วัน 153

‘คลั่งรัก’

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 69:1-12
พันธสัญญาใหม่ ยอห์น 21:1-25
พันธสัญญาเดิม 2 ซามูเอล 2:8-3:21

เกริ่นนำ

คุณแม่ของ ฟรานซิส ชาน เสียชีวิตขณะคลอดเขาออกมา ความรักใคร่เดียวที่เขาจำได้คือได้รับจากคุณพ่อ ซึ่งนานประมาณสามสิบวินาทีขณะกำลังไปที่งานศพของแม่เลี้ยงตอนอายุได้เก้าขวบ เมื่อเขาอายุสิบสองปี คุณพ่อก็เสียชีวิตลง ฟรานซิสร้องไห้ แต่ก็รู้สึกโล่งอกด้วย

ตอนนี้ฟรานซิสเป็นศิษยาภิบาล เขาและลิซ่า ภรรยาของเขามีลูกเจ็ดคน เมื่อลูก ๆ เกิดมา ความรักของเขาเองต่อลูก ๆ และความปรารถนาของเขาที่จะให้ลูกรักตอบนั้นช่างแรงกล้า จนเปิดตาของเขาว่าพระเจ้าทรงปรารถนาและรักเรามากเพียงไร เขาพูดว่า ‘จากประสบการณ์นี้ ผมได้เข้าใจว่าความปรารถนาของผมต่อลูก ๆ นั้นเป็นเพียงเสียงสะท้อนของความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อผม และสำหรับทุกคนที่พระองค์ทรงสร้าง…ผมรักลูกของผมมากจนเจ็บปวด’

การตั้งชื่อหนังสือเล่มแรกของเขา Crazy Love เขาเขียนว่า ‘แนวคิดของการคลั่งรักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ตลอดชีวิต ผมเคยได้ยินคนพูดว่า “พระเจ้ารักคุณ” นี่อาจเป็นคำพูดบ้าบอที่สุดที่คุณสามารถพูดว่าองค์พระผู้สร้างนิรันดร์กาลแห่งจักรวาลนี้ตกหลุมรักผม มีการตอบสนองที่ควรเกิดขึ้นกับผู้เชื่อ ปฏิกิริยาบ้าคลั่งต่อความรักนั้น คุณเข้าใจจริง ๆ หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อคุณ? ถ้าเข้าใจ ทำไมการตอบสนองของคุณจึงยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นนี้?”

คำว่า ‘การเอาอกเอาใจ' บ่งเป็นนัยถึงความปรารถนาที่เข้มข้นหรือร้อนแรง มันอาจผิดทิศทางได้ แต่ตามที่เปาโลเขียน เป็นเรื่องถูกต้องที่จะเอาอกเอาใจหากวัตถุประสงค์นั้นดี (กาลาเทีย 4:18) ในที่อื่น ๆ เขากล่าวว่า ‘อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้น’ (โรม 12:11) บางทีการตีความสมัยใหม่ดี ๆ ของคำว่า ‘กระตือรือร้น’ คือคำว่า ‘คลั่งรัก’

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 69:1-12

คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากการข่มเหง

ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองพลับพลึง ของดาวิด

1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด
 เพราะน้ำขึ้นมาถึงคอข้าพระองค์แล้ว
2ข้าพระองค์จมอยู่ในเลนลึก
 ไม่มีที่ยืน
ข้าพระองค์มาอยู่ในน้ำลึก
 และน้ำท่วมข้าพระองค์
3ข้าพระองค์เหนื่อยอ่อนกับการร้องไห้
 คอของข้าพระองค์แห้งผาก
ตาของข้าพระองค์มัวลง
 ด้วยการรอคอยพระเจ้าของข้าพระองค์
4คนที่เกลียดชังข้าพระองค์อย่างไร้เหตุผล
 มีมากยิ่งกว่าเส้นผมบนศีรษะข้าพระองค์
คนที่ทำลายข้าพระองค์ก็มากมาย
 คือพวกศัตรูผู้ใส่ร้ายข้าพระองค์
บัดนี้ข้าพระองค์จะต้องส่งคืน
 สิ่งที่ข้าพระองค์มิได้ขโมยไปหรือ?
5ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบถึงความโง่ของข้าพระองค์
 ความผิดทั้งหลายของข้าพระองค์จะซ่อนไว้จากพระองค์ไม่ได้
6ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายผู้ทรงเป็นจอมทัพ
 ขออย่าให้บรรดาผู้ที่หวังในผู้ที่หวังพระองค์ต้องอับอายเพราะข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของอิสราเอล
 ขออย่าให้บรรดาผู้ที่เสาะหาพระองค์ต้องขายหน้าเพราะข้าพระองค์
7เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ได้แบกรับการเยาะเย้ย
 ความขายหน้าได้คลุมหน้าข้าพระองค์
8ข้าพระองค์กลายเป็นแขกแปลกหน้าสำหรับพี่น้อง
 และเป็นคนต่างด้าวสำหรับบุตรทั้งหลายของมารดา
9ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์ได้เผาผลาญข้าพระองค์
 และคำเยาะเย้ยของผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ตกแก่ข้าพระองค์
10เมื่อข้าพระองค์ร้องไห้และอดอาหาร
 มันกลายเป็นการเยาะเย้ยข้าพระองค์
11เมื่อข้าพระองค์ใช้ผ้ากระสอบเป็นเครื่องนุ่งห่ม
 ข้าพระองค์กลับเป็นขี้ปากของพวกเขา
12คนที่นั่งที่ประตูเมืองก็พูดเรื่องข้าพระองค์
 คนขี้เมาแต่งเพลงร้องเย้ยข้าพระองค์

อรรถาธิบาย

‘คลั่งรัก’ ต่อพระนิเวศของพระเจ้า

ดาวิดรักพระเจ้าอย่างยิ่งจนรู้สึกว่าใครก็ตามที่ดูหมิ่นพระเจ้า ถือว่าดูหมิ่นตนด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องเจ็บปวดที่ได้ยินผู้คนหมิ่นประมาทพระเจ้า 'คำเยาะเย้ยของผู้ที่เยาะเย้ยพระองค์ตกแก่ข้าพระองค์’ (ข้อ 9ข)

ดาวิดเขียนว่า ‘…ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์ได้เผาผลาญข้าพระองค์’ (ข้อ 9ก) ดาวิดร้อนรนเรื่องนิเวศของพระเจ้าอย่างยิ่งเพราะว่านั่นเป็นสถานที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทรงสถิตของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ พระคัมภีร์ฉบับ The Message อธิบายความร้อนรนที่เขาแสดงออกในข้อพระธรรมนี้ว่า ‘เพราะว่าข้าพระองค์รักพระองค์อย่างบ้าคลั่ง’ (ข้อ 9ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ถ้อยคำเหล่านี้ถูกประยุกต์ใช้โดยเหล่าสาวกถึงพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงชำระพระวิหาร (ยอห์น 2:17) ด้วยความร้อนใจเรื่องพระนิเวศของพระเจ้า พระเยซูทรงขับไล่พวกที่พยายามหากำไรจากสถานนมัสการ หาประโยชน์จากผู้ที่ต้องการใกล้ชิดพระเจ้า

ดาวิดร้อนรนที่จะไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าต้องเสื่อมเสีย เขาไม่ได้อยากให้ใครก็ตามต้องเสื่อมเสียเพราะตน ‘อย่าให้ผู้ที่มองไปยังพระองค์ในความหวังจะท้อใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์’ (สดุดี 69:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขารู้ถึงความโง่เขลาและความผิดของตนเหมือนที่ผมรู้ของผมดี ‘ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบถึงความบาปทุกอย่างที่ข้าพระองค์ทำ ชีวิตของข้าพระองค์เป็นเหมือนหนังสือที่กางออกต่อหน้าพระองค์’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดาวิดกังวลว่าสิ่งนี้อาจทำให้นิเวศของพระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติ

ปัจจุบัน นิเวศของพระเจ้า พระวิหาร คือพระคริสต์และพระกายของพระองค์ คริสตจักรของพระองค์ (1 เปโตร 2:5) ไม่มีอะไรผิดในการร้อนรนเพื่อคริสตจักร ให้เรากระตือรือร้นที่จะเห็นพระนามของพระเจ้าได้รับเกียรติในคริสตจักรของพระองค์ในปัจจุบัน

โดยส่วนตัวแล้ว ผมได้รับแรงบันดาลใจเมื่อผมเห็นความร้อนรนเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า ความร้อนรนในการนมัสการ “เอนตัวเข้าไปหา” ในการพูดคุย ซึ่งเป็นการต้อนรับอันยอดเยี่ยมต่อผู้ที่มาใหม่ทุกคน

การร้อนรนเป็นแรงบันดาลใจและติดต่อกันได้ เราต้องการคลั่งรักมากกว่าเดิมในคริสตจักรทุกวันนี้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเผาผลาญข้าพระองค์ด้วยความร้อนรนต่อพระนามของพระองค์และคริสตจักรของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ยอห์น 21:1-25

การทรงปรากฏแก่สาวกเจ็ดคน

 1ต่อมาพระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้ 2คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าดิดุโมสหมายถึง แฝด นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคน กำลังอยู่ด้วยกัน 3ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย
 4เมื่อถึงรุ่งเช้า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู 5พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ?” เขาตอบว่า “ยัง” 6พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว 7สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก บอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล 8แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมาและลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น
 9เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง 10พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง” 11ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด 12พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 13พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย 14นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว

พระเยซูกับเปโตร

 15เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?” เขาทูลพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด” 16พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” 17พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด 18เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป” 19(ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด) เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด”

พระเยซูกับสาวกที่พระองค์ทรงรัก

 20เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา (สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงใกล้พระองค์ขณะรับประทานอาหารและทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะทรยศพระองค์เป็นใคร?”) 21เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?” 22พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด” 23เพราะฉะนั้นคำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูไม่ได้ตรัสกับเขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน?”
 24สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง
 25พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น

อรรถาธิบาย

‘คลั่งรัก' เพื่อพระเยซู

นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงปรากฏกับเหล่าสาวก (ครั้งที่สี่เมื่อรวมครั้งมารีย์ มักดาลาด้วย) (ข้อ 14)

พระเยซูทรงปรากฏในความปกติธรรมดาของชีวิตประจำวันทั่วไป คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเป็นพิเศษ พระเยซูทรงพบคุณได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน เปโตรกำลังจับปลา สาวกหกคนร่วมอยู่กับเขา พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าควรจับปลาที่ไหน และจากนั้นก็ทำอาหารเช้าให้กับพวกเขา นี่คือพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ผู้เดียวซึ่งทรงสร้างกัลปักษ์จักรวาล ตรัสกับสหายของพระองค์ว่า ‘มารับประทานอาหารกันเถิด’ (ข้อ 12) พระเจ้าผู้ทรงสำแดงในพระเยซูคริสต์ทรงยืนยันถึงชีวิตและความสนุกอะไรเช่นนี้!

เมื่อยอห์นจำพระเยซูได้ เขาหันไปบอกเปโตรว่า ‘เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 7ก) เปโตรตื่นเต้นมากทั้งยังกระตือรือร้นและร้อนรนที่จะมาหาพระเยซูให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ‘เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล’ (ข้อ 7ข)

บางครั้งในความกระตือรือร้นและร้อนรน เราอาจทำอะไรบางอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ได้ แต่สิ่งสำคัญคือหัวใจแห่งความรักและร้อนรนต่อพระเยซู นัยน์ตาของเปโตรตรึงแน่นอยู่ที่พระเยซู ทั้งหมดที่เขาต้องการคือได้อยู่กับพระเยซู

ในบทสนทนาของพระเยซูกับเปโตรหลังจากอาหารเช้า เราได้เห็นว่า การมีความรักร้อนรนต่อพระเยซูหมายถึงอะไร:

  1. ความรักสูงสุด

พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า ‘ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?’ (ข้อ 15) ‘พวกนี้หรือ' อาจอ้างถึงเครื่องมือจับปลาหรือสาวกคนอื่น ๆ ไม่ว่านี่จะหมายถึงอะไร พระเยซูทรงเรียกเขาให้ทำให้ความรักที่เขามีต่อพระเยซูเป็นความรักสูงสุด ความรักของเราต่อพระเยซูควรมีมากกว่าความรักของเราต่อสิ่งอื่นใด

ความร้อนรนของเปโตรไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีอุปสรรค เขาเคยปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง ดังนั้นพระเยซูจึงให้โอกาสเขาสามครั้งเพื่อยืนยันความรักของเขาสามครั้ง สามครั้งที่เปโตรทูลพระเยซูว่า ‘ข้าพระองค์รักพระองค์' (ข้อ 15–17)

  1. ความรักที่เสียสละ

พระเยซูทรงบอกใบ้เปโตรว่าความรักของเขา และความร้อนรนต่อพระเยซู และคริสตจักรของพระองค์นั้นมีราคาที่ต้องจ่าย ที่สุดแล้ว สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้เปโตรเสียชีวิต พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘“เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป” พระเยซูตรัสสิ่งนี้เพื่อบอกเป็นนัยว่า ความตายแบบใดซึ่งทำให้เปโตรได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า' (ข้อ 18–19) สิ่งนี้เป็นหลักฐานแรก ๆ ของการสละชีพเพื่อความเชื่อของเปโตรโดยการถูกตรึง การเป็นสาวกของพระเยซูนั้นเป็นเรื่องอันตราย

เมื่อเปโตรถูกบอกเรื่องนี้ เขาก็หันไป เห็นยอห์นและทูลถามถึงอนาคตของเขา ในช่วงเวลาสนิทสนมกับพระเยซูนี้ เปโตรวอกแวกไปด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับยอห์น พระเยซูทรงบอกเขาอย่างสุภาพว่าให้สนใจแต่เรื่องของตัวเอง บางสิ่งที่คุ้มค่าน่าจดจำเมื่อเราถูกล่อลวงให้เปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น ๆ

  1. ความรักที่ปรนนิบัติรับใช้

แต่ละครั้งที่เปโตรทูลพระเยซูว่า ‘ข้าพระองค์รักพระองค์' พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า ‘จงเลี้ยงดูลูกแกะของเรา…จงดูแลแกะของ​เรา…จงเลี้ยงดูแกะของเรา‘ (ข้อ 15–17) เปโตรสามารถนำทาง เลี้ยงดู และรับผิดชอบผู้คนได้ต่อเมื่อเขารักพระเยซูอย่างร้อนรน

จากนั้นพระเยซูตรัสกับเปโตรง่าย ๆ ว่า ‘จงตามเรามาเถิด!’ (ข้อ 19) ความคลั่งรักต่อพระเยซูนี้หมายถึงการทำตามแบบอย่างของพระองค์ในความรัก พระเยซูทรงสำแดงตัวอย่างสูงสุดของความรักที่ปรนนิบัติรับใช้ พระองค์ตรัสว่า ‘ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน’ (15:13) พระองค์ทรงประทานตัวอย่างในเชิงปฏิบัติว่าความรักที่ปรนนิบัติรับใช้ประเภทนี้เกี่ยวข้องกับอะไร เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเหล่าสาวก (ยอห์น 13) เป็นการผูกพันตัวที่จะช่วยคนอื่น ๆ ไม่ว่าเรารู้สึกกับพวกเขาอย่างไรก็ตาม ที่จะเติบโตในความรักที่พวกเขามีต่อพระเยซู ไม่ใช่การพยายามควบคุมพวกเขา แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขา

พระเยซูทรงเรียกคุณสู่ความรักแบบเดียวกัน แสดงความรักร้อนรนของคุณต่อพระเยซู โดยรักคนอื่น ๆ อย่างร้อนรน อุทิศตัวคุณเองเพื่อดูแลฝูงแกะของพระองค์

เปโตรนั้นเต็มใจที่จะให้พระเยซูเป็นความรักสูงสุดแห่งชีวิตของเขา เขาเต็มใจที่จะจ่ายราคา และดำเนินตามรอยเท้าของพระองค์ในความรักที่ปรนนิบัติรับใช้ เขารักพระองค์ผู้ทรงทำหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตอันสั้น ของพระองค์ในโลกนี้ซึ่ง ‘ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (21:25)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รักพระองค์เหมือนอย่างที่เปโตรได้รัก ที่จะร้อนรนเพื่อพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ และเต็มใจที่จะจ่ายราคา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพื่อติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด
พันธสัญญาเดิม

2 ซามูเอล 2:8-3:21

อิชโบเชทกษัตริย์ของอิสราเอล

 8ฝ่ายอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม 9และได้สถาปนาท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือเมืองกิเลอาด และเหนือคนอาชูร์ คนยิสเรเอล คนเอฟราอิม คนเบนยามิน และคนอิสราเอลทั้งหมด 10เมื่ออิชโบเชทราชโอรสของซาอูลทรงเริ่มเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลนั้น มีพระชนมายุ 40 ปี และทรงครองราชย์อยู่ 2 ปี แต่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ติดตามดาวิด 11เวลาที่ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นจำนวน 7 ปีกับ 6 เดือน

สงครามที่กิเบโอน

 12อับเนอร์บุตรเนอร์และทหารของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล ได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน 13และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์กับทหารของดาวิด ก็ออกไปพบกับพวกเขาที่สระเมืองกิเบโอน และพวกเขาก็นั่งที่ขอบสระข้างนี้ อีกพวกหนึ่งข้างโน้น 14อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า “ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นรบกันเล่นให้เราดูสิ” และโยอาบตอบว่า “ให้พวกเขาลุกขึ้นซี” 15พวกเขาก็ลุกขึ้นข้ามไปตามจำนวนที่นับไว้ ฝ่ายเบนยามินและฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลมี 12 คน ฝ่ายพวกมหาดเล็กของดาวิดก็มี 12 คน 16ต่างก็จับศีรษะคู่ต่อสู้แน่น และปักดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ล้มตายด้วยกัน เขาจึงเรียกที่นั่นว่า เฮลขัทฮัสซูริมแปลว่า สนามมีดคม ซึ่งอยู่ในกิเบโอน 17การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก อับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็แพ้ทหารของดาวิด
 18บุตรทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็อยู่ที่นั่นคือ โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮล ฝ่ายอาสาเฮลนั้นฝีเท้าเร็วอย่างกับละมั่งป่า 19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็ไม่ได้เลี้ยวไปทางขวา หรือทางซ้ายจากการตามอับเนอร์ 20อับเนอร์เหลียวหลังมาพูดว่า “นั่นอาสาเฮลหรือ?” เขาตอบว่า “ข้าเอง” 21อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาของของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่ยอมละจากการไล่ตามอับเนอร์ 22อับเนอร์จึงบอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า “จงหันกลับจากตามข้า จะให้ข้าฟาดเจ้าล้มลงดินทำไมเล่า? แล้วข้าจะเงยหน้าดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร?” 23แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะหันกลับ เพราะฉะนั้น อับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และทุกคนซึ่งมาเห็นที่อาสาเฮลล้มตายที่นั่นก็ยืนนิ่ง
 24แต่โยอาบกับอาบีชัยไล่ตามอับเนอร์ไป ดวงอาทิตย์ก็ตกเมื่อเขาทั้งสองมาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ข้างหน้ากียาห์ตามทางไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน 25และคนเบนยามินก็รวมกันตามอับเนอร์ไป เป็นกลุ่มหนึ่ง ยืนอยู่บนยอดเขา 26แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า “จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ? ท่านไม่ทราบหรือที่สุดจะกลายเป็นความขมขื่น? อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งพวกทหารของท่านให้หันกลับจากการไล่ตามพี่น้องของพวกเขา?” 27และโยอาบจึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้น พวกทหารก็จะไล่ตามพวกพี่น้องของเขาจนพรุ่งนี้เช้า” 28โยอาบจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้น พวกทหารทั้งปวงก็ไม่ไล่ตามอิสราเอล และไม่สู้รบกันอีกต่อไป
 29อับเนอร์กับพวกของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในอาราบาห์ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไปทั่วบิทโรน และมาถึงมาหะนาอิม 30โยอาบก็กลับจากการไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมทหารทั้งหมด ทหารของดาวิดก็ขาดไป 19 คนไม่นับอาสาเฮล 31แต่ทหารของดาวิดฆ่าคนเบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไป 360 คน 32และพวกเขายกศพอาสาเฮลไปฝังไว้ในอุโมงค์ของบิดาของเขา ซึ่งอยู่ที่เมืองเบธเลเฮม โยอาบและพวกของท่านก็เดินทางตลอดคืนและมาถึงเมืองเฮโบรนเมื่อรุ่งสาง

2 ซามูเอล 3

อับเนอร์หันไปฝักใฝ่ดาวิด

 1มีสงครามระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิดอยู่นาน และดาวิดก็เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนฝ่ายของซาอูลก็อ่อนกำลังลงทุกที
 2มีพระราชโอรสหลายองค์ของดาวิดประสูติที่เมืองเฮโบรน พระราชโอรสหัวปีคืออัมโนน โอรสพระนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล 3องค์ที่สองคือคิเลอาบ โอรสพระนางอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลชาวคารเมล และองค์ที่สามคืออับซาโลม โอรสพระนางมาอาคาห์พระราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์ 4องค์ที่สี่คืออาโดนียาห์ โอรสพระนางฮักกีท องค์ที่ห้าคือเชฟาทิยาห์ โอรสพระนางอาบีทัล 5และองค์ที่หกคืออิทเรอัม โอรสพระนางเอกลาห์พระมเหสีของดาวิด พระราชโอรสเหล่านี้ของดาวิดประสูติที่เมืองเฮโบรน
 6ต่อมาเมื่อมีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิดนั้น อับเนอร์ได้ทำตัวให้มั่นคงขึ้นในฝ่ายของซาอูล 7ซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ และอิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า “ทำไมท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา?” 8อับเนอร์ก็โกรธมากเพราะถ้อยคำของอิชโบเชท จึงทูลว่า “ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ? ทุกวันนี้ข้าพระบาทได้สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท และต่อพี่น้อง และต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ไม่ได้มอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของดาวิด วันนี้ฝ่าพระบาทยังกล่าวหาข้าพระบาทด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้ 9ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และขอทรงเพิ่มโทษนั้น ถ้าข้าพระบาทจะไม่ทำเพื่อดาวิดดังที่พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณไว้ต่อท่านแล้ว 10คือข้าพระบาทจะย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา” 11และอิชโบเชทก็ไม่ทรงสามารถตอบกลับอับเนอร์แม้แต่คำเดียว เพราะพระองค์ทรงกลัวอับเนอร์
 12อับเนอร์ก็ส่งพวกผู้สื่อสารแทนตนไปยังดาวิดทูลว่า “แผ่นดินนี้เป็นของใคร?” และทูลอีกว่า “ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระบาท และดูเถิด มือของข้าพระบาทจะอยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทเพื่อนำอิสราเอลทั้งสิ้นหันกลับมาอยู่ฝ่ายฝ่าพระบาท” 13ดาวิดตรัสว่า “ดีแล้ว เราจะทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอจากท่านสักอย่างหนึ่งคือว่า ท่านอย่ามาพบเรา เว้นแต่ว่าท่านนำมีคาลราชธิดาของซาอูลมาด้วยเมื่อท่านมาพบเรา” 14แล้วดาวิดก็ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลว่า “จงมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าหมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของพวกฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น” 15อิชโบเชทจึงทรงส่งคนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช 16แต่สามีของเธอก็เดินไปกับเธอ ร้องไห้ตามเธอไปจนถึงตำบลบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงกลับไป” และเขาก็กลับไป
 17อับเนอร์จึงปรึกษากับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า “ก่อนหน้านี้พวกท่านปรารถนาให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือพวกท่าน 18บัดนี้จงทำดังนั้น เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า ‘เราจะช่วยกู้อิสราเอลประชากรของเราด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา จากมือของพวกฟีลิสเตีย และจากมือศัตรูทั้งสิ้นของพวกเขา’ ” 19อับเนอร์ก็พูดกับคนเบนยามินด้วย และอับเนอร์ก็ไปทูลดาวิด ที่เมืองเฮโบรนถึงทุกสิ่งที่อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของเบนยามินเห็นดีที่จะทำ 20อับเนอร์จึงมาเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรนพร้อมกับคนอีก 20 คน ดาวิดทรงจัดการเลี้ยงอับเนอร์กับคนที่อยู่กับท่าน 21และอับเนอร์ทูลดาวิดว่า “ข้าพระบาทจะลุกขึ้นกลับไป และจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายังพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพื่อพวกเขาจะทำพันธสัญญากับฝ่าพระบาท และเพื่อฝ่าพระบาทจะทรงครอบครองทั้งหมดตามชอบพระทัยของฝ่าพระบาท” ดาวิดก็ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และเขาก็ไปโดยสวัสดิภาพ

อรรถาธิบาย

‘คลั่งรัก’ เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกัน

ด้วยการเสียชีวิตของซาอูล แผ่นดินอิสราเอลและยูดาห์แยกออกจากกัน ​อับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า 'จะให้เราฆ่าฟันกันเองไปจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายหรือ? ท่านไม่ทราบหรือที่สุดจะกลายเป็นความขมขื่น?’ (2:26 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เสียงร้องนี้ยังคงกังวานอยู่ในยุคสมัยใหม่เมื่อเรามองเห็นความวุ่นวายและการแบ่งแยกกันในตะวันออกกลาง

‘มีสงคราม...อยู่นาน’ (3:1) ‘อับ​เนอร์ก็ส่งพวกผู้สื่อสารแทนตนไปยังดาวิดทูลว่า "แผ่นดินนี้เป็นของใคร?”' (ข้อ 12) อีกครั้งที่คำถามนี้ยังคงถูกถามอยู่ในทุกวันนี้

อับเนอร์ยังคงทูลต่อไปอีกว่า ‘ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระบาท และดูเถิด มือของข้าพระบาทจะอยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทเพื่อนำอิสราเอลทั้งสิ้นหันกลับมาอยู่ฝ่ายฝ่าพระบาท’ (ข้อ 12) ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น และอย่างน้อยสักช่วงเวลาหนึ่ง แผ่นดินก็ได้รวมติดเป็นอาณาจักรเดียวกัน

การขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นทำลายล้างอย่างมาก เราได้เห็นสิ่งนี้ในตะวันออกกลางในปัจจุบัน เราควรปรารถนาความเป็นหนึ่งเดียวกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อธิษฐานเผื่อสันติภาพและทางออกสำหรับตะวันออกกลาง ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ปรารถนาที่จะแสวงหาสันติ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และการคืนดีกันในคริสตจักรของข้าพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 ซามูเอล 3:14–16

‘แล้วดาวิดก็ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลว่า “จงมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าหมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของพวกฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น” อิชโบเชทจึงทรงส่งคนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช แต่สามีของเธอก็เดินไปกับเธอ ร้องไห้ตามเธอไปจนถึงตำบลบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงกลับไป” และเขาก็กลับไป’

ฉันรู้ว่ามีคาลนั้นหมั้นหมายกับดาวิดตามกฎหมาย แต่ฉันไม่แน่ใจว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในการอภิบาล ปัลทีเอลสามีที่น่าสงสารของเธอดูเหมือนจะเสียใจมาก ไม่มีใครถามความเห็นของมีคาล และดาวิดเองก็ดูเหมือนไม่ได้จำเป็นที่ต้องมีภรรยาเพิ่ม เขามีภรรยาอยู่แล้วอย่างน้อย 6 คน (2 ซามูเอล 3:2–5) ฉันคิดว่าเธอคงมีความสุขมากกว่าถ้าเธอได้อยู่กับปัลทีเอล

ข้อพระคำประจำวัน

ยอห์น 21:25

‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม