วัน 152

ว้าว!

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 13:20-14:4
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 20:10-31
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 1:1-2:7

เกริ่นนำ

จูดาห์ สมิธ เป็นศิษยาภิบาลหนุ่มผู้เบิกบานในคณะเพนเทคอสต์จากเมืองซีแอทเทิล รัฐวอชิงตัน เขาเป็นหนึ่งในคนที่สื่อสารได้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนหนุ่มสาว เมื่อฟังคนอื่นพูด คำอุทานที่เขามักใช้คือ ‘ว้าว’ สำหรับเขามันคือการแสดงออกถึงความยำเกรง เกรงขาม และเคารพ

มีพระพรมากมายในการอาศัยอยู่ในยุโรปตะวันตกในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ตาม เราอาศัยอยู่ในสังคมที่ความยำเกรง เกรงขาม และความเคารพ ดูเหมือนไม่มีคุณค่าอย่างที่เคยเป็นมา

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 13:20-14:4

20คนที่เดินกับคนมีปัญญาจะกลายเป็นคนมีปัญญา
 แต่เพื่อนของคนโง่จะถูกทำลาย
21สิ่งเลวร้ายตามติดคนบาป
 แต่สิ่งดีเป็นรางวัลของคนชอบธรรม
22คนดีย่อมทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน
 แต่ทรัพย์สมบัติของคนบาปนั้นถูกเก็บไว้ให้คนชอบธรรม
23แม้อาหารมากมายอยู่ในที่ดินของคนยากจน
 แต่มันถูกกวาดไปโดยความอยุติธรรม
24คนที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน
 แต่คนที่รักเขาย่อมหมั่นตีสอนเขา
25คนชอบธรรมรับประทานอิ่ม
 แต่ท้องของคนอธรรมขาดอาหาร

สุภาษิต 14

1หญิงที่มีปัญญาสร้างบ้านของเธอขึ้น
 แต่หญิงโง่รื้อมันลงด้วยมือตนเอง
2คนที่ดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงธรรมย่อมยำเกรงพระยาห์เวห์
 แต่คนที่ทางของเขาคดก็ดูหมิ่นพระองค์
3ในปากของคนโง่มีไม้เรียวที่จะลงโทษความหยิ่งของเขา
 แต่ริมฝีปากของคนมีปัญญาจะปกป้องตนไว้
4ที่ใดไม่มีวัวผู้ รางหญ้าก็ว่างเปล่า
 แต่พืชผลมากมายได้มาด้วยแรงวัว

อรรถาธิบาย

ความยำเกรง

วัฒนธรรมการนับถือถูกเน้นย้ำในพระธรรมสุภาษิต เราเห็นตัวอย่างสามอันในพระธรรมตอนนี้:

1. การยำเกรงพระยาห์เวห์
‘ชีวิตที่สัตย์ซื่อแสดงถึงความยำเกรงพระเจ้า’ (14:2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำว่า ‘ยำเกรง’ (NIV) เป็นที่เข้าใจได้ดีที่สุดว่าเป็น 'ความเคารพ' การยำเกรงพระเจ้านั้นเป็นจุดเริ่มต้นในการเคารพในความสัมพันธ์อื่น ๆ ทุกด้านของเรา

2. การยำเกรงปัญญา
จงเลือกคนที่คุณจะใช้เวลาด้วยอย่างระมัดระวัง ‘คนที่เดินกับคนมีปัญญาจะกลายเป็นคนมีปัญญา’ (13:20) ‘คำพูดของคนมีปัญญาสร้างความยำเกรง’ (14:3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สังคมของเรากำลังลดทอนคุณค่าของสติปัญญาที่มาตามอายุ บ่อยครั้งปัญญา (อาจไม่เสมอไป) เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ในชีวิตอันยืนยาว มีปัญญาจำนวนมหาศาลที่อยู่ในผู้สูงวัยที่ยังไม่ได้นำออกมา

3. การยำเกรงในครัวเรือน
'คนที่ปฏิเสธจะทำการแก้ไขก็ปฏิเสธที่จะรัก จงรักลูกของตนด้วยการลงวินัยเขา’ (13:24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) คำสอนนี้บางครั้งก็กลายเป็นการทารุณไปด้วยการตีความเกินตัวอักษร สิ่งที่พระธรรมสุภาษิตหนุนใจเราคือวัฒนธรรมแห่งความเคารพยำเกรงกันในครอบครัว คือการเคารพยำเกรงผู้ปกครองและเคารพในตัวลูก ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงวินัยด้วยความรัก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยเราให้เพิ่มพูนปัญญา และเป็นแบบอย่างในชีวิตครอบครัวที่ดี ซึ่งรวมไว้ทั้งความรักและการยำเกรง
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 20:10-31

10แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน

การทรงปรากฏแก่มารีย์มักดาลา

 11ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์ 12และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท 13ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” 14เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์ 15พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” 16พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์) 17พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” 18มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง

การทรงปรากฏแก่พวกสาวก

 19ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” 20เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี 21พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” 22เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด 23ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย”

พระเยซูกับโธมัส

 24โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมสหมายถึง แฝดซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา 25สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย”
 26เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” 27แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” 28โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” 29พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”

จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้

 30พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ 31แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์

อรรถาธิบาย

ความน่าเกรงขาม

พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายจริง ๆ อุโมงค์ฝังศพก็ว่างเปล่าจริง ๆ ในเช้าวันอีสเตอร์ สาวกของพระเยซูก็ได้พบพระองค์ทรงมีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ การเป็นขึ้นมาจากความตายเกิดขึ้นจริง คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดสำหรับต้นกำเนิดความเชื่อคริสเตียนคือเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ พระเยซูทรงพระชนม์ชีพอยู่ในปัจจุบัน!

ยอห์นบันทึกการปรากฏของพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นจากความตายสี่ครั้ง สามครั้งแรกอยู่ในพระธรรมตอนนี้ ในการปรากฏตัวเหล่านี้ เราไม่เพียงแต่เห็นหลักฐานบางประการ แต่ยังได้เห็นถึงผลของการเป็นขึ้นจากความตายอีกด้วย

  1. น่าเกรงขามและน่าทึ่ง มีบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้โดยตรงเกี่ยวกับการปรากฏตัวของพระเยซูต่อนางมารีย์ ไม่มีอะไรที่เหมือนกับในวรรณกรรมทั้งหมดในยุคโบราณ

ในวัฒนธรรมยุคนั้น คำพยานของผู้หญิงไม่ได้รับการพิจารณาว่ามีน้ำหนักเท่ากับของผู้ชาย หากพวกสาวกปั้นเรื่องขึ้นมา พวกเขาคงไม่คิดว่าการปรากฏตัวครั้งแรกจะเป็นมารีย์ มักดาลา

พระเยซูทรงไม่ได้ปรากฏตัวในแบบผู้มีชัยเพื่อแสดงถึงชัยชนะของพระองค์ พระองค์ทรงปรากฏต่อมารีย์ ผู้ที่พระองค์ทรงรัก ผู้ที่ทรงให้อภัย ตามลำพังในสวน ด้วยความรักอันอ่อนโยน

นี่แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติอย่างยิ่งของพระเยซูต่อพวกผู้หญิง โดยการกระทำนี้และการกระทำอื่น ๆ ในขณะที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงวางรากเรื่องการปฏิวัติต่อท่าทีที่โลกมีต่อผู้หญิง น่าเศร้าที่ต้องใช้เวลาถึง 2,000 ปีและเราก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้น

พระเยซูไม่ได้ตรัสถามมารีย์ว่าเธอแสวงหาอะไร พระองค์ทรงถามว่า ‘ตามหาใคร’ (ข้อ 15)

คำตอบของมารีย์เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าเกรงขามและน่าทึ่ง เมื่อเธอตระหนักว่านี่คือพระเยซู เธอร้องออกมาในภาษาอาราเมคว่า ‘“รับโบนี!” (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์)’ (ข้อ 16)

พระองค์ทรงอธิบายกับเธอว่า เธอต้องไม่หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ (ข้อ 17) เธอต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ อันเป็นชีวิตภายในที่จำเริญขึ้นกับพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น พระองค์ทรงอยู่ในเธอ และเธออยู่ในพระองค์ (ซึ่งสำเร็จเป็นจริงด้วยของประทานแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์)

การแค่รู้จักหลักฐานแห่งความจริงของเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายนั้นไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องมีประสบการณ์ส่วนตัวในการเผชิญหน้ากับพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้น

  1. ความชื่นชมยินดีและสันติสุข โลกนี้แสวงหาความสุขและสันติสุขในจิตใจอย่างสิ้นหวัง แหล่งที่มาสูงสุดของความสุขและสันติสุขคือการมีความสัมพันธ์กับพระเยซู

มารีย์รีบรุดไปเล่าให้พวกสาวกฟัง ‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว!’ (ข้อ 18) การปรากฏของพระเยซูต่อเหล่าสาวกนำความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งมาถึงพวกเขา (ข้อ 20) พระองค์ตรัสกับพวกเขาถึงสามครั้งว่า 'สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย!' (ข้อ 19,21,26) สันติสุขภายในได้ไหลล้นจากการทรงสถิตของพระองค์

ความเชื่อในพระเยซูนำเอาความชื่นชมยินดีและสันติสุขมายังผู้เชื่อทุกคน พระเยซูตรัสกับโธมัสว่า ‘คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็ได้รับพระพร และเป็นสุข และน่าอิจฉา’ (ข้อ 29 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

ในการเผชิญหน้ากันสั้น ๆ นี้ พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงกลุ่มคนที่กำลังหวาดหวั่นสับสนไปเป็นชุมชนแห่งความรัก ความชื่นชมยินดีและสันติสุข

  1. พระประสงค์และฤทธิ์เดช
    พระเยซูทรงประทานวัตถุประสงค์ใหม่ให้แก่พวกเขา ‘พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น’ (ข้อ 21) การเป็นขึ้นจากความตายเป็นถ้อยคำแห่งความหวังสำหรับโลกนี้ พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย มีชีวิตหลังความตาย สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของคุณบนโลกมีความหมายและวัตถุประสงค์ใหม่หมด คุณถูกพระเยซูส่งออกไปเพื่อประกาศข้อความนี้แก่โลก

ท้ายที่สุด พระองค์ยังประทานฤทธิ์เดชให้แก่พวกเขาอีกด้วย พระองค์ ‘ทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย”’ (ข้อ 22–23) องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจัดเตรียมกำลังและสิทธิอำนาจในการให้อภัย

ฤทธิ์เดชเดียวกันที่ทำให้พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้นอยู่กับคุณ พระองค์ประทานฤทธิ์เดชแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และฤทธิ์เดชแห่งคำตรัสของพระองค์เพื่อประกาศข่าวเรื่องการทรงอภัยของพระเจ้าต่อมนุษย์ นี่เป็นข่าวที่นำมาซึ่งชีวิตนิรันดร์

  1. ความเคารพและยำเกรง โธมัสเป็นคนชอบถากถาง ขี้ระแวงและเต็มไปด้วยข้อสงสัย ผมคิดว่าผมอาจมีการตอบสนองแบบเดียวกับเขาเมื่อเขาพูดว่า ‘ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย’(ข้อ 25)

เขาอาจรู้สึกถ่อมใจลงอย่างมากเมื่อพระเยซูทรงปรากฏแก่เขาและทรงตรัสว่า ‘เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ’ (ข้อ 27)

บาดแผลของพระเยซูมีไว้เพื่อเปิดเผยถึงความถ่อมใจและความรักที่เต็มไปด้วยการทรงอภัยของพระองค์ พระเยซูทรงยอมรับโธมัสอย่างที่เขาเป็น เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงยอมรับความท้าทายของพระองค์โดยไม่บ่นว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ

อย่ารู้สึกผิดที่จะสงสัยเหมือนกับโธมัส จงจริงใจเรื่องข้อสงสัยของคุณเอง และนำความสงสัยเหล่านั้นไปยังพระเยซู เมื่อพระเยซูตรัสข้อสงสัยของเขา การตอบสนองของโธมัสเป็นจุดสูงสุดของความเคารพยำเกรง และเกรงขาม เขาทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์!’ (ข้อ 28) จากจุดที่เต็มไปด้วยความสงสัย บางทีโธมัสอาจแถลงอย่างหนักแน่นที่สุดถึงความเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระเยซูในพระกิตติคุณทั้งหมด เขาเป็นคนแรกที่มองไปที่พระเยซูและเรียกพระองค์ว่า ‘พระเจ้า’ เขาพูดซึ่งโดยที่จริงแล้วคือ ‘ว้าว!’

พระเยซูเสด็จไปเพื่อบอกเขาว่าความเชื่อนำไปสู่พระพร (ข้อ 29) อันที่จริงนี่นำไปสู่ชีวิต ความเชื่อและชีวิตไปด้วยกันในพระกิตติคุณยอห์น (ข้อ 31) เพราะว่าหากคุณเชื่อในพระเยซู คุณมีชีวิต นี่เป็นชีวิตแท้จริงซึ่งมีคุณภาพสูง เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (10:10) ซึ่งดำเนินไปชั่วนิรันดร์ (3:16)

เหตุผลทั้งหมดที่ยอห์นบันทึกพระกิตติคุณของท่านคือเพื่อ ‘พวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์’ (20:31) การเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นรากฐานความหวังของเราในเรื่องชีวิตก่อนความตาย เช่นเดียวกับหลังความตาย

คำอธิษฐาน

พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพระองค์ วันนี้ข้าพระองค์นมัสการด้วยความเกรงขาม และเคารพในพระองค์
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 1:1-2:7

ดาวิดคร่ำครวญถึงซาอูลกับโยนาธาน

 1ต่อมาหลังจากซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อดาวิดกลับจากการโจมตีคนอามาเลข ดาวิดพักที่ศิกลากได้สองวัน 2พอวันที่สาม นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิด ก็ย่อตัวลงซบหน้าถึงดิน 3ดาวิดถามเขาว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบท่านว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายอิสราเอล” 4ดาวิดถามเขาว่า “ขอบอกข้าหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” และเขาตอบว่า “พวกทหารหนีจากสงครามแล้วล้มตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วย” 5ดาวิดจึงถามชายหนุ่มที่มาบอกนั้นว่า “เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของท่านสิ้นพระชนม์?” 6ชายหนุ่มที่บอกท่านนั้นตอบว่า “บังเอิญข้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา นี่แน่ะ ซาอูลทรงยืนพิงหอกของพระองค์อยู่ และนี่แน่ะ รถรบและทหารม้าก็มาใกล้พระองค์ 7เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมาเห็นข้าพเจ้า ก็เรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ข้าพระบาทอยู่ที่นี่’ 8พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าคือใคร?’ ข้าพเจ้าทูลตอบพระองค์ว่า ‘ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข’ 9พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เพราะเราเจ็บปวดสาหัส แต่เรายังมีชีวิตอยู่’ 10ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างๆ พระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า หลังจากทรงล้มแล้ว พระองค์ก็ไม่สามารถดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎบนพระเศียรและกำไลที่พระกร และข้าพเจ้าก็นำสิ่งเหล่านั้นมาให้เจ้านายของข้าพเจ้า”
 11แล้วดาวิดฉีกเสื้อของตน และคนทั้งปวงที่อยู่กับท่านก็ทำเหมือนกัน 12และพวกเขาคร่ำครวญและร้องไห้และอดอาหารจนถึงเวลาเย็น ให้ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และให้ประชากรของพระยาห์เวห์และพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะพวกเขาต้องล้มตายด้วยดาบ 13และดาวิดถามคนหนุ่มที่บอกท่านว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรของคนต่างด้าว คนอามาเลข” 14ดาวิดถามเขาว่า “ทำไมเจ้าไม่เกรงกลัวในการยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้” 15แล้วดาวิดก็เรียกคนหนึ่งในหมู่คนหนุ่มบอกว่า “จงไปฆ่าเขา” และเขาก็ฆ่าชายคนนั้นตาย 16ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า “ความผิดเรื่องความตายของเจ้าตกอยู่กับเจ้าภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า โลหิตของเจ้าตกบนหัวเจ้า เพราะปากของเจ้าปรักปรำตัวเจ้าเองว่า ‘ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’ ”
 17ดาวิดก็ครวญคร่ำตามคำคร่ำครวญต่อไปนี้ เพื่อซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ 18และท่านกล่าวว่า ควรจะสอนบทเพลงคันธนูภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า สอนคันธนูนี้แก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ นี่แน่ะ ถ้อยคำนั้นบันทึกไว้ในหนังสือยาชาร์ว่า

19“โอ อิสราเอลเอ๋ย ศักดิ์ศรีของท่านถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน
 วีรบุรุษล้มลงได้อย่างไร
20อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท
 อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองอัชเคโลน
เกรงว่าพวกบุตรีคนฟีลิสเตียจะร่าเริง
 เกรงว่าพวกบุตรีของพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตจะลิงโลด
21“เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย
 ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้า
หรือทุ่งนาที่ให้เครื่องถวาย
 เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษมลทินแล้ว
โล่ของซาอูลไม่ได้ถูกเจิมด้วยน้ำมันอีกต่อไป
22คันธนูของโยนาธานไม่ได้หันกลับมา
 จากโลหิตของพวกที่ถูกฆ่า
จากไขมันของเหล่านักรบ
 และดาบของซาอูลก็ไม่ได้กลับมาว่างเปล่า
23“ซาอูลและโยนาธานเอ๋ย ผู้เป็นที่รักและน่ายินดี
 จะอยู่หรือมรณา ทั้งสองไม่แยกจากกัน
ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี
 ทั้งสองแข็งแรงกว่าสิงห์
24บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล
 ผู้ทรงประดับพวกเจ้าอย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม
 และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำเหนือเครื่องแต่งกายของพวกเจ้า
25วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ
 ในศึกสงคราม
 โยนาธานก็ถูกสังหารอยู่บนที่สูงของท่าน
26โยนาธานพี่ชายของข้าเอ๋ย ข้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน
 ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้ามาก
 ความรักของท่านที่มีต่อข้านั้นอัศจรรย์เหนือกว่าความรักของสตรี
27วีรบุรุษล้มลงได้อย่างไร
 และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป”

2 ซามูเอล 2

ตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือยูดาห์

 1หลังจากเหตุการณ์นี้ ดาวิดทูลถามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปยังเมืองหนึ่งของยูดาห์หรือไม่?” และพระยาห์เวห์ตรัสตอบท่านว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปที่ไหน?” พระองค์ตรัสว่า “ที่เมืองเฮโบรน” 2ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั้นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของท่านด้วยคือ อาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล 3และดาวิดก็นำคนที่อยู่กับท่านขึ้นไปทุกคน พาครอบครัวไปด้วย และพวกเขาก็อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ รอบเฮโบรน 4และคนยูดาห์ก็มาเจิมตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์
 เมื่อมีคนมาทูลดาวิดว่า “ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ฝังพระศพซาอูล” 5ดาวิดทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปหาชาวยาเบชกิเลอาดนั้น พูดกับพวกเขาว่า “ขอพวกท่านรับพระพรจากพระยาห์เวห์ ที่ท่านแสดงความเมตตานี้ต่อซาอูลเจ้านายของพวกท่าน และได้ฝังพระศพพระองค์ 6บัดนี้ขอพระยาห์เวห์สำแดงความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ต่อพวกท่าน และข้าพเจ้าจะทำความดีนี้ต่อพวกท่านเพราะสิ่งนี้ที่ท่านได้ทำ 7เพราะฉะนั้น ขอให้มือของพวกท่านเข้มแข็ง และขอให้พวกท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของพวกท่านสิ้นพระชนม์แล้ว และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้เจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา”

อรรถาธิบาย

ความเคารพ

ท่าทีของดาวิดต่อซาอูลนั้นเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งเรื่องวิธีการตอบสนองต่อคนที่พยายามทำร้ายคุณ ดาวิดไม่ได้พยายามแก้แค้น เขาไม่ได้ขมขื่น เขาปฏิบัติต่อซาอูลด้วยความเคารพสูงสุด นอกจากนี้พระเจ้าทรงเคยใช้ซาอูลอย่างใหญ่หลวงในอดีต ความจริงที่ว่าซาอูลได้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ได้ลบล้างความเคารพที่ดาวิดมีออกไป

ท่าทีของดาวิดต่อซาอูลนั้นจะไม่ธรรมดา เขาพูดกับคนอามาเลขที่อ้างว่าได้สังหารซาอูลว่า ‘ทำไมเจ้าไม่เกรงกลัวในการยื่นมือออกทำลายผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้?’ (1:14) คนอามาเลขอาจพยายามจะหาประโยชน์จากการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอาจเป็นพวกแร้งทึ้งศพ ผู้นำเอาเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาจากซาอูลเพื่อหวังความโปรดปรานจากดาวิด ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์กับเขา เพราะความเคารพที่ดาวิดมีต่อซาอูล

ดาวิดคร่ำครวญต่อการตายของโยนาธานเพื่อนรักของตนและต่อซาอูล (ข้อ 19–27) การคร่ำครวญนั้นเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ จำเป็น และเหมาะสมต่อการเสียชีวิตของคนที่เรารัก

สำคัญที่สุด ดาวิดเคารพต่อองค์พระเจ้า เขา ‘ทูลถามพระเจ้า’ (2:1) เขาทูลถามว่า ‘ข้าพระองค์ควรขึ้นไปยังเมืองหนึ่งของยูดาห์หรือไม่?” และพระยาห์เวห์ตรัสตอบท่านว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปที่ไหน?” พระองค์ตรัสว่า “ที่เมืองเฮโบรน; ดาวิดเชื่อฟัง และได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักและเคารพทุกคนที่พระองค์ทรงเจิมตั้งไว้ในบทบาทผู้นำ ไม่ว่าเขาจะสนับสนุนเราหรือไม่ก็ตาม ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ดำเนินชีวิตแห่งการยำเกรง การเกรงขาม และการให้ความเคารพ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ยอห์น 20:10

ฉันสนใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง จากคนทั้งหมดที่พระเยซูทรงสามารถปรากฏกับพวกเขา พระเยซูทรงเลือกที่จะปรากฏพระองค์เป็นครั้งแรกกับมารีย์ มักดาลา พระองค์ไม่ได้ทรงไปหาพวกสาวกรุ่นใหญ่ (หรือแม้กระทั่งมารดาของพระองค์เอง!) แต่กลับไปหาผู้หญิงที่ไม่มีใครในโลกให้ความสำคัญ

ข้อพระคำประจำวัน

ยอห์น 20:19

พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย”’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม