วัน 149

ภาระ 5 สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องแบกรับ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 68:15-20
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 18:25-40
พันธสัญญาเดิม 1 ซามูเอล 24:1-25:44

เกริ่นนำ

เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้กล่าวไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิตว่า ‘เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปถึงความกังวลมากมายเหล่านี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของชายแก่คนหนึ่งที่พูดไว้ก่อนตายว่า เขาได้มีปัญหาในชีวิตนานัปการ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง’

เชอร์ชิลล์ ได้พูดถึงภาระของความกังวลไว้ว่ามันมักไม่เกิดขึ้นจริง แต่ในชีวิตนั้นก็มี ‘ภาระ’ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป และบางอย่างนั้นก็เป็นจริงอย่างมาก พระเยซูตรัสว่า ‘บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้..และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา’ (มัทธิว 11:28-30)

แอกคือสิ่งที่พระเยซูมีโอกาสได้ทำในร้านช่างไม้ มันคือกรอบไม้ที่ใช้เชื่อมสัตว์ 2 ตัวเข้าด้วยกันที่คอ (สัตว์ที่กล่าวถึงนี้ มักจะเป็นโค) เพื่อที่จะทำให้พวกมันลากเกวียนไปด้วยกัน หน้าที่ของแอกคือทำให้ภาระที่แบกรับไว้นั้นเบาลง

ผมชอบการแปลของ ยูจีน ปีเตอร์สัน ในบทนี้ ในเวอร์ชั่น The Message ‘ท่านเหนื่อยหรือ ท่านแบกภาระหนักหรือ ท่านหมดแรงกับความเชื่อหรือ จงมาหาเรา ให้เรานำท่านไปและท่านจะได้รับการรื้อฟื้นชีวิต เราจะทำให้ท่านได้รู้จักถึงการพักที่แท้จริง จงเดินไปกับเราและทำงานร่วมกับเรา ดูว่าเราทำอย่างไร จงเรียนรู้จังหวะของพระคุณที่ไม่ต้องถูกบีบบังคับ เราจะไม่ให้ท่านต้องมีภาระหนักหรือสิ่งที่ไม่เหมาะกับท่าน จงเดินไปกับเราแล้วท่านจะรู้จักการดำเนินชีวิตอย่างเบิกบานใจและมีเสรีภาพ’ (ข้อ 28-30)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 68:15-20

15ภูเขาสูงเอ๋ย ภูเขาแห่งบาชาน
 ภูเขาหลายยอดเอ๋ย ภูเขาแห่งบาชาน
16ภูเขาหลายยอดเอ๋ย ทำไมมองด้วยความริษยา
 มายังภูเขาซึ่งพระเจ้าทรงประสงค์ให้เป็นที่พำนักของพระองค์
 เออ ที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะประทับเป็นนิตย์
17องค์เจ้านายเสด็จจากซีนายเข้าไปในสถานนมัสการ
 พร้อมรถรบของพระเจ้านับเป็นหมื่นๆ
 นับเป็นพันๆ
18พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง
 ทรงนำเชลยไปด้วย
และทรงรับของขวัญจากมนุษย์
 แม้กระทั่งจากผู้ที่ขัดขวาง ส่วนพระยาห์เวห์พระเจ้าจะประทับที่นั่น
19สาธุการแด่องค์เจ้านาย
 ผู้ทรงแบกภาระเพื่อเราอยู่ทุกวัน
 พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา
20พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอด
 การหลุดพ้นจากความตายนั้นก็อยู่ที่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย

อรรถาธิบาย

1. ความกระวนกระวาย

ในหนังสือ แอฟฟลูเอนซ่า (Affluenza) นักจิตวิทยานามว่า โอลิเวอร์ เจมส์ ได้ชี้ให้เห็นถึงว่า ‘เกือบ 1 ใน 4 ของมันสมองต้องเผชิญกับความทุกข์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง เช่น ความหดหู่และความกระวนกระวาย และอีก 1 ใน 4 นั้นอยู่สุดขอบของสิ่งเหล่านั้น’

ดาวิดสรรเสริญพระเจ้า ‘ผู้ทรงแบกภาระเพื่อเราอยู่ทุกวัน’ (ข้อ 19) ภาระในที่นี้อาจหมายรวมถึงหลายสิ่ง ซึ่งหนึ่งในภาระที่พระเจ้าทรงแบกเพื่อเราอยู่ทุกวัน คือ ความกังวล ความเครียด และความกระวนกระวาย

จอห์น นิวตัน กล่าวไว้ว่า ‘เราจะสามารถบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีกับภาระที่จัดเอาไว้สำหรับแต่ละวัน แต่มันจะหนักมากถ้าหากเรายังคงแบกภาระของเมื่อวานเอาไว้ แล้วเติมภาระของวันพรุ่งนี้เพิ่มเข้าไป ทั้ง ๆ ที่มันยังมาไม่ถึง’

ในแต่ละวัน คุณสามารถมอบความกลัว ความกังวล และความกระวนกระวายของคุณให้กับพระเจ้าได้ แล้วคุณจะได้เห็นความแตกต่าง เพราะพระองค์ทรงแบก ‘ภาระ’ ของเราในแต่ละวัน (ข้อ 19)

คำอธิษฐาน

ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่วันนี้ข้าพระองค์สามารถนำภาระทั้งสิ้นของข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล และความกระวนกระวายต่าง ๆ
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 18:25-40

เปโตรปฏิเสธพระเยซูอีก

 25ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนพวกนั้นถามเปโตรว่า “เจ้าก็เป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เปโตรปฏิเสธว่า “ไม่ใช่” 26ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็ถามว่า “ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ?” 27เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน

พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้าปีลาต

 28แล้วพวกเขาก็พาพระเยซูออกจากบ้านของคายาฟาสไปยังกองบัญชาการปรีโทเรียม ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมนั้น เพื่อไม่ให้เป็นมลทินและจะได้กินปัสกาได้ 29ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขา แล้วถามว่า “พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้?” 30พวกเขาตอบท่านว่า “ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน” 31ปีลาตกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด” พวกยิวจึงเรียนท่านว่า “กฎหมายห้ามเราประหารชีวิตคนหนึ่งคนใด” 32ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร
 33ปีลาตจึงเข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมอีก และเรียกพระเยซูมาแล้วถามว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” 34พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา?” 35ปีลาตทูลตอบว่า “เราเป็นยิวหรือ? ชนชาติของเจ้าเองและพวกหัวหน้าปุโรหิตมอบเจ้าไว้กับเรา เจ้าทำผิดอะไร?” 36พระเยซูตรัสตอบว่า “ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่ให้เราถูกมอบไว้ในมือของพวกยิว แต่ราชอำนาจของเราไม่ได้มาจากโลกนี้” 37ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกษัตริย์น่ะซี” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา” 38ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า “สัจจะคืออะไร?”

การทรงถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต

 เมื่อถามอย่างนั้นแล้วปีลาตก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า “เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด 39แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” 40พวกเขาร้องตอบว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่ให้ปล่อยบารับบัส” บารับบัสนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย

อรรถาธิบาย

2. ความล้มเหลว

เปโตร อัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ถูกถามว่า ‘“เจ้าก็เป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?”’ แต่เขาปฏิเสธว่า ‘“ไม่ใช่”’ (ข้อ 25) นี่เป็นการปฏิเสธครั้งที่ 2 และในครั้งที่ 3 เปโตรถูกท้าทายและเขาได้กล่าวว่า เขาไม่เคยรู้จักพระเยซู (ข้อ 26) ณ เวลานั้นไก่ก็เริ่มขัน (ข้อ 27) เหมือนดังที่พระเยซูทรงทำนายเอาไว้

เช่นเดียวกับพวกเราในบางครั้ง เปโตรระลึกได้แล้วว่าเขาได้ทำผิดต่อพระเยซู ความรู้สึกแห่งการทำผิดพลาดสามารถกลับกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงได้

บทนี้ไม่ใช่ตอนจบของเรื่องราวของเปโตร ภายหลังจากที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูได้มาพบเปโตรและฟื้นฟูเขากลับมาอีกครั้ง ทรงให้อภัยเขาสำหรับการทำผิดครั้งนี้ และให้โอกาสเขากลับมาเหมือนเดิม (21:15-25) กับพระเยซูนั้น ความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ

แม้ว่าเปโตรจะทำผิดต่อพระองค์ แต่พระเยซูทรงแบกรับเอาความผิดของเขาไว้เอง และทรงให้อภัยเขา ให้ความมั่นใจแก่เขา และใช้เขาอย่างเต็มศักยภาพเฉกเช่นเดียวกับบรรดาบุคคลในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ยอห์น 18:28–38ก\t

3. ความอยุติธรรม

หนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่พระเยซูต้องแบกรับเอาไว้นั้นก็คือ การไต่สวนที่ไม่เป็นธรรม หลักการพื้นฐานของทุกระบบแห่งกระบวนการยุติธรรม ก็คือ การดำเนินคดีต้องมีข้อพิสูจน์ว่า จำเลยนั้นได้ทำผิดต่อโจทก์อย่างแท้จริง ‘ภาระการพิสูจน์’ ว่าไม่เป็นความจริงจึงตกอยู่ที่พวกเขา ดังนั้นระบบตุลาการที่ยุติธรรมทุกระบบต้องเอาชนะอคติพื้นฐานที่ว่า เพราะว่าบุคคลนั้นอยู่ในการพิจารณาคดี พวกเขาจึงต้องมีความผิด

เมื่อปีลาตถามว่า ‘พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้’ (ข้อ 29) พวกเขาต่างตอบว่า ‘ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน’ (ข้อ 30) ในการกล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่าโจทก์ของพระเยซูกำลังพยายามบิดเบือนภาระการพิสูจน์

ปีลาตยังปฏิเสธสิทธิที่จะไม่ให้การของพระเยซูอย่างไม่ยุติธรรม เขาพูดว่า ‘เจ้าทำผิดอะไร’ (ข้อ 35ค) เขาพยายามที่จะให้พระเยซูยอมรับจากปากของพระองค์เอง พระเยซูทรงกล่าวว่าพระองค์เสด็จมายังโลกนี้ ‘เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ’ (ข้อ 37ข) ปีลาตจึงถามต่อว่า ‘สัจจะคืออะไร’ (ข้อ 38ก)

ราวกับว่าปีลาตนั้นกำลังมีคำถาม (เช่นเดียวกับที่สังคมแนวคิดสมัยใหม่ทำ) ว่า ‘สัจจะ’ นั้นมีอยู่หรือไม่ (ซึ่งนั่นก็คือ ความจริงเที่ยงแท้) แต่ปีลาตก็ได้เผชิญกับสัจจะนั้นหน้าต่อหน้า นั่นก็คือ พระเยซูคริสต์ ผู้ที่ทนต่อความทรมานอย่างไร้ความยุติธรรม และยิ่งไปกว่านั้นคือทรงจ่ายราคาที่ไม่เป็นธรรมจนถึงความมรณาที่ไม้กางเขน เพื่อคุณและผม

ยอห์น 18:38ข–40

4. ความบาป

แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทรมานที่ไร้ความยุติธรรม ปีลาตก็ได้สรุปสุดท้ายว่า ‘เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด’ (ข้อ 38ข) พระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ปีลาตต้องการที่จะปล่อยพระองค์แต่ฝูงชนต่างตะโกนว่า ‘อย่าปล่อยคนนี้ไป แต่ให้ปล่อยบารับบัส’ ณ ขณะนั้นบารับบัสเป็นผู้ก่อการร้าย (ข้อ 40) พระเยซูผู้ทรงปราศจากความผิดได้รับการต้องโทษให้ถูกประหารบนไม้กางเขน แต่บารับบัสผู้ที่เต็มไปด้วยความบาปนั้นกลับถูกปล่อยเป็นไท

สัญลักษณ์นี้ชัดเจนมาก บนไม้กางเขน พระเยซูผู้ทรงปราศจากความผิดได้วายพระชนม์เพื่อให้คนบาปอย่างพวกเราได้เป็นไท ทรงแบกรับภาระแห่งความบาปของพวกเราเอาไว้ด้วยพระองค์เอง

คำอธิษฐาน

‘สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของเรา...พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอด การหลุดพ้นแห่งความตายนั้นก็อยู่ที่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย’ (สดุดี 68:19-20)
พันธสัญญาเดิม

1 ซามูเอล 24:1-25:44

ดาวิดไว้พระชนม์ซาอูล

 1ต่อมาเมื่อซาอูลเสด็จกลับจากการไล่ตามพวกฟีลิสเตียแล้ว มีคนมาทูลว่า “ดูเถิด ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเอนเกดี” 2แล้วซาอูลก็ทรงนำพล 3,000 คนที่คัดเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมด ไปค้นหาดาวิดกับพวกของท่านที่หินเลียงผา 3และพระองค์เสด็จมาที่คอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง และซาอูลก็เสด็จเข้าไปปลดทุกข์ ส่วนดาวิดกับพวกของท่านนั่งอยู่ที่ส่วนลึกที่สุดของถ้ำ 4พวกของดาวิดก็เรียนท่านว่า “ดูเถิด วันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า ‘ดูเถิด เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร’ ” แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นย่องเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 5หลังจากนั้นดาวิดสำนึกผิด เพราะท่านตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 6ท่านพูดกับพวกของท่านว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้” 7ดาวิดตำหนิคนของท่านด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้พวกเขาทำร้ายซาอูล และซาอูลก็ทรงลุกขึ้นออกจากถ้ำเสด็จไปตามทางของพระองค์
 8จากนั้นดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท” และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดูด้านหลัง ดาวิดก็ย่อตัวลงซบหน้าถึงดิน 9และดาวิดทูลซาอูลว่า “ทำไมพระองค์ทรงฟังถ้อยคำของคนที่กล่าวว่า ‘ดูเถิด ดาวิดแสวงหาที่จะทำร้ายพระองค์?’ 10ดูเถิด วันนี้พระเนตรของฝ่าพระบาทประจักษ์แล้วว่า พระยาห์เวห์ทรงมอบฝ่าพระบาทในวันนี้ไว้ในมือของข้าพระบาทที่ในถ้ำ และบางคนขอให้ข้าพระบาทประหารฝ่าพระบาทเสีย แต่ข้าพระบาทก็ได้ไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’ 11ทอดพระเนตรเถิด เสด็จพ่อของข้าพระบาท ขอทอดพระเนตรชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระบาท เพราะข้าพระบาทตัดชายฉลองพระองค์ออก และไม่ได้ประหารฝ่าพระบาทเสีย ขอฝ่าพระบาททรงทราบและทอดพระเนตรเถิดว่า ในมือของข้าพระบาทไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระบาทไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท แม้ว่าฝ่าพระบาทกำลังทรงล่าชีวิตของข้าพระบาทเพื่อจะทำลายเสีย 12ขอพระยาห์เวห์ทรงพิพากษาระหว่างข้าพระบาทและฝ่าพระบาท ขอพระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นแทนข้าพระบาทต่อฝ่าพระบาท แต่มือของข้าพระบาทจะไม่ทำอะไรต่อฝ่าพระบาท 13ดังสุภาษิตโบราณว่า ‘ความอธรรมก็ออกมาจากคนอธรรม’ แต่มือของข้าพระบาทจะไม่ทำอะไรต่อฝ่าพระบาท 14พระราชาแห่งอิสราเอลทรงออกมาตามใคร? ฝ่าพระบาททรงตามใคร? ทรงไล่ตามสุนัขที่ตายแล้วหรือ? ทรงไล่ตามตัวหมัดตัวหนึ่งหรือ? 15เพราะฉะนั้นขอพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้พิพากษา ทรงพิพากษาระหว่างข้าพระบาทกับฝ่าพระบาท ขอทอดพระเนตร ขอทรงว่าความฝ่ายข้าพระบาท และขอทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากหัตถ์ของฝ่าพระบาท”
 16หลังจากที่ดาวิดทูลถ้อยคำนี้ต่อซาอูลจบแล้ว ซาอูลตรัสว่า “ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ?” ซาอูลก็ทรงส่งเสียงและทรงกันแสง 17พระองค์ตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าเองตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย 18เจ้าแสดงในวันนี้แล้วว่า เจ้าทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้าไม่ได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระยาห์เวห์ทรงมอบข้าไว้ในมือของเจ้าแล้ว 19เพราะว่าใครพบศัตรูของตน เขาจะปล่อยไปโดยดีหรือ? ดังนั้นขอพระยาห์เวห์ประทานสิ่งที่ดีแก่เจ้า สนองการที่เจ้าได้ทำแก่ข้าในวันนี้ 20บัดนี้ ดูเถิด ข้ารู้แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระราชาแน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นอยู่ในมือของเจ้า 21ดังนั้นบัดนี้ จงปฏิญาณต่อข้าในพระนามของพระยาห์เวห์ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเสียเมื่อข้าตายไป และจะไม่ทำลายชื่อของข้าจากพงศ์พันธุ์บิดาข้า” 22ดาวิดก็ปฏิญาณให้ต่อซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับพวกของท่านก็ขึ้นไปที่กำบังเข้มแข็ง

1 ซามูเอล 25

ซามูเอลสิ้นชีวิต

 1ซามูเอลก็สิ้นชีวิต และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และพวกเขาฝังศพท่านไว้ที่บ้านของท่านในรามาห์ ส่วนดาวิดก็ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน

ดาวิดกับภรรยาของนาบาล

 2มีชายคนหนึ่งในมาโอน มีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะ 3,000 ตัว และแพะ 1,000 ตัว ต่อมาวันหนึ่งเขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคนนั้นฉลาดและสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคนหัวแข็งและชั่วร้ายในการกระทำ เป็นวงศ์วานของคาเลบ 4ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ได้ยินว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่ม 10 คน และดาวิดพูดกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า “จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา 6ให้พวกท่านพูดเช่นนี้ว่า ‘ชีวิตและสวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพจงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่ทุกสิ่งที่ท่านมี 7ขณะนี้ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะอยู่ เมื่อพวกผู้เลี้ยงแกะของท่านอยู่กับเรา เราไม่ได้ทำอันตรายพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่อยู่ในคารเมล 8ถามพวกคนหนุ่มของท่าน พวกเขาจะบอกท่าน เพราะฉะนั้นขอให้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง โปรดให้สิ่งที่พอหาได้ในตอนนี้แก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน’ ”
9เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิดมาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และพวกเขาก็คอยอยู่ 10และนาบาลตอบพวกคนรับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือใคร? บุตรของเจสซีคือใคร? สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของพวกเขา 11ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับพวกคนตัดขนแกะของข้ามอบให้แก่พวกซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้?” 12พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับไปตามทาง และกลับมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ดาวิด 13และดาวิดสั่งพวกของท่านว่า “ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้” และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วย มีคนตามดาวิดขึ้นไปประมาณ 400 คน ส่วนอีก 200 คนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ
 14แต่มีคนหนึ่งในพวกคนหนุ่มบอกนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาลว่า “ดูเถิด ดาวิดส่งพวกผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดารเพื่ออวยพรนายของพวกเรา แต่นายกลับด่าว่าคนเหล่านั้น 15แต่ชายเหล่านั้นดีต่อเรามาก เราไม่ถูกทำร้าย และไม่ขาดสิ่งใดตลอดเวลาที่เราไปกับพวกเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา 16พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้งกลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับพวกเขา 17ขณะนี้ขอท่านทราบเรื่องและพิจารณาว่าท่านควรจะทำประการใด เพราะการร้ายถูกกำหนดต่อนายของเราแล้ว และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนอันธพาล ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้”
 18แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปัง 200 ก้อน และเหล้าองุ่น 2 ถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้ว 5 ตัว และข้าวคั่ว 17 กิโลกรัม และลูกเกด 100 ช่อและขนมมะเดื่อ 200 แผ่นบรรทุกหลังลา 19นางก็สั่งพวกคนหนุ่มของนางว่า “จงรีบไปก่อนเรา นี่แน่ะ เราจะตามเจ้าไป” แต่นางไม่ได้บอกนาบาลสามีของนาง 20เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังนางอยู่ นี่แน่ะ ดาวิดกับพวกของท่านกำลังลงมาทางนาง และนางก็พบพวกเขา 21ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า “ข้าเฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และเขาตอบแทนความดีของข้าด้วยความชั่ว 22เช่นเดียวกับที่พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกศัตรูของดาวิดฉบับกรีกว่า ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และทรงเพิ่มโทษนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ชายสักคนในบรรดาที่เขามี เหลืออยู่ถึงพรุ่งนี้เช้า”
 23เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิด นางก็รีบลงจากหลังลา ทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด ซบหน้าถึงดินและ 24นางทรุดตัวลงที่เท้าของดาวิดพูดว่า “เจ้านายของดิฉัน ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้สาวใช้ของท่านพูดให้ท่านฟัง และโปรดฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่าน 25ขอเจ้านายของดิฉันโปรดอย่าได้เอาความกับนาบาลชายร้ายกาจคนนี้เลย เพราะเขาเป็นอย่างชื่อของเขาคือนาบาลแปลว่า โง่ และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา ส่วนดิฉันสาวใช้ของท่านไม่เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านใช้ไป 26ดังนั้นเจ้านายของดิฉัน พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง บัดนี้ขอให้พวกศัตรูของท่าน และพวกที่จะปองร้ายต่อเจ้านายของดิฉันเป็นอย่างนาบาล 27ของกำนัลนี้ซึ่งสาวใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่พวกคนหนุ่มผู้ติดตามเจ้านายของดิฉัน 28โปรดอภัยความผิดของสาวใช้ของท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงแน่ เพราะว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ และจะไม่พบความชั่วในตัวท่านตลอดชีวิตของท่าน 29แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่าน และต้องการฆ่าท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชีวิตและพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง 30และเมื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำให้สำเร็จแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามสิ่งดีทั้งหมดซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่เสียใจหรือมีจิตสำนึกที่รู้สึกผิด เพราะการฆ่าด้วยไม่มีสาเหตุ เพราะเจ้านายของดิฉันแก้แค้นด้วยตนเอง และเมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำความดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ก็ขอระลึกถึงสาวใช้ของท่าน”
 32ดาวิดพูดกับนางอาบีกายิลว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33ขอให้ความฉลาดของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้ารับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการฆ่า และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง 34เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้าไม่ได้รีบมาพบเรา ถึงรุ่งสางจะไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้แต่ชายสักคน” 35แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำมาจากมือของนาง และดาวิดพูดกับนางว่า “จงกลับไปบ้านของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูสิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเรารับคำขอร้องของเจ้า”
 36และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้านของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาลก็เบิกบาน เพราะเขามึนเมามาก นางจึงไม่ได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งสาง 37และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง และใจของเขาก็ตายข้างใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน 38ต่อมาอีกประมาณสิบวันพระยาห์เวห์ทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย
 39เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงพูดว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง” แล้วดาวิดก็ส่งคนไปพูดกับอาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน 40และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล พวกเขาพูดกับนางว่า “ดาวิดส่งพวกเรามาหาท่านเพื่อนำท่านไปเป็นภรรยา” 41และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินพูดว่า “ดูเถิด สาวใช้ของท่านเป็นทาสที่จะล้างเท้าให้พวกผู้รับใช้ของเจ้านายของดิฉัน” 42อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาไปพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัตินางอีกห้าคน นางตามพวกผู้สื่อสารของดาวิดไป และเป็นภรรยาของดาวิด
 43ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน 44ซาอูลทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแล้ว

อรรถาธิบาย

5. ความรู้สึกผิด

ความรู้สึกผิดนั้นเป็นภาระที่เลวร้ายมาก มีแขกท่านหนึ่งในกลุ่มย่อยอัลฟ่าได้พรรณนาถึงความรู้สึกทางฝ่ายกายภาพของความรู้สึกผิดว่าเหมือนกับ ‘กระบวนการย่อยอาหารที่มีปัญหาอย่างรุนแรง’ แต่ความรู้สึกผิดนั้นมากกว่าความรู้สึกทางกาย มันมีผลทางอารมณ์และจิตวิญญาณที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น

พระเจ้าได้ทรงประทานความรู้สึกทางด้านคุณธรรมให้กับเรา นั่นก็คือ มโนธรรม บ่อยครั้งที่เรารู้สึกผิดเพราะเรารู้ตัวว่าเราได้กระทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด อย่างไรก็ตาม มโนธรรมของเราผู้เป็นมนุษย์ที่ล้มลงในบาปก็ไม่สมบูรณ์แบบ บางครั้งเรามีประสบการณ์ในความรู้สึกผิดที่ไม่เป็นความจริง คือเรารู้สึกผิดในสิ่งที่ไม่ได้เป็นความผิดของเรา ดังนั้นเราจำเป็นต้องฝึกฝนมโนธรรมของเราผ่านทางพระวจนะคำของพระเจ้า

แต่ในอีกหลาย ๆ ครั้ง เรากลับไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่เราควรจะรู้สึกผิด ซึ่งในกรณีเหล่านี้ เราจำเป็นที่จะต้องให้มโนธรรมของเราถูกปลุกขึ้นมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

ดาวิดมีโอกาสที่จะหนีจากคนที่พยายามจะฆ่า นั่นก็คือ ซาอูล (24:1-4) แต่แทนที่จะใช้โอกาสนั้น ดาวิดกลับเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล เพื่อที่จะเป็นการพิสูจน์ว่าเขานั้นสามารถฆ่าซาอูลได้ถ้าต้องการ

อย่างไรก็ตาม ดาวิด ‘สำนึกผิด เพราะท่านตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล’ (ข้อ 5) เขา ‘รู้สึกผิด’(ข้อ5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาวิดมีจิตสำนึกที่อ่อนไหวและรู้สึกถึงภาระแห่งความรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไปกับผู้ที่ ‘พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’ (ข้อ 6) แต่ท่านก็ยังสามารถประกาศต่อซาอูลว่า 'ขอฝ่าพระบาททรงทราบและทอดพระเนตรเถิดว่า ในมือของข้าพระบาทไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระบาทไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท’ (ข้อ 11ข)

ในช่วงขณะหนึ่ง ซาอูลเองก็มีจิตสำนึกรู้ผิดรู้ชอบ เขาส่งเสียงและร้องไห้ ‘เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า...เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ข้าเองตอบแทนเจ้าด้วยการร้าย’ (ข้อ 16ค-17) ท่ามกลางความอิจฉาริษยาของซาอูล เขาก็มีช่วงเวลาที่คิดได้ถึงความผิดที่แท้จริงของตนเอง

กษัตริย์ดาวิดหลีกเลี่ยงที่จะรับเอาความรู้สึกผิดมาใส่ตัวเอง ดาวิดเกือบจะตามล่านาบาลเพราะการเหยียดหยามที่นาบาลกระทำต่อดาวิดและคนของเขา นางอาบีกายิลมาช่วยเอาไว้ ด้วยทักษะที่เพียบพร้อมและวาทศิลป์ของเธอ เธอนำของกำนัลมาถวายกษัตริย์ดาวิดและพูดว่า ‘ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก' (25:24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

เธอพูดต่อไปว่า ‘...เจ้านายของดิฉัน (กษัตริย์ดาวิด) จะไม่มีเหตุที่เสียใจหรือมีจิตสำนึกที่รู้สึกผิด เพราะการฆ่าด้วยไม่มีสาเหตุ เพราะเจ้านายของดิฉันแก้แค้นด้วยตนเอง (ข้อ 31)

ดาวิดตระหนักได้ว่านางอาบีกายิลได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากภาระแห่งความรู้สึกผิดนี้: ‘ขอให้ความฉลาดของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้ารับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการฆ่า และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง’ (ข้อ 33) ทักษะของอาบีกายิลนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราทุกคนจำเป็นต้องพัฒนา เพราะเป็นการดีที่เราจะพูดด้วยสติปัญญาและวาทศิลป์เมื่อให้คำปรึกษาผู้อื่นถึงสิ่งที่พวกเขาควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจะนำไปสู่ความผิดได้

ดาวิดหลีกเลี่ยงที่จะพิพากษาด้วยมือของตนเอง แล้ว ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย’ (ข้อ 38) เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลตายแล้ว เขากล่าวว่า 'สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง’ (ข้อ 39) ในที่สุดแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ นี้ก็จบลงที่ดาวิดได้อภิเษกสมรสกับแม่ม่ายหมาด ๆ ซึ่งก็คือ นางอาบีกายิล นั่นเอง

ไม่ว่าเราจะมีความรู้สึกควบคู่ไปด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ภาระแห่งความรู้สึกผิดนั้นจริงแท้สำหรับทุกคน พระเยซูทรงวายพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อรับความผิดของเรา

คำอธิษฐาน

ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงแบกรับเอาความผิดของข้าพระองค์ ความกลัวของข้าพระองค์ ความกังวลของข้าพระองค์ และความกระวนกระวายของข้าพระองค์ รวมถึงแบกรับภาระของข้าพระองค์อยู่ทุกวัน

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 ซามูเอล 25:18–19

นี่คือการจัดหาอาหารที่เต็มไปด้วยความเครียดอย่างที่สุด อาบีกายิลและชุมชนของเธออาจจะถูกฆ่าตายหมดถ้าเธอไม่ได้ส่งอาหารได้ภายในเวลา ฉันประทับใจในการบริหารจัดการของอาบีกายิลที่สามารถส่งขนมปังได้ถึง 200 แถว (เป็นการอบที่รวดเร็วมาก), ไวน์, ขนมมะเดื่อ, เมล็ดธัญพืชอบ, เค้กลูกเกด และแกะที่ทำเสร็จแล้ว 5 ตัว! เธอช่วยทุกคนเอาไว้จริง ๆ ปัญหาการจัดหาอาหารของฉันเองนั้นดูเล็กไปเลยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 68:19

‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแบกภาระเพื่อเราอยู่ทุกวัน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม