มีฤทธิ์อำนาจในพระนามของพระองค์
เกริ่นนำ
บาร์บาร่า แคลปแฮม อายุ 33 ปี มาอาศัยอยู่ในลอนดอน เธอตัดสินใจว่าจะไปหาคริสตจักร เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง เธอมาถึงคริสจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น หญิงสาวที่ต้อนรับที่ประตูยิ้มให้เธอและถามชื่อเธอ เพราะรอยยิ้มนั้น บาร์บาร่ากลับมาในสัปดาห์ต่อมา เมื่อเธอเดินเข้ามาอีกในวันอาทิตย์ต่อมา คนต้อนรับคนเดียวกันก็ทักทายว่า ‘สวัสดีบาร์บาร่า’
เพราะคนที่อยู่หน้าประตูจำชื่อเธอได้ เธอจึงตัดสินใจว่าจะกลับมาทุกวันอาทิตย์ นั่นคือในปี 1947 จากนั้นบาร์บาร่ามาเกือบทุกวันอาทิตย์จนกระทั่งเธอเสียชีวิต หลังจากฉลองวันเกิดครบรอบ 100 ปีของเธอได้ไม่นาน เธอส่งต่อผลกระทบอย่างยิ่งต่อชีวิตของคริสจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตั้น (รวมถึงการบริหารการเงินของคริสตจักรมาหลายปี) ผมสงสัยว่าผู้หญิงยืนต้อนรับที่ประตูคิดถึงความแตกต่างที่เธอสร้างขึ้นจากการจำชื่อบาร์บาร่าหรือไม่
มีพลังอันยิ่งใหญ่ในชื่อ ชื่อมีความสำคัญ นี่เป็นเรื่องจริงในทุกวันนี้ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัฒนธรรมฮีบรูที่เราอ่านในพระคัมภีร์ ชื่อในภาษาฮีบรูไม่ได้เป็นเพียงป้ายกำกับ แต่พระนามของพระเจ้าเปิดเผยว่าพระองค์เป็นใคร
สดุดี 68:1-6
คำสรรเสริญและคำขอบพระคุณ
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด บทเพลงหนึ่ง
1ขอพระเจ้าทรงลุกขึ้น ให้บรรดาศัตรูของพระองค์กระจายไป
ให้บรรดาผู้ที่เกลียดชังพระองค์หนีไปต่อพระพักตร์พระองค์
2ควันถูกขับไปฉันใด ก็ขอทรงไล่เขาไปฉันนั้น
ขี้ผึ้งละลายต่อหน้าไฟฉันใด
ก็ขอให้คนอธรรมพินาศต่อพระพักตร์พระเจ้าฉันนั้น
3แต่ขอให้คนชอบธรรมยินดี
ให้เขาปรีดาปราโมทย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
ให้เขาปีติยินดีด้วยความชื่นบาน
4จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์
จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะ
พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์
จงลิงโลดเฉพาะพระพักตร์พระองค์
5พระเจ้าในที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์
ทรงเป็นพระบิดาของเด็กกำพร้า และทรงเป็นผู้ป้องกัน
6พระเจ้าทรงให้คนโดดเดี่ยวมีบ้านอยู่
พระองค์ทรงนำเชลยออกมาถึงความรุ่งโรจน์
แต่แน่ทีเดียว พวกกบฏอาศัยในแผ่นดินที่แตกระแหง
อรรถาธิบาย
สรรเสริญพระนามของพระเจ้า
ดาวิดร้องว่า ‘จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะ พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์’ (ข้อ 4)
พระเจ้าสำแดงพระองค์เองผ่านพระนามของพระองค์ พระองค์บอกนามพระองค์กับโมเสส (‘เราเป็นซึ่งเราเป็น’) เมื่อทรงมาเพื่อปลดปล่อยประชาชนของพระองค์จากการเป็นทาสในอียิปต์ (อพยพ 3:14) ในทำนองเดียวกัน ในสดุดีนี้เราเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงพระนามนี้มีความห่วงใยเป็นพิเศษต่อคนชายขอบในสังคม
พระเจ้าทรงเป็น ‘พระบิดาของเด็กกำพร้า’ และ ‘ผู้ป้องกันหญิงม่าย’ (สดุดี 68:5) ‘พระเจ้าทรงให้คนโดดเดี่ยวมีบ้านอยู่’ (ข้อ 6ก) ‘พระเจ้าทรงสร้างบ้านให้คนไร้บ้าน’ (ข้อ 6ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พระองค์ทรงนำเชลยออกมาถึงความรุ่งโรจน์’ (ข้อ 6ข)
วิธีหนึ่งในการถวายเกียรติแด่พระนามของพระเจ้า คือ การรักและรับใช้คนชายขอบคือ หญิงม่ายและเด็กกำพร้า คนโดดเดี่ยว คนเร่ร่อน และผู้ที่อยู่ในคุก
คำอธิษฐาน
ยอห์น 16:5-17:5
5แต่ตอนนี้เรากำลังจะไปหาผู้ทรงใช้เรามา และไม่มีใครในพวกท่านถามเราว่า ‘จะไปที่ไหน?’ 6แต่เพราะเราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน จิตใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์ 7อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน 8เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา 9ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่วางใจในเรา 10ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก 11ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว
12“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว 13เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น 14พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน 15ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรานั้นมาแจ้งแก่พวกท่าน
ความเศร้าโศกจะกลายเป็นความชื่นชมยินดี
16“อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อย พวกท่านก็จะเห็นเรา” 17สาวกของพระองค์บางคนพูดกันว่า “พระองค์หมายความว่าอะไรที่ตรัสกับเราว่า ‘อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา’ และ ‘เพราะเราไปถึงพระบิดา’” 18พวกเขาพูดกันว่า “ ‘อีกหน่อย’ นั้นหมายความว่าอะไร? เราไม่ทราบว่า ‘อีกหน่อย’ ที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอะไร” 19พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาอยากทูลถามพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านถามกันอยู่หรือว่าเราหมายความว่าอะไรที่พูดว่า ‘อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา?’ 20เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี พวกท่านจะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์ของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี 21เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตร นางก็มีแต่ความทุกข์เพราะถึงกำหนด แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก 22ดังนั้นขณะนี้พวกท่านจึงมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจของท่านจะชื่นชมยินดี และจะไม่มีใครช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้ 23ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน 24จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม
“เราชนะโลกแล้ว”
25“เราพูดเรื่องนี้กับพวกท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะไม่พูดกับท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบอีก แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง 26ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน 27เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้าสำเนาโบราณบางฉบับว่า พระบิดา 28เรามาจากพระบิดาและเข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปหาพระบิดาอีก”
29พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า “ตอนนี้พระองค์ตรัสอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ได้ตรัสโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ 30ตอนนี้พวกข้าพระองค์รู้แล้วว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก เพราะเหตุนี้พวกข้าพระองค์จึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” 31พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ตอนนี้พวกท่านเชื่อแล้วหรือ? 32นี่แน่ะ วันนั้นจะมา และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว ที่พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านแต่ละคนและจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาสถิตอยู่กับเรา 33เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”
ยอห์น 17
คำอธิษฐานของพระเยซู
1เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็แหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ 2ดังที่พระองค์โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น 3และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา 4ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทำนั้นสำเร็จแล้ว 5บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา
อรรถาธิบาย
ฤทธิ์อำนาจในพระนามพระเยซู
คุณรู้หรือไม่ว่ามีพลังมากแค่ไหนในพระนามของพระเยซู? เมื่อพระเยซูทรงละสาวกของพระองค์ พระองค์ตรัสกับพวกเขา ‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม...ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา’ (16:23ข–26ก)
เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เราจะไม่ขอในนามของเรา แต่ในนามของพระเยซู ตัวเราเองไม่มีสิทธิ์ขอสิ่งใดเลย แต่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับคุณที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าในพระนามของพระองค์โดยทางไม้กางเขน และการฟื้นคืนพระชนม์
การอธิษฐานในพระนามของพระเยซูคือการทำให้ตัวคุณสอดคล้องกับพระเยซู ในขณะที่คุณอธิษฐาน คำอธิษฐานของคุณสอดคล้องกับความปรารถนาของพระเจ้าสำหรับชีวิตของคุณ และคุณสามารถอธิษฐานขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ คุณไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง คุณต้องการพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเยซูบอกเหล่าสาวกว่าการจากไปของพระองค์ก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขา เพราะ ‘ถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วย (‘เพื่อน’, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน’ (ข้อ 7) พระเยซูทรงอยู่ได้ครั้งละแห่งเท่านั้น แต่โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์สามารถอยู่กับคุณและผม ในฐานะเพื่อนและผู้ช่วยของเราได้ตลอดเวลาทุกที่ที่เราไป
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโน้มน้าวโลกเกี่ยวกับความรู้สึกผิด (เพราะ ‘พวกเขาไม่วางใจใน’ พระเยซู ข้อ 9) และ ‘พระองค์จะทรงนำ (เรา) ไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ข้อ 13ก) ทุกครั้งที่เราออกนอกลู่นอกทางหรือไปผิดทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตือนเรา เราสามารถรู้สึกในจิตวิญญาณของเราว่าสิ่งที่เราทำไม่ถูกต้อง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยปรักปรำเรา (โรม 8:1) พระองค์ทรงเตือนให้เรากลับใจแล้วไปในทิศทางที่ถูกต้อง พระองค์ทรงนำทาง ค้ำจุน และเสริมสร้างคุณและผมให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น
พระองค์ทรงนำคุณไปสู่ความจริงทั้งหมด ความจริงถูกเปิดเผยโดยพระวิญญาณแห่งความจริง (ยอห์น 16:13ก) เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับตัวคุณ สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท
พระเยซูทรงสัญญากับคุณสามสิ่ง:
1. ความชื่นชมยินดีท่ามกลางความโศกเศร้า
‘เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี พวกท่านจะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์ของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี’ (ข้อ 20) ความยุติธรรมจะมีชัย ความชั่วร้ายจะไม่ชนะ เมื่อพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย ความปิติยินดีของเหล่าสาวกก็มากจนบดบังความเศร้าโศกของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนมารดาที่คลอดทารกและลืมความเจ็บปวดจากการคลอด (ข้อ 21–22)
2. ความรักท่ามกลางความเกลียดชัง
คุณเป็นที่รัก แม้ในขณะที่ ‘โลกเกลียดชังพวกท่าน' (15:18) พระเยซูตรัสกับคุณว่า ‘เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า’ (16:27) พระวิญญาณแห่งความจริงจะเปิดเผยความรักทั้งหมดที่พระบิดามีต่อคุณ
3. สันติสุขท่ามกลางปัญหา
พระเยซูไม่เคยสัญญากับคุณว่าจะมีชีวิตที่ปราศจากปัญหา อันที่จริง พระองค์ตรัสว่าในโลกนี้ คุณจะประสบกับ ‘ความทุกข์ยากและการทดลอง ความเจ็บปวดและความคับข้องใจ’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) แต่พระองค์สัญญากับคุณว่า ‘มีสันติสุขและความมั่นใจที่สมบูรณ์อยู่ท่ามกลางการทดลองเหล่านี้’ เพราะพระองค์ได้ ‘ชนะโลก (เราได้ลิดรอนอำนาจที่จะทำร้ายพวกท่านและได้เอาชนะมันเพื่อพวกท่าน)’ (ข้อ 33, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
ของประทานที่สำคัญที่สุดที่คุณได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์คือสัมพันธภาพกับพระเจ้า ในคำอธิษฐานนี้ พระเยซูเน้นว่านี่เป็นหัวใจที่แท้จริงและคำจำกัดความของ ‘ชีวิตนิรันดร์’ ‘และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา’ (ข้อ 17:3)
นี่เป็นคำอธิบายที่น่าทึ่งของชีวิตนิรันดร์ที่รายล้อมไปด้วยคำอธิษฐานของพระเยซูที่ขอให้พระนามของพระเจ้าได้รับเกียรติ ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงทำในขณะที่พระองค์อยู่บนแผ่นดินโลก และความสัมพันธ์ของเรากับพระบิดาผ่านทางพระเยซู ท้ายที่สุดล้วนแต่นำไปสู่พระสิริแห่งพระนามของพระเจ้า
คำอธิษฐาน
1 ซามูเอล 17:38-18:30
38แล้วซาอูลก็ทรงแต่งดาวิดด้วยเครื่องทรงของพระองค์ ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และทรงสวมเสื้อเกราะให้เขา 39และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาพยายามเดินดู เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไป เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน” ดาวิดจึงปลดออกจากเขา 40แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ในมือ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ แล้วเขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
41คนฟีลิสเตียนั้นก็ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินนำหน้า 42เมื่อคนฟีลิสเตียมองดูและเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นคนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู 43คนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือ? เจ้าจึงถือไม้เท้ามาหาข้า” และคนฟีลิสเตียคนนั้นก็แช่งด่าดาวิด โดยใช้นามพวกพระของตน 44คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้า ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ป่ากิน” 45แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทาย 46ในวันนี้พระยาห์เวห์จะทรงมอบท่านไว้ในมือข้า และข้าจะฆ่าท่านและตัดศีรษะของท่าน ในวันนี้ข้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งโลกนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งในอิสราเอล 47และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบพวกท่านไว้ในมือของพวกเรา”
48ต่อมาเมื่อคนฟีลิสเตียนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบเพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตียนั้นอย่างรวดเร็ว 49และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงด้วยสลิงถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผาก เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
50ดังนั้นดาวิดก็ชนะคนฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย แต่ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ 51ดาวิดจึงวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝักฆ่าเขาเสีย และตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบ เมื่อพวกฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสียแล้วก็พากันหนีไป 52คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องไล่ตามพวกฟีลิสเตีย ไกลไปจนถึงหุบเขาฉบับกรีกว่า เมืองกัทและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน 53และคนอิสราเอลก็กลับมาจากการไล่ล่าติดตามพวกฟีลิสเตีย และปล้นค่ายของพวกเขา 54ดาวิดก็นำศีรษะของคนฟีลิสเตียนั้นมาที่เยรูซาเล็ม แต่เอาเครื่องอาวุธของเขาไว้ที่เต็นท์ของตน
55เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียคนนั้น จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า “อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร?” และอับเนอร์ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ทราบ” 56พระราชาจึงรับสั่งว่า “ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร?” 57เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าพวกฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็มาพาตัวเขาเข้าไปเฝ้าซาอูล ถือศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นไปด้วย 58ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร?” และดาวิดทูลว่า “ข้าพระบาทเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท”
1 ซามูเอล 18
พันธสัญญาของโยนาธานกับดาวิด
1เมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว พระทัยของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานทรงรักดาวิดอย่างรักชีวิตของพระองค์ 2และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวดาวิดไว้ ไม่ยอมให้กลับไปบ้านบิดาของเขา 3แล้วโยนาธานก็ทรงทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะพระองค์ทรงรักเขาอย่างกับรักชีวิตของพระองค์ 4โยนาธานก็ทรงถอดเสื้อคลุมที่พระองค์ทรงใส่ พร้อมทั้งเครื่องอาวุธ แม้แต่ดาบ คันธนู และเข็มขัดประทานแก่ดาวิด 5และดาวิดก็ออกไปทุกแห่งที่ซาอูลทรงใช้ไป เขาประสบความสำเร็จ ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเขาให้อยู่เหนือพวกนักรบ สิ่งนี้เป็นที่ชอบในสายตาของประชาชนทั้งปวงและในสายตาของพวกข้าราชการของซาอูลด้วย
6เมื่อพวกเขากำลังกลับเข้ามา ดาวิดก็กลับจากการฆ่าคนฟีลิสเตีย พวกผู้หญิงก็ออกมาจากเมืองทั้งหมดของอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชาซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดนตรี 7และพวกผู้หญิงร้องรับเมื่อเต้นรำกันว่า
“ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ”
8ซาอูลกริ้วยิ่งนัก คำที่ร้องนี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า “พวกเขายกย่องดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า” 9ซาอูลก็ทรงจับตาดูดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
10ในวันต่อมาวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เขาเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่ 11และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยทรงนึกว่า “ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย” แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึงสองครั้ง
12ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเขา แต่ได้ทรงละจากซาอูลแล้ว 13ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปจากพระองค์ ตั้งเป็นผู้บังคับการกองพัน และดาวิดออกไปรบและกลับมาต่อหน้าพวกทหาร 14ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกทาง เพราะพระยาห์เวห์สถิตกับเขา 15ซาอูลทรงกลัวเมื่อทรงเห็นดาวิดประสบความสำเร็จมาก 16แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะดาวิดออกไปและกลับมาต่อหน้าพวกเขา
17ซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบนางให้เป็นภรรยาของเจ้า ขอแต่เจ้าเป็นคนกล้าหาญสำหรับเราและจงสู้ในสงครามของพระยาห์เวห์” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราต่อสู้เขาเลย แต่ให้มือคนฟีลิสเตียต่อสู้เขา” 18ดาวิดทูลซาอูลว่า “ในอิสราเอลข้าพระบาทคือใคร? วงศ์ญาติของข้าพระบาทจากตระกูลบิดาของข้าพระบาทคือใคร ที่ข้าพระบาทจะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา?” 19แต่เมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้ดาวิด นางถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
20มีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด เมื่อพวกเขาทูลซาอูล เรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21ซาอูลทรงดำริว่า “เราจะยกนางให้แก่เขา เพื่อนางจะเป็นกับดักเขาและมือของพวกฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เขา” ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า “ครั้งนี้เจ้าจะเป็นบุตรเขยของเรา” 22ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า “จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ‘นี่แน่ะ พระราชาพอพระทัยในเจ้า และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเจ้า ดังนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระราชาเถิด’ ” 23เมื่อพวกมหาดเล็กของซาอูลพูดถ้อยคำเหล่านี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า “พวกท่านเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ? ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจนและไม่มีชื่อเสียงอะไร” 24และพวกมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า “นี่เป็นถ้อยคำของดาวิด” 25ซาอูลจึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดดังนี้แก่ดาวิด ‘พระราชาไม่พอพระทัยอะไรสำหรับสินสอด นอกจากหนังปลายองคชาตของพวกฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อจะทรงแก้แค้นพวกศัตรูของพระราชา’ ” ซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายด้วยมือของพวกฟีลิสเตีย 26และเมื่อพวกมหาดเล็กเล่าถ้อยคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง เรื่องนี้ก็เป็นที่พอใจของดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป 27ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับทหาร ฆ่าพวกฟีลิสเตียเสีย 200 คน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของพวกนั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเขาจะเป็นบุตรเขยของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด 28ซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระยาห์เวห์สถิตกับดาวิดและมีคาลพระราชธิดาของซาอูลทรงรักเขา 29ซาอูลทรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงทรงเป็นศัตรูของดาวิดตลอดเวลา
30บรรดาเจ้านายของพวกฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม พวกเขาจะออกมากี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ประสบความสำเร็จมากกว่าบรรดาข้าราชการทั้งสิ้นของซาอูล ชื่อเสียงของเขาจึงโด่งดังมาก
อรรถาธิบาย
การปกป้องในพระนามของพระเจ้า
ดาวิดตระหนักว่าการปกป้องที่ดีที่สุดไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ของซาอูล แต่เป็นพระนามของพระเจ้า (ข้อ 17:45)
ในตอนแรก ดาวิดพยายามเผชิญหน้ากับโกลิอัทในชุดเกราะของซาอูล จากนั้นเขาก็ตระหนักว่า ‘ข้าพระบาทไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไป เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน’ (ข้อ 39) ดาวิดจึงถอดชุดเกราะออก เขาตัดสินใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง นี่คือบทเรียนในชีวิต การสวมชุดเกราะของคนอื่นไม่ดี มันดูปลอมและไม่เป็นธรรมชาติเมื่อเราพยายามนำเสนอตัวเองราวกับว่าเราเป็นคนอื่น
มีพลังอันยิ่งใหญ่ในความเป็นตัวตนที่แท้จริง ออสการ์ ไวลด์ กล่าวว่า ‘จงเป็นตัวของตัวเอง การเป็นคนอื่นถูกเอาไปหมดแล้ว!’ คุณมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณเป็นตัวของตัวเอง ดังที่กาเตรีนาแห่งซีเอนากล่าวไว้ว่า ‘จงเป็นคนที่พระเจ้าต้องการให้คุณเป็นและเจ้าจะทำให้โลกลุกเป็นไฟ’
ดาวิดกังวลเรื่องพระนามของพระเจ้าและพิสูจน์พระนามพระองค์ (ข้อ 45) ดาวิดพูดกับโกลิอัทว่า ‘ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ’ (ข้อ 45) ดาวิดตระหนักถึงข้อจำกัดของความพยายามของมนุษย์ (ข้อ 47) เขามีความมั่นใจในพระเจ้าของเขาเท่านั้น พระนามของพระองค์เพียงพอที่จะโจมตีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดให้ล้มลงกับพื้นได้ (ข้อ 46) เขาพร้อมที่จะวางใจในพระนามของพระเจ้าเมื่อเผชิญกับการต่อต้านครั้งใหญ่
คุณอาจเผชิญการต่อต้านครั้งใหญ่ โลกที่คุณอาศัยอยู่อาจดูมีพลังมหาศาลและท่วมท้นคุณ ในทางตรงกันข้าม คุณอาจรู้สึกอ่อนแอและน่าสมเพช แต่จงออกไปในพระนามของพระเจ้า คือรู้ในข้อจำกัดของคุณแต่ยังวางใจในพระองค์ที่จะพิสูจน์พระนามของพระองค์ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับดาวิด เขาจึงประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ (18:5, 12, 14)
ความสำเร็จของดาวิดทำให้ซาอูลโกรธและริษยา (ข้อ 8–9) ดังที่ จอยซ์ ไมเยอร์ ชี้ให้เห็นว่า ‘พระเจ้ามักจะวางเราไว้รอบ ๆ คนที่เป็นเหมือนกระดาษทรายเพื่อทำให้ขอบหยาบของเราเรียบขึ้น... คือการทดสอบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่เราจะได้เลื่อนตำแหน่ง หากคุณต้องการเป็นผู้นำ คุณต้องรับใช้ในสถานการณ์ที่อาจไม่สมบูรณ์แบบและเรียนรู้ที่จะประพฤติตนอย่างฉลาดก่อน สิ่งนี้เตรียมเราให้พร้อมที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างมาก’
พระเจ้าประทานความสำเร็จให้ดาวิดมากขึ้น สิ่งนี้น่าสนใจ เนื่องจากเป็นความใส่ใจในพระนามของพระเจ้า ‘ชื่อเสียงของเขาจึงโด่งดังมาก’ (ข้อ 30) แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหรือความตั้งใจของเขา หรือจุดสนใจในชีวิตของเขา
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 ซามูเอล 18:1
มิตรภาพเป็นสิ่งดีเลิศ เดวิดและโจนาธาน ‘กลายเป็นหนึ่งเดียวกันในจิตวิญญาณ’ ซึ่งเป็นเพื่อนฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง เป็นเรื่องที่น่าพอใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับมิตรภาพที่ลึกซึ้ง มิตรภาพสร้างความแตกต่างอย่างมาก มีการสนับสนุนจากเพื่อนรักที่ยืนเคียงข้างคุณในยามยาก และหัวเราะไปกับคุณในยามสุข
มิตรภาพคือสิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป ในสวรรค์จะไม่มีการจำกัดเวลาและความอิจฉาที่ดาวิดต้องเผชิญ
ข้อพระคำประจำวัน
ยอห์น 16:27
‘เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)