร้ายข้าพระองค์

อรรถาธิบาย

ขัดแย้งกับผู้ที่เกลียดชังและโจมตีเรา

ดาวิดร้องทูลพระเจ้าว่า ‘ผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญ’ (ข้อ 1) เขาขัดแย้งกับ ‘คนอธรรมและคนหลอกลวงใส่ร้าย’ เขา (ข้อ 2) ด้วย ‘ลิ้นมุสา’ (ข้อ 2) และ ‘ถ้อยคำเกลียดชัง’ (ข้อ 3) ‘พวกเขาตอบแทนความดีของข้าพระองค์ด้วยความชั่ว และตอบแทนความรักของข้าพระองค์ด้วยความเกลียดชัง’ (ข้อ 5)

เป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งเมื่อคนที่เรารักและคิดว่าเป็นเพื่อนของเราโจมตีเรา ข้อกล่าวหาและคำพูดแสดงความเกลียดชังของพวกเขาทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง

คำตอบของดาวิดในสดุดีนี้คือการนำความเจ็บปวดและการดิ้นรนมาสู่พระเจ้า ในระหว่างนั้นเขาประกาศว่า ‘ข้าพระองค์ได้แต่อธิษฐาน’ (ข้อ 4) และเขาระบายความในใจต่อพระเจ้า เขาเรียกหาพระเจ้าโดยปราศจากถ้อยคำที่เป็นกิจจะลักษณะ เขาร้องขอให้พระเจ้าไม่นิ่งเฉย แต่ให้ตอบแทนแก่พวกคนเหล่านั้น

บางสิ่งที่เขากล่าวอาจอ่านแล้วเข้าใจยาก และสะท้อนให้เห็นว่าการให้อภัยนั้นได้โดยยากเพียงใดหากปราศจากความช่วยเหลือจากพระเจ้า ตรงกันข้ามกับการที่พระเยซูทรงเรียกให้ ‘รักศัตรูของ[ท่าน] และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวก[ท่าน]’ (มัทธิว 5:44) หากคุณถูกโจมตีอย่างไม่เป็นธรรม ให้ทำตามแบบอย่างของดาวิดในเรื่องความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ในเวลาเดียวกันขอให้พระเจ้าช่วยคุณเอาชนะความขมขื่น และความเกลียดชัง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์ประสบกับความขัดแย้ง ไม่ให้ตอบสนองในเนื้อหนัง แต่ตอบสนองในพระวิญญาณ
พันธสัญญาใหม่

กาลาเทีย 5:7-26

7ท่านกำลังก้าวหน้าไปด้วยดีอยู่แล้ว ใครเล่ายับยั้งท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง? 8การชักชวนอย่างนั้นไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย 9เชื้อเพียงเล็กน้อยย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน 10ข้าพเจ้ามีความมั่นใจในตัวท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะไม่มีความคิดอย่างอื่น แต่ผู้ที่มารบกวนท่านนั้น จะเป็นใครก็ตามจะต้องได้รับโทษ 11พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาให้เข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้ายังคงถูกข่มเหงอยู่? กางเขนที่ได้รับจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป 12ข้าพเจ้าอยากให้คนเหล่านั้นที่รบกวนท่าน ตอนตนเองเสียด้วย
13พี่น้องทั้งหลาย เพราะว่าท่านถูกเรียกให้มีเสรีภาพ ขอแต่เพียงอย่าถือโอกาสใช้เสรีภาพเพื่อทำตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด 14เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง 15แต่ถ้าท่านกัดและกินเนื้อกันและกัน จงระวังให้ดี ท่านจะย่อยยับไปด้วยกัน

ผลของพระวิญญาณและการงานของเนื้อหนัง

 16แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง 17เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ 18แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ ท่านก็ไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ 19การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล 20การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกันแปลได้อีกว่า การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า 22ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ 23ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย 24ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขนตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขน พร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว
 25ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย 26เราอย่าอวดตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉากันเลย

อรรถาธิบาย

ขัดแย้งกับความบาป และในใจเรา

ความขัดแย้ง และการเผชิญหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของความเป็นผู้นำที่มีความกล้าหาญ เปาโลพบว่าตัวเองขัดแย้งกับ ‘ผู้ก่อกวน’ ท่านจดจ่ออยู่ในความจริง และใช้ภาษาที่รุนแรงมากกับพวกเขาเหล่านั้นที่กำลังนำคริสตจักรให้หลงทาง

ที่จริงแล้ว ท่านกล่าวว่าหากคนพวกนั้นกระหายที่จะตัดส่วนนั้นทางกายวิภาคของผู้ชายโดยการเข้าสุหนัต พวกเขาก็อาจจะเป็น ‘ขันที’ หรือตอนตัวเองไปด้วยเลย (ข้อ 12) เป็นภาษาที่น่าประหลาดใจมากที่ได้พบในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่แต่ความจริงเป็นสิ่งสำคัญ และเปาโลก็พร้อมที่จะเผชิญความขัดแย้งเพื่อปกป้องความจริง

หลังจากนั้นเปาโลก็ก้าวไปสู่ความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติของเนื้อหนังที่เป็นบาปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์และธรรมชาติของความบาป ‘ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน’ (ข้อ 17)

ประเด็นของเปาโลในการโต้แย้งทั้งหมด คือการเน้นเรื่องเสรีภาพ อย่างไรก็ตาม เสรีภาพจากบาปไม่ได้ หมายถึง เสรีภาพในการทำบาป

เปาโลเปรียบเทียบการเป็นทาสออกมาเป็นสองรูปแบบ นิตินิยม (การเป็นทาสต่อกฎเกณฑ์) และการอนุมัติ (การเป็นทาสตัวเอง) คุณได้รับอิสรภาพจากสิ่งเหล่านี้ หลีกเลี่ยงทั้งการเป็นทาสต่อกฎเกณฑ์และการเป็นทาสตัวเอง:’แค่แน่ใจว่าท่านไม่ได้ใช้เสรีภาพนี้เป็นข้ออ้างในการทำสิ่งที่ท่านต้องการทำและทำลายเสรีภาพของตน จงใช้เสรีภาพในการรับใช้กันด้วยความรัก’ (ข้อ 13–14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เสรีภาพที่แท้จริงไม่ใช่การขาดศีลธรรม แต่เป็นเสรีภาพในการรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ข้อ 14) หากเรายังคงตอบสนองต่อความขัดแย้งดังที่โลกทำ โดยการ ‘กัดและกินเนื้อกันและกัน' เราจะทำลายซึ่งกันและกัน (ข้อ 15)

เปาโลแสดงรายการสี่ตัวอย่างของเขตแดนที่ความขัดแย้งนี้ดำเนินอยู่:

  1. บาปทางเพศ: 'ซ้ำซาก, ไร้ความรัก, เพศสัมพันธ์ที่ไร้คุณค่า; การสะสมขยะทางจิตใจและอารมณ์เน่าเหม็น การไขว่คว้าความสุขอย่างบ้าคลั่งและไร้ความสุข’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
  2. บาปทางความเชื่อ: ‘เทพเจ้าเล็ก ๆ น้อย ๆ การแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ความเหงาหวาดระแวง’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
  3. บาปทางสังคม: ‘การแข่งขันที่โหดร้าย ความต้องการกอบโกยทุกสิ่งแต่ไม่ตอบสนองความพอใจสักที อารมณ์รุนแรง ความเปราะบางที่ปรารถนาอยากจะรักหรือเป็นที่รัก ครอบครัวและชีวิตแตกแยก ขี้ใจน้อย และลำเอียง นิสัยที่ชอบยุแยง ทำให้ทุกคนห้ำหั่นต่อสู้กันเอง’ (ข้อ 20ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
  4. บาปแห่งความเกินพอดี: ‘การเสพติดที่ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่มีการควบคุม การเล่นที่น่าเกลียดน่าชังของชุมนุมชน’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อย่าสนองตัณหาเหล่านี้ แต่จงดำเนินชีวิตและได้รับการ ‘นำโดยพระวิญญาณ’ (ข้อ 18) หากคุณเลือกดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คุณจะไม่ทำตามตัณหาของเนื้อหนังที่ทดลองเราตลอดเวลา แต่คุณจะผลิตผลของพระวิญญาณ นั่นคือ ‘ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน’ (ข้อ 22–23) ดังที่เพื่อนของผม ไมเคิล ทิมมิส เขียนถึงผมว่า ‘วิธีที่ผมนิยามความรักคือการใช้ผลของพระวิญญาณ ซึ่งเริ่มด้วยความรัก ผมเชื่อว่า ความยินดีคือความรักที่เปรมปรีดิ์ ความสันติสุขคือความรักที่สงบ ความอดทนคือความรักที่รอคอย ความกรุณาคือความรักที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ความดีคือการเริ่มต้นความรัก ความซื่อสัตย์คือความรักที่รักษาคำพูด ความสุภาพอ่อนโยนคือการเอาใจใส่ในความรัก การรู้จักบังคับตนเองคือความรักที่ต่อต้านการทดลองใจ’

นี่คือคุณลักษณะที่เราเห็นในพระเยซู เปาโลกล่าวต่อไปว่า ‘ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขนพร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว’ (ข้อ 24) การทดลองมักจะดึงเรากลับไป แต่ ‘ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย’ (ข้อ 25)

หลีกเลี่ยงความขัดแย้งส่วนตัวให้มากที่สุด: 'เราอย่าอวดตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉากันเลย’ (ข้อ 26)

เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในคุณ ให้พระองค์มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทั้งหมดของคุณ และคุณทำตามการกระตุ้นเตือนของพระองค์ หากคุณกำลังคิด พูดหรือทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ นั่นอาจเป็นการกระตุ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้หยุด ในทางกลับกัน เมื่อคุณตัดสินใจและรู้สึกถึงความสงบสุขลึก ๆ ให้รู้ว่า นั่นมาจากการปฏิบัติตามพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์จัดการกับความขัดแย้งอย่างชาญฉลาด เพื่อรักษาทางให้สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
พันธสัญญาเดิม

อิสยาห์ 47:1-49:7

บาบิโลนถูกเหยียดหยาม

1โอ ธิดาพรหมจารีแห่งบาบิโลน
 จงลงไป และนั่งในผงคลี
โอ ธิดาเคลเดีย
 จงนั่งลงบนพื้นดินโดยไม่มีบัลลังก์
เพราะว่าคนจะไม่เรียกเจ้าอีกว่า
 แม่เนื้ออ่อนแม่เนื้อละเอียด
2จับโม่เข้า และโม่แป้งซิ
 เปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกเสีย
ถลกกระโปรงของเจ้าขึ้น เปิดขาของเจ้า
 จงลุยข้ามน้ำไป
3ความเปลือยเปล่าของเจ้าจะถูกเปิดออก
 และเขาจะเห็นความน่าอายของเจ้าด้วย
เราจะแก้แค้น
 และจะไม่งดเว้นใครเลย
4พระผู้ไถ่ของพวกเรา พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมทัพ
 ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
5โอ ธิดาของชาวเคลเดีย
 จงนั่งในความเงียบ และเข้าไปในความมืด
เพราะคนจะไม่เรียกเจ้าอีกว่า
 นางพญาแห่งราชอาณาจักรทั้งหลาย 6เรากริ้วชนชาติของเรา
 เราทำให้มรดกของเราเป็นมลทิน
เรามอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า
 แต่เจ้าไม่ได้แสดงความกรุณาต่อเขา
เจ้าวางแอกอย่างหนัก
 ไว้บนบ่าของคนแก่
7เจ้าพูดว่า “ข้าจะเป็นนางพญาตลอดไป”
 เจ้าจึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้
 หรือจดจำบั้นปลายของเรื่องเหล่านี้
8บัดนี้ จงฟังเรื่องนี้ซิ เจ้าผู้รักความเพลิดเพลิน
 คือผู้นั่งอยู่อย่างมั่นคง
ผู้คิดในใจของตนว่า
 “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้อื่นอีก
ข้าจะไม่นั่งเป็นแม่ม่าย
 หรือประสบกับการพลัดพรากจากลูก”
9แต่ทั้งสองเรื่องนี้จะมาถึงเจ้า
 ในเวลาเดียวกัน ภายในวันเดียว
คือการพลัดพรากจากลูก และการเป็นแม่ม่ายนั้น
 จะมาถึงเจ้าอย่างเต็มขนาด
ทั้งที่เจ้ามีวิทยาคมมากมาย
 และเจ้ามีเวทมนตร์ที่ทรงอานุภาพอยู่มาก
10เจ้ารู้สึกมั่นคงอยู่ในความอธรรมของเจ้า
 เจ้าว่า “ไม่มีใครเห็นข้า”
สติปัญญาของเจ้าและความรู้ของเจ้า
 ทำให้เจ้าหลงไป
และเจ้าจึงคิดในใจของเจ้าว่า
 “ข้านี่แหละ และไม่มีผู้อื่นอีก”
11แต่สิ่งเลวร้ายจะมาถึงเจ้า
 ซึ่งเจ้าจะปัดเป่ามันไปไม่ได้
ภัยพิบัติจะตกลงมาเหนือเจ้า  ซึ่งเจ้าจะไม่สามารถหลบเลี่ยง
และการทำลายล้างจะมาถึงเจ้าอย่างฉับพลัน
 ซึ่งเจ้าไม่รู้อะไรเลย
12จงตั้งมั่นอยู่ในเวทมนตร์ของเจ้า
 และในวิทยาคมมากมายของเจ้า
ซึ่งเจ้าเหนื่อยยากมาตั้งแต่สาวๆ
 บางทีเจ้าอาจทำสำเร็จ  บางทีเจ้าจะทำให้สยดสยองได้
13เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับที่ปรึกษามากมายของเจ้า
 ให้พวกที่แบ่งฟ้าสวรรค์
และพวกที่เพ่งดูดวงดาว
 ยืนขึ้นและช่วยเจ้าให้รอด
คือผู้บอกให้เจ้ารู้ในวันขึ้นค่ำ  ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า 14นี่แน่ะ พวกเขาจะเป็นเหมือนตอข้าว
 ไฟจะเผาผลาญเขาทั้งหลาย พวกเขาไม่สามารถช่วยกู้ตัวเขาเอง
 จากพลังของเปลวไฟ
ไม่มีถ่านที่จะให้ใครอบอุ่น
 ไม่มีไฟที่จะให้ใครผิง
15พวกที่เจ้าเหนื่อยยากด้วยจะเป็นเช่นนี้แก่เจ้า
 คือผู้ค้าขายกับเจ้าตั้งแต่สาวๆ
แต่ละคนต่างพเนจรไปตามทางของพวกเขา
 ไม่มีใครจะช่วยกู้เจ้าได้

อิสยาห์ 48

พระเจ้าคือพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่

1จงฟังเรื่องนี้ โอ วงศ์วานของยาโคบ
 ผู้ที่คนเรียกด้วยนามของอิสราเอล
และมาจากเชื้อสายของยูดาห์
 ผู้ได้ปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์
และร้องขอต่อพระเจ้าของอิสราเอล
 แต่ไม่ใช่ด้วยความจริงหรือความชอบธรรม
2เพราะพวกเขาขนานนามของตัวเองตามนครบริสุทธิ์
 และพึ่งพิงพระเจ้าของอิสราเอล
 พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมทัพ
3สิ่งที่ล่วงมานั้นเราได้แจ้งให้ทราบนานแล้ว
 มันออกจากปากของเรา และเราได้เล่าให้ฟัง
 และทันใดนั้นเราได้ทำ และมันก็เป็นไปตามนั้น
4เพราะเรารู้ว่าเจ้าดื้อด้าน
 และคอของเจ้าเป็นเอ็นเหล็ก
 และหน้าผากของเจ้าเป็นทองเหลือง
5เราแจ้งต่อเจ้านานแล้ว
 ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เราก็ได้เล่าให้เจ้าฟังแล้ว
เกรงว่าเจ้าจะพูดว่า “รูปเคารพของข้าทำเอง
 รูปแกะสลักและรูปโลหะหล่อของข้าบัญชามันมา”
6เจ้าได้ยินแล้ว จงดูสิ่งทั้งหมดนี้
 และเจ้าจะไม่แจ้งให้ทราบด้วยหรือ?
ตั้งแต่นี้ไปเราจะเล่าสิ่งใหม่ให้เจ้าฟัง
 เป็นสิ่งลึกลับที่เจ้าไม่รู้
7เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในเวลานี้ ไม่ใช่นานแล้ว
 และก่อนวันนี้ เจ้าไม่เคยได้ยิน
 เกรงว่าเจ้าจะพูดว่า “นี่แน่ะ เรารู้แล้ว”
8เออ เจ้าไม่เคยได้ยิน เออ เจ้าไม่เคยรู้
 เออ ตั้งแต่นานมาแล้ว หูของเจ้ายังไม่ได้ยิน
เพราะเรารู้ว่าเจ้าจะประพฤติการทรยศอย่างยิ่ง
 และรู้ว่าเขาเรียกเจ้าว่ากบฏตั้งแต่เกิด
9เรากลั้นความกริ้วของเราไว้เพื่อเห็นแก่นามของเรา
 เราระงับไว้ให้เจ้าเพื่อเห็นแก่การสรรเสริญเรา
 เพื่อว่าเราจะไม่ตัดเจ้าออกไปเสีย
10ดูสิ เราได้ถลุงเจ้าแล้ว แต่ไม่เหมือนเงิน
 เราได้ทดสอบเจ้าในเตาของความทุกข์ยาก
11เราทำเช่นนั้นเพราะเห็นแก่เราเอง เพราะเห็นแก่เราเอง
 เพราะว่านามของเราจะถูกเหยียดหยามได้อย่างไร?
 และสง่าราศีของเรานั้น เราจะไม่ให้ผู้อื่น
12จงฟังเรา โอ ยาโคบ
 อิสราเอล ผู้ซึ่งเราเรียก
เราคือผู้นั้น เราเป็นเบื้องต้น
 และเราเป็นเบื้องปลาย
13เออ มือของเราได้วางรากฐานแผ่นดินโลก
 และมือขวาของเราได้กางฟ้าสวรรค์ออก
เมื่อเราเรียกมัน
 มันก็ยืนขึ้นด้วยกัน
14เจ้าทั้งหมด จงชุมนุมกัน และจงฟัง
 ในท่ามกลางพวกนั้น ใครได้ประกาศสิ่งเหล่านี้?
พระยาห์เวห์ทรงรักเขา
 เขาจะทำสิ่งที่พระองค์ทรงชื่นชอบต่อบาบิโลน
 และแขนของเขาจะต่อสู้ชาวเคลเดีย
15เรา คือเราเองที่ได้พูด และเรายังได้เรียกเขา
 เรานำเขามา และเขาจะจำเริญในทางของเขา
16จงเข้ามาใกล้เรา จงฟังเรื่องนี้
 ตั้งแต่เริ่มแรก เราไม่ได้พูดในที่ลี้ลับ
ตั้งแต่มันเกิดมา เราอยู่ที่นั่นแล้ว
 และบัดนี้พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงใช้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยพระวิญญาณของพระองค์
17พระยาห์เวห์พระผู้ไถ่ของท่าน
 องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า
“เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
 ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์ของเจ้า
 ผู้นำเจ้าในทางที่เจ้าควรจะไป
18ถ้าเจ้าเชื่อฟังบัญญัติของเรา
 แล้วความสมบูรณ์พูนสุขของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ
 และความชอบธรรมของเจ้าจะเหมือนคลื่นทะเล
19ลูกหลานของเจ้าจะเป็นเหมือนทราย
 และเชื้อสายของเจ้าเหมือนเม็ดทราย
ชื่อของเขาจะไม่ถูกตัดออก
 หรือถูกทำลายเสียจากหน้าเรา” 20จงออกจากบาบิโลน จงหนีไปจากพวกเคลเดีย
 จงประกาศเรื่องนี้ด้วยเสียงโห่ร้องชื่นบาน จงเล่าให้ฟัง
จงส่งมันไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
 ว่า “พระยาห์เวห์ทรงไถ่ยาโคบผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว”
21เมื่อพระองค์ทรงนำพวกเขาไปทางทะเลทราย เขาก็ไม่กระหาย
 พระองค์ทรงทำให้น้ำไหลจากศิลาเพื่อเขา
 พระองค์ทรงแยกหิน และน้ำก็ทะลักออกมา 22พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ไม่มีสันติสุขแก่คนอธรรม”

อิสยาห์ 49

ภารกิจของผู้รับใช้

1โอ แผ่นดินชายทะเล จงฟังข้าพเจ้า
 ชนชาติทั้งหลายที่อยู่ไกล จงตั้งใจฟัง
พระยาห์เวห์ทรงเรียกข้าพเจ้าตั้งแต่ในครรภ์
 พระองค์ทรงตั้งชื่อข้าพเจ้าเป็นที่จดจำตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาข้าพเจ้า
2พระองค์ทรงทำให้ปากของข้าพเจ้าเหมือนดาบคม
 พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นลูกศรขัดมัน
 พระองค์ทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งของพระองค์
3และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา
 อิสราเอลผู้ซึ่งเราจะสำแดงศักดิ์ศรีของเราเอง”
4แต่ข้าพเจ้าเองกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเหนื่อยเปล่า
 ข้าพเจ้าเปลืองแรงของตัวเองเสียเปล่าและอนิจจัง
แต่แน่ละ สิ่งที่ควรเป็นของข้าพเจ้านั้นอยู่กับพระยาห์เวห์
 และค่าตอบแทนของข้าพเจ้าอยู่กับพระเจ้าของข้าพเจ้า”
5และบัดนี้ พระยาห์เวห์ตรัส คือพระองค์ผู้ทรงปั้นข้าพเจ้าตั้งแต่ในครรภ์
 ให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
เพื่อนำยาโคบกลับมาหาพระองค์
 และเพื่อรวบรวมอิสราเอลมายังพระองค์
เพราะข้าพเจ้าได้รับเกียรติในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
 และพระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
6พระองค์ตรัสว่า “ซึ่งเจ้าจะเป็นผู้รับใช้ของเรา
 เพื่อจะยกเผ่าทั้งหลายของยาโคบขึ้น
และเพื่อให้อิสราเอลที่เหลือกลับสู่สภาพดีนั้น
 ดูจะเป็นการเล็กน้อยเกินไป
เราจะให้เจ้าเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
 เพื่อความรอดของเราจะไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก”
7พระยาห์เวห์
 พระผู้ไถ่และองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล
ตรัสกับผู้ถูกดูหมิ่นและถูกประชาชาติรังเกียจ
 คือคนใช้ของบรรดาผู้ครอบครอง
ว่า “กษัตริย์ทั้งหลายจะมองดูแล้วจะยืนขึ้น
 และพวกเจ้านายจะกราบลงด้วยตัวเอง
เพราะเหตุพระยาห์เวห์ผู้สัตย์จริง
 องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลผู้ได้เลือกสรรเจ้า”

อรรถาธิบาย

ขัดแย้งกับวัฒนธรรม

เช่นเดียวกับหลาย ๆ คนในทุกวันนี้ ผู้คนของพระเจ้ามักพบว่าตนเองอยู่ในวัฒนธรรมที่มีมาตรฐานแตกต่างจากมาตรฐานของพวกเขาเองอย่างมาก คุณนั้นไม่ได้ถูกเรียกให้ถอยออกห่างจากวัฒนธรรมนั้น แต่คุณถูกเรียกให้แตกต่าง จงใช้ชีวิตให้ทวนต่อกระแสวัฒนธรรมและคุณจะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อวัฒนธรรมในเชิงบวก

ประชากรของพระเจ้าพบว่าตนเองอยู่ในสังคมที่โหดร้าย (บาบิโลน) ที่ ‘ไม่ได้แสดงความกรุณาต่อเขา’ (47: 6) วัฒนธรรมที่น่าภาคภูมิใจมาก (ข้อ 8–9) หลงใหลในศาสตร์แห่งเวทมนตร์ โหราศาสตร์ และดวงชะตา (ข้อ 9ข, 12–13)

เป็นเรื่องยากมากที่จะมีชีวิตที่ทวนต่อกระแสวัฒนธรรม

จากนั้นอิสยาห์ก็พูดกับอิสราเอล เขากล่าวว่าหากเพียงแต่พวกอิสราเอลเอาใจใส่พระเจ้าและพระบัญชาของพระองค์ ‘ความสมบูรณ์พูนสุขของเจ้าจะเป็นเหมือนแม่น้ำ และความชอบธรรมของเจ้าจะเหมือนคลื่นทะเล’ (48:18)

แม้จะมีการล้มลงต่อบาปและปัญหามากมายของชนชาติอิสราเอล พระเจ้าไม่ทรงละทิ้งแผนการและจุดประสงค์ของพระองค์สำหรับ ‘ผู้รับใช้ของเราอิสราเอลผู้ซึ่งเราจะสำแดงศักดิ์ศรีของเราเอง’ (49:3) เราได้อ่านถึง ‘ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์’ อีกผู้หนึ่ง (ดู พระคัมภีร์ใน 1 ปี วันที่ 260) ตอนนี้เจาะจงไปตัวผู้ที่จะ ‘นำยาโคบกลับมาหาพระองค์และเพื่อรวบรวมอิสราเอลมายังพระองค์’ (ข้อ 5) พระประสงค์ดั้งเดิมของพระเจ้าสำหรับอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์จะถูกเปิดเผย และสำเร็จในบุคคลผู้นี้ สิ่งนี้เองเล็งไปถึงพระเยซู พระองค์เป็นชาวอิสราเอลที่ถูกส่งไปยังอิสราเอล พระองค์ถูกระบุตนเป็นคนของชนชาตินี้ แต่ก็แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

ภารกิจแรกของผู้รับใช้คือการประกาศความจริง ปากของเขา ‘เหมือนดาบคม’ (ข้อ 2) พระเจ้าตรัสกับชนชาติหนึ่งและบอกพวกเขาให้บอกแก่ชนชาติอื่น ๆ ภารกิจที่สองของผู้รับใช้ คือ การทำให้พระเจ้าปรากฏให้เห็นเด่นชัด ‘ซึ่งเราจะสำแดงศักดิ์ศรีของเราเอง’ (ข้อ 3) ภารกิจที่สามคือการเป็นพรแก่โลก: ‘เรากำลังตั้งเจ้าให้เป็นแสงสว่างสำหรับประชาชาติเพื่อให้ความรอดของเรากลายเป็นสากล!’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อิสยาห์ทำให้เราได้เห็นว่าผู้รับใช้จะบรรลุเป้าหมายงานรับใช้เหล่านี้ได้อย่างไร ในเงาที่สะท้อนล่วงหน้าในอิสยาห์บทที่ 53 เขาพูดถึง ‘ผู้ถูกดูหมิ่นและถูกประชาชาติรังเกียจ’ (49:7) ผู้รับใช้ซึ่งสรรเสริญพระเจ้า (ข้อ 3) บัดนี้พระเจ้าได้ทรงยกย่องผู้รับใช้ผู้นั้น: ‘กษัตริย์ทั้งหลายจะมองดูแล้วจะยืนขึ้น และพวกเจ้านายจะกราบลงด้วยตัวเอง เพราะเหตุพระยาห์เวห์ผู้สัตย์จริง องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลผู้ได้เลือกสรรเจ้า’ (ข้อ 7)

สิ่งนี้สำเร็จเป็นจริงเมื่อพวกนักปราชญ์มานมัสการพระเยซู (มัทธิว 2:1–12) และสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากกษัตริย์ จักรพรรดิ ประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีได้คุกเข่าลงต่อพระเยซู

อิสราเอลนั้นไม่ประสบผลสำเร็จแต่พระเยซูทรงทำ บัดนี้ เป็นหน้าที่ของเราที่จะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า อาจารย์เปาโลและบารนาบัสอ้างข้อนี้: ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเราว่าอย่างนี้ “เราตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างสำหรับคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”’ (อิสยาห์ 49:6; กิจการ 13: 47)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ให้มีส่วนกับวัฒนธรรมรอบตัว พูดความจริงด้วยความรัก ทำให้พระเจ้าปรากฏในชีวิต และเป็นแสงสว่างให้กับคนรอบข้าง

เพิ่มเติมโดยพิพพา

กาลาเทีย 5:22-23

‘... ผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน’

วันนี้คุณสบายดีไหม? เราทุกคนต้องทำงานในแต่ละด้านของชีวิตกันต่อไป

ข้อพระคำประจำวัน

กาลาเทีย 5:22-23

‘... ผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม