เป็นพลเมืองดีอย่างไร
เกริ่นนำ
นักการเมือง: เราจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไร? รัฐบาลและสมาชิกสภาท้องถิ่น: เราจะบอกพวกเขาอย่างไร?ภาษี: เราจำเป็นต้องจ่ายไหม? แล้วถ้าเป็นระบอบการปกครองที่ชั่วร้ายล่ะ? ถ้าคุณอยู่ภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์หรือสตาลิน คุณสมควรเชื่อฟังพวกเขาหรือไม่?
อัครสาวกเปาโลเขียนว่า ‘จงเป็นพลเมืองที่ดี’ ‘ไม่มีอำนาจใดเลยที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ตราบใดที่มีสันติและความเรียบร้อย นั่นคือระเบียบของพระเจ้า ดังนั้นจงใช้ชีวิตอย่างรับผิดชอบในฐานะพลเมือง ผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้า ผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกลงโทษ ผู้ครอบครองที่ถูกแต่งตั้งขึ้นจะเป็นภัยต่อเมื่อท่านพยายามขัดขืน แต่พลเมืองดีไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว’ (โรม 13:1-3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่คงจะเป็นแนวคิดที่สุดโต่งสำหรับผู้อ่านรุ่นแรกของอาจารย์เปาโล ในโลกยุคโบราณผู้คนส่วนใหญ่มองว่าศาสนาและการปกครองเป็นเรื่องเดียวกัน คริสตจักรยุคแรกยังต้องปรับตัวกับความคิดว่าพระเมสสิยาห์จะไม่ปกครองคนของพระองค์ในการปกครองของโลกนี้ เพราะพวกเขาต่างนมัสการโรมและจักรพรรดิดั่งพระเจ้า แต่ว่าอาจารย์เปาโลบอกพวกเขาให้ติดตามพระเยซูในฐานะกษัตริย์ของพวกเขาและยังคงจำนนต่อสิทธิอำนาจของโรม
คำสอนของเปาโลในโรม 13 จะต้องสมดุลกับวิวรณ์ 13 ซึ่งวิวรณ์ 13 ถูกเขียนในสมัยที่คริสเตียนถูกข่มเหงภายใต้จักรวรรดิโดมิเชียน การเมืองปกครองถูกมองว่าเป็นพันธมิตรกับซาตาน (ในคราบของพญานาคสีแดง) ผู้ซึ่งมอบอำนาจของตนแก่การปกครองที่ข่มเหง (ในคราบของสัตว์ร้ายที่ผุดขึ้นจากทะเล) ที่เลวร้ายสุดคืออำนาจการปกครองนั้นอาจจะถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่ว
ทั้งโรม 13 และวิวรณ์ 13 นั้นต่างก็เป็นความจริง มีทั้งฝ่ายปกครองที่ดีและที่ไม่ดี ในการปกครองที่ดีแต่ก็อาจมีส่วนไม่ดีด้วยเช่นกัน ตามที่ออสการ์ คูลแมนกล่าวว่า ‘ไม่ว่ารัฐจะยังคงอยู่ภายในขอบเขตหรือละเมิดกฏ คริสเตียนก็สามารถเรียกรัฐเป็นดั่งผู้รับใช้ของพระเจ้าหรือเป็นดั่งเครื่องมือของมารได้เช่นกัน’
แล้วคุณจะมีชีวิตแบบพลเมืองที่ดีได้อย่างไร?
สดุดี 89:38-45
38แต่บัดนี้ พระองค์ทรงทอดทิ้งและปฏิเสธ
พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้
39พระองค์ได้ทรงยกเลิกพันธสัญญาที่ทำกับผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์ทรงทำให้มงกุฎของท่านเป็นมลทินในผงคลีดิน
40พระองค์ทรงพังกำแพงทั้งสิ้นของท่าน
พระองค์ทรงให้ที่กำบังอันแข็งแกร่งของท่านพังทลาย
41คนทั้งปวงที่ผ่านไปก็ปล้นท่าน
ท่านกลายเป็นที่เยาะเย้ยของเพื่อนบ้าน
42พระองค์ทรงยกมือขวาคู่อริของท่านขึ้น
พระองค์ทรงทำให้ศัตรูทั้งสิ้นของท่านยินดี
43ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงหันคมดาบของท่าน
และมิได้ทรงให้ท่านตั้งมั่นคงในสงคราม
44พระองค์ทรงให้ความรุ่งโรจน์ของท่านเสื่อมสูญไป
และทรงเหวี่ยงบัลลังก์ของท่านลงสู่พื้นดิน
45พระองค์ทรงตัดวันเวลาวัยหนุ่มของท่านให้สั้น
และทรงคลุมท่านไว้ด้วยความอาย
อรรถาธิบาย
อธิษฐานเพื่อผู้คนที่มีสิทธิอำนาจ
อิสราเอลมีระบอบการปกครองที่พระเจ้าเป็นผู้ปกครองสูงสุด ที่ทั้งคริสตจักรและฝ่ายปกครองผูกประสานกันโดยไม่อาจแยกได้ ผู้นำของประชากรของพระเจ้า คือผู้ที่ ‘พระองค์ทรงเจิมไว้’ (ข้อ 38) และยังเป็นผู้เดียวกับที่สวม ‘มงกุฎ’ (ข้อ 39) และนั่งบน ‘บัลลังก์’ (ข้อ 44)
กษัตริย์ต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมถือว่าถูกเจิมตั้งโดยพระเจ้า ถึงกระนั้นพวกเขาหลายคนก็ได้ทำบาปและไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ‘แต่บัดนี้ พระองค์ทรงทอดทิ้งและปฏิเสธ พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ พระองค์ได้ทรงยกเลิกพันธสัญญาที่ทำกับผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้มงกุฎของท่านเป็นมลทินในผงคลีดิน’ (ข้อ 38-39)
คำอธิษฐาน
โรม 13:1-14
การเชื่อฟังผู้ครอบครอง
1ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ถืออำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น 2เพราะฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกลงโทษ 3เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ประพฤติดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ประพฤติชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จงทำแต่ความดี แล้วท่านก็จะได้เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น 4เพราะว่าผู้ครอบครองนั้น เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่าน แต่ถ้าท่านทำความชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ครอบครองไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ แต่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะเป็นผู้ลงโทษแทนพระเจ้าแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว 5เพราะฉะนั้นท่านจะต้องเชื่อฟังผู้ครอบครอง ไม่ใช่เพื่อจะหลีกเลี่ยงการลงโทษอย่างเดียว แต่เพื่อมโนธรรมด้วย 6เพราะเหตุผลนี้ ท่านจึงได้เสียส่วยด้วย เพราะว่าผู้มีอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ 7จงให้แก่ทุกคนที่ท่านต้องให้เขา คือ
ส่วย แก่คนที่ท่านต้องเสียส่วยให้
ภาษี แก่คนที่ท่านต้องเสียภาษีให้
ความยำเกรง แก่คนที่ท่านต้องให้ความยำเกรง
เกียรติ แก่คนที่ท่านต้องให้เกียรติ
การรักกันแบบพี่น้อง
8อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว 9ข้อที่ว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ” ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 10ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน
วันแห่งพระคริสต์ใกล้เข้ามา
11นอกจากนั้นท่านควรจะรู้ว่านี่เป็นเวลาที่ควรตื่นจากหลับแล้ว เพราะว่าความรอดได้เข้ามาใกล้กว่าสมัยที่เราเริ่มเชื่อนั้น 12กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา ให้เราเลิกบรรดากิจการแห่งความมืด และสวมเครื่องอาวุธแห่งความสว่าง 13ให้เราประพฤติตัวเรียบร้อยสมกับเวลากลางวัน ไม่ใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย ไม่ใช่หยาบโลนลามก ไม่ใช่วิวาทริษยากัน 14แต่ท่านทั้งหลายจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อสนองตัณหาของเนื้อหนัง
อรรถาธิบาย
ชื่นชมในเสรีภาพภายใต้สิทธิอำนาจ
เราอยู่ในช่วงเวลาระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกและการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู เมื่อพระเยซูกลับมา พระองค์จะปกครองและครอบครองเป็นนิจ ไม่จำเป็นจะต้องมีการปกครองฝ่ายโลกอีกต่อไป แต่ในระหว่างนี้ เราจำเป็นจะต้องมีการปกครองฝ่ายโลก ในถ้อยคำของเปโตร อำนาจของการปกครองนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดในรูปแบบของ ‘ผู้มีสิทธิอำนาจ’ (1 เปโตร 2:13)
นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์วางแผนทุกอย่างขึ้นมาตามอำเภอใจหรือแยกตัวออกจากพระเจ้า แต่นี่เป็นสถาบันในการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์ตามที่พระเจ้าทรงสร้างไว้
แต่ในเมื่อพระเจ้าทรงเป็นผู้เจิมตั้ง อาจารย์เปาโลเขียนว่านั่นเองเราทุกคนจึงต้องยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจที่ปกครองอยู่ (โรม 13:1-2)
หากสิ่งนี้ยังใช้กับสิทธิอำนาจฝ่ายโลก แล้วจะยิ่งใช้กับสิทธิอำนาจของคริสตจักรมากเพียงใด คริสตจักรต่าง ๆ มีโครงสร้างของสิทธิอำนาจที่ต่างกัน ตามประสบการณ์ของผม การยอมต่อสิทธิอำนาจของผู้นำคริสตจักรไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่ก็นำมาซึ่งเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่
นี่เป็นหลักการพื้นฐานในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ คุณจะต้องเชื่อฟังสิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล การปกครองท้องถิ่น และสถาบันที่คุณมีส่วน ทำไมกัน?
คุณทำแบบนั้นเพราะว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้
คุณทำแบบนั้นเพราะตระหนักถึงผลที่ตามมาของการไม่เชื่อฟัง ‘หากท่านแหกกฎทั้งซ้ายและขวา จงระวังไว้ตำรวจไม่ได้มีเพื่อให้ชื่นชมเครื่องแบบของพวกเขาเท่านั้น พระเจ้าสนพระทัยในการรักษาระเบียบ และพระองค์ทรงใช้พวกเขาให้ทำมัน’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘3. ...เพื่อมโนธรรมด้วย’ (ข้อ 5) ถ้าคุณไม่เชื่อฟังผู้มีอำนาจ คุณไม่อาจมีชีวิตอยู่ร่วมกับมโนธรรมที่ชัดเจนได้ ‘นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านต้องมีชีวิตที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ แต่เพราะว่านั่นเป็นวิธีการใช้ชีวิตที่ถูกต้องด้วย’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เราเห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างมโนธรรมส่วนตัวและการบังคับใช้กฎหมายของผู้มีอำนาจ ในด้านมโนธรรม คำสอนของอาจารย์เปาโลนั้นคล้ายคลึงกับคำสอนของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพูดถึงการไม่ตอบโต้และ ‘การหันแก้มอีกข้าง’ (ข้อ 12:14-21) ทว่าอาจารย์เปาโลย้ายจากจุดนี้ไปพูดถึง ‘อำนาจที่ปกครองอยู่’ (ข้อ 13:1-6) เขาเปรียบบรรดาผู้นำที่ได้รับสิทธิอำนาจมาจากพระเจ้าเป็นดั่งผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะนำบทลงโทษมาสู่ผู้ที่กระทำผิด (ข้อ 4)
หัวข้อนี้ได้ถูกให้ความสำคัญในแง่มุมของการปกป้องคุ้มครองผู้อื่น การรู้เห็นและเพิกเฉยต่อการฆาตกรรมและความรุนแรง จะเป็นอะไรที่ขัดกับความเป็นคริสเตียนและความรัก ในทางเดียวกัน ถ้าการมีสิทธิอำนาจที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องประชาชนจากความขัดแย้งภายใน เป็นสิ่งที่ถูก ถ้าเป็นเช่นนั้นการปกป้องพวกเขาจากความขัดแย้งภายนอกด้วยการใช้ความรุนแรง ก็เป็นสิ่งที่ควรจะยอมรับได้เช่นเดียวกันเมื่อถึงคราวจำเป็น แน่นอนว่าในทางปฏิบัติ มักจะเป็นเรื่องยากมากที่จะนำเอามาใช้ แม้การใช้กำลังดังกล่าวถือเป็นเรื่องชอบธรรม
สิ่งที่ดูจะที่ขัดแย้งน้อยกว่าคือเราควรจ่ายในสิ่งที่เราเป็นหนี้ (ข้อ 6-8) นั่นหมายความว่าเราจะต้องจ่ายภาษีให้ครบทุกบาทที่เราค้างและใบเก็บเงินทั้งหมดทันทีที่มาถึงมือเรา ‘จงให้แก่ทุกคนที่ท่านต้องให้เขา… อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย’ (ข้อ 7-8)
การมีหนี้ที่วางแผนไว้แล้วและบริหารจัดการได้นั้นไม่ผิด เช่น การจำนอง เงินกู้เพื่อการศึกษา หรือบัตรเครดิต แต่เราจะต้องหลีกเลี่ยงการมีหนี้ที่ไม่ได้วางแผนไว้หรือไม่สามารถจัดการได้อย่างมีสติ ถ้าคุณพบว่าตัวเองติดหนี้ มันสำคัญที่คุณจะไม่เพิกเฉยและพยายามหาความช่วยเหลือให้เร็วที่สุด อย่างเช่น หาที่ปรึกษาด้านหนี้สินของคริสเตียน
วิธีทำให้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ สำเร็จเป็นจริงได้ก็คือการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ‘เมื่อท่านรักผู้อื่น ท่านได้ทำตามสิ่งที่กฎเรียกร้องมาตลอดให้สำเร็จ’ (ข้อ 8ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ถ้าเราทำตามนั้น เราจะกล้าไม่ลักขโมยเพราะคนที่ถูกเราขโมยจะทุกข์ใจมาก เราจะไม่ฆ่าฟัน หรือแม้แต่มีความโกรธในแบบที่ผิด ๆ เพราะความเจ็บปวดที่จะมาถึงผู้อื่น เราจะไม่ล่วงประเวณีเพราะความเสียหายที่จะเกิดกับชีวิตสมรสและความสัมพันธ์ต่าง ๆ
‘ในธรรมบัญญัติ – อย่านอนกับคู่ของคนอื่น อย่าพรากชีวิตของคนอื่น อย่าเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตนมา อย่าปรารถนาสิ่งที่ตนไม่มีอยู่เรื่อย ๆ และ “อย่า” อื่น ๆ ที่เราคิดออกนั้น สุดท้ายแล้วรวมเป็นหลักการว่า จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่ท่านรักตัวเอง ท่านไม่สามารถผิดพลาดได้เมื่อท่านรักผู้อื่น เมื่อเราบวกทุกอย่างในธรรมบัญญัติแล้ว จำนวนรวมนั้นคือความรัก’ (ข้อ 9-10 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
บทบัญญัติได้ถูกสรุปและทำให้สำเร็จด้วยความรัก ความรักไม่ใช่ข้ออ้างให้ไม่รักษาธรรมบัญญัติ แต่เป็นวิธีการรักษามัน บัญญัติเหล่านั้นถูกให้ด้วยรักที่มีต่อเราและถูกทำให้สำเร็จด้วยรัก อาจารย์เปาโลไม่ได้เขียนว่าถ้าคุณรัก คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังกฎ แต่เขาบอกว่าถ้าคุณรัก คุณจะทำตามกฎหรือบัญญัตินั่นเอง
พระเยซูเป็นตัวอย่างของความรักสูงสุด อาจารย์เปาโลบอกว่า ‘ท่านทั้งหลายจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 14) อธิษฐานขอที่พระลักษณะของพระเยซู และความรักของพระองค์จะล้อมรอบเรา ปกป้องเรา และเป็นที่ประจักษ์ต่อคนที่เราพบเจอในวันนี้
คำอธิษฐาน
1 พงศาวดาร 7:1-9:1ก
เชื้อสายของอิสสาคาร์
1บุตรของอิสสาคาร์คือโทลา ปูอาห์ ยาชูบ และชิมโรน รวม 4 คนด้วยกัน 2บุตรของโทลาคืออุสซี เรไฟยาห์ เยรีเอล ยามัย ยิบสัม และเชมูเอล ซึ่งเป็นบรรดาหัวหน้าของตระกูลบิดาเขาคือของโทลาและเป็นนักรบกล้าหาญในสมัยของพวกเขา และจำนวนของคนเหล่านี้ในสมัยของดาวิดคือ 22,600 คน 3บุตรของอุสซีคืออิสราหิยาห์ และบุตรของอิสราหิยาห์คือมีคาเอล โอบาดีห์ โยเอล และอิสชีอาห์ ทั้ง 5 คนเป็นผู้นำ 4และพร้อมกับคนเหล่านี้ตามลำดับพงศ์ของตระกูลบิดาเขามีทหาร 36,000 คนพร้อมสำหรับสงคราม เพราะพวกเขามีภรรยาและบุตรมาก 5ญาติพี่น้องของพวกเขาเป็นคนในตระกูลทั้งหมดของอิสสาคาร์ เป็นนักรบกล้าหาญจำนวน 87,000 คน ตามทะเบียนลำดับพงศ์
เชื้อสายของเบนยามิน
6บุตรเบนยามินมี 3 คนคือเบ-ลา เบเคอร์ และเยดียาเอล 7บุตรของเบ-ลามี 5 คนคือเอสโบน อุสซี อุสซีเอล เยรีโมท และอิรี เป็นผู้นำของตระกูลบิดาเขา เป็นนักรบกล้าหาญจำนวน 22,034 คน ตามทะเบียนลำดับพงศ์ 8บุตรของเบเคอร์คือเศมิราห์ โยอาช เอลีเอเซอร์ เอลีโอนัย อม-รี เยเรโมท อาบียาห์ อานาโธท และอาเลเมท ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของเบเคอร์ 9พวกเขาถูกบันทึกในทะเบียนลำดับพงศ์ เป็นผู้นำตระกูลบิดาของเขา เป็นนักรบกล้าหาญจำนวน 22,000 คน 10บุตรของเยดียาเอลคือบิลฮาน และบุตรของบิลฮานคือเยอูช เบนยามิน เอฮูด เคนาอะนาห์ เศธาน ทารชิช และอาหิชาฮาร์ 11ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของเยดียาเอลเป็นพวกผู้นำตระกูลของเขา เป็นนักรบกล้าหาญจำนวน 17,200 คน พร้อมที่จะออกรบในสงคราม 12ชุปปิมและหุปปิมเป็นบุตรอิระ หุชิมเป็นบุตรอาเฮอร์
เชื้อสายของนัฟทาลี
13บุตรของนัฟทาลีคือยาซีเอล กุนี เยเซอร์ และชัลลูม เป็นบุตรของนางบิลฮาห์
เชื้อสายของมนัสเสห์
14บุตรของมนัสเสห์คืออัสรีเอล ผู้เป็นบุตรของภรรยาน้อยชาวซีเรีย และนางเป็นมารดาของมาคีร์บิดาของกิเลอาด 15มาคีร์ก็หาภรรยาให้หุปปิม และชุปปิม พี่สาวของเขาชื่อมาอาคาห์ และคนที่สองชื่อเศโลเฟหัด และเศโลเฟหัดมีบุตรหญิงหลายคน 16และมาอาคาห์ภรรยาของมาคีร์มีบุตรชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อเขาว่าเปเรช และน้องชายของเขาชื่อเชเรช และพวกบุตรของเขาชื่ออุลาม และราเคม 17บุตรของอุลามคือเบดาน คนเหล่านี้เป็นบุตรของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรมาคีร์ ผู้เป็นบุตรมนัสเสห์ 18และฮัมโมเลเคทน้องสาวของเขาเป็นมารดาของอิชโฮด อาบีเยเซอร์ และมาลาห์ 19บรรดาบุตรของเชมิดาคืออาหิยัน เชเคม ลิคฮี และอานียัม
เชื้อสายของเอฟราอิม
20บุตรของเอฟราอิมคือชูเธลาห์ บุตรของชูเธลาห์คือเบเรด บุตรของเบเรดคือทาหัท บุตรของทาหัทคือเอเลอาดาห์ บุตรของเอเลอาดาห์คือทาหัท 21บุตรของทาหัทคือศาบาด บุตรของศาบาดคือชูเธลาห์ และเอเซอร์กับเอเลอัด ทั้งสองคนถูกชาวกัทที่เกิดในดินแดนนั้นฆ่าทิ้ง เพราะเขาทั้งสองลงไปปล้นฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา 22และเอฟราอิมบิดาของพวกเขาก็โศกเศร้าหลายวัน และพวกพี่น้องของเขาก็มาปลอบโยนเขา 23และเอฟราอิมก็เข้าไปหาภรรยา และนางก็ตั้งครรภ์มีบุตรชายคนหนึ่ง และเขาตั้งชื่อว่าเบรีอาห์ เพราะว่ามีสิ่งร้ายเกิดขึ้นในครอบครัวเขา 24บุตรหญิงของเขาชื่อเชเอราห์ ผู้ซึ่งสร้างเมืองเบธโฮโรนล่างและบน และเมืองอุสเซนเชเอราห์ 25เอฟราอิมมีบุตรชื่อเรฟาห์ บุตรเรฟาห์คือเรเชฟ บุตรเรเชฟคือเทลาห์ บุตรเทลาห์คือทาหาน 26บุตรทาหานคือลาดาน บุตรลาดานคืออัมมีฮูด บุตรอัมมีฮูดคือเอลีชามา 27บุตรเอลีชามาคือนูน บุตรนูนคือโยชูวา 28ที่ดิน เมืองและที่อยู่ของพวกเขาคือเบธเอลกับบรรดาหมู่บ้าน และนาอารันด้านตะวันออก และเกเซอร์ด้านตะวันตกกับบรรดาหมู่บ้าน และเมืองเชเคมกับบรรดาหมู่บ้าน และอัยยาห์กับบรรดาหมู่บ้าน 29และตามพรมแดนของคนมนัสเสห์มี เมืองเบธชานกับบรรดาหมู่บ้าน ทาอานาคกับบรรดาหมู่บ้าน เมกิดโดกับบรรดาหมู่บ้าน โดร์กับบรรดาหมู่บ้าน บุตรหลานของโยเซฟบุตรอิสราเอลอาศัยอยู่ในที่เหล่านี้
เชื้อสายของอาเชอร์
30บุตรของอาเชอร์คืออิมนาห์ อิชวาห์ อิชวี เบรีอาห์ และเสราห์น้องสาวของเขา 31บุตรของเบรีอาห์คือเฮเบอร์ และมัลคีเอล ผู้เป็นบิดาของบิรซาวิธ 32เฮเบอร์เป็นบิดาของยาเฟล็ท โชเมอร์ โฮธาม และชูวาน้องสาวของพวกเขา 33บุตรของยาเฟล็ทคือปาสัค บิมฮาล และอัชวาท เหล่านี้เป็นบุตรของยาเฟล็ท 34บุตรของเชเมอร์คืออาหิ โรกาห์ เยฮุบบาห์ และอารัม 35บุตรเฮเลมน้องชายของเขาคือโศฟาห์ อิมนา เชเลช และอามัล 36บุตรของโศฟาห์คือ สุอาห์ ฮารเนเฟอร์ ชูอัล เบรี อิมราห์ 37เบเชอร์ โฮด ชัมมา ชิลชาห์ อิธราน และเบโอรา 38บุตรของเยเธอร์คือเยฟุนเนห์ ปิสปา และอารา 39บุตรของอุลลาคืออาราห์ ฮันนีเอล และรีเซีย 40ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของอาเชอร์ เป็นผู้นำตระกูลของพวกเขา เป็นนักรบกล้าหาญที่ถูกคัดเลือกไว้เป็นผู้นำของเหล่าเจ้านาย จำนวนคนที่พร้อมรบในสงครามตามที่บันทึกไว้ในทะเบียนลำดับพงศ์คือ 26,000 คน
1 พงศาวดาร 8
เชื้อสายของเบนยามิน
1เบนยามินเป็นบิดาของเบ-ลาบุตรหัวปีของเขา อัชเบลคนที่สอง อาหะราห์คนที่สาม 2โนฮาห์คนที่สี่ ราฟาคนที่ห้า 3บุตรของเบ-ลาคือ อัดดาร์ เก-รา อาบีฮูด 4อาบีชูวา นาอามาน อาโหอาห์ 5เก-รา เชฟูฟาน และหุราม 6ต่อไปนี้เป็นบุตรของเอฮูด (เขาทั้งหลายเป็นผู้นำของบรรดาตระกูลที่เป็นชาวเมืองเกบา และพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลยยังเมืองมานาฮาท) 7คือนาอามาน อาหิยาห์ และเก-รา ผู้พาพวกเขาไป และเขาเป็นบิดาของอุสซา และอาหิฮูด 8และชาหะราอิมมีบุตรชายในดินแดนโมอับ ภายหลังจากที่เขาไล่หุชิมและบาอารา ภรรยาทั้งสองของเขาไปแล้ว 9เขามีบุตรกับโฮเดชภรรยาของเขาคือโยบับ ศิเบีย เมชา มัลคาม 10เยอูส สาเคีย และมิรมาห์ เหล่านี้เป็นบุตรของเขา เป็นผู้นำของตระกูลเขา 11เขามีบุตรกับหุชิมด้วยคืออาบีทูบและเอลปาอัล 12บุตรของเอลปาอัลคือเอเบอร์ มิชอัม และเชเมด ผู้สร้างเมืองโอโน และเมืองโลดพร้อมกับหลายหมู่บ้าน 13และเบรีอาห์ และเชมา (เขาทั้งหลายเป็นเหล่าผู้นำบรรดาตระกูลที่เป็นชาวเมืองอัยยาโลน ที่ขับไล่ชาวเมืองกัทไปเสียนั้น) 14และอาหิโย ชาชัก และเยเรโมท 15เศบาดิยาห์ อาราด เอเดอร์ 16มีคาเอล อิชปาห์ และโยฮา เป็นบุตรของเบรีอาห์ 17เศบาดิยาห์ เมชุลลาม ฮิสคี เฮเบอร์ 18อิชเมรัย อิสลิยาห์ และโยบับเป็นบุตรของเอลปาอัล 19ยาคิม ศิครี ศับดี 20เอลีเยนัย ศิลเลธัย เอลีเอล 21อาดายาห์ เบไรอาห์ และชิมราท เป็นบุตรของชิเมอี 22อิชปาน เอเบอร์ เอลีเอล 23อับโดน ศิครี ฮานาน 24ฮานันยาห์ เอลาม อันโธธียาห์ 25อิฟไดยาห์ และเปนูเอล เป็นบุตรของชาชัก 26ชัมเชรัย เชหะรียาห์ อาธาลิยาห์ 27ยาอาเรชียาห์ เอลียาห์ และศีครี เป็นบุตรของเยโรฮัม 28คนเหล่านี้เป็นผู้นำตระกูลของพวกเขา ตามลำดับพงศ์ของพวกเขา คนเหล่านี้เป็นผู้นำที่อาศัยในเยรูซาเล็ม
วงศ์วานของซาอูล
29และในกิเบโอนก็มีบิดาของกิเบโอนอาศัยอยู่ และภรรยาของท่านชื่อมาอาคาห์ 30บุตรหัวปีของท่านชื่ออับโดน แล้วก็มี ศูร์ คีช บาอัล นาดับ 31เกโดร์ อาหิโย เศเคอร์ 32และมิกโลท (ผู้เป็นบิดาของชิเมอาห์) พวกเขาอยู่ใกล้กับญาติของเขาด้วย พวกเขาอาศัยในเยรูซาเล็มกับญาติของเขา 33เนอร์เป็นบิดาของคีช คีชเป็นบิดาของซาอูล ซาอูลเป็นบิดาของ โยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล 34และบุตรโยนาธานคือเมริบบาอัล และเมริบบาอัลเป็นบิดาของมีคาห์ 35บุตรของมีคาห์คือปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส 36และอาหัสเป็นบิดาของเยโฮอัดดาห์ และเยโฮอัดดาห์เป็นบิดาของ อาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี ศิมรีเป็นบิดาของโมซา 37โมซาเป็นบิดาของบิเนอา บุตรบิเนอาคือราฟาห์ บุตรราฟาห์คือเอเลอาสาห์ บุตรเอเลอาสาห์คืออาเซล 38อาเซลมีบุตร 6 คน และต่อไปนี้เป็นชื่อของพวกเขา อัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดีย์ และฮานัน ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของอาเซล 39บุตรของเอเชกน้องชายของเขาคือ อุลามบุตรหัวปีของเขา เยอูชคนที่สอง และเอลีเฟเลทคนที่สาม 40บุตรชายของอุลามเป็นเหล่านักรบกล้าหาญ เป็นพวกนักธนู มีบุตรหลานมากมายจำนวน 150 คน คนทั้งหมดนี้เป็นบุตรหลานของเบนยามิน
1 พงศาวดาร 9
ผู้กลับมาจากกรุงบาบิโลน
1ดังนั้นอิสราเอลทั้งปวงขึ้นทะเบียนลำดับพงศ์ และทะเบียนนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือกษัตริย์แห่งอิสราเอล และยูดาห์ก็ถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลน เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขา
อรรถาธิบาย
พึงระวังข้อจำกัดของสิทธิอำนาจ
เมื่อเรามองดูโลกรอบตัวในปัจจุบัน เราเห็นถึงผู้นำและการปกครองที่ทั้งดีและไม่ดี ประชาชนอิสราเอลก็ได้เจอกับการปกครองที่ไม่ดีเช่นกัน
ผู้เขียนพงศาวดารได้สรุปรายชื่อและลำดับวงศ์ตระกูล เขาเขียนว่า ‘นี่คือลำดับพงศ์พันธุ์ที่ครบถ้วนของอิสราเอลทั้งชาติ ซึ่งถูกบันทึกในพระราชพงศาวดารของกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์ยูดาห์ ในช่วงเวลาที่พวกเขาถูกเนรเทศไปบาบิโลนเพราะชีวิตที่ไม่เชื่อและไม่เชื่อฟังของพวกเขา’ (ข้อ 9:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในรายการนี้เขาพูดถึงซาอูลว่า ‘คีชเป็นบิดาของซาอูล ซาอูลเป็นบิดาของโยนาธาน’ (ข้อ 8:33) ซึ่งภายหลังเขาได้เน้นว่านี่คือแบบอย่างของคนที่เป็นผู้นำที่ดีในตอนแรก แต่จบลงด้วยการเป็นผู้นำที่ไม่ดี (ข้อ 10:13-14)
ซาอูลเป็นตัวอย่างของผู้มีอำนาจในแบบที่พระธรรมวิวรณ์ 13 กล่าวถึง ถึงกระนั้นดาวิดพยายามเท่าที่เขาสามารถทำได้ เพื่อจะยังคงสัตย์ซื่อ และยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจของซาอูล
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
‘จงลุกขึ้นและตื่นตัวต่อสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำ!’ (โรม 13:12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ข้อพระคำประจำวัน
โรม 13:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘จงรักผู้อื่นเหมือนกับที่ท่านรักตัวเอง ท่านไม่สามารถผิดพลาดเมื่อท่านรักผู้อื่น’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)