การทดลองกลับกลายเป็นชัยชนะ
เกริ่นนำ
‘ฮูสตัน เรามีปัญหาแล้ว’ นี่คือถ้อยคำของ จิม โลเวลล์ ในช่วงค่ำของวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1970 เกือบ 56 ชั่วโมงของภารกิจสู่ดวงจันทร์ มีการระเบิดเกิดขึ้นในยานอวกาศนั้น และลูกเรือต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ระบบการเชื่อมต่อไฟฟ้าของยานอวกาศทั้งลำล้มเหลวลงภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ‘ความล้มเหลวอันร้ายกาจ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในคราวเดียว’ ผู้บัญชาการการบินของนาซ่ากล่าว
ยานได้หมุนไปรอบ ๆ ดวงจันทร์ โดยใช้แรงโน้มถ่วงของโลกในการกลับไปบนโลก ผู้คนหลายล้านคนติดตามการพังทลายของยานนี้ผ่านทางโทรทัศน์ ในที่สุด...แคปซูลนี้ก็ได้พุ่งลงมายังมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้กับประเทศตองกา
มีการพาดหัวในบทความหนึ่งไว้ว่า ‘อพอลโล 13 จากหายนะสู่ชัยชนะ’ นักข่าว บีบีซี สาขาวิทยาศาสตร์ได้เขียนไว้ว่า ‘ถึงแม้ภารกิจนี้จะไม่สำเร็จตามมุมมองโดยทั่วไป แต่มันเป็นชัยชนะของความเฉลียวฉลาดและความมุ่งมั่น’ จิม โลเวลล์ กล่าวว่า สิ่งนี้ทำให้เราได้เห็นว่า แม้นี่จะเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่แต่มันสามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของชัยชนะที่ได้มาจากหายนะก็คือเรื่องราวที่ไม้กางเขนนั่นเอง สิ่งที่โลกเข้าใจว่ามันคือความพ่ายแพ้ แต่แท้จริงแล้วมันคือที่สุดแห่งชัยชนะ
สดุดี 68:21-27
21แต่แน่ทีเดียว พระเจ้าจะทรงทุบศีรษะบรรดาศัตรูของพระองค์ให้แหลก
คือทุบกระหม่อมของผู้ที่ดำเนินในทางชั่วของเขา
22องค์เจ้านายตรัสว่า
“เราจะนำเขาทั้งหลายกลับมาจากบาชาน
เราจะนำพวกเขากลับมาจากที่ลึกของทะเล
23เพื่อเจ้าจะเอาเลือดอาบเท้า
เพื่อลิ้นของสุนัขของเจ้าจะได้ส่วนแบ่งจากพวกศัตรู”
24ข้าแต่พระเจ้า พวกเขาได้เห็นขบวนแห่ของพระองค์
ขบวนแห่ของพระเจ้าผู้เป็นพระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์เข้าในสถานนมัสการ
25นักร้องนำหน้า นักดนตรีรั้งท้าย
ตรงกลางมีสาวรุ่นเล่นรำมะนา
26“ท่านทั้งหลายผู้เป็นเชื้อสายของอิสราเอล
จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า คือพระยาห์เวห์ ในที่ชุมนุมใหญ่”
27นั่นมีเบนยามินผู้น้อยที่สุดนำหน้าพวกเขา
บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์ตามมาเป็นกลุ่มใหญ่
อีกทั้งเจ้านายแห่งเศบูลุน เจ้านายแห่งนัฟทาลี
อรรถาธิบาย
ชัยชนะของพระเจ้า
ถ้าเรามองไปรอบ ๆ โลกปัจจุบันนี้ เราจะได้เห็นความชั่วร้ายมากมาย โดยเฉพาะความชั่วร้ายของไวรัสโคโรน่า (โควิด-19)
พระธรรมสดุดีนี้เฉลิมฉลองชัยชนะอย่างที่สุดของพระเจ้าที่มีเหนือมาร คุณได้รับคำเชิญให้เข้ามาดูการเข้าสู่พระวิหารของพระองค์อย่างมีชัยชนะ พระเจ้าทรงมีชัยชนะ ความถูกต้องจะมีชัยชนะอยู่วันยังค่ำ วันหนึ่ง ความยโสและหยิ่งผยองของมนุษย์จะถ่อมตัวลงต่อหน้าฤทธิ์อำนาจแห่งกฏอันยุติธรรมของพระเจ้า
ดาวิดกล่าวถึงการเฉลิมฉลองผ่านขบวนแห่แห่งชัยชนะของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาศัตรูของพระองค์ ‘แน่ทีเดียวพระเจ้าจะทรงทุบศีรษะบรรดาศัตรูของพระองค์ให้แหลก...พวกเขาจะได้เห็นขบวนแห่แห่งพระองค์ ขบวนแห่ของพระเจ้าผู้เป็นพระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์’ (ข้อ 21, 24)
ภาพที่ตามมาก็คือชุมชนแห่งการนมัสการพระเจ้าร่วมกันเหมือนที่มันควรจะเป็น ประกอบไปด้วยนักร้อง นักดนตรี เครื่องดนตรี แทรมโปลีน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ล้วนแล้วแต่ถูกนำมาใช้ในการสรรเสริญนมัสการพระเจ้า และบรรดาเจ้านาย (ข้อ 24-27) นำโดย ‘เผ่าเบนยามินผู้น้อยที่สุด’ (ข้อ 27) คนสุดท้ายและคนเล็กน้อยที่สุดจะกลับกลายเป็นคนต้น
คำอธิษฐาน
ยอห์น 19:1-27
1ปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี 2และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง 3แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” แล้วพวกเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์ 4ปีลาตก็ออกไปอีกและกล่าวกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ เราพาคนนี้ออกมามอบให้พวกท่าน เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย” 5พระเยซูจึงเสด็จออกมา ทรงสวมมงกุฎทำด้วยหนามและทรงสวมเสื้อสีม่วง ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า “คนนี้ไงล่ะ” 6เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ พวกเขาก็ร้องอื้ออึงว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย” ปีลาตกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านจงพาเขาไปตรึงเอาเอง เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย” 7พวกยิวตอบท่านว่า “เรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย เพราะเขาตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 8เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นท่านก็ตกใจกลัวมากขึ้น 9ท่านเข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมอีกและทูลถามพระเยซูว่า “เจ้ามาจากไหน?” แต่พระเยซูไม่ตรัสตอบอะไร 10ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า “เจ้าจะไม่พูดกับเราหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยเจ้า และมีอำนาจที่จะตรึงเจ้าที่กางเขนได้?” 11พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านจะไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรานอกจากจะประทานแก่ท่านจากเบื้องบน เพราะเหตุนี้คนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดมากกว่าท่าน”
12ตั้งแต่นั้นปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอื้ออึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์” 13เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นท่านจึงพาพระเยซูออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษาตรงที่ที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่า กับบาธา 14วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ท่านพูดกับพวกยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน” 15พวกเขาร้องอื้ออึงว่า “เอามันไป เอามันไป เอาไปตรึงที่กางเขน” ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกท่านหรือ?” พวกหัวหน้าปุโรหิตตอบว่า “เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์” 16แล้วปีลาตก็มอบพระองค์ให้เขาไปตรึงที่กางเขน
การตรึงพระเยซูที่กางเขน
พวกทหารจึงพาพระเยซูไป 17และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ที่เรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา 18ที่นั่นพวกเขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนพร้อมกับชายอีกสองคนคนละข้าง โดยมีพระเยซูทรงอยู่กลาง 19ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว” 20พวกยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก 21พวกหัวหน้าปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่เขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า “เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว” ’ ” 22ปีลาตตอบว่า “อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป”
23เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาเสื้อของพระองค์มาแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ให้ทหารคนละส่วน เว้นแต่เสื้อใน เสื้อในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอด 24เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปรึกษากันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ” ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า
“เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งกัน และเสื้อของข้าพระองค์เขาจับฉลากกัน”
