ไม่เคยยอมแพ้
เกริ่นนำ
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร เขามีชีวิตที่ยืนยาว ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญและรวบรวมชาติด้วยวาทศิลป์ที่สร้างแรงบันดาลใจ เหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวประวัติของเขาคือเขาต้องลาออกจากกองทัพเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจากปฏิบัติการดาร์ดาแนลที่ล้มเหลว เขาล้มเหลวอย่างน่าตื่นตะลึง แต่เขาเรียนรู้ที่จะไม่ยอมแพ้
มีคนบอกผมว่าครั้งหนึ่ง เมื่อเขากลับมาที่โรงเรียนเก่าของเขา โรงเรียนแฮร์โรว์ เพื่อพบปะพูดคุยกับพวกเด็ก ๆ คนทั้งโรงเรียนรวมตัวกันเพื่อฟังถ้อยคำประกอบด้วยปัญญาของเขา บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ลุกขึ้นพูด: ‘หนุ่มน้อย อย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้’ คำพูดทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นเขาก็นั่งลง ปัจจุบันไม่มีใครลืมคำพูดของเขาได้ลง
อย่างน้อยก็คือเวอร์ชั่นยอดนิยมมากของเรื่องราวนี้ เชอร์ชิลล์พูดในลักษณะนั้นจริงๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการพูดที่ยาวนานกว่า ในตอนท้ายเขากล่าวว่า ‘อย่ายอมแพ้ อย่ายอมแพ้ อย่ายอม อย่ายอม อย่ายอม อย่ายอม ในสิ่งใด ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ใหญ่หรือเล็ก อย่ายอมแพ้ เชื่อมั่นในเกียรติและความรู้สึกที่ดี อย่ายอมจำนนต่อการบีบบังคับ อย่ายอมจำนนต่ออำนาจอันท่วมท้นที่เห็นได้ชัดของศัตรู’
ในยุคปัจจุบัน ชีวิตของเรากลายเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนอยู่ตลอดที่สิ่งใดก็ตามที่ต้องใช้ความพากเพียรอย่างทรหดอดทนอาจดูไม่น่าดึงดูด เราต้องการผลตอบแทนและผลลัพธ์ในทันที แต่บางครั้งการจะได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ใช้เวลานานกว่าจะได้มา
สุภาษิต 23:10-18
10อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่
และอย่ารุกล้ำไร่นาของลูกกำพร้า
11เพราะพระผู้ไถ่ของลูกกำพร้านั้นแข็งแรง
พระองค์จะทรงสู้ความกับเจ้าในคดีของพวกเขา
12จงเปิดใจรับคำสั่งสอน
และจงเงี่ยหูฟังถ้อยคำแห่งความรู้
13อย่าละเลยการตีสอนเด็ก
เพราะถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย
14ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว
เจ้าจะช่วยชีวิตเขาให้พ้นจากแดนคนตาย
15ลูกเอ๋ย ถ้าใจของเจ้ามีปัญญา
ใจของข้าเองก็จะยินดีด้วย
16จิตใจของข้าจะเปรมปรีดิ์
เมื่อปากของเจ้าพูดสิ่งที่ถูกต้อง
17เจ้าอย่าริษยาคนบาป
แต่จงยำเกรงพระยาห์เวห์ตลอดเวลา
18เพราะแน่นอนมีอนาคตสำหรับเจ้า
และความหวังของเจ้าจะไม่สลาย
อรรถาธิบาย
อย่ายอมแพ้ในความกระตือรือร้น
‘เจ้าอย่าริษยาคนบาป แต่จงยำเกรงพระยาห์เวห์ตลอดเวลา เพราะแน่นอนมีอนาคตสำหรับเจ้า และความหวังของเจ้าจะไม่สลาย’ (ข้อ 17–18)
อัครทูตเปาโลเขียนบางอย่างที่คล้ายกัน ‘อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ’ (โรม 12:11) เราควรกระตือรือร้นเหมือนวันแรกที่เราได้พบพระเยซู อย่างที่ แบร์ กริลล์ส พูดไว้ว่า ‘จงเป็นคนที่กระตือรือร้นที่สุดที่คุณรู้จัก ความกระตือรือร้นจะค้ำจุนคุณในยามยาก ให้กำลังใจคนรอบข้าง และส่งอิทธิพลความกระตือรือร้นออกไปให้สุด’
เมื่อหลายปีก่อน ผมเขียนไว้ที่ขอบด้านข้างของหน้าพระคัมภีร์ข้างข้อพระวจนะที่ยกมาตอนนี้ ‘ผมรู้สึกค่อนข้างอิจฉาผู้คน [เพื่อนร่วมงานในที่ทำงานในขณะนั้น] และงานของพวกเขา นี่คือพระวจนะของพระเจ้าที่มีต่อผม คือไม่ใช่เพื่ออิจฉา แต่จงกระตือรือร้นแทนเพื่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงสัญญาไว้ถึง “อนาคตที่สดใส”’ (สุภาษิต 23:18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Good News Translation โดยผู้แปล) สรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระสัญญาที่เกาะเกี่ยวกับงานของผม
คำอธิษฐาน
กาลาเทีย 6:1-18
จงช่วยรับภาระของกันและกัน
1พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย 2จงช่วยรับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์ 3เพราะว่าถ้าใครถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้งๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย เขาก็หลอกตัวเอง 4แต่ละคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง แล้วจึงจะมีอะไรอวดได้ในตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบกับผู้อื่น 5เพราะว่าแต่ละคนต้องรับภาระของตัวเอง
6ส่วนคนที่รับการสอนพระวจนะ จงแบ่งสิ่งดีทุกอย่างให้แก่คนที่สอนตนเถิด
7อย่าหลงเลย ท่านจะล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าใครหว่านอะไรลง ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น 9อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร 10เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ
คำเตือนสุดท้ายและคำอวยพร
11จงสังเกตดูตัวอักษรที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่าตัวโตเพียงใด 12คนที่ปรารถนาได้หน้าตามเนื้อหนังก็จะบังคับพวกท่านให้เข้าสุหนัต เพียงเพื่อพวกเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเพราะเรื่องกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น 13แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาปรารถนาให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อพวกเขาจะได้เอาเนื้อหนังของพวกท่านไปอวด 14ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกได้ตายจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้ตายจากโลก 15เพราะว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่นั้น ไม่สำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ 16สันติสุขและพระเมตตาจงมีแก่ทุกคนที่ประพฤติตามกฎนี้ และแก่อิสราเอลของพระเจ้า
17ตั้งแต่นี้ไป ขออย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้าเลย เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว
18พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจงสถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายด้วยเถิด อาเมน
อรรถาธิบาย
อย่าท้อใจการทำความดี
‘อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร’ (ข้อ 9)
เมื่อเปาโลเขียนถึงตอนท้ายของจดหมายฉบับนี้ เขาได้กระตุ้นให้ชาวกาลาเทียทำงานร่วมกันเป็นทีม ถ้ามีคนออกนอกเส้นทาง จงพยายามฟื้นฟูพวกเขาด้วยใจสุภาพ (ข้อ 1ก) แต่จงระวังตัวเองด้วย เกรงว่าตัวเราเองจะถูกทดลอง (ข้อ 1ข) คุณต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง ‘แต่ละคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง… เพราะว่าแต่ละคนต้องรับภาระของตัวเอง’ (ข้อ 4-5)
เรามีความรับผิดชอบต่อสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีมด้วย ‘รับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์’ (ข้อ 2)
เปาโลถือว่าเราทุกคนมีภาระ คำที่ใช้หมายถึง ‘ภาระหนัก’ เป็นคำกว้างๆ ที่ประกอบด้วยทุกข์ ความเจ็บป่วย ความพิการทางร่างกาย ความเศร้าโศก ความทุกข์ระทม ความกังวล ความรับผิดชอบ (ด้านการเงินและอื่น ๆ ) การทดลอง ข้อผิดพลาด ความสงสัย จุดอ่อนและความล้มเหลว (ด้านศีลธรรมและอื่น ๆ ) กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันรวมภาระทุกอย่างที่ยากจะแบกรับ
วิธีหนึ่งที่พระเยซูทรงแบกรับภาระเหล่านี้ของคุณคือผ่านมิตรภาพของมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่ทิตัสช่วยแบกรับภาระของเปาโล
ผมชอบความมีอิสระและการพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่น แต่ตัวผมถูกสร้างมาให้เป็นภาระแก่คุณ และคุณถูกออกแบบให้เป็นภาระแก่ผม ‘รับภาระของกันและกัน และด้วยการกระทำเช่นนี้ท่านทั้งหลายก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระคริสต์’ (ข้อ 2)
ผมสามารถพูดได้เพียงว่าในชีวิตของผมเอง ผมรู้สึกขอบคุณต่อเพื่อนสนิทเหล่านั้นที่ผมและพิพพาได้พูดคุย และอธิษฐานด้วยเป็นประจำ คนที่เคยช่วยเราในบางครั้งที่ภาระดูเหมือนหนักเกินกว่าที่เราจะแบกกันไหว เราผ่านอะไรมาด้วยกันมากมายทั้งยังร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ทั้งหมดนี้ช่วยกันแบกภาระ
เป้าหมายของทีมคือการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดีต่อไป ‘เพราะว่าใครหว่านอะไรลง ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองเนื้อหนังของตน ก็จะเก็บเกี่ยวความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่คนที่หว่านสิ่งที่ตอบสนองพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น’ (ข้อ 7–8)
อัครทูตเปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทียว่า ‘...ไม่ท้อใจ’ (ข้อ 9) การทดลองคือความเมื่อยล้าในการทำความดี แต่พระสัญญาก็คือว่าคุณจะเก็บเกี่ยวผลถ้าคุณไม่ท้อใจ ใช้ทุกโอกาสทำดีกับทุกคน ‘เฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ’ (ข้อ 10)
มีความท้อใจมากมายรอบตัว มีการทดลองที่หนักหนาเพื่อให้ยอมแพ้ เมื่อคุณหว่านเมล็ด คุณจะไม่เห็นผลทันที มันต้องใช้เวลา บางครั้งเมื่อคุณมองย้อนกลับไปหลายปีต่อมา คุณจะเห็นว่าในที่สุดเมล็ดพันธุ์ที่คุณหว่านลงไปก็เกิดดอกออกผล ยังมีเมล็ดพืชอีกมากมายที่หว่านลงซึ่งคุณอาจไม่รู้อะไรเลยจนกว่าคุณจะเห็นการเก็บเกี่ยวในสวรรค์ กุญแจดอกหนึ่งในการคิดบวกคือการรักษามุมมองที่เป็นนิรันดร์
เปาโลไม่เคยหยุดเทศนาข้อความที่เรียบง่าย เกี่ยวกับ ‘เรื่องกางเขนของพระคริสต์' (ข้อ 12) ท่านเดินต่อไปและหว่านต่อไป ท่านปฏิเสธที่จะเพิ่มหรือลบข้อความที่ประกาศออกไป ทั้งยังปฏิเสธที่จะออกไปประกาศข้อความที่เป็นที่นิยมเพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหง (ข้อ 12) เป็นผลให้ท่านถูกข่มเหง ท่านเขียนว่า ‘ข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว’ (ข้อ 17)
คำอธิษฐาน
อิสยาห์ 49:8-51:16
การทรงนำชาวศิโยนกลับสู่บ้านเกิด
8พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“ในเวลาโปรดปราน เราได้ตอบเจ้าแล้ว
ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า
เราได้ดูแลเจ้า และมอบเจ้าไว้
ให้เป็นพันธสัญญาของชนชาติ
เพื่อฟื้นฟูแผ่นดิน
เพื่อแบ่งที่ร้างเปล่าให้เป็นมรดก
9และเพื่อกล่าวกับพวกถูกจำจองว่า ‘จงออกมา’
กล่าวกับพวกที่อยู่ในความมืดว่า ‘จงเผยตัว’
พวกเขาจะเลี้ยงชีพตามทาง
และที่เลี้ยงดูของพวกเขาจะอยู่ตามที่สูงโล้นทุกแห่ง
10เขาทั้งหลายจะไม่หิวหรือกระหาย
ความร้อนแผดเผาหรือดวงอาทิตย์จะไม่ทำลายเขา
เพราะพระองค์ผู้ทรงสงสารพวกเขาจะทรงนำพวกเขา
และจะนำพาเขาไปยังน้ำพุ
11เราจะปรับภูเขาทุกแห่งของเราให้เป็นทางเดิน
และทางหลวงทั้งหลายของเราจะถูกยกให้สูง
12นี่แน่ะ พวกเหล่านี้จะมาจากเมืองไกล
และดูสิ เหล่านี้มาจากเหนือและจากตะวันตก
และเหล่านี้มาจากแผ่นดินซีนิม”
13โอ ฟ้าสวรรค์ จงเปล่งเสียงชื่นบาน และแผ่นดินโลกจงชื่นชมยินดีเถิด
โอ ภูเขาเอ๋ย จงร้องด้วยความเปรมปรีดิ์
เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงปลอบโยนชนชาติของพระองค์แล้ว
และทรงสงสารคนของพระองค์ที่ถูกข่มใจ
14แต่ศิโยนกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงละทิ้งข้าแล้ว
และองค์เจ้านายทรงลืมข้าเสียแล้ว”
15“ผู้หญิงจะลืมบุตรของนางที่ยังกินนมอยู่
และไม่สงสารบุตรจากครรภ์ของนางได้หรือ?
และถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะลืมได้
แต่เราก็จะไม่ลืมเจ้า
16ดูสิ เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา
กำแพงเมืองของเจ้าอยู่ต่อหน้าเราเสมอ
17บรรดาบุตรของเจ้าจะรีบมา แต่พวกผู้ทำลายเจ้าจะจากไป
และพวกที่ทำให้เจ้าถูกทิ้งร้างก็ออกไปจากเจ้า
18จงเงยตาขึ้นและมองไปรอบๆ
เขาทั้งหลายชุมนุมกัน และพวกเขามายังเจ้า”
พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ตราบใดที่เราเองมีชีวิตอยู่
เจ้าจะสวมพวกเขาทุกคนเหมือนเครื่องประดับ
เจ้าจะผูกพวกเขาไว้อย่างเจ้าสาวประดับอาภรณ์
19“แม้ที่ทิ้งร้างและที่ร้างเปล่าของเจ้า
และแผ่นดินที่ถูกทำลายของเจ้า
แน่ะ บัดนี้เจ้าจะแคบเกินไปสำหรับผู้อาศัย
และพวกกลืนกินเจ้าจะอยู่ห่างไกล
20ลูกๆ ที่เกิดยามเจ้าทุกข์ใจจากการเสียลูก
จะพูดที่หูของเจ้าอีกว่า
‘ที่นี้แคบเกินสำหรับฉันแล้ว
จงหาที่กว้างขึ้นให้ฉันอยู่’
21แล้วเจ้าจะพูดในใจของเจ้าว่า
‘ใครหนอได้คลอดคนเหล่านี้ให้ข้า
ข้าทุกข์ระทมเพราะเสียลูกและเป็นหมัน
ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยและถูกขับไล่
แต่ใครหนอชุบเลี้ยงคนเหล่านี้?
นี่แน่ะ ข้าถูกทิ้งไว้แต่ลำพัง
แล้วคนเหล่านี้มาจากไหนกัน?’ ”
22พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า
“ดูสิ เราจะยกมือของเรากวักบรรดาประชาชาติ
และชูธงสัญญาณของเราต่อชนชาติทั้งหลาย
แล้วพวกเขาจะอุ้มบรรดาบุตรชายของเจ้ามาในอ้อมอก
และจะแบกบรรดาบุตรหญิงของเจ้ามาบนบ่า
23กษัตริย์ทั้งหลายจะเป็นพ่อเลี้ยงของเจ้า
และบรรดาพระราชธิดาของท่านเหล่านั้นจะเป็นแม่นมของเจ้า
พวกเขาจะก้มหน้าลงถึงดินและกราบเจ้า
และจะเลียผงคลีที่เท้าของเจ้า
แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราเองคือยาห์เวห์
บรรดาผู้รอคอยเราจะไม่อับอาย”
24จะเอาเหยื่อไปจากนักรบได้หรือ?
และจะช่วยเชลยของผู้กดขี่ให้หลุดได้หรือ?
25พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“แน่นอน แม้แต่เชลยของผู้มีกำลังก็จะต้องถูกเอาไป
และเหยื่อของผู้น่ากลัวก็จะต้องช่วยให้หลุด
เพราะเราเองจะต่อสู้กับผู้ต่อสู้เจ้า
และเราเองจะช่วยบุตรทั้งหลายของเจ้าให้รอด
26เราจะให้พวกบีบบังคับเจ้ากินเนื้อของตนเอง
และเขาจะเมาโลหิตของเขาเองเหมือนเมาเหล้าองุ่น
แล้วมนุษย์ทุกคนจะรู้ว่า
เราคือยาห์เวห์เป็นพระผู้ช่วยของเจ้า
และเป็นพระผู้ไถ่ของเจ้า องค์อานุภาพของยาโคบ”
อิสยาห์ 50
1พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“ใบหย่ากับแม่ของพวกเจ้า
ที่เราใช้ไล่นางไปนั้นอยู่ที่ไหน?
หรือเจ้าหนี้ของเราคนใด
ที่เราขายพวกเจ้าไปให้เขา?
นี่แน่ะ เจ้าถูกขายเพราะบาปของเจ้า
และแม่ของเจ้าถูกไล่ไปเพราะความทรยศของเจ้า
2ทำไมนะ เมื่อเรามาจึงไม่พบผู้ใดเลย?
เมื่อเราร้องเรียกจึงไม่มีใครตอบ?
มือเราสั้นเกินกว่าจะไถ่ถอนได้หรือ?
และเราไม่มีกำลังจะช่วยกู้หรือ?
ดูสิ เราทำให้น้ำทะเลแห้งด้วยการกำราบของเรา
เราทำให้แม่น้ำทั้งหลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
ปลาของแม่น้ำนั้นๆ ก็เน่าเหม็นเพราะขาดน้ำ
และตายไปเพราะกระหายน้ำ
3เราห่มท้องฟ้าด้วยความดำมืด
และใช้ผ้ากระสอบเป็นผ้าคลุมของมัน”
ผู้รับใช้ถูกทำให้อัปยศแต่ได้รับการแก้ต่าง
4พระยาห์เวห์องค์เจ้านายประทานแก่ข้าพเจ้า
ให้มีลิ้นของผู้ได้รับการสั่งสอน
เพื่อข้าพเจ้าจะรู้จักการค้ำชู
คือค้ำชูผู้อิดโรยด้วยถ้อยคำ
ทุกๆ เช้าพระองค์ทรงปลุก
พระองค์ทรงปลุกหูของข้าพเจ้า
เพื่อให้ฟังเหมือนอย่างคนได้รับการสั่งสอน
5พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเปิดหูข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าเองไม่ได้ขัดขืน
ข้าพเจ้าไม่ได้หันหลังกลับ
6ข้าพเจ้าเปิดหลังให้ผู้โบยตีข้าพเจ้า
และหันแก้มแก่คนดึงเคราข้าพเจ้าออก
ข้าพเจ้าไม่ได้ซ่อนหน้า
จากการเยาะเย้ยและการถ่มน้ำลายรด
7แต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงช่วยข้าพเจ้า
เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถูกทำให้อัปยศ
เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทำหน้าข้าพเจ้าให้เหมือนหินเหล็กไฟ
และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย
8พระองค์ผู้ทรงแก้ต่างให้ข้าพเจ้านั้นอยู่ใกล้
ใครจะสู้ความกับข้าพเจ้า
ก็ให้เรายืนขึ้นมาด้วยกัน
และใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า
ก็ให้เขาเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า
9นี่แน่ะ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงช่วยข้าพเจ้า
ใครจะกล่าวว่าข้าพเจ้ามีความผิด?
ดูสิ พวกเขาทุกคนจะหลุดลุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า
ตัวแมลงจะกัดกินพวกเขาเสีย
10ใครบ้างในพวกเจ้าที่เกรงกลัวพระยาห์เวห์
และฟังเสียงผู้รับใช้ของพระองค์?
เขาผู้ดำเนินในความมืด
และปราศจากความสว่าง
แต่ยังวางใจในพระนามพระยาห์เวห์
และพึ่งอาศัยพระเจ้าของเขา
11นี่แน่ะ พวกเจ้าทุกคนที่ก่อไฟ
ผู้เอาดุ้นไฟคาดตัวเจ้าไว้
จงเดินด้วยแสงไฟของพวกเจ้า
และด้วยดุ้นไฟซึ่งเจ้าได้ก่อ
พวกเจ้าจะได้รับสิ่งนี้จากมือของเรา
คือ เจ้าจะต้องนอนลงในที่ทุกข์ทรมาน
อิสยาห์ 51
พรที่สะสมไว้เพื่อประชากรของพระเจ้า
1จงฟังเราสิ เจ้าทั้งหลายผู้ขวนขวายความชอบธรรม
พวกเจ้าผู้แสวงหาพระยาห์เวห์
จงมองดูหินที่ตัวเจ้าถูกตัดออกมา
และบ่อหินที่พวกเจ้าถูกขุดขึ้นมา
2จงมองดูอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้า
และซาราห์ผู้คลอดเจ้าทั้งหลายมา
เพราะเมื่อเขายังเป็นเพียงคนเดียว เราได้เรียกเขา
เราได้อวยพรเขาและทวีจำนวนของเขา
3เพราะว่าพระยาห์เวห์จะทรงชูใจศิโยน
พระองค์จะทรงชูใจที่ทิ้งร้างทุกแห่งของเธอ
และจะทำให้ถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดน
และที่ราบแห้งแล้งของเธอเหมือนพระอุทยานของพระยาห์เวห์
จะพบความชื่นบานและความยินดีในเธอ
ทั้งการขอบพระคุณและเสียงเพลง
4ชนชาติของเราเอ๋ย จงฟังเสียงของเรา
ประชากรของเราเอ๋ย จงเงี่ยหูฟังเรา
เพราะว่าธรรมบัญญัติจะออกไปจากเรา
และความยุติธรรมของเราจะเป็นความสว่างของชนชาติทั้งหลาย
5ความชอบธรรมของเราได้มาใกล้
และการช่วยกู้ของเราออกไปแล้ว
แขนของเราจะพิพากษาชนชาติทั้งหลาย
และคาดหวังต่อแขนของเรา
6จงเงยหน้าของพวกเจ้าดูฟ้าสวรรค์
แล้วมองดูแผ่นดินโลกเบื้องล่าง
เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญไปเหมือนควัน
และแผ่นดินโลกจะหลุดลุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า
แล้วผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนริ้น
แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์
และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุด
7จงฟังเรา พวกเจ้าผู้รู้จักความชอบธรรม
ชนชาติที่มีธรรมบัญญัติของเราอยู่ในใจ
อย่ากลัวการเยาะเย้ยของมนุษย์
และอย่าวิตกต่อการถากถางของเขา
8เพราะว่าตัวแมลงจะกินเขาเหมือนกินเสื้อผ้า
และตัวหนอนจะกินเขาเหมือนกินขนแกะ
แต่ความชอบธรรมของเราจะดำรงเป็นนิตย์
และความรอดของเราอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์
9ข้าแต่พระกรของพระยาห์เวห์
จงตื่นเถิด ตื่นขึ้นเถิด จงสวมกำลัง
ตื่นขึ้นอย่างในอดีตกาล
อย่างในชั่วชาติพันธุ์นานมาแล้วนั้น
ท่านไม่ใช่หรือที่หั่นราหับเป็นชิ้นๆ
และแทงมังกรทะลุ?
10ท่านไม่ใช่หรือที่ทำให้ทะเลแห้งไป?
คือน้ำของที่ลึกยิ่งนั้น
และทำที่ลึกของทะเลให้เป็นหนทาง
เพื่อให้พวกที่ทรงไถ่ไว้แล้วเดินผ่านไป
11แล้วพวกที่ไถ่ไว้แล้วของพระยาห์เวห์จะกลับมา
และจะมายังศิโยนด้วยการร้องเพลง
ความชื่นบานเป็นนิตย์จะอยู่บนศีรษะของพวกเขา
เขาจะได้รับความชื่นบานและความยินดี
ความโศกเศร้าและการถอนหายใจจะหนีไป
12เราเอง คือเราเองผู้ชูใจเจ้า
เจ้าเป็นใครเล่าที่กลัวคนซึ่งจะต้องตาย
คือกลัวมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า?
13เจ้าลืมพระยาห์เวห์ผู้สร้างของเจ้า
ผู้ทรงขึงฟ้าสวรรค์
และทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก
และเจ้ากลัวอยู่เรื่อยไปตลอดวัน
เพราะความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับ
เมื่อเขาตั้งตัวขึ้นที่จะทำลาย
แต่ความเกรี้ยวกราดของผู้บีบบังคับอยู่ที่ไหนเล่า?
14นักโทษจะได้รับการปลดปล่อยโดยเร็ว
เขาจะไม่ตายในที่กักขัง
และอาหารของเขาก็ไม่ขาดแคลน
15เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้กวนทะเลให้คลื่นของมันคะนอง
(พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมทัพ)
16และเราใส่ถ้อยคำของเราไว้ในปากของเจ้า
และซ่อนเจ้าไว้ในร่มมือของเรา
เราตั้งฟ้าสวรรค์
และวางรากฐานแผ่นดินโลก
และกล่าวกับศิโยนว่า “เจ้าเป็นชนชาติของเรา”
อรรถาธิบาย
อย่าเลิกวางใจในความรักของพระเจ้า
ทุกเช้า อิสยาห์รอคอยการทรงตรัสของพระเจ้า สั่งสอนเขา เพื่อเขาจะได้รู้ถ้อยคำที่ถูกต้องในการ ‘ค้ำชูผู้อิดโรย’ เพื่อให้กำลังใจผู้ที่ถูกทดลองให้ยอมรับความพ่ายแพ้ (50:4)
ในพระธรรมตอนนี้ วิธีที่เขาทำคือพูดกับผู้คนเกี่ยวกับความรักที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา เขาพูดถึงความเมตตาของพระเจ้า (49:10–13) และเขาใช้การเปรียบเทียบห้าประการอธิบายความรักของพระเจ้า:
1. ผู้เลี้ยง
พระเจ้ารักคุณเหมือนผู้เลี้ยงที่รักแกะของตน พระเจ้าในฐานะพระผู้เลี้ยงของอิสราเอล จะทรงนำผู้คนของพระองค์กลับจากการเป็นเชลย ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงกระทำให้แม้แต่อุปสรรคก็สนองพระประสงค์ของพระองค์ (ข้อ 11) พระเยซูทรงหยิบภาพของผู้เลี้ยงที่ดีนี้มาประยุกต์ใช้กับพระองค์เอง (ยอห์น 10:3–15)
2. มารดา
ความรักที่พระเจ้ามีต่อคุณยิ่งใหญ่กว่าความรักที่แม่มีต่อลูก ‘มารดาจะลืมทารกที่หน้าอกของหล่อน แล้วเดินหนีจากลูกที่เกิดมาได้หรือ? แต่ถึงแม้ว่ามารดาจะลืมลง เราก็ไม่มีวันลืมเจ้า ไม่เคยเลย’ (อิสยาห์ 49:15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
3. ช่างแกะสลัก
พระเจ้าตรัสว่า ‘เราได้ประทับ (สักรูป) ของท่านบนฝ่ามือของเราอย่างไม่ลบเลือน’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ชาวบาบิโลนใช้รอยสักเพื่อเตือนพวกเขาถึงบุคคลที่พวกเขารัก ความรักและความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่มีต่อคุณนั้นแสดงให้เห็นโดยการสลักรูปของคุณบนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์
4. ผู้พิชิต
ความรักของพระเจ้าเป็นเหมือนผู้พิชิต (ข้อ 25–26) พระองค์ทรงเข้มแข็งพอที่จะทำตามจุดประสงค์ของพระองค์เพื่อคุณและต่อสู้กับผู้ที่กดขี่ข่มเหงคุณ (ข้อ 25)
5. สามี
ผู้คนต่างพูดว่าพระเจ้าหย่าขาดจากพวกเขา เพราะบาปของพวกเขา พระเจ้าตรัสว่าถึงแม้ความอ่อนแอและบาปของพวกเขาเป็นสาเหตุให้เกิดการกวาดต้อนไปเป็นเชลย พระเจ้าสามารถฟื้นฟูพวกเขาได้ พระองค์ไม่ได้หย่าขาดหรือขายพวกเขาให้เป็นทาส (50:1) ไม่มีใครอยู่ไกลเกินเอื้อมจากพระเจ้า พระองค์สมรสกับคนของพระองค์ ความรักที่พระองค์มีต่อคุณยิ่งใหญ่กว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างสามีและภรรยา
อิสยาห์กระตุ้นผู้คนให้วางใจในพระเจ้าต่อไป: ‘บรรดาผู้รอคอยเราจะไม่อับอาย’ (49:23) พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนผ่านผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ของพระองค์: ‘ข้าพเจ้าไม่ได้ซ่อนหน้า จากการเยาะเย้ยและการถ่มน้ำลายรด แต่พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ถูกทำให้อัปยศ เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทำหน้าข้าพเจ้าให้เหมือนหินเหล็กไฟ’ (50:6–7)
พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์กำลังจะถูกเยาะเย้ยและถ่มน้ำลายใส่ พระพักตร์ของพระองค์เหมือนหินเหล็กไฟ และเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยรู้ว่าพระองค์จะทรงถูกตรึงที่กางเขนที่นั่น พระองค์มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ พระองค์ไม่ยอมแพ้ พระเจ้าพิสูจน์พระองค์แล้ว (ข้อ 8) ผลที่ได้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่และการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กาลาเทีย 6:9
‘อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร’
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะท้อใจเมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในสถานการณ์หรือคนที่คุณพยายามช่วยและดูเหมือนจะแย่ลง พระวจนะข้อนี้บอกว่าจงก้าวต่อไป แม้ว่าจะถูกล่อลวงให้ยอมแพ้ เพราะในที่สุดคุณจะได้เก็บเกี่ยว
ข้อพระคำประจำวัน
กาลาเทีย 6:9
‘... ไม่ท้อใจ’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)