คุณมีพลังงานจากพระเจ้า
เกริ่นนำ
พลังงานในโลกกำลังหมดลง ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแหล่งพลังงานเหล่านี้จะเพียงพอในการดำรงชีวิต เราจะหาพลังงานเหล่านี้ได้จากไหน ในตอนนี้เรากำลังเสาะแสวงหาอำนาจจาก ‘เบื้องบน’ อย่างกระวนกระวาย พยายามแม้กระทั่งที่จะบังคับพลังงานอันไร้ขีดจำกัดแห่งดวงอาทิตย์
พวกเราทุกคนเผชิญปัญหาเดียวกันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ แต่ในระดับจิตวิญญาณนั้น คุณได้ยืนอยู่ตรงหน้าทางเลือก:คุณกำลังมองหาพลังงานที่จำเป็นสำหรับตัวคุณเองและแหล่งแห่งสติปัญญารวมถึงวิญญาณแห่งการเป็นผู้ประกอบการอยู่หรือคุณกำลังเสาะแสวงหาพลังงานที่มา ‘จากเบื้องบน' นั่นก็คือ พระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ผู้เป็นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม
ในเนื้อหาสำหรับวันนี้ เราเห็นบางสิ่งเกี่ยวกับขนาดของพลังงาน,อำนาจและกำลังของพระเจ้า ในขณะที่ในระดับกายภาพแล้วเราพยายามดิ้นรนเพื่อควบคุม แม้แต่เศษเสี้ยวของพลังของดวงอาทิตย์ แต่พระเจ้ากลับให้คุณเข้าถึงพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์ผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
สดุดี 68:28-35
28ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงเรียกฤทธานุภาพของพระองค์มา
ข้าแต่พระเจ้า ผู้ได้ทรงทำเพื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์
29บรรดาพระราชานำเครื่องบรรณาการมาถวายพระองค์
ในพระวิหารของพระองค์ที่เยรูซาเล็ม
30ขอทรงขนาบสัตว์ที่อยู่ในกอกก
ฝูงวัวกับฝูงลูกวัวแห่งชนชาติทั้งหลาย
ผู้นอบน้อมด้วยถวายเงินแผ่น
ขอทรงทำให้ชนชาติทั้งหลายผู้ยินดีในสงครามกระจัดกระจายไป
31พวกทูตแปลได้อีกว่า ทองแดงจะมาจากอียิปต์
คูชจะรีบยื่นมือของเขาออกทูลพระเจ้า
32บรรดาราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกเอ๋ย จงร้องเพลงถวายพระเจ้า
จงร้องเพลงสดุดีองค์เจ้านาย
33แด่ผู้ทรงขับเคลื่อนไปบนฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์ดึกดำบรรพ์
นี่แน่ะ พระองค์ตรัสด้วยพระสุรเสียงกัมปนาท
34จงประกาศฤทธานุภาพของพระเจ้า
ความสูงส่งของพระองค์อยู่เหนืออิสราเอล
และฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ในท้องฟ้า
35พระเจ้าทรงน่าครั่นคร้ามนักในสถานนมัสการของพระองค์
คือพระเจ้าของอิสราเอล
พระองค์นั้นประทานกำลังและอำนาจแก่ประชากรของพระองค์
สาธุการแด่พระเจ้า
อรรถาธิบาย
สิ่งนี้มาจากไหนกัน?
พลังงาน,อำนาจและกำลังต่างก็มาจากพระเจ้า พระธรรมสดุดีตอนนี้จบลงที่ข้อความแห่งความมั่นใจของดาวิดที่ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์นั้นประทานกำลังและอำนาจแก่ประชากรของพระองค์ สาธุการแด่พระเจ้า’ (ข้อ 35) พระเจ้าทรงสัญญาที่จะประทานอำนาจและกำลังของพระองค์ให้กับคุณอย่างอัศจรรย์
ดาวิดอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงเรียกฤทธานุภาพของพระองค์มา ข้าแต่พระเจ้า ผู้ได้ทรงทำเพื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย’ (ข้อ 28) ในทางตรงกันข้าม เขาปฏิเสธความพยายามใด ๆ ที่จะแสวงหาอำนาจจากที่อื่น เขาได้พูดถึงอำนาจแห่งโลกของอาณาจักรมาร ‘เธอละโมบในตัณหาแห่งความอยากได้เงิน ทำร้ายผู้อื่น’ (ข้อ 30, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ดาวิดรู้ว่าที่สุดแล้วอำนาจเหล่านั้น ‘จะรีบยื่นมือของเขาออกทูลพระเจ้า’ (ข้อ 31) ดาวิดรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าอำนาจของพระเจ้ามีมากเกินพอสำหรับความต้องการทั้งหมดของเขา
คำอธิษฐาน
ยอห์น 19:28-20:9
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู
28หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ พระองค์จึงตรัสว่า “เรากระหายน้ำ” 29ที่นั่นมีภาชนะใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบ ชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ 30เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
เขาแทงสีข้างของพระเยซู
31วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไป เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่) 32ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ 33แต่เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์ 34แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ 36เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิคำราชาศัพท์หมายถึง กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว” 37และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง”
การฝังพระศพพระเยซู
38หลังจากนั้น โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซูเนื่องจากกลัวพวกยิว ก็มาขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพของพระองค์ไป 39นิโคเดมัสคนที่ตอนแรกเคยไปหาพระองค์ในเวลากลางคืนนั้นก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย 40เขาทั้งสองอัญเชิญพระศพพระเยซูมา แล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว 41ในบริเวณที่พระองค์ถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย 42เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
ยอห์น 20
การคืนพระชนม์
1วันอาทิตย์วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว 2นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” 3เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น 4เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน 5เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน 6ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ 7ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก 8แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ 9แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย
อรรถาธิบาย
สิ่งนี้เป็นเช่นไร?
พระเจ้าทรงประทานพลังงาน อำนาจ และกำลังเดียวกันนี้กับที่ทรงใช้ในการฟื้นคืนพระชนม์จากความตายของพระเยซู
ผมจำได้ถึงเวลาที่ผมนั้นกำลังบรรยายอยู่ ณ การประชุมผู้นำแห่งหนึ่ง ผมบรรยายทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง และผมเองก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหมดแรง ในระหว่างพัก ผมได้มีโอกาสเปิดอ่านพระคัมภีร์ฉบับ The Message ในพระธรรมเอเฟซัส 1:19-20: “ฤทธิ์อำนาจที่พระเจ้าให้กับเราผู้ที่เชื่อนั้นยิ่งใหญ่เพียงใดไหน เป็นพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด และกำลังอันไร้ขีดจำกัด ซึ่งทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย' ผมรู้สึกได้กลับมามีพลังอีกจากเบื้องบน
ในบทนี้ ยอห์นย้ำว่าพระเยซูนั้นได้สิ้นพระชนม์แล้วอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ที่พระเจ้าประทานให้ ‘สำเร็จแล้ว’ (ยอห์น 19:28ก) เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ (ข้อ 28ข) พระองค์ทรงตรัสออกมาว่า ‘“สำเร็จแล้ว” จากนั้นก็ทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (paradoken)’ (ข้อ 30)
การกระทำสุดท้ายของพระองค์นั้นก็เพื่อประทานของประทานแห่งพระวิญญาณ จากนั้นทรงถ่ายทอดพระวิญญาณต่อเหล่าสาวกของพระองค์และประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับพวกเขา
การตายโดยการถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้นสามารถทำให้เร็วขึ้นได้โดยการทำให้ขาของผู้ถูกตรึงหัก ในกรณีของพระเยซูไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ‘แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที’ (ข้อ 34) สิ่งที่บ่งบอกว่าเสียชีวิตคือลิ่มเลือดและของเหลวของโลหิตจะแยกจากกัน และนี่จะดูเหมือนเป็นโลหิตกับน้ำ ยอห์นให้หลักฐานทางการแพทย์ที่ดีเกี่ยวกับการตายของพระเยซูเพื่อยืนยันว่าพระองค์นั้นทรงสิ้นพระชนม์อย่างแท้จริง
ณ เวลาดังกล่าว อาจจะมีประชาชนที่เริ่มถกเถียงกันว่าพระเยซูอาจจะยังไม่สิ้นพระชนม์ แค่ดูเหมือนตายเท่านั้น ต่อมาภายหลังมุมมองนี้ได้ถูกรู้จักในนาม ‘โดเซทิซึม’ (docetism) จากภาษากรีกที่แปลว่า ‘ได้เห็น’ พระมหามูฮัมหมัดได้รับอิทธิพลจากมุมมองของโดเซทิซึมนี้ ในคัมภีร์อัลกุรอาน ระบุไว้ว่า ‘พวกเขาไม่ได้สังหารอีซา และไม่ได้ตรึงเขาบนไม้กางเขน ทว่าถูกทำให้พวกเขาเห็นคลับคล้าย’ (ซูเราะห์ 4:157)
ยอห์นย้ำว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์จริง ๆ และเขาก็ได้ให้หลักฐานทางสรีรวิทยา เขายังได้แสดงให้เห็นว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูนั้นเป็นไปอย่างสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ถูกเปิดเผยไว้ในข้อพระคัมภีร์ ‘เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า “พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว" และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า “พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง”’ (ยอห์น 19:36-37)
ในการไหลออกมาของโลหิตและน้ำจากสีข้างของพระเยซูนั้น เราได้เห็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ‘โลหิต’ เป็นสัญลักษณ์ถึงชีวิตของพระองค์ที่หลั่งออกเพื่อเรา น้ำ เป็นสัญลักษณ์ถึงพระวิญญาณ น้ำที่ไหลออกมาจากพระทัยของพระเยซูจะรักษา ชำระ และเสริมกำลังแก่เราทุกคน
ร่างกายของพระเยซูได้ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าลินินและเครื่องเทศน้ำหนัก 75 ปอนด์ (34 กิโลกรัม) ถ้ามีใครจะเอาร่างของพระองค์ไป แน่นอนว่าจะต้องเอาไปทั้งหมด ไม่มีขโมยคนไหนที่จะทิ้งของมีค่าเอาไว้ ถ้าพูดกันอย่างมนุษย์ทั่วไป พระเยซูไม่สามารถที่จะถอดผ้าพันพระศพนี้ออกได้ด้วยพระองค์เอง แต่เหล่าสาวกก็ได้พบ ‘ผ้าลินินวางอยู่ ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก’ (ข้อ 6-7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
วิลเลี่ยม เทมเพิล อดีตพระสันตะปาปาแห่งแคนเทอร์บิวรี่ ได้ชี้ให้เห็นว่า ภาษาที่ถูกนำมาใช้นั้นเป็นภาษาที่มีชีวิตอย่างเห็นได้ชัด และ ‘ไม่มีการเติมแต่งถ้อยคำประดิษฐ์ ไม่มีการจินตนาการเพื่อให้เกิดมโนภาพในจิตใจ’
ในหลักฐานนี้ แทบจะไม่ประหลาดใจเลยว่าเมื่อเหล่าสาวกได้เห็น พวกเขาเชื่อ (20:8) ณ สถานภาพนี้ แม้ไม่มีใครได้เห็นพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ แต่หลักฐานของสภาพอุโมงค์ฝังศพและการไม่ปรากฏอยู่ของร่างกายพระเยซูนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า พระองค์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์
พวกเขาเคยเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์มาก่อน แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป พวกเขา ‘เขาเห็นและเชื่อ’ ว่าอำนาจและพลังงานของพระเจ้าได้ทำให้พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย พระเยซูทรงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นี่คือแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็น ฤดูกาลแห่งความหนาวเหน็บจบสิ้นลงแล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง
เมื่อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พูดถึงความรักของพระเจ้า การจดจ่อก็มุ่งไปที่ไม้กางเขน เมื่อพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พูดถึงความเข้มแข็ง, อำนาจ และพลังงานของพระเจ้า การจดจ่อก็มุ่งไปที่การฟื้นคืนพระชนม์ (เอเฟซัส 1:19-20) เราคิดถูกถึงอำนาจที่เป็นของพระเจ้า แต่เรากลับลืมไปว่า อำนาจของพระเจ้านั้นยังมีไว้ ‘สำหรับเราที่เชื่อ’ (ข้อ 19)
พลังและอำนาจที่ทำให้พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์นั้น คือ พลังและอำนาจเดียวกันกับที่อยู่ในชีวิตของคุณตอนนี้
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 29:1-31:13
คนฟีลิสเตียปฏิเสธดาวิด
1พวกฟีลิสเตียชุมนุมกำลังทั้งสิ้นอยู่ที่อาเฟก และอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในยิสเรเอล 2เมื่อพวกเจ้านายฟีลิสเตียเดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน และดาวิดกับคนของท่านก็ผ่านไปข้างหลังกับอาคีช 3พวกแม่ทัพของคนฟีลิสเตียพูดว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไร?” และอาคีชก็รับสั่งแก่พวกแม่ทัพคนฟีลิสเตียว่า “นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ? เขาอยู่กับเรามาหลายวันหลายปีแล้ว ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย” ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาจนถึงวันนี้ 4แต่พวกแม่ทัพฟีลิสเตียโกรธพระองค์ และพวกแม่ทัพฟีลิสเตียทูลพระองค์ว่า “ขอส่งชายคนนั้นกลับไป เพื่อให้เขากลับไปอยู่ที่ที่พระองค์กำหนดให้เขา อย่าให้เขาลงไปสนามรบกับเราเกรงว่าในสงคราม พวกเขาจะเป็นศัตรูของเรา เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้ด้วยอะไรเล่า? ไม่ใช่ด้วยศีรษะของพวกคนเหล่านี้หรือ? 5คนนี้ไม่ใช่ดาวิดหรือ ซึ่งพวกเขาร้องเพลงเต้นรำกันว่า
‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’? ”
6อาคีชจึงทรงเรียกดาวิดเข้ามา รับสั่งแก่ท่านว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านได้ปฏิบัติตนเป็นคนซื่อสัตย์มาแล้ว สำหรับเรา เราก็เห็นดีที่ท่านจะออกทัพไปกับเรา เพราะเราไม่พบความผิดในท่านตั้งแต่วันที่ท่านมาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่ในสายตาของพวกเจ้านายไม่เห็นดีด้วยในเรื่องท่าน 7ฉะนั้นจงกลับไปอย่างสันติเถิด เพื่อไม่ให้เป็นที่ขัดใจพวกเจ้านายฟีลิสเตีย” 8และดาวิดก็ทูลอาคีชว่า “แต่ข้าพระบาทได้ทำสิ่งใด? หรือฝ่าพระบาทได้พบสิ่งใดในตัวของข้าพระบาท ตั้งแต่วันที่ข้าพระบาทมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาทจนถึงวันนี้ว่า ข้าพระบาทไม่ควรจะไปรบกับพวกศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท?” 9อาคีชก็รับสั่งตอบดาวิดว่า “เรารู้แล้วว่าเจ้าดีในสายตาของเราอย่างทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่บรรดาแม่ทัพแห่งฟีลิสเตียกล่าวว่า ‘อย่าให้เขาขึ้นไปในสงครามกับพวกเราเลย’ 10เมื่อเป็นอย่างนี้ จงลุกขึ้นแต่เช้าพร้อมกับพวกทหารแห่งนายของท่านคือพวกที่มากับท่าน เมื่อพวกท่านลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด พอมีแสงก็จงออกเดิน” 11ดาวิดจึงลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด คือตัวท่านพร้อมกับพวกของท่านเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่พวกฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล
1 ซามูเอล 30
ดาวิดแก้แค้นคนอามาเลขที่มาปล้น
1ในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึงศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับศิกลากแล้ว พวกเขาโจมตีศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ 2และจับพวกผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็นเชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนไปตามทางของพวกเขา 3เมื่อดาวิดกับพวกของท่านมาถึงเมืองนั้น และดูเถิด เมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย 4แล้วดาวิดกับพวกทหารที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียงดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5นางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกจับไปเป็นเชลยด้วย 6และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะพวกทหารพูดกันว่าจะขว้างท่านให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะจิตใจของพวกทหารทุกคนขมขื่น เพราะเรื่องพวกบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
7ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า “นำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด 8และดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะไล่ตามกองปล้นนี้หรือ? ข้าพระองค์จะไปทันพวกเขาหรือ?” พระองค์ทรงตอบท่านว่า “จงไล่ตามเถิด เพราะเจ้าจะไปทันพวกเขาแน่ และจะช่วยกู้ได้แน่” 9ดาวิดออกไปพร้อมกับชายที่อยู่กับท่าน 600 คนนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็หยุดอยู่ที่นั่น 10แต่ดาวิดไล่ตามต่อไป ทั้งตัวท่านและชาย 400 คน ส่วนชาย 200 คนที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
11พวกเขาพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ในทุ่งนา จึงนำเขามาหาดาวิด พวกเขาให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม 12และให้ขนมมะเดื่อชิ้นหนึ่งกับลูกเกดสองพวง เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว 13และดาวิดถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร? และเจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วนายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าป่วย 14พวกเรามาปล้นที่เนเกบของคนเคเรธี และปล้นที่ของยูดาห์ และที่เนเกบของคาเลบ และพวกเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ” 15ดาวิดถามเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น”
16เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบพวกเขากระจายกันอยู่เต็มทั่วพื้นดิน ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะของที่ปล้นได้มากมายซึ่งพวกเขาเอามาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ 17และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดจากพวกเขาไปได้สักคน ยกเว้นพวกคนหนุ่ม 400 คนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18ดาวิดกู้สิ่งของ ที่คนอามาเลขนำไปมาได้ทั้งหมด และดาวิดช่วยกู้ภรรยาทั้งสองของท่านมาได้ 19ไม่มีอะไรของพวกเขาที่ขาดไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ถูกปล้นไปหรือทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเอาไปเป็นของพวกเขา ดาวิดได้คืนมาหมด 20ดาวิดยังยึดฝูงแพะแกะ ฝูงโคทั้งหมด ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนไปข้างหน้าฝูงสัตว์ฝูงอื่น พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดยึดมา”
21แล้วดาวิดกลับมายังชาย 200 คนผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกไปพบดาวิดและพวกทหารที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้คนหมู่นั้น ท่านก็ทักทายพวกเขา 22คนอธรรมและคนก่อกวนทั้งสิ้นในพวกคนที่ติดตามดาวิดไปกล่าวว่า “เพราะพวกเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรายึดมาได้แก่พวกเขา นอกจากที่เราช่วยกู้มาให้ชายทุกคน คือภรรยาของเขาและพวกบุตรชายของเขา ให้พวกเขาไปได้” 23แต่ดาวิดกล่าวว่า “พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาพวกเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่งมาต่อสู้กับพวกเราไว้ในมือของพวกเรา 24ในเรื่องนี้ใครจะฟังพวกท่าน เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระก็จะได้รับส่วนแบ่งอย่างนั้นเหมือนกัน” 25ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎและหลักปฏิบัติแก่อิสราเอลจนทุกวันนี้
26เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ยึดได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อนๆ ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า “นี่เป็นของขวัญสำหรับพวกท่านจากของที่ยึดจากพวกศัตรูของพระยาห์เวห์” 27คือแก่คนที่อยู่ในเบธเอล ในราโมท ที่เนเกบ ในยาททีร์ 28ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา 29ในราคาล ในบรรดาเมืองของคนเยราเมเอล ในบรรดาเมืองของคนเคไนต์ 30ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ในอาธาค 31ในเฮโบรน คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดเองกับพวกของท่านเคยไป
1 ซามูเอล 31
การสิ้นพระชนม์ของซาอูลและราชโอรส
1พวกฟีลิสเตียก็ต่อสู้กับอิสราเอล และชาวอิสราเอลก็หนีจากพวกฟีลิสเตีย ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา 2และพวกฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าเหล่าราชโอรสของซาอูล คือโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา 3การรบก็หนักถึงซาอูล พวกนักธนูพบพระองค์ พระองค์บาดเจ็บสาหัสเพราะพวกนักธนู 4แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบออกแทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ และทำป่าเถื่อนต่อเรา” แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงหยิบดาบของพระองค์ และทรงล้มทับดาบนั้น 5และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่า ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาตายด้วยกับพระองค์ 6ดังนั้น ซาอูลและราชโอรสทั้งสามก็สิ้นพระชนม์ และผู้ถืออาวุธของพระองค์ ตลอดจนทหารทั้งหมดของพระองค์ก็ตายด้วยกันในวันนั้น 7เมื่อชนอิสราเอลซึ่งอยู่อีกฟากของหุบเขา และพวกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดนเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาก็ทิ้งบรรดาเมืองของพวกเขาหลบหนีไป พวกฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในที่เหล่านั้น
8ต่อมาในวันรุ่งขึ้น เมื่อพวกฟีลิสเตียมาปลดสิ่งของจากคนที่ถูกฆ่า ก็พบพระศพซาอูล และราชโอรสทั้งสามอยู่บนภูเขากิลโบอา 9พวกเขาจึงตัดพระเศียรของซาอูล และถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก ส่งคนออกไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย นำเอาข่าวดีไปยังเรือนรูปเคารพ และยังประชาชน 10พวกเขาเอาเครื่องอาวุธของพระองค์ไว้ที่วิหารของพระอัชทาโรท และมัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน 11แต่เมื่อชาวยาเบชกิเลอาดได้ยินว่าคนฟีลิสเตียทำอย่างนั้นกับซาอูล 12ชายที่กล้าหาญทุกคนก็ลุกขึ้นเดินตลอดคืน ไปปลดพระศพของซาอูล และพระศพของราชโอรสทั้งสามจากกำแพงเมืองเบธชาน และนำมาที่เมืองยาเบช ถวายพระเพลิงพระศพที่นั่น 13พวกเขาเก็บพระอัฐิไปฝังไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช และอดอาหารเจ็ดวัน
อรรถาธิบาย
เราจะรับได้อย่างไร?
คุณเคยรู้สึกหมดเรี่ยวแรงดุจช่วงน้ำลง ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับปัญหาทั้งหมดที่เผชิญอยู่อย่างไรบ้างหรือไม่?
นี่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายของประชากรแห่งพระเจ้า กษัตริย์ดาวิดมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดของชีวิต เขาพร้อมที่จะต่อสู้กับชนชาติอิสราเอลเพื่อคนฟีลิสเตีย แต่หลังจากนั้น แม้กระทั่งคนฟีลิสเตียเองก็ไม่ต้องการพวกเขาอีกต่อไป
เมื่อเขากลับมาพบว่าคนอามาเลขได้จับเหล่าบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาทั้งของตนเองและคนของเขาไป จึงได้เกิดความทุกข์ร้อนและโกรธเกรี้ยวอย่างมาก คนทั้งหมดในที่นั้นก็เกิดความท้อแท้กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น และเหล่าผู้ติดตามดาวิดก็ได้หันมาต่อว่า และข่มขู่ว่าจะเอาหินขว้างเขาให้ตาย (ข้อ 4-6)
แต่ท่ามกลางปัญหาทั้งหลายของดาวิด: ‘ดาวิดก็มีกำลังขึ้นด้วยความไว้วางใจในพระเจ้าของท่าน’ (ข้อ 6ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตดาวิด บรรดาบุคคลที่ได้หันมาหาพระเจ้าในความหมดหวังในจุดต่ำที่สุดของชีวิตเช่นเดียวกับดาวิดในตอนนี้ ต่างก็อัศจรรย์ใจว่าพวกเขานั้นสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเหล่าทหารกลับมาจากการรบ มีบางคนที่ไม่อยากแบ่งปันสิ่งที่พวกเขายึดมาได้แก่คนที่อ่อนเพลียเกินจะออกรบด้วยกัน (ข้อ 21-22) แต่ดาวิดมีสติปัญญาพอที่จะเห็นว่าทุกคนต่างได้มีส่วนในพระราชกิจของพระเจ้า เขากล่าวว่า ‘พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบแก่พวกเรา...เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระก็จะได้รับส่วนแบ่งอย่างนั้นเหมือนกัน’ (ข้อ 23-24) บรรดาคนที่ทำงานด้อยเกียรติกว่านั้นมีความสำคัญเท่าเทียมกับบรรดาคนที่ทำงานเบื้องหน้า
ตามที่เราได้อ่านถึงการตายของซาอูลและบุตรชายของเขา มันชัดเจนว่าพวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความโหดร้าย ซาอูลเลือกที่จะปลิดชีพตนเองเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายเหมือนที่แซมซั่นได้ถูกกระทำมาก่อน การเผชิญหน้ากับอันตรายและความเลือดเย็นเยี่ยงนั้น ต้องมีความหมายต่อดาวิดอย่างยิ่งในการที่จะมีกำลังขึ้น ‘ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน’
จงเดินตามตัวอย่างของดาวิด ในการใช้เวลากับพระเจ้าเพื่อทำให้คุณเองมีกำลังขึ้น ได้รับการเสริมกำลังใหม่อีกครั้ง และไว้วางใจพระองค์อย่างหมดหัวใจ เชื่อว่าพระองค์ทรงอยู่ในคุณโดยพระวิญญาณของพระองค์ และเชื่อว่าคุณสามารถที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องทำได้โดยพระองค์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 19:39
เป็นการดีที่ได้เห็นนิโคลเดมัสกลับมาและทำเรื่องราวในส่วนของเขาต่อไป บทสนทนาแรกเริ่มของเขากับพระเยซูในพระธรรมยอห์นบทที่ 3 นั้นต้องส่งผลกับเขาอย่างมากเป็นแน่ อาจเป็นแค่การสนทนาครั้งเดียว แต่นี่เขากลับเก็บร่างพระเยซูโดยการซื้อเครื่องเทศ มดยอบ และกฤษณาซึ่งราคาสูงลิบ และมีน้ำหนักถึง 75 ปอนด์ (ราว 34 กิโลกรัม) คุณไม่มีวันรู้ว่าบทสนทนากับใครบางคนนั้นจะส่งผลมากขนาดไหน
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 19:30
‘สำเร็จแล้ว’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)