ที่กว้างใหญ่
เกริ่นนำ
จอห์น นิวตัน (ค.ศ. 1725–1801) เป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า เขาข่มเหง และหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาเป็นชายหนุ่มที่คึกคะนอง และเกรี้ยวกราด เขาถูกเกณฑ์ให้เป็นทหารเรือเมื่ออายุสิบแปดปี และเขาได้ทำผิดกฎจนถูกเฆี่ยนต่อหน้าสาธารณชนเพราะละทิ้งหน้าที่ เพื่อนร่วมทีมเกลียดชังและหวาดกลัวเขา และตัวเขาเองก็กลายเป็นคนค้าทาส
ตอนอายุได้ยี่สิบสามปี เรือของนิวตันเจอพายุโหมกระหน่ำบริเวณชายฝั่งโดเนกัล และเกือบจะจมลง เขาร้องหาพระเจ้าในขณะที่น้ำทะลักเข้ามาในเรือ และในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1748 พระเจ้าทรงช่วยกู้เขา เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เขาเริ่มอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ ท้ายที่สุดเขาร่วมกับวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ พวกเขาได้รณรงค์เพื่อยกเลิกการค้าทาส และกลายเป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจจากการรณรงค์นั้น
นิวตันถูกรู้จักมากที่สุดในฐานะของผู้แต่งเพลงนมัสการ ‘พระคุณพระเจ้า (Amazing Grace)’
พระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจ
ช่วยได้คนชั่วอย่างฉัน
ครั้งนั้นฉันหลง พระองค์ตามหา
ตาบอดแต่ฉันเห็นแล้ว
การได้รับการช่วยกู้ เพื่อจะได้รับความรอด ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไท หลุดพ้นจากอันตราย การถูกทำร้าย หรือการบาดเจ็บ พระเยซูทรงเป็นผู้เดียวที่จะช่วยคุณให้รอดปลอดภัย และนำคุณออกไปยัง ‘ที่กว้างใหญ่‘ (2 ซามูเอล 22:20)
สดุดี 73:15-28
15ถ้าข้าพระองค์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนี้”
ข้าพระองค์ก็จะทรยศต่อพวกบุตรของพระองค์
16แต่เมื่อข้าพระองค์ตรึกตรองว่า จะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร
ข้าพระองค์รู้สึกว่าเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย
17จนข้าพระองค์เข้าไปในสถานนมัสการของพระเจ้า
แล้วข้าพระองค์จึงพิเคราะห์เห็นปลายทางของเขาทั้งหลาย
18แน่ทีเดียว พระองค์ทรงวางเขาทั้งหลายไว้ในที่ลื่น
พระองค์ทรงทำให้พวกเขาล้มถึงความพินาศ
19แหม เขาทั้งหลายถูกทำลายเสียในครู่เดียว
ถูกเหตุการณ์สยดสยองกวาดไปอย่างสิ้นเชิง
20ข้าแต่องค์เจ้านาย เหมือนความฝันที่หายไปเมื่อตื่นขึ้น
เมื่อทรงตื่น พระองค์ก็ทรงดูหมิ่นภาพของพวกเขา
21เมื่อใจของข้าพระองค์ขมขื่น
เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ
22ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง
ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์
23ถึงกระนั้นก็ดี ข้าพระองค์อยู่กับพระองค์เสมอ
พระองค์ทรงจับมือขวาของข้าพระองค์ไว้
24พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ด้วยคำปรึกษาของพระองค์
และภายหลังพระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ให้ได้รับเกียรติยศ
25นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีผู้ใดในฟ้าสวรรค์
นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ประสงค์สิ่งใดในโลก
26ร่างกายและจิตใจของข้าพระองค์จะวายไป
แต่พระเจ้าทรงเป็นกำลังใจและเป็นมรดกส่วนของข้าพระองค์เป็นนิตย์
27เพราะนี่แน่ะ บุคคลผู้ห่างเหินจากพระองค์จะพินาศ
ทุกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์จะถูกพระองค์ทำลาย
28แต่ส่วนข้าพระองค์ ที่จะเข้าใกล้พระเจ้านั้นดี
ข้าพระองค์ได้ให้พระยาห์เวห์องค์เจ้านายเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะได้เล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
อรรถาธิบาย
ที่กว้างใหญ่สำหรับคุณ
คุณเคยมีประสบการณ์ลื่นไถลไปในความบาปไหม? คุณพบตัวเองลื่นไปไกล และไหลลงไปในทางที่คุณไม่ได้อยากจะไปจริง ๆ
ผู้เขียนสดุดีพบว่าตัวเองอยู่บนทางลาดลื่นไถล ‘แต่ข้าพเจ้าเล่า เท้าของข้าพเจ้าเกือบสะดุด ย่างเท้าของข้าพเจ้าจวนพลาดเต็มทีแล้ว เพราะข้าพเจ้าริษยาคนจองหอง เมื่อข้าพเจ้าเห็นความสมบูรณ์พูนสุขของคนอธรรม’ (ข้อ 2–3)
มุมมองทั้งหมดของคุณเปลี่ยนไปเมื่อคุณเข้าสู่ ‘สถานนมัสการของพระเจ้า’ (ข้อ 17ก) ‘แล้วข้าพระองค์จึงพิเคราะห์เห็นปลายทางของเขาทั้งหลาย’ (ข้อ 17ข) คนที่เย่อหยิ่งและชั่วร้ายถูกวางไว้บน ‘ที่ลื่น’ (ข้อ 18) แม้ว่าดูเหมือนภายนอกจะประสบความสำเร็จและมั่งคั่ง พวกเขาอยู่บนถนนที่นำไปสู่ความพินาศ (ข้อ 19–20)
เป็นความ ‘เขลาและไม่รู้เรื่อง’ (ข้อ 22) ในการอิจฉาพวก ‘คนที่ไม่มีพระเจ้า’ เมื่อคุณมีมุมมองที่ถูกต้องคุณตระหนักว่า คุณมีความสุขมากเพียงใด (ข้อ 23–26)
ไม่มีอะไรเทียบได้กับการเดินอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า รู้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ การทรงนำ และความเข้มแข็งของพระองค์ และพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำไปสู่เกียรติยศ คุณเหนือกว่าคนที่ ‘ไม่มีพระเจ้า’ ทั้งในชีวิตและในอนาคต พระเจ้าทรงนำคุณไปยัง ‘ที่กว้างใหญ่’ ของพระองค์
เมื่อคุณเห็นว่าคุณรอดจากอะไร คุณตระหนักว่า ดีเพียงใดที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า (ข้อ 28) และคุณอยากจะส่งต่อข่าวดีนี้ให้กับคนอื่น ๆ
‘แต่ส่วนข้าพระองค์อยู่ในการทรงสถิตของพระองค์
โอ ช่างสดชื่นอะไรเช่นนี้
ข้าพระองค์ได้ให้องค์เจ้านายเป็นที่พำนักของข้าพระองค์
พระเจ้า ข้าพระองค์จะเล่าให้โลกรู้ถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
กิจการอัครทูต 9:1-31
เซาโลกลับใจ
1ในระหว่างนั้นเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าบรรดาสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงไปหามหาปุโรหิต 2ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อที่ว่าถ้าพบใครเป็นพวก “ทางนั้น”พวก “ทางนั้น” หมายถึง พวกที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ไม่ว่าชายหรือหญิง จะจับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม 3ขณะที่เซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน 4ท่านก็ล้มลงที่พื้นและได้ยินพระสุรเสียงตรัสว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?” 5เซาโลจึงทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง 6จงลุกขึ้นเถิดและเข้าไปในเมือง จะมีคนบอกให้เจ้าทราบว่าเจ้าต้องทำอะไร” 7พวกที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนจังงังพูดไม่ออก พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงแต่ไม่เห็นใคร 8เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้น เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น พวกเขาจึงจูงมือท่านเข้าไปในเมืองดามัสกัส 9ตาของท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย
10ในเมืองดามัสกัสมีสาวกคนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับคนนั้นทางนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 11พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนสายที่เรียกว่า ‘ถนนตรง’ และไปที่บ้านของยูดาสถามหาชายคนหนึ่งจากเมืองทาร์ซัสที่ชื่อเซาโล ตอนนี้เขากำลังอธิษฐานอยู่ 12และ[ในนิมิต]สำเนาโบราณบางฉบับ ไม่มีคำนี้เขามองเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนตัวเขาเพื่อที่ว่าเขาจะมองเห็นอีก” 13แต่อานาเนียทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาทำร้ายธรรมิกชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมากมาย 14และที่นี่เขาก็ได้สิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตให้มาจับคนทั้งหลายที่อธิษฐานออกพระนามของพระองค์” 15องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนี้เป็นภาชนะที่เราเลือกสรรไว้ เขาจะนำนามของเราไปถึงบรรดาคนต่างชาติและบรรดากษัตริย์ และไปถึงพวกอิสราเอล 16เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าไรเพื่อนามของเรา” 17แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านนั้น วางมือบนตัวเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโล พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ปรากฏแก่ท่านระหว่างทางที่ท่านมาที่นี่ ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นอีก และเพื่อให้ท่านเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 18ทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล แล้วท่านก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา 19พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น
เซาโลประกาศข่าวประเสริฐในดามัสกัส
เซาโลพักอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสหลายวัน 20และท่านก็ไม่ได้รีรอ ท่านเริ่มประกาศเรื่องพระเยซูตามธรรมศาลาต่างๆ ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 21คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจพูดกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำร้ายผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่อธิษฐานออกพระนามนี้? และเขามาที่นี่ก็เพื่อจับพวกนั้นส่งให้พวกหัวหน้าปุโรหิตไม่ใช่หรือ?” 22แต่เซาโลยิ่งมีกำลังมากขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสงงงันด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
เซาโลหนีพ้นจากพวกยิว
23หลังจากนั้นอีกหลายวัน พวกยิวก็ปรึกษากันว่าจะฆ่าเซาโล 24แต่แผนการของพวกเขารู้ไปถึงหูของเซาโล พวกเขาคอยเฝ้าที่ประตูเมืองทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อดักฆ่าเซาโล 25แต่พวกสาวกเอาเซาโลนั่งลงในกระบุงใบใหญ่ตอนกลางคืนแล้วหย่อนท่านลงจากกำแพงเมือง
เซาโลที่กรุงเยรูซาเล็ม
26เมื่อเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านพยายามจะเข้าร่วมกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก 27แต่บารนาบัสพาท่านไปหาพวกอัครทูต และเล่าให้พวกเขาฟังว่าเซาโลเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ตรัสกับท่านระหว่างทางอย่างไร และท่านประกาศออกพระนามพระเยซูด้วยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัสอย่างไร 28แล้วเซาโลจึงได้เข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครทูตในกรุงเยรูซาเล็ม 29ประกาศออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดและโต้แย้งกับพวกยิวที่พูดกรีก แต่พวกนั้นพยายามหาทางฆ่าท่านเสีย 30เมื่อพี่น้องรู้เรื่องนี้ ก็พาท่านลงไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งต่อไปยังเมืองทาร์ซัส
31เพราะฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียก็เกิดความสงบสุขและเจริญเติบโต ต่างประพฤติตนด้วยความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและรับการหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกจึงยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น
อรรถาธิบาย
ที่กว้างใหญ่สำหรับคริสตจักร
คุณทราบไหมว่า ใครเป็นคนที่เป็นปฎิปักษ์อย่างยิ่งต่อพวกคริสเตียน และความเชื่อคริสเตียน? เซาโลเป็นคนแบบนั้น จอห์น นิวตัน เป็นคนแบบนั้น และผมเองก็เคยเป็นคนแบบนั้น เมื่อเราอ่านเรื่องราวการกลับใจของเซาโล เรื่องนี้ทำให้เรามีหวังว่าพระเจ้าทรงสามารถเปลี่ยนแปลงคนที่คาดไม่ถึงที่สุด
ในพระธรรมตอนนี้ เราได้เห็นการช่วยกู้สองครั้ง คริสตจักรได้รับการช่วยกู้จากความมืดมนที่มาจากการโจมตีของเซาโล และเซาโลได้รับการช่วยกู้จากความมืดบอดในใจเขาเอง (13:9) ฤทธานุภาพแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าเปลี่ยนเซาโลจากผู้ข่มเหงคริสตจักรกลายเป็นผู้นำ ผู้ประกาศ และอัครสาวกเปาโลที่ยิ่งใหญ่ของคริสตจักร
เซาโลมีภูมิหลังที่เหนือชั้น เขาเป็นพลเมืองจากเมืองทาร์ซัส มีการศึกษาสูง เป็นนักกฎหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นคน ‘เคร่งครัดทางความเชื่อ’ อย่างยิ่งด้วยความเชื่อมั่นคงในพระเจ้า
กระนั้น เซาโลก็ดำเนินอยู่ในความมืดบอดบนถนนที่นำไปสู่ความพินาศ เขา ‘ออกไปเพื่อจะฆ่า’ (9:1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พยายามจับกุมพวกคริสเตียนและนำไปขังคุก (ข้อ 2) เขามีชื่อเสียงเลวร้ายในหมู่คริสเตียนเพราะ ‘เขาทำร้ายธรรมิกชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมากมาย’ (ข้อ 13) และความจริงที่ว่าเขาสร้าง ‘ความหายนะ’ ให้กับผู้ติดตามพระเยซู (ข้อ 21)
บนถนนไปยังเมืองดามัสกัส เซาโล ‘ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าส่องมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระเยซูทรงปรากฎแก่เขา และตรัสว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?’ (ข้อ 4) ในเมื่อเซาโลไม่เคยพบกับพระองค์มาก่อน เขาจะข่มเหงพระเยซูได้อย่างไร? ในช่วงเวลานั้น ท่านคงตระหนักได้กว่า คริสตจักร คือ พระเยซู เป็นพระกายของพระองค์ ในการข่มเหงคริสเตียน ที่จริงแล้วท่านได้กำลังข่มเหงพระเยซู ภายหลัง ท่านได้ทำให้เข้าใจกันว่าคริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ (ดู 1 โครินธ์ 12–14)
การตาบอดทางกายของเซาโลเป็นสัญลักษณ์ของความมืดบอดฝ่ายวิญญาณในชีวิตของเขาในตอนนั้น เมื่ออานาเนียวางมือบนท่าน ตาของเขากลับมองเห็น และเขาก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 9:17) ‘ทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล แล้วท่านก็เห็นได้อีก’ (ข้อ 18) เขาได้รับการช่วยกู้ทั้งความมืดบอดฝ่ายกายและฝ่ายจิตวิญญาณ
พระเยซูไม่ทรงเพียงช่วยกู้เซาโลออกจากความมืดบอด แต่พระองค์ยังทรงแต่งตั้งเขาไว้ให้เป็น ‘เพราะว่าคนนี้เป็นภาชนะที่เราเลือกสรรไว้ เขาจะนำนามของเราไปถึงบรรดาคนต่างชาติและบรรดากษัตริย์ และไปถึงพวกอิสราเอล‘ (ข้อ 15)
อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่ได้สัญญากับเขาว่านี่จะเป็นชีวิตที่สุขสบาย ด้วยอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมกับความยากลำบาก ‘เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าไรเพื่อนามของเรา’ (ข้อ 16)
ทันทีที่เซาโลเริ่มเทศนาว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (ข้อ 20) เซาโลยิ่ง ‘มีกำลังมากขึ้น…ด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์’ (ข้อ 22) เหมือนกับพวกทนายความ เขาเริ่มพิสูจน์หลักฐานเพื่อแสดงว่า มีบางสิ่งเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ พระเยซูทรงถูกตรึง เป็นขึ้นจากความตาย และทรงเป็นพระคริสต์
ผ่านทางการช่วยกู้เซาโล คริสตจักรก็ได้รับการช่วยกู้ด้วย ‘ทุกสิ่งก็สงบลงและคริสตจักรก็เจริญเติบโตไปได้อย่างราบรื่น ตลอดทั่วทั้งประเทศ แคว้นยูเดีย สะมาเรีย และกาลิลี คริสตจักรก็เติบโต พวกเขาซึมซาบในความรู้สึกนับถือพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพวกเขา ทรงหนุนใจพวกเขา คริสตชนจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างอัศจรรย์’ (ข้อ 31, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก the Message โดยผู้แปล) พระเจ้าทรงนำคริสตจักรไปยังที่กว้างใหญ่ และพวกเขาก็ได้มีเวลาแห่งสันติสุขและพระพร
คำอธิษฐาน
2 ซามูเอล 22:1-23:7
บทเพลงขอบพระคุณโดยดาวิด
1ดาวิดถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แด่พระยาห์เวห์ ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากมือศัตรูทั้งสิ้นของท่าน และจากเงื้อมพระหัตถ์ของซาอูล 2ท่านกล่าวว่า
“พระยาห์เวห์ทรงเป็นศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
3พระเจ้าแห่งศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์
พระองค์ทรงเป็นโล่ เป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า
ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งและที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
พระผู้ช่วยของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
4ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ
และข้าพเจ้ารับการช่วยให้พ้นจากบรรดาศัตรูของข้าพเจ้า
5“เพราะคลื่นมรณะล้อมข้าพเจ้า
กระแสแห่งความหายนะท่วมทับข้าพเจ้า
6สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพเจ้า
บ่วงมัจจุราชอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
7“เมื่อมีความทุกข์ลำบาก ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า
และเสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงพระกรรณของพระองค์
8“แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง
รากฐานของฟ้าสวรรค์ก็หวั่นไหว
และสั่นสะเทือนเพราะพระองค์กริ้ว
9ควันออกไปตามช่องพระนาสิก
และเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
ถ่านก็ติดเปลวไฟมาจากพระองค์
10พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วยและเสด็จลงมา
ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
11พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง แล้วทรงเหาะไป
เขาเห็นพระองค์เสด็จโดยปีกของลม
12พระองค์ทรงทำให้ความมืดปกคลุมพระองค์
คือเมฆทึบ อันเป็นที่รวมน้ำ
13ถ่านลุกเป็นเพลิง
จากความสว่างสุกใสข้างหน้าพระองค์
14พระยาห์เวห์ทรงคำรนครืนครั่นจากฟ้าสวรรค์
และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียงของพระองค์
15และพระองค์ทรงแผลงศร ทำให้พวกเขากระจัดกระจาย
ทรงทำให้เกิดฟ้าแลบ ทำให้พวกเขาแตกหนี
16และก้นทะเลก็ปรากฏ
อีกทั้งรากของพิภพก็เผยโฉม
ตามการกำราบของพระยาห์เวห์
ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
17“พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า
ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลายน้ำมากหลาย
18พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากศัตรูเข้มแข็ง
จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า
เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าข้าพเจ้ายิ่งนัก
19พวกเขาปะทะข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าประสบภัยพิบัติ
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
20พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างใหญ่
และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าไว้เพราะพระองค์พอพระทัยข้าพเจ้า
21“พระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงตอบแทนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนมือสะอาด
22เพราะข้าพเจ้ารักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์
และไม่ได้ทำบาปโดยหันจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
23เพราะกฎหมายทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าไม่ได้หันจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
24ข้าพเจ้าไร้ตำหนิต่อพระองค์
และข้าพเจ้ารักษาตัวไว้ไม่ทำชั่ว
25เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามความสะอาดของข้าพเจ้าในสายพระเนตรของพระองค์
26“พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ
27พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์
พระองค์ทรงสำแดงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่คดโกง
28พระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ถ่อมตัวให้รอด
แต่ดวงตาที่หยิ่งยโสนั้น พระองค์ทรงทำให้ต่ำลง
29ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์
พระยาห์เวห์ทรงทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง
30เพราะโดยพระองค์ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้
และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กระโดดข้ามกำแพงได้
31สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์ไร้ตำหนิ
พระดำรัสของพระยาห์เวห์พิสูจน์จนเห็นจริงแล้ว
พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
32“เพราะผู้ใดเป็นพระเจ้า นอกจากพระยาห์เวห์?
และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลา เว้นแต่พระเจ้าของเรา?
33คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง
และทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าปลอดภัย
34พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย
และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูง
35พระองค์ทรงฝึกมือข้าพเจ้าให้ทำสงคราม
แขนข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
36พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์
และการถ่อมพระองค์ลงก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
37พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับย่างเท้าของข้าพระองค์
เท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด
38ข้าพระองค์ไล่ตามพวกศัตรูของข้าพระองค์และได้ทำลายพวกเขาเสีย
และไม่หันกลับจนกว่าพวกเขาถูกผลาญเสียสิ้น
39ข้าพระองค์ทำลายพวกเขาหมดสิ้น ข้าพระองค์แทงพวกเขาทะลุ เขาจึง
ไม่สามารถลุกขึ้นอีก
เขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์
40เพราะพระองค์ประทานกำลังแก่ข้าพระองค์เพื่อทำสงคราม
พระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์สยบลงอย่างราบคาบ
41พระองค์ทรงทำให้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์หันหลังให้ข้าพระองค์
บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสียสิ้น
42พวกเขามองหา แต่ไม่มีใครช่วยให้รอดได้
เขาร้องทูลพระยาห์เวห์ แต่พระองค์มิได้ทรงตอบพวกเขา
43ข้าพระองค์จึงทุบเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน
ข้าพระองค์ขยี้พวกเขาและกระจายพวกเขาออกไปเหมือนโคลนตามถนน
44“พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทกับประชาชน
ของข้าพระองค์
พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์
45ชนต่างด้าวจะหมอบราบต่อข้าพระองค์
พอพวกเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ พวกเขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์
46คนต่างด้าวเสียขวัญ
และตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่งของเขา
47“พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ
พระเจ้า พระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
48คือพระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นให้ข้าพระองค์
และนำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์
49ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากบรรดาศัตรูของข้าพระองค์
พระองค์ทรงยกข้าพระองค์อยู่เหนือบรรดาผู้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์
พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนโหดร้าย
50“เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงยกย่องพระองค์ท่ามกลาง
บรรดาประชาชาติ
และร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์
51พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้นั้น
คือดาวิดและพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์”
2 ซามูเอล 23
ถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
1ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด
ดาวิดบุตรเจสซีได้กล่าว
และชายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว
คือผู้ที่รับการเจิมของพระเจ้าของยาโคบ
นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า
2“พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางข้าพเจ้า
พระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
3พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงกล่าว
พระศิลาแห่งอิสราเอลตรัสกับข้าพเจ้าว่า
เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม
คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
4เหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ
เป็นแสงสว่างภายหลังฝน ที่ทำให้หญ้างอกออกจากดิน
5พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้นกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ?
เพราะพระองค์ทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้า
อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง
พระองค์จะไม่ทรงให้ความรอดทุกด้าน
และความปรารถนาทุกอย่างของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?
6แต่คนอธรรมทั้งหมดก็เหมือนหนามที่ถูกถอนทิ้งไป
เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
7และคนที่แตะต้องมัน
จะถืออาวุธที่ทำด้วยเหล็กและด้ามหอก
และมันจะถูกเผาผลาญหมดสิ้นด้วยไฟที่นั่น”
อรรถาธิบาย
ที่กว้างใหญ่ชั่วนิรันดร์
เมื่อดาวิดมาถึงบั้นปลายชีวิตของตน เขาสรรเสริญพระเจ้าที่ช่วยกู้ครั้งแล้วครั้งเล่าจากศัตรู จากความตาย และความพินาศ (บทที่ 22 บทเพลงพบได้ใน สดุดี 18) พระเจ้าทรงเป็น ‘อัศวินผู้ช่วยกู้’ (2 ซามูเอล 22:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘เมื่ออยู่ในโลกที่เกลียดชัง ข้าพเจ้าร้องหาพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า
และเสียงร้องของข้าพเจ้าไปถึงยังการทรงสถิตของพระองค์
ผู้ทรงฟังในที่รโหฐาน’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
หลายครั้งที่เขาทรงเรียกหาพระเจ้า และพระเจ้าทรงสดับเสียงของเขา ‘พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย’ (ข้อ 17) 'พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากศัตรูเข้มแข็ง…’ (ข้อ 18) 'พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างใหญ่ และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าไว้เพราะพระองค์พอพระทัยข้าพเจ้า' (ข้อ 20, ดูร่วมกับข้อ 49)
เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้คุณ พระองค์ไม่ได้อยากให้คุณอยู่ในจุดเดิม ‘เมื่อข้าพเจ้าชำระการกระทำของข้าพเจ้า พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้า ได้เริ่มต้นใหม่... พระเจ้าทรงเขียนชีวิตของข้าพเจ้าขึ้นใหม่’ (ข้อ 21,25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ทรงอยากให้คุณไปในทางชีวิตซึ่งไร้ตำหนิ และรักษาตัวให้พ้นจากบาป (ข้อ 24) พระองค์ทรงอยากให้คุณ ‘ซื่อสัตย์’ (ข้อ 26) บริสุทธิ์ (ข้อ 27) และถ่อมตัว (ข้อ 28)
ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า คุณสามารถ ‘ตะลุยกองทัพได้
และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์กระโดดข้ามกำแพงได้' (ข้อ 30) พระเจ้าทรงทำให้คุณแข็งแรง’ (ข้อ 33) และทำให้คุณสามารถยืนบนที่สูงได้ (ข้อ 34) พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับย่างเท้าของคุณ เท้าของคุณจึงไม่พลาด (ข้อ 37)
ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไรก็ตาม เจ้านายที่อยู่ด้วยยาก ชีวิตแต่งงานที่ซับซ้อน การเลี้ยงลูกที่สร้างแต่ปัญหาพระเจ้าประทานความเข้มแข็งให้คุณยืนหยัดอยู่ต่อไปได้
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของดาวิด เขาได้สรุปประสบการณ์ของตนเรื่องพระเจ้าและชีวิตเอาไว้ (บทที่ 23) พระเจ้าทรงช่วยกู้เขาและเจิมตั้งไว้ (23:1) ‘พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางข้าพเจ้า พระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า’ (ข้อ 2)
พระเจ้าทรงช่วยท่านไว้แล้ว กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่จะตามมาอีก ‘พระองค์จะไม่ทรงให้ความรอดทุกด้าน และความปรารถนาทุกอย่างของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?’ (ข้อ 5) แผนการช่วยกู้ของพระเจ้าวันหนึ่งจะนำมาซึ่งการเกิดผล ในวันนั้น การช่วยกู้จะสำเร็จบริบูรณ์และคุณจะได้เพลิดเพลินกับที่กว้างใหญ่ไปตลอดกาล
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 ซามูเอล 22:33
‘คือพระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง และทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าปลอดภัย’
นี่ค่อนข้างจะหนุนใจเมื่อฉันรู้สึกไม่พร้อมสำหรับหลาย ๆ สถานการณ์ เกือบตลอดเวลาเลย
ข้อพระคำประจำวัน
2 ซามูเอล 22:20
‘พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมายังที่กว้างใหญ่
และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าไว้เพราะพระองค์พอพระทัยข้าพเจ้า’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)