วัน 148

การตอบสนองต่อความขัดแย้ง

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 13:10-19
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 18:1-24
พันธสัญญาเดิม 1 ซามูเอล 21:1-23:29

เกริ่นนำ

ตัวสปริงบ็อก (ละมั่งแอฟริกา) เป็นกาเซลล์รูปร่างคล้ายกับละมั่ง โดยปกติพวกมันจะตื่นตัวต่อผู้ล่ามาก อย่างไรก็ตามผมจำได้ว่าเคยดูสารคดีสัตว์ป่าของ BBC ที่ถ่ายสปริงบ็อกสองตัวกำลังต่อสู้กันเองในทะเลทรายคาลาฮารี ขณะที่พวกมันเริ่มหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ พวกมันกลับไม่ได้สังเกตเห็นสิงโตเดินด้อม ๆ มองๆ รอบตัวเพื่อรอโอกาสที่จะโจมตีพวกมัน

ขณะที่ผมนั่งชมอยู่ ผมรู้สึกว่านี้คือคำเตือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคริสตจักร เมื่อในคริสตจักรเราต่างต่อสู้กันเอง เรากลายเป็นคนอ่อนแอมากที่จะถูกโจมตี ‘มารดุจสิงโตคำรามเดินวนเวียนเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้’ (1 เปโตร 5:8)

เมื่อพระเจ้าเรียกคุณให้ติดตามพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงเรียกคุณให้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ชีวิตบนแผ่นดินโลกเกี่ยวข้องกับการต่อสู้มากมาย ซึ่งการต่อสู้ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงสัญญาให้มีชัยชนะผ่านพระเยซูคริสต์ จะไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตทางโลกของคุณที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ย่อมมีความท้าทาย ความยากลำบาก และปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่สิ่งเหล่านี้รุนแรงขึ้นและดูเหมือนว่าเรากำลังถูกโจมตี

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง กล่าวว่าการวัดค่าสูงสุดของแต่ละคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจุดที่พวกเขายืนอยู่ใน ‘ช่วงเวลาแห่งความสะดวกสบาย’ แต่เป็น ‘ช่วงเวลาแห่งความท้าทาย ช่วงเวลาแห่งวิกฤตครั้งใหญ่ และความขัดแย้ง

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 13:10-19

10ความโอหังมีแต่ก่อให้เกิดการวิวาท
 แต่ปัญญาอยู่กับผู้ที่รับคำแนะนำ
11ทรัพย์สมบัติที่ได้มาเร็วจะร่อยหรอหมดไป
 แต่คนที่เก็บเล็กผสมน้อยจะมีมากขึ้น
12ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้อ่อนใจ
 แต่การสมปรารถนาเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
13คนที่ดูหมิ่นพระวจนะก็ทำลายตนเอง
 แต่คนที่นับถือพระบัญญัติจะได้รับบำเหน็จ
14คำสอนของคนมีปัญญาเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
 เพื่อให้คนหลีกจากบ่วงมรณาได้
15ความฉลาดทำให้ได้รับความโปรดปราน
 แต่หนทางของคนทรยศนั้นไม่ราบเรียบ
16คนสุขุมทุกคนทำการด้วยความรู้
 แต่คนโง่ย่อมเผยความโง่ของตน
17ผู้สื่อสารอธรรมย่อมนำไปสู่ความลำบาก
 แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้
18ความยากจนและความอัปยศมาถึงคนที่เพิกเฉยต่อคำสั่งสอน
 แต่คนที่สนใจคำตักเตือนจะได้รับเกียรติ
19ความปรารถนาที่กลายเป็นจริงนั้นหวานชื่นแก่วิญญาณ
 แต่การหันจากความชั่วร้ายเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังสำหรับคนโง่

อรรถาธิบาย

หลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทที่ไม่จำเป็น

ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเปรียบเทียบคนมีปัญญา (‘แต่ปัญญาอยู่กับผู้ที่รับคำแนะนำ’ ข้อ 10ข) กับคนโง่ (‘การหันจากความชั่วร้ายเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังสำหรับคนโง่’ ข้อ 19ข) ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่เราจะพบกับความขัดแย้ง ในพระคัมภีร์ข้อนี้เราได้เห็นสองสิ่ง:

  1. การวิวาท
    ‘ความโอหังมีแต่ก่อให้เกิดการวิวาท’ (ข้อ 10ก) ประสบการณ์ชีวิตที่น่าบั่นทอนจิตใจที่สุดอย่างหนึ่งคือการวิวาทกัน ไม่ว่าจะในการแต่งงาน ในหมู่เพื่อนฝูง กับเพื่อนร่วมงาน หรือในคริสตจักร ที่นี่เราจะเห็นว่าสาเหตุหนึ่งของการทะเลาะวิวาทสามารถเกิดจากความเย่อหยิ่ง หากคุณเต็มใจยอมรับความผิดและพลาดไปด้วยใจถ่อม คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้มากมาย

กุญแจสำคัญอีกประการหนึ่งคือการตั้งใจรับซึ่งฟังกันและกัน ‘ความหยิ่งจองหองทำให้เกิดความบาดหมางกัน แต่ชายหญิงที่ฉลาดฟังคำแนะนำของกันและกัน’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

  1. ความผิดหวัง ‘ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้อ่อนใจ’ (ข้อ 12ก) หรือในพระคัมภีร์ฉบับ The Message เขียนไว้ว่า ‘ความผิดหวังอย่างไม่ลดละทำให้คุณใจสลาย’

เป็นการโจมตีอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสะอิดสะเอียน เมื่อนิมิตที่เรามีสำหรับบางสิ่งบางอย่างถูกระงับหรือแผนของเราล่าช้าเนื่องจากการโจมตีหรือความล้มเหลว ทั้งความผิดหวังยังทำให้หัวใจอ่อนแอ เราต้องต่อสู้กับแผนงานต่าง ๆ ของเราและสถานการณ์ของเราเอง

ในทางกลับกัน ไม่มีอะไรน่าพอใจมากไปกว่าความพากเพียรอดทนและได้เห็นนิมิตบางส่วนของคุณสำเร็จ ‘แต่การสมปรารถนาเป็นต้นไม้แห่งชีวิต’ (ข้อ 12ก) ‘ความปรารถนาที่กลายเป็นจริงนั้นหวานชื่นแก่จิตวิญญาณ’ (ข้อ 19ก)

ท่ามกลางความขัดแย้งของชีวิต ยังมีช่วงเวลาแห่งความสุข ความสมหวัง และความพึงพอใจ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ท่ามกลางความท้าทาย โปรดช่วยข้าพระองค์ให้วิ่งแข่งด้วยความพากเพียรโดยที่สายตาของข้าพระองค์จับจ้องอยู่ที่พระเยซู (ฮีบรู 12:1–3)
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 18:1-24

การทรยศและการจับกุมพระเยซู

 1เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปกับพวกสาวกของพระองค์ ข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับพวกสาวก 2ยูดาสคนที่จะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับพวกสาวกเคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ 3ยูดาสนำพวกทหารโรมันกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี พวกเขาถือโคมถือไต้และอาวุธไปที่นั่นด้วย 4พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า “พวกท่านมาหาใคร?” 5เขาทูลตอบพระองค์ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นผู้นั้น” ยูดาสคนที่ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้น 6เมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นผู้นั้น” เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน 7พระองค์ตรัสถามเขาอีกว่า “พวกท่านมาหาใคร?” เขาทูลตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” 8พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” 9ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว” 10ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูข้างขวาขาด ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส 11พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยที่พระบิดาประทานแก่เราหรือ?”

พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต

 12พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้ 13แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น 14คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน

เปโตรปฏิเสธพระเยซู

 15ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งติดตามพระเยซูไป แต่เพราะสาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงเข้าไปกับพระเยซูจนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต 16แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกับมหาปุโรหิตจึงออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูแล้วพาเปโตรเข้าไป 17ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูถามเปโตรว่า “ท่านก็เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เขาตอบว่า “ไม่ใช่” 18พวกทาสกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย

มหาปุโรหิตสอบสวนพระเยซู

 19มหาปุโรหิตก็ถามพระเยซูถึงพวกสาวกของพระองค์และคำสอนของพระองค์ 20พระเยซูตรัสตอบท่านว่า “เรากล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและในบริเวณพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆ เลย 21ท่านถามเราทำไม? จงถามคนที่ฟังเราว่า เราพูดอะไรกับพวกเขา เขารู้ว่าเราสอนอะไร” 22เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นก็ตบพระพักตร์พระเยซูแล้วพูดว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ?” 23พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม?” 24อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสมหาปุโรหิต

อรรถาธิบาย

วางใจในพระเจ้าว่าพระองค์จะนำการดีออกจากการร้าย

บางครั้งเมื่อความขัดแย้งเข้ามาในชีวิตเรา เราก็มักจะโทษตัวเองเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป การโจมตีพระเยซูไม่ได้เกิดขึ้นจากบาปหรือความล้มเหลวของพระองค์เอง แต่เป็นผลจากการกระทำผิดของผู้อื่น ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ทรงใช้ให้เกิดผลดี (ข้อ 14)

บัดนี้พระเยซูทรงเสด็จมายังโลกแห่งความขัดแย้ง ทรงอธิษฐานขอความเป็นหนึ่งเดียว พระเยซูถูกจับและพิพากษาประหารชีวิต ทรงรู้สึกโดดเดี่ยวและแตกสลาย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา พระองค์สละชีวิตของพระองค์เพื่อจะให้ชีวิต

  1. การทรยศ
    นี่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตของพระเยซู ยูดาส สหายและสาวกของพระองค์ ซึ่งใช้ทรงเวลากับเขาสามปี ยูดาสเป็นคนที่นำกองทหารและเจ้าหน้าที่บางคนจากหัวหน้าปุโรหิต และพวกฟาริสีมาจับกุมพระเยซู (ข้อ 1–3)

ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปกว่าการจู่โจมจากเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงาน การตอบสนองที่น่ายกย่องของพระเยซูนั้นเป็นแบบอย่างที่ดี พระเยซูสงบ ทรงปฏิเสธความรุนแรง และควบคุมตนเองได้อย่างดีเลิศ (ข้อ 4–12)

เพื่อปกป้องสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารติดอาวุธที่มีอำนาจที่ยูดาสเป็นฝ่ายพามา พระเยซูยับยั้งความพยายามของเปโตรที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องพระองค์ พระองค์ไม่ต้องการที่จะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งโดยใช้วิธีการของโลก

  1. การกดขี่ข่มเหง
    ผู้มีอำนาจที่ควรจะปกป้องผู้บริสุทธิ์กลับเข้าร่วมการต่อต้านพระเยซู พวกเขาจับพระเยซู ‘จับพระเยซูมัด’ (ข้อ 12) พวกเขาพาพระเยซูไปหาอันนาสก่อนแล้วจึงไปหาคายาฟาส ขณะยืนอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิตทั้งที่ยังถูกมัดอยู่ พระเยซูทรงถูกตบพระพักตร์ (ข้อ 12–14,19–24)

หากพระเยซูได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ไม่แปลกถ้าเราเองก็ถูกโจมตีจากผู้มีอำนาจในบางครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อหรือทางโลกก็ตาม

  1. การปฏิเสธ
    การปฏิเสธของเปโตรไม่ได้มาจากจิตใจที่ชั่วร้าย แต่มาจากความอ่อนแอของมนุษย์เท่านั้น เมื่อถูกถามว่าเปโตรเป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูหรือไม่ เขาตอบว่า 'ไม่ใช่' (ข้อ 17)

ผมเข้าใจดีว่าทำไมเปโตรถึงตกอยู่ในสถาพที่ต้องปฏิเสธพระเยซูทั้งๆ ที่เขามีความตั้งใจดี เพราะบางครั้งผมได้พูดหรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่มองย้อนกลับไปแล้วก็ดูเป็นคนขี้ขลาดมาก

ความเป็นจริงคือพระเยซูทรงควบคุมสถานการณ์ได้ พระองค์ ‘ทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์’ (ข้อ 4) พระองค์ทำให้คำอธิษฐานของพระองค์เองสำเร็จในบทที่แล้ว (ข้อ 9, 17:12) พระเยซูเสด็จไปสิ้นพระชนม์เพื่อ ‘ดื่มถ้วยที่พระบิดาประทาน’ แก่พระองค์ ทรงชดใช้ความบาปและความผิดของเรา (18:11)

พระองค์จ่ายราคาแทนความบาปของเรา: ‘ควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน’ (ข้อ 14) การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเกิดขึ้นแทนเปโตรและเราแต่ละคน พระองค์เผชิญกับการโจมตีจากความตายและการพิพากษาเพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเผชิญ พระเยซูยอมให้ตัวเองถูกผูกมัด (ข้อ 12, 24) เพื่อที่คุณจะได้ถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดประทานความกล้าหาญและสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ให้รู้วิธีตอบโต้อย่างมีศักดิ์ศรีและสง่างามเมื่อข้าพระองค์ถูกโจมตี โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าวางใจว่าในทุกสิ่งที่พระองค์ทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของบรรดาผู้ที่รักพระองค์และทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ (โรม 8:28)
พันธสัญญาเดิม

1 ซามูเอล 21:1-23:29

ดาวิดกับขนมปังบริสุทธิ์

 1แล้วดาวิดก็มาที่เมืองโนบไปหาอาหิเมเลคปุโรหิต และอาหิเมเลคตัวสั่นมาหาดาวิดพูดกับท่านว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีใครมากับท่าน” 2ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “พระราชาทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง ทรงรับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า ‘อย่าให้ใครรู้อะไรถึงเรื่องที่เราใช้เจ้าไปทำนั้น และด้วยเรื่องซึ่งเราได้บัญชาเจ้านั้น’ ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง 3เวลานี้ท่านมีอะไรอยู่บ้าง ให้ขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรที่ท่านหาได้” 4ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่พวกคนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาก็แล้วกัน” 5และดาวิดตอบปุโรหิตว่า “ที่จริงเมื่อพวกเราออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากพวกเราภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากเราสามวันแล้วเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ข้าพเจ้าออกไป แม้การเดินทางธรรมดา กายของพวกคนหนุ่มก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของพวกเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า” 6ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังบริสุทธิ์ให้แก่ดาวิด เพราะที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งเก็บมาจากเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
 7ในวันนั้นมีชายที่เป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของซาอูลอยู่ที่นั่น ถูกจำกัดให้เฝ้าพระยาห์เวห์อยู่ เขาชื่อโดเอก คนเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล 8และดาวิดพูดกับอาหิเมเลคว่า “ที่นี่ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ? ด้วยข้าพเจ้าไม่ได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของพระราชาเป็นเรื่องด่วน” 9ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า “ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูสิ ยังถูกผ้าห่ออยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านจะเอาดาบนั้น จงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนี้แล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก” และดาวิดพูดว่า “ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว เอาให้ข้าพเจ้าเถิด”

ดาวิดหนีไปเมืองกัท

 10และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้น หนีจากซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์เมืองกัท 11และพวกมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น? พวกเขาไม่ได้ร้องเพลงและเต้นรำหรือว่า

‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
  และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’? ”

 12และดาวิดก็เก็บถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์เมืองกัทยิ่งนัก 13ท่านจึงเปลี่ยนอากัปกิริยาต่อหน้าพวกเขา และทำตนเป็นคนบ้าสดด.34เมื่ออยู่ในอำนาจของพวกเขา เที่ยวกาไว้ที่ประตูรั้ว และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา 14อาคีชจึงรับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “นี่แน่ะ พวกเจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วพวกเจ้าพาเขามาหาเราทำไม? 15เราขาดคนบ้าหรือ? เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าต่อหน้าเรา คนอย่างนี้ควรเข้ามาในวังของเราหรือ?”

1 ซามูเอล 22

ดาวิดกับผู้ติดตามที่อดุลลัม

 1ดาวิดก็ไปจากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพวกพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านทั้งสิ้นได้ยินเรื่องพวกเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น 2นอกนั้นทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่พอใจก็รวมกันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของพวกเขา มีคนมาอยู่กับท่านประมาณ 400 คน 3ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในโมอับ และท่านทูลพระราชาแห่งโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้าออกมาอยู่กับพวกพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า” 4และท่านก็นำบิดามารดามาฝากไว้กับพระราชาแห่งโมอับ และพวกท่านก็อาศัยอยู่กับพระราชาตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง 5แล้วผู้เผยพระวจนะกาดพูดกับดาวิดว่า “ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงเข้าไปในแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท

ซาอูลทรงประหารปุโรหิตเมืองโนบ

 6ซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและพวกที่อยู่กับท่าน เวลานั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอก ณ ที่เนินสูง ทรงถือหอกอยู่และพวกมหาดเล็กของพระองค์ก็ยืนอยู่รอบพระองค์ 7และซาอูลตรัสกับพวกมหาดเล็กที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า “พวกเจ้าพงศ์พันธุ์เบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่พวกเจ้าทั้งหลายหรือ? จะตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ? 8พวกเจ้าทั้งหมดคิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธสัญญากับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีใครในพวกเจ้าร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้” 9โดเอกคนเอโดมหัวหน้าพวกมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลตอบว่า “ข้าพระบาทเห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบ มาหาอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ 10แล้วเขาก็ทูลถามพระยาห์เวห์ให้ท่าน และให้เสบียงอาหาร และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่ท่านไป”
 11แล้วพระราชาก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรอาหิทูบ และพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้น ที่เป็นพวกปุโรหิตที่อยู่เมืองโนบ ทุกคนก็มาหาพระราชา 12และซาอูลตรัสว่า “บุตรอาหิทูบเอ๋ย จงฟังเถิด” เขาทูลตอบว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทอยู่ที่นี่” 13และซาอูลตรัสแก่เขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าให้ขนมปังและดาบแก่เขา และทูลถามพระเจ้าให้เขา? เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้” 14และอาหิเมเลคทูลตอบพระราชาว่า “ในบรรดาข้าราชการของฝ่าพระบาท มีใครเล่าที่จะซื่อสัตย์อย่างดาวิด ราชบุตรเขยของพระราชาผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของฝ่าพระบาท? 15วันนั้นข้าพระบาททูลขอพระเจ้าครั้งแรกเพื่อเขาจริงหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ขอพระราชาอย่าทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาของข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้เลยไม่ว่ามากหรือน้อย” 16พระราชาตรัสว่า “อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาเจ้าด้วย” 17และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์เสีย เพราะว่ามือของพวกเขาอยู่กับดาวิด และเพราะพวกเขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่พวกข้าราชการของพระราชาไม่ยอมลงมือฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ 18แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงหันไปฆ่าปุโรหิตเหล่านั้น” โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าชายที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย 85 คน 19และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะด้วยคมดาบ
 20แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ ชื่ออาบียาธาร์รอดพ้นและหนีตามดาวิดไป 21อาบียาธาร์ก็บอกดาวิดว่าซาอูลประหารพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ 22ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ว่า “ในวันนั้นเมื่อโดเอกคนเอโดมอยู่ที่นั่น เรารู้แล้วว่า เขาจะทูลซาอูลแน่ เราเองเป็นเหตุแห่งความตายของทุกคนในพงศ์พันธุ์บิดาท่าน 23จงอยู่กับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะผู้ที่แสวงหาชีวิตของเราก็แสวงหาชีวิตของท่านด้วย แต่ท่านจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเรา”

1 ซามูเอล 23

ดาวิดช่วยกู้เมืองเคอีลาห์

 1พวกเขาบอกดาวิดว่า “ดูสิ พวกฟีลิสเตียกำลังรบเมืองเคอีลาห์อยู่และปล้นเอาข้าวที่ลาน” 2ดาวิดจึงทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่?” และพระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า “จงไปต่อสู้พวกฟีลิสเตียและช่วยกู้เมืองเคอีลาห์ไว้” 3แต่พวกของดาวิดเรียนท่านว่า “ดูสิ พวกเราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าพวกเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับกองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัวมากขึ้นเท่าใด?” 4แล้วดาวิดก็ทูลถามพระยาห์เวห์อีก และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า “จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบพวกฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า” 5และดาวิดกับพวกของท่านก็ไปยังเคอีลาห์ต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย นำเอาฝูงปศุสัตว์ของพวกเขาไป และทำให้พวกเขาสูญเสียมาก ดังนั้นดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้
 6เมื่ออาบียาธาร์บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย 7มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า “พระเจ้าทรงมอบแปลได้อีกว่า ละทิ้งเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะเขาขังตัวเอง เมื่อเขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล” 8และซาอูลทรงให้เรียกทหารทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับพวกของท่านไว้ 9ดาวิดทราบว่าซาอูลทรงวางแผนทำร้ายท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “จงนำเอโฟดมาที่นี่เถิด” 10ดาวิดกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่าซาอูลทรงหาช่องทางที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือท่านหรือ? ซาอูลจะเสด็จลงมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ? ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด” และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เขาจะลงมา” 12แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า “ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และพวกของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ?” และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “พวกเขาจะมอบ” 13แล้วดาวิดกับพวกของท่านซึ่งมีประมาณ 600 คน ก็ลุกขึ้นไปจากเคอีลาห์และพวกเขาก็ไปตามที่ๆ เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม 14และดาวิดก็อยู่ตามที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร และอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดารศิฟ และซาอูลก็ทรงแสวงหาท่านทุกวัน แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบท่านไว้ในมือของซาอูล
 15และดาวิดเห็นว่าซาอูลเสด็จออกมาเพื่อฆ่าท่าน ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารศิฟที่โฮเรช 16และโยนาธานราชบุตรของซาอูลลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17โยนาธานพูดกับท่านว่า “อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาท่านไม่พบ ท่านจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นที่สองรองจากท่าน ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย” 18และทั้งสองก็ทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง
 19ชาวศิฟขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า “ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาทสดด.54 ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนไม่ใช่หรือ? 20ข้าแต่พระราชา เมื่อใดที่ปรารถนาเสด็จลงไป ขอเสด็จลงไป ส่วนพวกข้าพระบาทจะมอบเขาไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” 21และซาอูลตรัสว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านปรานีเรา 22ขอจงไปหาดูให้แน่นอนยิ่งขึ้น เกี่ยวกับที่ๆ เขาอยู่ ใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง? เพราะมีคนบอกข้าว่า เขาเจ้าเล่ห์จริงๆ 23จงดูให้รู้ที่ซุ่มทั้งหมดที่เขาซ่อนตัวที่นั่นและกลับมาหาเราด้วยข้อความที่แน่นอน แล้วเราจะไปกับพวกท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแดนนั้น เราจะค้นหาเขาในตระกูลยูดาห์ทั้งหมด” 24พวกเขาก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล
 ดาวิดกับพวกของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ใต้เยชิโมน 25ซาอูลกับพวกของพระองค์ก็ค้นหาท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลาและอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบก็ทรงติดตามดาวิดไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน 26ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง ดาวิดกับพวกของท่านอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดก็รีบหนีไปจากซาอูล เพราะซาอูลกับพวกของพระองค์ล้อมเข้ามาใกล้ดาวิดกับพวกของท่านเพื่อจะจับ 27แต่มีผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลว่า “ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตียมาปล้นแผ่นดิน” 28ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับพวกฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย 29ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นไปอาศัยในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี

อรรถาธิบาย

หนุนใจกันและกัน

นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งที่รุนแรงสำหรับดาวิด

ความริษยาอย่างที่เราเห็นจากซาอูล ดูเหมือนจะไม่ลดละเมื่อถูกครอบงำ ทำให้ซาอูลทำความชั่วอย่างเลือดเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ซาอูลไม่ได้คิดเรื่องอื่นนอกจากที่จะทำลายเมืองที่เต็มไปด้วยปุโรหิต (22:19)

ดาวิดต้องใช้อุบายทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ดาวิดกินขนมปังบริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์ (21:1–9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แสร้งทำเป็นบ้า (ข้อ 13) และรวบรวมกลุ่มคนพ่ายแพ้และคนเร่ร่อนและไม่พอใจต่าง ๆ นานา (22:1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่ในข้อนี้เราเห็นคุณลักษณะของดาวิดที่ปรากฏขึ้นแม้ในขณะที่เขาถูกโจมตี

  1. ความภักดี
    ดาวิดมีชื่อเสียงในด้านความภักดี (ข้อ 14) และเป็นที่นับถืออย่างสูง ดาวิดและโยนาธานภักดีต่อกันอย่างยิ่ง ‘และโยนาธานราชบุตรของซาอูลลุกขึ้นไปหาดาวิดที่โฮเรช และทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า’ (23:16)

โยนาธานรู้ว่าตนเองสามารถเป็นทายาทในราชบัลลังก์ แต่ทัศนคติของโยนาธานที่มีต่อดาวิดนั้นไม่ธรรมดา: ‘ท่านจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นที่สองรองจากท่าน’ (ข้อ 17) ทั้งสองต่างผูกพันกันอย่างมาก ‘และทั้งสองก็ทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์’ (ข้อ 18)

ไม่มีอะไรที่ช่วยในยามขัดแย้งได้มากไปกว่าความภักดีของเพื่อนและครอบครัวของเรา พวกเขาสามารถช่วยคุณในยามยาก และเมื่อเพื่อนหรือครอบครัวของคุณถูกโจมตี คุณสามารถช่วยพวกเขาด้วยความภักดีและการสนับสนุนเพื่อให้มีกำลังในพระเจ้า

  1. อธิษฐาน
    เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในชีวิตคุณจะเข้าหาสิ่งไหนเป็นอย่างแรก? ตามที่ จอยซ์ ไมเยอร์ กล่าวไว้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นคุณจะ ‘วิ่งไปหยิบโทรศัพท์’ หรือ ‘วิ่งไปที่บัลลังก์’? ดาวิดได้เรียนรู้ในช่วงนี้ของชีวิตถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการทูลถามพระเจ้าก่อนตัดสินใจ เมื่อเขาถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ‘ดาวิดไปอธิษฐานต่อพระเจ้า’ (ข้อ 2, 4 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดังนั้นการโจมตีสามารถดึงคุณให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น

โศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือแทนที่จะต่อสู้กับศัตรูที่แท้จริง (ข้อ 27) ผู้คนของพระเจ้าก็ต่อสู้กันเอง เช่นเดียวกับสปริงบอกส์สองตัวนั้น สิ่งนี้ทำให้ชาวฟีลิสเตียมีโอกาสโจมตี ทุกวันนี้คริสตจักรกำลังตกอยู่ในอันตรายจากการต่อสู้กันเอง

พระเจ้าสามารถเอาบางสิ่งที่ซาตานจงใจให้เกิดการร้ายและความแตกแยกและเปลี่ยนมันเป็นสิ่งที่ดี พระเจ้าใช้การโจมตีของชาวฟีลิสเตียเพื่อช่วยดาวิด ‘ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับพวกฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย’ คงจะวิเศษมากหากคริสตจักรจะยุติการต่อสู้กันเองและเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริงที่มาคุกคามเพื่อจะทำลายโลกของเรา เช่น ความอยุติธรรม การค้ามนุษย์ โรคภัย และความยากจน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยให้เรามีความภักดีต่อกัน หยุดการทะเลาะวิวาทกันในคริสตจักร และร่วมใจกันเผชิญการจู่โจมที่แท้จริงจากภายนอก

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 13:12

‘ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้อ่อนใจ แต่การสมปรารถนาเป็นต้นไม้แห่งชีวิต’

ความผิดหวังทำให้คุณป่วยได้จริง ๆ ถ้าคุณปล่อยให้มันเปื่อยเน่า มันจะกัดกินคุณ ฉันไม่แน่ใจว่าคำตอบคืออะไรนอกจากนำไปทูลต่อพระเจ้า พยายามปล่อยวางและวางใจในพระเจ้า…ซึ่งมันไม่ง่ายเลย

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 13:10

‘ความโอหังมีแต่ก่อให้เกิดการวิวาท แต่ปัญญาอยู่กับผู้ที่รับคำแนะนำ’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม