พลังของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เกริ่นนำ
คนจำนวน 56,000 คน ในค่ายกักกันบูเชนวัลด์ถูกสังหารโดยระบอบเผด็จการที่มองว่าความเชื่อของคริสเตียนเป็นภัยคุกคามต่ออุดมการณ์ ห้องขังหนึ่งช่วงในค่าย สงวนไว้สำหรับนักโทษที่ถือว่าอันตราย หรือบุคคลสำคัญ พอล ชไนเดอร์ ศิษยาภิบาลนิกายลูเธอแรนที่ถูกเรียกว่า ‘นักเทศน์แห่งบูเชนวัลด์’ ถูกขังในห้องนี้ เพราะแม้แต่หน้าต่างเล็ก ๆ ในห้องขังของเขา เขาก็ประกาศพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วยเสียงดัง เพื่อต่อต้านคำสั่งของกลุ่มตำรวจลับเกสตาโป
อ็อตโต นอยเรอร์ นักบวชคาทอลิกที่ทำงานในนามของชาวยิวและคนอื่น ๆ ที่เรียกว่า ‘สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา’ ทำให้เขากลายเป็นภัยคุกคามต่อผู้นำนาซีก็ถูกขังอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน เขาได้ปรนนิบัติในพระนามของพระเยซูแก่เพื่อนร่วมห้องขังในค่ายกักกันจนกระทั่งเขาถูกตรึงกลับหัว
ในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้ชายสองคนนี้ซึ่งคนหนึ่งเป็นคาทอลิกและอีกคนหนึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ เป็นพยานร่วมกันถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมีพลังมาก
สดุดี 68:7-14
7ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จนำหน้าประชากรของพระองค์
เมื่อพระองค์เสด็จไปตามที่แห้งแล้ง
8แผ่นดินโลกก็สั่นไหว ท้องฟ้าก็เทฝนลงมา
ต่อพระพักตร์พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งภูเขาซีนาย
ต่อพระพักตร์พระเจ้า คือพระเจ้าของอิสราเอล
9ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเทฝนลงมามากมาย
vเมื่อมรดกของพระองค์อ่อนล้า พระองค์ทรงฟื้นมันขึ้นมาใหม่
10ประชากรของพระองค์ก็มาอาศัยในนั้น
ข้าแต่พระเจ้า โดยความดีของพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่คนยากจน
11องค์เจ้านายประทานถ้อยคำ
พวกผู้หญิงที่ประกาศข่าวดีก็เป็นกลุ่มใหญ่
12ประกาศว่า “บรรดาพระราชาของกองทัพทั้งหลาย พวกเขาหนีไป พวกเขาหนีไป”
ผู้หญิงที่อยู่บ้านก็แบ่งของริบกัน
13เเม้พวกท่านนอนอยู่ท่ามกลางคอกแกะ
ปีกนกพิราบก็อาบเงิน
และปีกของมันอาบด้วยทองเนื้อดี
14เมื่อองค์ผู้ทรงฤทธิ์ทรงกระจายพระราชา ณ ที่นั่น
หิมะก็ตกลงบนภูเขาศัลโมน
อรรถาธิบาย
ผู้คนและดินแดน
ดาวิดนึกถึงการอพยพ ภูเขาซีนาย และการพิชิตคานาอัน สิ่งเหล่านี้เป็นจุดสูงในประวัติศาสตร์ของผู้คนของพระเจ้าเมื่อพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง
พระคัมภีร์ข้อนี้เกี่ยวกับการตระหนักว่าพระพรและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาจากพระเจ้า เป็นบทเพลงสดุดีขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทำ เป็นการเฉลิมฉลองความเป็นผู้นำ (ข้อ 7) ฤทธิ์อำนาจและการจัดเตรียมของพระองค์ (ข้อ 8–9) ทรงมีพระทัยกว้างขวางและความยุติธรรม (ข้อ 10) และชัยชนะของพระองค์ (ข้อ 11–14)
พระเจ้าทรงนำประชากรไปยังดินแดนที่ทรงสัญญาไว้ ทว่าในวันนี้ ในพื้นที่เดียวกันนี้ ความท้าทายของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นยิ่งใหญ่ การค้นหาสันติภาพในตะวันออกกลางยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกของเราเผชิญอยู่
คำอธิษฐาน
ยอห์น 17:6-26
6“ข้าพระองค์สำแดงพระนามของพระองค์ แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์ และเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว 7บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์ 8เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ให้พวกเขาแล้วและเขารับไว้ และรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 9ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์ 10ทุกคนที่เป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกคนที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้รับเกียรติในตัวพวกเขา 11บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์ 12เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับพวกเขา ข้าพระองค์ก็พิทักษ์รักษาเขา ผู้ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ปกป้องพวกเขาไว้ และไม่มีใครในพวกเขาพินาศนอกจากลูกแห่งความพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ 13แต่บัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อให้เขาได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม 14ข้าพระองค์มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่พวกเขาแล้ว และโลกนี้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก 15ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย 16พวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก 17ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง 18พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น 19ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง
20“ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา 21เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 22เกียรติซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์มอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์กับข้าพระองค์ 23ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ 24ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อพวกเขาจะได้เห็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก 25ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา 26ข้าพระองค์ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในเขา และข้าพระองค์อยู่ในเขา”
อรรถาธิบาย
คริสตจักรและโลก
ในพระกิตติคุณ เรามักอ่านเกี่ยวกับชีวิตการอธิษฐานของพระเยซู แต่เฉพาะบางครั้งเท่านั้นที่เราจะได้รับรู้ถึงสิ่งที่พระองค์อธิษฐาน ในคำอธิษฐานอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกไปเผชิญหน้าไม้กางเขน เราเห็นความสำคัญของพระองค์
พระเยซูไม่เพียงอธิษฐานเพื่อสาวกของพระองค์เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในอนาคตด้วย กล่าวคือ พระองค์อธิษฐานเพื่อทั้งคริสตจักร ซึ่งรวมถึงคุณและผมด้วย (ข้อ 20)
คำอธิษฐานนี้เป็นหัวข้อของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระเยซูไม่เพียงอธิษฐานเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่สาวกของพระองค์ (ข้อ 11) แต่สำหรับคริสตจักรด้วย (ข้อ 20) พระองค์ทรงอธิษฐานขอความเป็นหนึ่งเดียวเช่นเดียวกับที่รวมเข้าไว้ซึ่งตรีเอกานุภาพ: ‘เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียว ดังที่เราเป็นหนึ่งเดียว’ (ข้อ 1,’ พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
- แรงจูงใจเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู
พระเยซูทรงอธิษฐานขอความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์เพื่อโลกจะได้เชื่อ (ข้อ 23) และรู้จักความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า (ข้อ 21, 24) อุปสรรคสำคัญที่สุดประการหนึ่งของความเชื่อคือการแตกแยกในคริสตจักร ในด้านการเมือง ทันทีที่พรรคการเมืองแตกแยก พรรคนั้นก็สูญเสียความนิยม มันเกิดขึ้นในโลกและเกิดมากยิ่งขึ้นในคริสตจักร พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทรงปกป้องเหล่าสาวกและรักษาพวกเขาให้ปลอดภัย ‘เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียว’ (ข้อ 12) ตอนนี้เขาอธิษฐาน ‘แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย’ (ข้อ 15) ที่จะหาทางแยกพวกเขา
เมื่อคริสตจักรทะเลาะกัน ผู้คนก็หมดความสนใจ ตรงกันข้าม เมื่อคริสตจักรรวมกันเป็นหนึ่งเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจมาก เป็นแหล่งแห่งความสุข สาวกของพระเยซูไม่ควรมีความขมขื่น พระเยซูทรงอธิษฐาน ‘เพื่อให้เขาได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม’ (ข้อ 13) ความสุขมาจากความเป็นหนึ่งเดียว ความแตกแยกเป็นผู้ขโมยความสุข ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวนั้นมีพลัง
- หนทางแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซู
พระเยซูอธิษฐานเพื่อความบริสุทธิ์ของคุณ พระเยซูทรงอธิษฐานว่า ‘ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง’ (ข้อ 17) ความบริสุทธิ์มาจากความจริง ความจริงมีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการซึมซับพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ความบริสุทธิ์มาเมื่อคุณต้อนรับองค์บริสุทธิ์ คือรับพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในคุณ
พระเยซูทรงอธิษฐานว่า ‘ข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในเขา’ (ข้อ 26) นี่คือความจริงที่วิเศษที่สุดของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ว่าพระเยซูเสด็จมาอยู่ในคุณโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันทรงสถิตอยู่ในคริสเตียนทุกคน ไม่ว่าคริสตจักรใดหรือนิกายใดก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์รวมเราเข้าด้วยกัน
เครื่องหมายแห่งความเป็นหนึ่งเดียวคือความรักของพระเยซู พระเยซูทรงอธิษฐานว่า ‘เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในเขา’ (ข้อ 26) คุณมีความรักใดที่สูงกว่าความรักที่พระเจ้าพระบิดามีต่อพระเยซูพระบุตรของพระองค์หรือไม่? คำอธิษฐานของพระเยซูเพื่อคุณคือให้คุณมีความรักเช่นเดียวกับพระเจ้าเหมือนพระบิดามีต่อพระเยซูในหัวใจของคุณ เพื่อให้คุณมีความรักแบบนี้ต่อคริสเตียนคนอื่น ๆ และคนอื่น ๆในพระกายของพระคริสต์
การวัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันคือการมองเห็นพระเยซู
บางครั้งผู้คนพูดถึง ‘ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่มองไม่เห็น’ แต่พระเยซูไม่ได้อธิษฐานขอความเป็นหนึ่งเดียวที่มองไม่เห็น พระองค์ไม่ได้อธิษฐานขอให้เรา ‘เกือบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ พระองค์ทรงอธิษฐานขอให้พวกเขา ‘เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา’ (ข้อ 23) พระองค์ต้องการให้คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์และมองเห็นชัดเจน
สักวันหนึ่งมันจะเป็นเช่นนั้น (เอเฟซัส 1:9–11) ในระหว่างนี้ เมื่อเราสร้างสะพาน ทำงานร่วมกันและร่วมกับคริสเตียนคนอื่น ๆ จากส่วนต่าง ๆ ของคริสตจักร เมื่อจิตใจและความคิดเชื่อมสัมพันธ์กับพระเยซู เราจะเห็นสัญญาณที่มองเห็นได้ของความเป็นหนึ่งเดียวที่มองไม่เห็นของเรา เช่นเดียวกับในค่ายกักกันบูเชนวัลด์
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 19:1-20:42
โยนาธานทรงขอร้องเพื่อดาวิด
1ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตรและกับบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ ให้ฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลพอพระทัยในดาวิดมาก 2และโยนาธานตรัสกับดาวิดว่า “ซาอูลเสด็จพ่อของฉันหาช่องจะฆ่าท่าน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้า ขอจงระวังให้ดี จงอยู่ในที่ลับ ซ่อนตัวไว้ 3และฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อในทุ่งนาที่ท่านอยู่ และฉันจะทูลเสด็จพ่อด้วยเรื่องของท่าน ถ้าฉันรู้เรื่องอะไร จะบอกให้ท่านทราบ” 4โยนาธานทรงกล่าวชมดาวิดต่อซาอูลราชบิดาทูลว่า “ขอพระราชาอย่าทรงทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เพราะดาวิดไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท และการงานของเขาเพื่อฝ่าพระบาทก็ดียิ่งนัก 5เพราะเขาเสี่ยงชีวิตของตน และฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น และพระยาห์เวห์ประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สู่อิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาททรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ทำไมฝ่าพระบาทจะทรงทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด โดยฆ่าดาวิดเสียอย่างไร้สาเหตุ?” 6ซาอูลก็ทรงฟังเสียงของโยนาธาน และซาอูลปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดาวิดจะไม่ถูกฆ่า” 7และโยนาธานก็ทรงเรียกดาวิด ทรงเล่าถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดให้เขาฟัง ทรงนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และดาวิดได้อยู่กับซาอูลอย่างแต่ก่อน
มีคาลช่วยดาวิดหนีจากซาอูล
8สงครามเกิดขึ้นอีก ดาวิดก็ออกไปต่อสู้กับพวกฟีลิสเตีย และฆ่าฟันพวกเขาจำนวนมาก พวกเขาจึงหนีไปเสียจากดาวิด 9ต่อมาวิญญาณชั่วจากพระยาห์เวห์ก็มาเหนือซาอูล เมื่อพระองค์ประทับในนิเวศของพระองค์ ทรงมีหอกในพระหัตถ์ และดาวิดกำลังดีดพิณถวาย 10และซาอูลทรงพยายามพุ่งหอกหมายปักดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่เขาก็หลบหนีซาอูลไป ซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง และดาวิดก็หลบหนีรอดไปได้ในคืนนั้น
11ซาอูลทรงใช้พวกผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเขา และเพื่อจะฆ่าเขาเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกให้ดาวิดรู้ว่า “ถ้าคืนนี้เธอไม่หนีเอาตัวรอด พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย” 12มีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และเขาก็หนีรอดไป 13มีคาลเอารูปเคารพมาวางไว้บนเตียงนอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะ เอาผ้าห่มคลุมไว้ 14เมื่อซาอูลส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า “เขาไม่สบาย” 15แล้วซาอูลส่งพวกผู้สื่อสารนั้นไปดูดาวิด บัญชาว่า “จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย” 16เมื่อพวกผู้สื่อสารเข้ามา นี่แน่ะ รูปเคารพก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่ศีรษะ 17ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า “ทำไมเจ้าจึงหลอกลวงข้าอย่างนี้และปล่อยศัตรูของข้าไปเสีย เขาจึงหนีไป?” และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า “เขาพูดกับหม่อมฉันว่า ‘ปล่อยฉันไป จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า?’ ”
18ดาวิดก็หนีรอดไป เขามาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ และเล่าทุกสิ่งที่ซาอูลได้ทรงทำต่อเขาให้ซามูเอลฟัง เขาและซามูเอลก็ไปอยู่ที่นาโยท 19มีคนไปทูลซาอูลว่า “ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์” 20ซาอูลก็ทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับพวกผู้สื่อสารของซาอูล และพวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย 21เมื่อมีคนไปทูลซาอูล พระองค์ก็ทรงส่งพวกผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นก็เผยพระวจนะด้วย ซาอูลทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปอีกครั้งที่สาม พวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย 22ซาอูลก็เสด็จไปที่รามาห์เอง มาถึงบ่อน้ำใหญ่ที่ในเมืองเสคู และรับสั่งถามว่า “ซามูเอลกับดาวิดอยู่ที่ไหน?” มีคนทูลว่า “ดูเถิด พวกเขาทั้งสองอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์” 23พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นยังนาโยทในเมืองรามาห์ และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาเหนือพระองค์ด้วย ทรงดำเนินเรื่อยไปและทรงเผยพระวจนะจนเสด็จถึงนาโยทที่เมืองรามาห์ 24พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และก็ทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดวันนั้นและตลอดคืนนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกันว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
1 ซามูเอล 20
มิตรภาพระหว่างดาวิดและโยนาธาน
1ดาวิดก็หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และมาทูลต่อหน้าโยนาธานว่า “ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งใด? อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้า? และข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงทรงต้องการเอาชีวิตของข้าพเจ้า?” 2โยนาธานตรัสตอบเขาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ท่านจะไม่ตาย นี่แน่ะ เสด็จพ่อไม่ได้ทรงทำเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กโดยไม่ให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า? ไม่เป็นดังนั้นแน่” 3แต่ดาวิดสาบานว่า “เสด็จพ่อของท่านทรงทราบแน่ว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของท่าน และพระองค์คงดำริว่า ‘อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้เลย เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่ที่จริงก็คือ พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ระหว่างข้าพเจ้ากับความตายก็ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียว” 4โยนาธานจึงตรัสกับดาวิดว่า “ใจท่านว่าอย่างไร ฉันจะทำตามเพื่อท่าน” 5ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า “ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าเองจะต้องนั่งรับประทานกับพระราชา แต่ขอทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงเย็นวันที่สาม 6ถ้าเสด็จพ่อของท่านทรงสังเกตจริงๆ ว่าข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอทูลพระองค์ว่า ‘ดาวิดวิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะทุกคนในตระกูลทำการถวายสัตวบูชาประจำปีที่นั่น’ 7ถ้าพระองค์รับสั่งว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะปลอดภัย แต่ถ้าพระองค์กริ้วจริงๆ ก็ทรงทราบได้ว่า พระองค์ทรงดำริการร้าย 8ขอท่านแสดงความรักมั่นคงแก่ผู้รับใช้ของท่านตามที่ท่านได้นำผู้รับใช้ของท่านเข้ามาในพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์กับท่าน แต่ถ้าข้าพเจ้ามีความผิด ท่านจงฆ่าข้าพเจ้า ทำไมจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่าน” 9โยนาธานจึงตรัสว่า “อย่าเป็นอย่างนั้นสำหรับท่านเลย เพราะถ้าฉันทราบจริงๆ ว่าเสด็จพ่อทรงดำริการร้ายที่จะมาถึงท่าน ฉันจะไม่ไปบอกท่านหรือ?” 10แล้วดาวิดก็ทูลโยนาธานว่า “ใครจะบอกข้าพเจ้า ถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน?” 11และโยนาธานตรัสกับดาวิดว่า “มาเถิดให้เราออกไปที่ทุ่งนา” ทั้งสองจึงออกไปที่ทุ่งนา
12และโยนาธานตรัสกับดาวิดว่า “ขอพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันหยั่งดูเสด็จพ่อของฉันในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไรดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปแจ้งท่านทีเดียวหรือ? 13แต่ถ้าเสด็จพ่อพอพระทัยที่จะทำร้ายท่าน ถ้าฉันไม่แจ้งให้ท่านทราบ และไม่ส่งท่านให้ไปอย่างปลอดภัยแล้ว ก็ขอพระยาห์เวห์ทรงลงโทษแก่โยนาธาน และทรงเพิ่มโทษนั้น ขอพระยาห์เวห์สถิตกับท่าน อย่างที่พระองค์สถิตกับเสด็จพ่อของฉัน 14ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอท่านสำแดงความรักมั่นคงแห่งพระยาห์เวห์ต่อฉัน แต่ถ้าฉันตาย 15ขออย่าตัดความรักมั่นคงของท่านที่มีต่อพงศ์พันธุ์ของฉันนิรันดร และอย่าหยุดแม้เมื่อพระยาห์เวห์ทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิดจากพื้นพิภพแล้ว” 16โยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นพวกศัตรูของดาวิด” 17และโยนาธานทรงให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งโดยความรักของท่านที่มีต่อเขา เพราะท่านทรงรักเขาอย่างกับรักชีวิตของท่านเอง
18แล้วโยนาธานตรัสกับดาวิดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และเขาจะเห็นว่าท่านขาดไป เพราะที่นั่งของท่านจะว่างอยู่ 19เมื่อท่านอยู่สามวันแล้ว วันมะรืนนี้ ให้ท่านลงไปโดยเร็ว ไปที่ที่ท่านเคยซ่อนตัว ในวันที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น และคอยอยู่ข้างศิลาเอเซล 20ฉันจะยิงลูกธนูสาม ดอกไปข้างๆ ที่นั่น เหมือนกับว่าฉันยิงเป้า 21และนี่แน่ะ ฉันจะใช้เด็กหนุ่มไป สั่งว่า ‘จงไปหาพวกลูกธนู’ ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นจริงๆ ว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูนั้นอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา’ แล้วท่านจงมาเพราะพระยาห์เวห์ทรงพระชนม์แน่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอะไร 22แต่ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น’ ท่านจงไป เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงส่งท่านไป 23ส่วนเรื่องที่เราพูดกันคือทั้งท่านกับฉันนั้น ดูเถิด พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างท่านและฉันนิรันดร”
24ดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาและเมื่อถึงวันขึ้นค่ำ พระราชาก็ประทับเสวยอาหาร 25พระราชาประทับบนพระที่นั่งของพระองค์อย่างที่เคยทำ คือประทับที่พระที่นั่งข้างฝาผนัง โยนาธานทรงยืนอยู่และอับเนอร์นั่งข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดว่างอยู่
26ในวันนั้นซาอูลไม่ได้ตรัสอะไร เพราะทรงดำริว่า “ดาวิดคงมีเหตุบางอย่าง เขามีมลทิน เขามีมลทินแน่” 27แต่รุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ คือวันที่สอง ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า “ทำไมบุตรเจสซีไม่ได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้” 28โยนาธานทูลตอบซาอูลว่า “ดาวิดวิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม 29เขาว่า ‘ขอปล่อยข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าสั่งข้าพเจ้าให้ไป ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน ก็ขอให้ข้าพเจ้าลาไปเยี่ยมพวกพี่ชายของข้าพเจ้า’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มาที่โต๊ะของพระราชา”
30แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน ตรัสว่า “เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาเป็นความอับอายแก่เจ้า และแก่แม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า? 31ตราบใดที่บุตรเจสซีมีชีวิตอยู่ในโลก ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งมั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปจับเขามาให้ข้า เพราะเขาจะต้องตายแน่” 32โยนาธานจึงทูลตอบพระราชบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจะต้องถูกฆ่า? เขาทำอะไรบ้าง?” 33แต่ซาอูลทรงพุ่งหอกใส่ท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านทรงตั้งพระทัยฆ่าดาวิด 34โยนาธานจึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนัก ไม่ได้เสวยอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านทรงเหยียดหยามดาวิด
35พอรุ่งเช้าโยนาธานก็ทรงออกไปที่ทุ่งนาตามที่นัดหมายไว้กับดาวิด มีเด็กไปด้วยคนหนึ่ง 36และทรงรับสั่งเด็กนั้นว่า “จงวิ่งไปหาพวกลูกธนูที่ฉันยิงไป” เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ทรงยิงธนูดอกหนึ่งไปข้างหน้าเด็กนั้น 37และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานทรงยิงไปนั้น โยนาธานก็ทรงร้องไล่หลังเด็กนั้นว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ?” 38และโยนาธานทรงร้องไล่หลังเด็กนั้นว่า “จงรีบไปโดยเร็ว อย่าหยุดอยู่” เด็กของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนู และกลับมาหานายของเขา 39แต่เด็กนั้นไม่รู้เรื่อง โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่รู้ 40และโยนาธานก็ทรงมอบเครื่องอาวุธของท่านให้เด็กนั้น และตรัสเขาว่า “จงไป จงเข้าไปในเมือง” 41เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากทางด้านข้างของกองหินซบหน้าลงถึงดิน แล้วย่อตัวลงสามครั้ง และทั้งสองก็จูบกัน และร้องไห้กัน แต่ดาวิดร้องไห้มากกว่า 42โยนาธานจึงตรัสกับดาวิดว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด เพราะเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระยาห์เวห์ว่า ‘พระยาห์เวห์จะทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับท่าน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของท่านสืบไปเป็นนิตย์’ ” ดาวิดก็ลุกขึ้นจากไป และโยนาธานก็ทรงเข้าไปในเมือง
อรรถาธิบาย
เพื่อนและคู่แข่ง
ในด้านการเมือง ธุรกิจ หรือแม้แต่ชีวิตในคริสตจักร คนสองคนที่เป็นเพื่อนที่ดีสามารถลงเอยด้วยการแข่งขันเพื่องานเดียวกันได้ เราควรจัดการกับความตึงเครียดระหว่างความทะเยอทะยานและมิตรภาพของเราอย่างไร?
มิตรภาพระหว่างดาวิดกับโยนาธานช่างน่าประทับใจ พวกเขาเป็นคู่แข่งกันเพื่อบัลลังก์ พวกเขามีเหตุผลทุกประการที่จะอิจฉากันและเกลียดชังกัน แต่โยนาธานรักดาวิด ‘รักชีวิตของพระองค์’ (20:17) ความรักประเภทนี้ที่พระเยซูทรงบัญชาคือความรักสูงสุดที่คนหนึ่งสามารถมีต่ออีกคนหนึ่งได้ (มัทธิว 22:39)
ในทางกลับกัน ซาอูลก็เต็มไปด้วยความริษยา ความริษยาเริ่มต้นจากการเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่น คือเปรียบเทียบความสำเร็จของเรากับคนรอบข้าง ความริษยามีอำนาจขัดขวางความรู้สึกของตนเองชั่วคราว เมื่อโยนาธานชี้ไปที่ซาอูล บิดาของเขาว่า ดาวิดไม่ได้ทำผิดต่อเขา และทำประโยชน์แก่โยนาธานอย่างมากมาย และเป็นการผิดมากที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์ ซาอูลกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดาวิดจะไม่ถูกฆ่า’ (1 ซามูเอล 19:6)
การโต้เถียงที่มีเหตุผลและเหตุผลอาจโน้มน้าวคนที่เต็มไปด้วยความริษยาในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม ความริษยามีอานุภาพมากเมื่อคนถูกครอบงำ เช่นเดียวกับซาอูลที่ไม่มีใครหยุดได้ อย่างที่เช็คสเปียร์พูดใน โอเทลโล (Othello) ว่า ‘มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีตาสีเขียวที่ล้อเลียนเนื้อที่มันกิน’
ดาวิดและโยนาธานรักกัน โยนาธาน ‘รักดาวิด’ (ข้อ 1) และโยนาธาน ‘กล่าวชมดาวิด’ (ข้อ 4) โยนาธานตรัสกับดาวิดว่า ‘ใจท่านว่าอย่างไร ฉันจะทำตามเพื่อท่าน’ (ข้อ 20:4) ช่างเป็นความมุ่งมั่นที่ดีที่มีต่อเพื่อน! คำมั่นสัญญาที่พวกเขามีต่อกันอยู่ในรูปของ ‘พันธสัญญา’ (ข้อ 16) ซึ่งรวมถึงลูกหลานของพวกเขาด้วย (ข้อ 42) ‘และโยนาธานทรงให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งโดยความรักของท่านที่มีต่อเขา เพราะท่านทรงรักเขาอย่างกับรักชีวิตของท่านเอง’ (ข้อ 16–17)
ผลของความริษยาของซาอูล ‘แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน’ (ข้อ 30) โยนาธานรู้ว่าพระบิดาของท่านตั้งใจจะฆ่าดาวิด (ข้อ 33) และ ‘โยนาธานจึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนัก’ (ข้อ 34)
ความแตกต่างระหว่างความโกรธของซาอูลกับความโกรธของโยนาธานก็คือ ความโกรธของซาอูลนั้นไม่มีมูลความจริงและเกิดจากความริษยา ความโกรธของโยนาธานเป็นความโกรธที่ชอบธรรม ‘เพราะเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านทรงเหยียดหยามดาวิด’ (ข้อ 34) ความโกรธไม่ได้ผิดเสมอไป แต่ให้พิจารณาแรงจูงใจของคุณอย่างรอบคอบ
ดาวิดและโยนาธานไม่ละอายที่จะแสดงความรักต่อกัน ‘… แล้วทั้งสองก็จูบกัน และร้องไห้กัน’ (ข้อ 41) บางคนมองว่าการร้องไห้เป็นการแสดงความอ่อนแอ แต่พวกเขาไม่มีความละอายในการร้องไห้อย่างเปิดเผยและแสดงความรักต่อกัน นี่คือต้นแบบอันทรงพลังของมิตรภาพ ความรัก และความเป็นหนึ่งเดียว การแต่งงานเป็นหนึ่งในคำตอบของพระเจ้าต่อความเหงา มิตรภาพที่ใกล้ชิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ความรักและมิตรภาพนี้เองที่ทำให้โยนาธานสามารถภักดี สนับสนุน และปกป้องได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าเขาจะเป็นคู่แข่งกันในราชบัลลังก์ก็ตาม
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ซามูเอล 19:1–2
‘ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตรและกับบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ ให้ฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลพอพระทัยในดาวิดมาก และโยนาธานตรัสกับดาวิดว่า...’ (1 ซามูเอล 19:1)
ดาวิดกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างที่พวกเราหลายคนเคยประสบมาในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ดาวิดรับใช้พระเจ้าและซาอูลกษัตริย์ของเขาอย่างซื่อสัตย์ ทว่าสิ่งที่เขาทำไป ก็ทำให้เจ้านาย(ซาอูล)พอใจไม่ได้ สิ่งเดียวที่ดาวิดทำได้คือทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป เขาไม่ได้แสวงหาการแก้แค้นหรือความยุติธรรม ในที่สุด พระเจ้าก็แก้ต่างให้ดาวิดและพระองค์จะทรงแก้ต่างให้เราด้วย
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 17:12
‘ข้าพระองค์ก็พิทักษ์รักษาเขา....’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)