พวกทหารทำกันอย่างนี้ 25คนที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้นมีมารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัสและมารีย์ชาวมักดาลา 26เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน” 27แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น
อรรถาธิบาย
ชัยชนะของพระเยซู
คุณได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในชีวิตมาบ้างไหม? บางที ในขณะนี้คุณอาจอยู่ตรงกลางของช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก และสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของคุณก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย จงจำไว้ว่า ในช่วงเวลาที่พระเยซูได้รับชัยชนะอย่างที่สุด สถานการณ์ของพระองค์ก็ดูไม่ดีเอาเสียเลยเช่นกัน
ผมจำได้ว่าได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน ราเนียโร แคนทาล่าเมสซา นักเทศน์ที่ ปาปาล เฮ้าส์โฮลด์ ก่อนที่ท่านจะขึ้นโต้วาทีมวลชนกับหนึ่งใน ‘ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ารุ่นใหม่’ ผมถามท่าน ราเนียโร ว่าท่านได้คิดว่าท่านจะชนะไหม ท่านตอบว่าท่านไม่รู้หรอก ท่านบอกว่าอาจจะพ่ายแพ้ในการโต้วาทีนี้ ‘แต่’ ท่านกล่าวเพิ่มว่า ‘พระเจ้าจะได้รับพระเกียรติผ่านความพ่ายแพ้นี้’
การถูกตรึงที่ไม้กางเขนของพระเยซูแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าสามารถได้รับพระเกียรติผ่านสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้ได้ นี่เป็นจังหวะเวลาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซู
มีอยู่ 3 ครั้งที่ปีลาตนั้นโต้แย้งกับฝูงชนว่า พระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์ (18:38; 19:4-6) และมีอีก 2 ครั้ง ที่เขาพยายามที่จะเอาพระเยซูออกจากโทษประหาร (19:12, 14) แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะทำตามจิตสำนึกที่ฟ้องอยู่ ‘เขาก็ตกลงตามที่ผู้คนเรียกร้อง โดยมอบพระเยซูให้ไปถูกตรึงที่ไม้กางเขน’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูนั้น พระองค์ทรงเต็มพระทัย ไม่มีอิสระที่จะขยับเขยื้อนอีกต่อไป ในความเป็นจริงแล้ว ทรงเป็นผู้ที่มีอิสรภาพที่แท้จริง ปีลาตพูดไว้ว่า ‘เจ้าไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะตรึงหรือจะปล่อยเจ้าก็ได้?’ (ข้อ 10) แล้วพระเยซูทรงตรัสตอบว่า ‘ท่านจะไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรา นอกจากจะประทานแก่ท่านจากเบื้องบน’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การที่ทรงตอบเช่นนี้นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงมีสิทธิอำนาจทั้งสิ้นเหนือปีลาต
นี่คือชั่วโมงแห่งความมืดมิดที่สุดของพระเยซู พระองค์ถูกโบยตี ถูกสวมมงกุฏหนามบนศีรษะ ถูกตบหน้า ถูกนำไปตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฉีกฉลองพระองค์และเหล่าทหารก็เอามาจับสลากแบ่งกัน แต่ในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ พระคำของพระเจ้าได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว (ข้อ 23-24)
ยอห์นย้ำถึงความสำเร็จเป็นจริงตามคำพยากรณ์และความเป็นกษัตริย์ของพระเยซู ผ่านการทดลองและการถูกตรึงที่ไม้กางเขนของพระองค์ ซึ่งเห็นได้โดยตลอดว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ พวกทหารได้สวมเครื่องนุ่งห่มให้พระเยซู และล้อเลียนพระองค์ ‘ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว’ (ข้อ 3) ปีลาตประกาศอย่างประชดประชันว่า ‘นี่คือองค์กษัตริย์ของพวกเจ้า’ (ข้อ 14) และถามว่า ‘จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกท่านหรือ?’ (ข้อ 15) มหาปุโรหิตได้ตอบว่า ‘เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์’ (ข้อ 15) ดังนั้น ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า ‘เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว’ (ข้อ 19)
ในขณะที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงดูไม่เหมือนองค์กษัตริย์เลยแม้แต่น้อย พระองค์ทรงถูกเยาะเย้ยและสบประมาท แต่สิ่งที่น่าขันคือการที่ปีลาตจัดให้มีการเขียนป้ายเพื่อเตรียมการ (ในสามภาษาเพื่อให้ผู้คนสามารถอ่านได้ ข้อ 20) ทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าได้สำเร็จในการประกาศแจ้งให้ทั้งโลกรู้ว่า พระเยซูคือองค์กษัตริย์ของพระเจ้า องค์กษัตริย์แห่งความรัก สุขุม เงียบสงบ
ในระหว่างที่พระองค์ทรงถูกทดลอง พระเยซูได้ประกาศต่อปีลาตว่าเขากล่าวถูกต้อง ที่ว่า ‘ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์’ (18:37) แต่พระองค์ทรงต่างจากซีซาร์ แผ่นดินของพระองค์นั้น ‘ไม่ได้เป็นของโลก’ (ข้อ 36) เพราะมันคือแผ่นดินนิรันดร์แห่งฟ้าสวรรค์ องค์กษัตริย์นิรันดร์นี้กำลังได้รับชัยชนะ ไม่ใช่เพราะทรงชนะจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ แต่ผ่านทางสิ่งที่ดูเหมือนความอ่อนแอที่ทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน
พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือมาร ความมืด และความบาป พรุ่งนี้เราจะอ่านกันถึงข้อความอันยิ่งใหญ่นี้ ‘สำเร็จแล้ว’ (19:30) พระเยซูทรงกระทำพระราชกิจแห่งการแบกรับความบาปของโลกนี้สำเร็จผ่านทางพระกายของพระองค์เอง ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชัยชนะทั้งหมดแห่งประวัติศาสตร์โลก ชัยชนะของความดีเหนือความชั่วร้าย ชัยชนะของความมีชีวิตเหนือความตาย
ชีวิตของพระเยซูนั้นดูเหมือนล้มเหลวอย่างราบคาบ ราวกับว่าความเกลียดชังนั้นมีชัยชนะเหนือความรัก แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ครอบครองที่แท้จริงที่ดูเหมือนผู้แพ้แต่ในความเป็นจริงนี้พระองค์ทรงมีชัยชนะและได้เปิดแหล่งชีวิตใหม่ นิมิตใหม่สำหรับมนุษยชาติและเส้นทางใหม่สู่สันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าในขณะนี้ชีวิตของคุณกำลังต่อสู้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต จงเข้าใกล้ชิดพระเยซู และจำไว้เสมอว่า พระเจ้าสามารถได้รับพระเกียรติได้ผ่านความพ่ายแพ้ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตบางครั้งก็เกิดขึ้นในขณะที่สถานการณ์ต่าง ๆ ดูเหมือนจะเลวร้ายที่สุด
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 26:1-28:25
ดาวิดไว้พระชนม์ซาอูลครั้งที่สอง
1ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของเยชิโมนไม่ใช่หรือ?” 2ซาอูลจึงทรงลุกขึ้นลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับชายอิสราเอลที่คัดเลือกแล้ว 3,000 คน เพื่อค้นหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ 3และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ถนนด้านหน้าของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และท่านรู้ว่าซาอูลเสด็จมาตามหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร 4ดาวิดก็ส่งพวกผู้สอดแนมออกไป จึงรู้ว่าซาอูลเสด็จมาแน่ 5แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายนั้น และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย และพวกทหารก็ตั้งค่ายรอบพระองค์
6แล้วดาวิดก็พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า “ใครจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง?” อาบีชัยตอบว่า “ข้าพเจ้าเองจะลงไปกับท่าน” 7ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่พวกทหารนั้นในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมหลับอยู่กลางเขตค่าย มีหอกปักอยู่ที่ดินตรงพระเศียรของพระองค์ อับเนอร์กับพวกทหารก็นอนล้อมพระองค์อยู่ 8อาบีชัยพูดกับดาวิดว่า “วันนี้พระเจ้าทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดิน ครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ต้องแทงเขาครั้งที่สอง” 9แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า “ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะใครจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ และจะไม่มีความผิด?” 10และดาวิดพูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระยาห์เวห์จะทรงฆ่าพระองค์เอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและถูกปลงพระชนม์ 11ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด” 12ดาวิดจึงเอาหอกและเหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และพวกเขาก็ออกไป ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ และไม่มีใครตื่นเพราะทั้งหมดหลับสนิท เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำให้พวกเขาหลับสนิท
13และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย 14ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกทหารและอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า “อับเนอร์ ท่านไม่ตอบหรือ?” แล้วอับเนอร์ตอบว่า “เจ้าเป็นใคร มาร้องเรียกพระราชา?” 15และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายหรือ? ในอิสราเอลมีใครเสมอเหมือนท่าน? ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชาเจ้านายของท่านไว้? เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายพระราชาเจ้านายของท่าน 16ที่ท่านทำเช่นนี้ไม่ดี พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พวกท่านควรตายเพราะพวกท่านไม่ได้เฝ้าเจ้านายของพวกท่าน ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ บัดนี้ดูซิว่า หอกของพระราชาอยู่ที่ไหน? และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน?”
17ซาอูลทรงจำเสียงของดาวิดได้จึงตรัสว่า “ดาวิดบุตรของข้า นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ?” และดาวิดทูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ” 18และดาวิดทูลต่อไปว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์? ข้าพระบาทได้ทำอะไรไป มือข้าพระบาททำชั่วอะไร? 19บัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงฟังถ้อยคำของผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระยาห์เวห์ทรงปลุกปั่นฝ่าพระบาทให้ต่อสู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าทรงได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นมนุษย์ยุ ก็ขอให้พวกเขาเป็นที่สาปแช่งเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพวกเขาได้ขับไล่ข้าพระบาทออกไปในวันนี้จากส่วนแบ่งในมรดกของพระยาห์เวห์ โดยกล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพวกพระอื่น’ 20บัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระราชาแห่งอิสราเอลได้เสด็จออกมาเพื่อค้นหาหมัดตัวเดียว ดังผู้ไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา”
21แล้วซาอูลตรัสว่า “ข้าทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรของข้า จงกลับไปเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเราก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและทำผิดมากมาย” 22และดาวิดทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ขอทรงดูหอกนี้ ขอทรงให้คนหนุ่มคนหนึ่งข้ามมารับไป 23พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความซื่อสัตย์ของเขา เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงมอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของข้าพระบาทแล้ว แต่ข้าพระบาทไม่ปรารถนาจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ 24ดูเถิด ในสายตาของข้าพระบาท พระชนม์ของฝ่าพระบาทนั้นมีค่าฉันใด ขอให้ชีวิตของข้าพระบาทมีค่าในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ฉันนั้น และขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น” 25แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า “ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพร เจ้าจะได้ทำสิ่งต่างๆ แน่และจะมีชัยเป็นแน่” ดาวิดจึงไปตามทางของท่าน และซาอูลก็เสด็จกลับสู่ราชสำนักของพระองค์
1 ซามูเอล 27
ดาวิดรับใช้อาคีชกษัตริย์เมืองกัท
1ดาวิดนึกในใจว่า “ข้าคงจะพินาศสักวันหนึ่งด้วยพระหัตถ์ของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีจริงๆ ไปอยู่ที่แผ่นดินคนฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงหมดหวังที่จะค้นหาข้าอีกภายในพรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้” 2ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่าน 600 คน ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์เมืองกัท 3และดาวิดก็อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท คือตัวท่านและคนของท่าน ทุกคนมีครัวเรือนไปด้วย ทั้งดาวิดพร้อมกับภรรยาสองคน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลชาวคารเมลแม่ม่ายของนาบาล 4และเมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงเสาะหาท่านอีกต่อไป
5แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า “ถ้าข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท ขอทรงให้พวกเขามอบที่ในเมืองชนบทแก่ข้าพระบาทสักแห่งหนึ่ง และข้าพระบาทจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ทำไมผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะอยู่ในกรุงกับฝ่าพระบาทเล่า?” 6ในวันนั้นอาคีชทรงมอบศิกลากให้ท่าน ดังนั้นศิกลากจึงกลายเป็นของบรรดากษัตริย์ยูดาห์จนถึงทุกวันนี้ 7ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียนั้น เป็น 1 ปีกับ 4 เดือน
8ส่วนดาวิดกับคนของท่าน ก็ขึ้นไปปล้นคนเกชูร์ คนเกเซอร์ คนอามาเลข เพราะคนเหล่านี้อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ 9ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช 10เมื่อไรอาคีชตรัสถามว่า “วันนี้พวกท่านไปปล้นที่ไหนมา?” ดาวิดก็ทูลว่า “ปล้นเนเกบที่แผ่นดินยูดาห์” หรือ “ปล้นเนเกบที่ตระกูลเยราเมเอล” หรือ “ปล้นเนเกบของคนเคไนต์” 11ดาวิดไม่ได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำมาที่เมืองกัท โดยคิดว่า “เกรงว่า พวกเขาจะบอกเรื่องของพวกเรา และกล่าวว่า ‘ดาวิดทำวิธีนั้น’ ” นี่เป็นวิธีปฏิบัติ ขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในดินแดนฟีลิสเตีย 12อาคีชวางพระทัยในดาวิด ด้วยทรงดำริว่า “เขาได้ทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดเขาจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้รับใช้ของเราตลอดไป”
1 ซามูเอล 28
1ต่อมาในครั้งนั้น พวกฟีลิสเตียรวบรวมกองทัพ เพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า “จงรู้แน่ว่า ท่านกับคนของท่านจะออกทัพไปกับเรา” 2ดาวิดทูลอาคีชว่า “ดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทรงทราบว่าผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะทำอะไรได้บ้าง” และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า “ดีแล้ว เราจะตั้งท่านเป็นองครักษ์ของเราตลอดไป”
ซาอูลปรึกษาคนทรง
3เมื่อซามูเอลตายแล้ว คนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ทุกข์ให้ท่าน และฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดพวกคนทรงและพวกหมอดูเสียจากแผ่นดิน 4พวกฟีลิสเตียก็ชุมนุมกันและมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น ตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5เมื่อซาอูลทอดพระเนตรกองทัพของพวกฟีลิสเตียก็ทรงกลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก 6และเมื่อซาอูลทูลถามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ 7ซาอูลจึงรับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงไปค้นหาหญิงคนทรงให้เรา เพื่อเราจะได้ไปหานางและถามนางดู” และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า “ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์”
8ซาอูลจึงปลอมพระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่น เสด็จออกไปพร้อมกับชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า “ขอทำนายให้ฉันโดยการเข้าทรง และจงเรียกคนนั้นที่ฉันจะบอกเธอขึ้นมา” 9หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า “นี่แน่ะ ท่านเองรู้แล้วว่าซาอูลได้ทรงทำอะไร ที่ได้ทรงกำจัดพวกคนทรงและพวกหมอดูเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าให้ตายเล่า?” 10แต่ซาอูลทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่โดนทำโทษเพราะเรื่องนี้” 11หญิงนั้นจึงทูลถามว่า “ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมาให้ท่าน?” ซาอูลตรัสว่า “เรียกซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน” 12และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล นางจึงร้องเสียงดัง หญิงนั้นทูลซาอูลว่า “ไฉนพระองค์จึงทรงหลอกลวงหม่อมฉัน? พระองค์คือซาอูล” 13พระราชาตรัสแก่นางว่า “อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไร?” และหญิงนั้นทูลซาอูลว่า “หม่อมฉันเห็นเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน” 14พระองค์ถามนางว่า “รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร?” และนางทูลว่า “เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่” ซาอูลก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์โน้มพระกายลงซบพระพักตร์ลงถึงดิน
15แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม?” ซาอูลทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะพวกฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว ไม่ได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียกท่านขึ้นมา เพื่อท่านจะได้แจ้งข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะทำประการใดดี” 16และซามูเอลตอบว่า “ทำไมท่านถามข้าพเจ้า ในเมื่อพระยาห์เวห์ทรงหันจากท่านแล้ว และทรงเป็นศัตรูของท่าน? 17พระยาห์เวห์ได้ทรงทำแก่ท่านดังที่พระองค์ตรัสบอกทางข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระยาห์เวห์ทรงฉีกราชอาณาจักรนั้นจากมือของท่านและทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด 18เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ ไม่ได้ทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้ 19ยิ่งกว่านั้นพระยาห์เวห์จะทรงมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของพวกฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระยาห์เวห์จะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของพวกฟีลิสเตียด้วย”
20แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินทันที กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยอาหารตลอดหนึ่งวันกับหนึ่งคืน 21หญิงนั้นก็เข้ามาหาซาอูล เมื่อนางเห็นว่าพระองค์ตกพระทัยมาก จึงทูลว่า “ดูเถิด สาวใช้ของฝ่าพระบาทเชื่อฟังฝ่าพระบาท ยอมเสี่ยงชีวิตและยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งต่อข้าพระบาท 22เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทฟังเสียงสาวใช้ของฝ่าพระบาทบ้าง ขอหม่อมฉันถวายอาหารเล็กน้อยแก่พระองค์ให้เสวย เพื่อจะมีพระกำลังเมื่อเสด็จกลับตามทางของพระองค์” 23แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า “ไม่กิน” แต่พวกมหาดเล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของพวกเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพื้นดินและประทับบนเตียง 24หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ 25นางก็นำมาถวายให้ซาอูลเสวย กับให้พวกมหาดเล็กรับประทาน แล้วพวกเขาลุกขึ้นกลับไปในคืนนั้น
อรรถาธิบาย
ชัยชนะของกษัตริย์ดาวิด
ชัยชนะดาวิดนั้นไม่ได้มาโดยง่ายเลย ในชีวิตนั้นแทบไม่มีชัยชนะใดเลยที่ได้มาอย่างง่ายดาย โดยทั่วไปแล้วมักจะมาภายหลังจากความล้มเหลวและความยากลำบากทั้งสิ้น
ซาอูลพูดกับดาวิดว่า ‘ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพร เจ้าจะได้ทำสิ่งต่าง ๆ แน่และจะมีชัยเป็นแน่’ (26:25)
มันน่าอนาถใจที่ได้เห็นว่าซาอูลนั้นล้มลงจากความบาปมากเพียงใด ในช่วงหนึ่งของชีวิต เขาเป็นบุรุษผู้ที่เต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า ไล่กำจัดมารร้ายออกจากแผ่นดิน แต่ในตอนนี้เขากลับปรึกษาหญิงคนทรงที่ครั้งหนึ่งเขาได้ขับไล่ออกไปด้วยตนเอง (บทที่ 28) แต่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้น ได้มีจุดเริ่มต้นของการรู้จักชีวิตหลังความตาย และแม้ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ ที่ซาอูลได้กระทำลงไป องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังทรงช่วยซาอูลให้รอด ‘พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา’ (28:19)
เราก็ได้เห็นดาวิดในด้านที่เลวร้ายที่สุดเช่นกัน เขาได้เข้าร่วมกับคนฟีลิสเตีย ดำเนินชีวิตด้วยการหลอกลวงและเข่นฆ่าผู้หญิงและเด็ก (บทที่ 27) เขายังทรงดำดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดโดยการแอบซ่อนสิ่งที่ตนกระทำไว้ ภาพของดาวิดในพระคัมภีร์นั้น ห่างไกลจากความดีเลิศอย่างมาก แต่แม้กระนั้น พระเจ้าก็ยังทรงใช้ท่านไม่ว่าท่านจะล้มเหลวหรือผิดพลาดมามากเพียงใดก็ตาม
ในทางกลับกัน เราได้เห็นดาวิดด้านที่ดีที่สุดเช่นกัน เขามีโอกาสที่แก้แค้นซาอูล ผู้ที่พยายามจะฆ่าตน แต่เขากลับปฏิเสธการแก้แค้นนี้ และมอบความเคารพอย่างยิ่งให้กับซาอูล เพราะซาอูลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิอำนาจ
ดาวิดพูดว่า ‘ใครจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมไว้และจะไม่มีความผิด?...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมไว้’ (26:9, 11)
ดาวิดดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อซาอูล แม้ในความเป็นจริงซาอูลพยายามที่จะฆ่าเขาก็ตาม จงทำตามแบบอย่างของดาวิดและปฏิเสธที่จะกระทำความบาปเพื่อพยายามหลุดพ้นจากอำนาจของบุคคลที่อยู่เหนือคุณ
แม้ซาอูลได้ระลึกถึง ‘ความชอบธรรมและความซื่อสัตย์’ ของดาวิด (ข้อ 23) ซาอูลยังเห็นถึงว่าดาวิดนั้น ‘จะได้ทำสิ่งต่าง ๆ แน่และจะมีชัยเป็นแน่’ (ข้อ 25)
ชีวิตของดาวิดสอนให้เราไม่คาดหวังความสำเร็จและชัยชนะแบบทันทีทันใด บ่อยครั้งที่พระเจ้าทรงเตรียมชีวิตเราเป็นเวลานาน คือช่วงเวลาหลายปีแห่งความคลุมเครือและไม่ชัดเจน หรือต้องผ่านความยากลำบาก หรือความล้มเหลว หรือแม้กระทั่งความพ่ายแพ้
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ยอห์น 19:25–27
ฉันนึกไม่ออกเลยว่านางมารีย์ มารดาของพระเยซู จะผ่านช่วงเวลาแห่งการยืนดูลูกชายของตัวเองตายลงต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร ในปี 2020 กับสถานการณ์โควิด – 19 เราได้เห็นความเจ็บป่วย, ความทนทุกข์ และการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างมากมาย
การที่ได้เห็นลูก ๆ ของคุณต้องทนทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด นางมารีย์นั้นเป็นตัวอย่างแห่งแรงบันดาลใจในฐานะของผู้เป็นแม่ และความรักของแม่และลูกชายของนางนั้น แตะต้องใจอย่างมาก
พระเยซูทรงใส่ใจและจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อมารดาของพระองค์แม้ในช่วงที่ทุกข์ทรมานที่สุดของพระองค์เอง เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจถึงความสำคัญของการเอาใจใส่ดูแลสมาชิกในครอบครัว และพระเยซูเองทรงเข้าใจความเจ็บปวดนี้ของเรา
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น19:11
‘ท่านจะไม่มีสิทธิอำนาจ…นอกจากจะประทานแก่ท่านจากเบื้องบน’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)