วัน 83

พระเจ้าอยากให้คุณอัศจรรย์ใจ

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 37:10-20
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 5:17-32
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 16:36-18:32

เกริ่นนำ

‘ยานอีเกิลได้ลงจอดแล้ว’ นีล อาร์มสตรองกล่าว ประธานาธิบดีนิกสัน อธิบายต่อผู้ที่กำลังรับชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ว่า ‘นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเรา’ สมเด็จพระสันตะปาปาทรงกล่าวคำปราศรัยว่า“พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์โปรดปรานนั้น”

เมื่อเวลา 3:56 น. ของวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 นีล อาร์มสตรองได้ก้าวลงบันไดของยานอีเกิล สู่พื้นผิวดวงจันทร์ เขากล่าวว่า ‘นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของมวลมนุษยชาติ’ เมื่อเขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่เดินบนดวงจันทร์

ในช่วงเวลานั้นเริ่มมีการใช้โทรทัศน์เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่น่าทึ่งนี้จึงถือเป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคนเห็นในวงกว้าง และเป็นที่รับรู้ได้ในทันที โลกทั้งโลกมองดูด้วยความทึ่งและอัศจรรย์ใจ

เจมส์ เออร์วิน นักบินอวกาศอีกคนที่เดินบนดวงจันทร์กล่าวว่า ‘พระเยซูทรงดำเนินบนโลกนี้สำคัญกว่ามนุษย์ที่เดินบนดวงจันทร์’ เมื่อผู้คนเห็นสิ่งที่พระเยซูทรงทำ พวกเขาก็มองดูด้วยความน่าทึ่งและอัศจรรย์ใจ ‘ทุกคนก็อัศจรรย์ใจ... ต่างเต็มไปด้วยความเกรงกลัว’ (ลูกา 5:26)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 37:10-20

10ยังอีกหน่อยหนึ่ง คนอธรรมจะไม่มีอีก
 แม้จะมองดูที่ของเขาให้ดี เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น
11แต่คนที่ถ่อมใจจะได้แผ่นดินเป็นมรดก
 และจะปีติยินดีในความสมบูรณ์พูนสุข
12คนอธรรมวางแผนทำร้ายคนชอบธรรม
 และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา
13แต่องค์เจ้านายทรงพระสรวลคนอธรรม
 เพราะทอดพระเนตรเห็นวันเวลาของเขากำลังมาถึง
14คนอธรรมชักดาบและโก่งคันธนู
 เพื่อล้มคนยากจนและคนขัดสน
 เพื่อสังหารคนที่ดำเนินชีวิตอย่างเที่ยงธรรม
15แต่ดาบของเขาจะแทงเข้าไปในใจของเขาเอง
 และคันธนูของเขาจะหัก
16เล็กๆ น้อยๆ ที่คนชอบธรรมมี ก็ดีกว่า
 ความอุดมสมบูรณ์ของคนอธรรมมากมาย
17เพราะแขนของคนอธรรมจะหัก
 แต่พระยาห์เวห์ทรงค้ำจุนคนชอบธรรม
18พระยาห์เวห์ทรงทราบวันเวลาของคนที่ดีพร้อม
 และมรดกของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
19เขาจะไม่อับอายในเวลาเลวร้าย
 ในยามขาดแคลนเขาจะมีบริบูรณ์
20แต่คนอธรรมจะพินาศ
 ศัตรูของพระยาห์เวห์เป็นเหมือนศักดิ์ศรีของทุ่งหญ้า
 เขาอันตรธานไป อันตรธานไปเหมือนควัน

อรรถาธิบาย

เกรงขามและอัศจรรย์ใจกับการทรงเลือกของพระเจ้า

คุณเคยรู้สึกเกรงขามและอัศจรรย์ใจกับคนที่พระเจ้าทรงเลือกไหม? ในขณะที่โลกมักจะให้ความสำคัญกับคนที่มี ‘ความอุดมสมบูรณ์’ (ข้อ 16) และ ‘อำนาจ (แขน)’ ของคนอธรรม (ข้อ 17) แต่พระเจ้าไม่ทรงเป็นเช่นนั้น ‘แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าโง่ เพื่อทำให้พวกมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้พวกที่แข็งแรงอับอาย เพื่อไม่ให้มนุษย์สักคนหนึ่งโอ้อวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้’ (1 โครินธ์ 1:27–29) พระเจ้าทรงเลือก:

1.\tผู้ที่ถ่อมใจ

คนที่ถ่อมใจจะได้แผ่นดินเป็นมรดกและจะปีติยินดี’ (สดุดี 37:11) ความถ่อมใจไม่ได้หมาย ความว่า อ่อนแอ ใจเสาะ หรือเปราะบาง เป็นคำที่โมเสสได้ใช้ (กันดารวิถี 12:3, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก Revised Standard Version โดยผู้แปล) พระเยซูทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่าถ่อมตน (มัทธิว 11:29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Revised Standard Version โดยผู้แปล) แปลว่า อ่อนโยน มีน้ำใจ และไม่โอ้อวด

สิ่งนี้ตรงข้ามกับความหยิ่งทะนงและเห็นแก่ตัว เป็นคำที่ใช้เรียกม้าที่โดน ‘ปราบพยศ’ หรือการบังคับให้เชื่อฟัง นั่นอาจหมายถึงความแข็งแกร่งภายใต้การควบคุม พระเยซูอาจจะยกคำกล่าวนี้ขึ้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘คนที่สุภาพอ่อนโยนก็เป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก’ (มัทธิว 5:5)

2.\tผู้ยากจนและขัดสน

พระเจ้าทรงห่วงใย ‘คนยากจนและคนขัดสน’ (สดุดี 37:14) บรรดาผู้ที่แสดงออกไม่ดีต่อคนกลุ่มนี้จัดเป็น ‘คนอธรรม’ ในสายพระเนตรของพระเจ้า: ‘เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนชอบธรรมมีก็ดีกว่า ความอุดมสมบูรณ์ของคนอธรรมมากมาย เพราะแขนของคนอธรรมจะหัก แต่พระยาห์เวห์ทรงค้ำ จุนคนชอบธรรม’ (ข้อ 16–17)

3.\tผู้ที่ถูกข่มเหง

จุดสำคัญในสดุดี 37 คือคนอธรรมวางแผนต่อต้านคนชอบธรรม เมื่อผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบ ระหว่าง ‘คนชอบธรรม’ กับ ‘คนอธรรม’ ไม่ใช่เพียงแค่ความแตกต่างของคนสองประเภทเท่านั้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองเป็นศัตรูกันอย่างสุดขั้ว ‘คนอธรรมวางแผนทำร้ายคนชอบธรรม’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ข้อพระคำเหล่านี้เตือนเราว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตอบโต้หากถูกข่มเหง เพราะพระเจ้าทรงควบคุมทุกอย่างไว้ และพระองค์ทรงรับรองว่าความยุติธรรมจะมีชัยชนะในที่สุด เราไม่จำเป็นต้องแก้แค้นด้วยมือเราเอง (ดู โรม 12:17–21)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกเกรงขามและอัศจรรย์ใจต่อผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์มองผู้คนอย่างพระองค์ ไม่ใช่ตามมาตรฐานของโลกแต่ด้วยสายพระเนตรของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 5:17-32

การทรงรักษาคนง่อย

 17ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ มีพวกฟาริสีและพวกอาจารย์สอนธรรมบัญญัติมานั่งอยู่ด้วย เป็นคนที่มาจากทั่วทุกหมู่บ้านในแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าหมายถึง พระเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้ 18และนี่แน่ะ มีบางคนหามคนง่อยซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมา พวกเขาพยายามหาทางหามคนง่อยเข้ามาวางตรงหน้าพระองค์ 19แต่หาทางเข้ามาไม่ได้เพราะมีคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนหลังคาตึก แล้วหย่อนคนง่อยพร้อมกับที่นอนลงมาตามช่องกระเบื้อง วางตรงหน้าพระเยซูท่ามกลางฝูงชน 20เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว” 21พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาเป็นใครกัน? ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?” 22แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้? 23การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน? 24แต่ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะยกโทษบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “เราสั่งท่านว่าจงลุกขึ้นยกที่นอนแล้วกลับไปที่บ้านของท่าน” 25ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าทุกคน ยกที่นอนแล้วกลับบ้าน พร้อมกับถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า 26ทุกคนก็อัศจรรย์ใจและได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและพูดกันว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ”

การทรงเรียกเลวี

 27หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว พระองค์เสด็จออกไป และทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” 28เขาก็ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป
 29แล้วเลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อพระองค์ในบ้านของตน มีคนเก็บภาษีกลุ่มใหญ่และคนอื่นๆ มาร่วมในงานนั้นด้วย 30พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ในคณะของเขาก็บ่นว่าพวกสาวกของพระองค์ กล่าวว่า “ทำไมพวกท่านมากินดื่มกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป?” 31พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “คนสบายไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ 32เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจใหม่”

อรรถาธิบาย

มองดูพันธกิจของพระเยซูด้วยความเกรงขามและอัศจรรย์ใจ

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าผู้คนรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์? พันธกิจของพระองค์ทำให้เกิดความยำเกรงและอัศจรรย์ใจ ‘ทุกคนก็อัศจรรย์ใจ... ต่างเต็มไปด้วยความเกรงกลัว’ (ข้อ 26) ในพระคัมภีร์จาก The Amplified ได้จับเอาความรู้สึกตื่นเต้นนี้: ‘ความประหลาดใจและความปีติยินดี อย่างท่วมท้นเข้าครอบงำพวกเขาทั้งหมด พวกเขาตระหนัก สรรเสริญ และขอบคุณพระเจ้า พวกเขาเต็มไปด้วยความเกรงกลัว และพูดต่อไปว่า เราได้เห็นสิ่งอัศจรรย์และแปลกประหลาดอย่างน่าเหลือเชื่อใน วันนี้!’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)

1.\tการรักษาคนเจ็บป่วย

แม้แต่ในพันธกิจของพระเยซูก็ดูจะมีการรักษาโรคอยู่เป็นครั้งคราว แต่บางครั้งพระเยซูทรง รักษาคนเจ็บป่วยน้อยลง เพราะมีคนที่ไม่เชื่อ (มัทธิว 13:58) และในบางครั้ง ดั่งที่เราได้อ่านนี้ ‘ฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้’ (ลูกา 5:17)

2.\tการอภัยบาป

เรามักจะพบว่าการรักษาเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่เราสามารถรับการให้อภัยบาปแทนการรับ โทษบาป พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าการให้อภัยนั้นน่าอัศจรรย์ใจและน่าทึ่งยิ่งกว่าการรักษาโรค พระองค์ทรงยกโทษบาปของมนุษย์ก่อน (ข้อ 20) แล้วถึงจะแสดงให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจ ที่จะทำเช่นนั้นได้ โดยการรักษาเขาให้หาย (ข้อ 24) การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญ

3.\tการอ่านใจของผู้คน

พระเยซูทรงอ่านใจของพวกเขา พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ (ข้อ 22) การให้อภัยผู้ที่ทำบาปต่อผู้อื่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นจะทำได้ เมื่อพระเยซูทรงอ้างสิทธิอำนาจที่จะยกโทษบาปแก่บรรดาผู้ที่ทำบาปต่อผู้อื่น ภายในจิตใจของพวกเขากล่าวหาพระองค์ว่า ‘หมิ่นประมาทพระเจ้า’ (ข้อ 21ก) ‘ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?’ (ข้อ 21ข)

ในแง่หนึ่งพวกเขาพูดถูก พระเยซูกำลังอ้างสิทธิอำนาจของพระเจ้าในการให้อภัยบาป ไม่น่าแปลกใจที่ ‘ผู้คนประหลาดใจอย่างเหลือเชื่อแล้วสรรเสริญพระเจ้า พวกเขาตกใจและพูดว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน!”’ (ข้อ 26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

4.\tการทรงเลือกคนที่สังคมไม่ยอมรับ

การที่พระเยซูทรงเลือกเลวีคนเก็บภาษีให้ติดตามพระองค์นั้นน่าทึ่งมาก พระองค์ทรงเลือกคนที่ สังคมไม่ยอมรับ แต่พระองค์ทรงเลือกถูกคนแล้ว เลวีจึง ‘ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป’ (ข้อ 28) จากนั้นเขาก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ให้พระเยซูที่บ้านของเขาและมีฝูงชนเข้าร่วมจำนวนมาก เลวีเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลอย่างชัดเจน ผู้คนต่างรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและอยากพบพระเยซู

การทรงเลือกสรรของพระเยซูเป็นเรื่องน่าตกใจและน่าตกตะลึง เมื่อใดก็ตามที่ผมเข้าไปในคุก ผมเห็นว่าพระเยซูยังทรงเรียกคนที่ถูกสังคมปฏิเสธให้ติดตามพระองค์ และผมรู้สึกเกรงกลัวและอัศจรรย์ใจ

5.\tการผูกมิตรกับคนบาป

อีกครั้งที่พระเยซูทำให้ผู้คนประหลาดใจ พวกเขาถามว่า ‘ทำไมพระองค์ถึงกินและดื่มกับคนเก็บภาษีและ “คนบาป”?’ (ข้อ 30) พระเยซูตรัสตอบว่า ‘คนสบายไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจใหม่’ (ข้อ 31–32)

นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐสำหรับพวกเราทุกคน จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนว่า ‘หลายครั้งที่รู้สึกว่า เราต้องซ่อนความอ่อนแอ แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและไม่ต้องการอะไร... (แต่) เราทุกคนต่างก็มีจุดอ่อน และไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง... พระเยซูทรงเสด็จมาเพื่อบรรดาคนที่เจ็บป่วย (คนขัดสน) ไม่ใช่คนที่แข็งแรง (คนมั่งมี) … อย่ามัวรีรอและจนตรอก จงทูลต่อพระเจ้าในสิ่ง ที่คุณต้องการ พระองค์ทรงทราบและกำลังรอให้คุณขอความช่วยเหลือจากพระองค์’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเป็นเช่นเดิม เมื่อวาน วันนี้ และตลอดไป ขอฤทธิ์เดชของพระองค์ทรงรักษาคนเจ็บป่วย ขอให้ผู้ที่ตกอยู่ในความเกรงกลัว และอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นพระองค์ยังคงทำสิ่งที่น่าทึ่งต่อไป
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 16:36-18:32

 36แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 37“จงบอกเอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิต ให้นำกระถางไฟออกจากกองไฟ และกระจายก้อนถ่านไฟออกไปไกลๆ เพราะกระถางไฟเหล่านั้นเป็นของบริสุทธิ์ 38กระถางไฟของคนเหล่านี้ที่ทำบาปจนต้องเสียชีวิตนั้น พวกเจ้าจงตีแผ่ออกเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา เพราะพวกเขาได้ถวายกระถางเหล่านั้นต่อพระยาห์เวห์ จึงเป็นของบริสุทธิ์ และจงให้สิ่งเหล่านี้เป็นหมายสำคัญแก่คนอิสราเอล” 39ดังนั้นเอเลอาซาร์ปุโรหิตจึงนำกระถางไฟทองสัมฤทธิ์ ซึ่งพวกที่ถูกไฟเผานำไปถวายบูชานั้นมาตีแผ่ออกเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา 40เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนอิสราเอลว่าคนสามัญที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของอาโรนนั้นห้ามเข้าไปเผาเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ มิฉะนั้นจะเป็นอย่างโคราห์และพรรคพวกของเขา เหมือนดังที่พระยาห์เวห์ตรัสกับเอเลอาซาร์ผ่านโมเสส
 41พอรุ่งขึ้นชุมนุมชนอิสราเอลก็บ่นว่าโมเสสและอาโรนว่า “ท่านทั้งสองทำให้คนของพระยาห์เวห์เสียชีวิต” 42และเมื่อชุมนุมชนมาประชุมต่อต้านโมเสสและอาโรน พวกเขาหันหน้ามาสู่เต็นท์นัดพบ และดูสิ เมฆมาปกคลุมเต็นท์นั้น และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏ 43โมเสสกับอาโรนจึงมาที่หน้าเต็นท์นัดพบ 44และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 45“จงออกไปจากท่ามกลางชุมนุมชนนี้ เพื่อเราจะผลาญเขาทั้งหลายเสียในพริบตาเดียว” และท่านทั้งสองก็ซบหน้าลง 46โมเสสพูดกับอาโรนว่า “จงเอากระถางไฟ และเอาไฟจากแท่นบูชาใส่ลงไป แล้วใส่เครื่องหอมและรีบนำไปที่ชุมนุมชนและลบมลทินบาปของชุมนุมชนนั้น เพราะพระพิโรธพลุ่งออกมาจากพระยาห์เวห์แล้ว ภัยพิบัติก็เกิดขึ้นแล้ว” 47อาโรนจึงนำกระถางไฟดังที่โมเสสบอกและวิ่งเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม ดูสิ ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับประชาชนแล้ว ท่านใส่เครื่องหอมแล้วลบมลทินบาปของประชาชน 48ท่านยืนอยู่ระหว่างคนตายกับคนเป็น แล้วภัยพิบัติก็ถูกระงับไป 49คนที่ตายด้วยภัยพิบัติมี 14,700 คน ไม่นับคนที่ตายด้วยเรื่องของโคราห์ 50เมื่อภัยพิบัติถูกระงับแล้ว อาโรนก็กลับไปหาโมเสสตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

กันดารวิถี 17

ไม้เท้าของอาโรนออกดอก

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้าจากเขาทั้งหลาย ไม้เท้าหนึ่งอันจากแต่ละสกุล รวมเป็นไม้เท้าสิบสองอันจากผู้นำของทุกสกุล เจ้าจงเขียนชื่อแต่ละคนไว้บนไม้เท้าของเขา 3เขียนชื่อของอาโรนไว้บนไม้เท้าของคนเลวี เพราะจะมีไม้เท้าอันเดียวสำหรับหัวหน้าของแต่ละสกุล 4จงวางไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าหีบแห่งสักขีพยานที่เราพบกับเจ้าทั้งหลาย 5และไม้เท้าของคนที่เราเลือกสรรนั้นจะงอก เช่นนี้แหละ เราจะทำให้เสียงบ่นของคนอิสราเอลซึ่งบ่นว่าเจ้าต่อเรานั้นสงบลง” 6โมเสสจึงสั่งคนอิสราเอล และผู้นำทุกคนของพวกเขาก็มอบไม้เท้าแก่ท่านคนละอัน ไม้เท้าหนึ่งอัน สำหรับผู้นำหนึ่งคนตามสกุล รวมเป็น 12 อัน และไม้เท้าของอาโรนก็รวมอยู่ในไม้เท้าเหล่านั้นด้วย 7แล้วโมเสสวางไม้เท้าเหล่านั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ในเต็นท์แห่งสักขีพยาน
 8วันรุ่งขึ้นโมเสสเข้าไปในเต็นท์แห่งสักขีพยาน และดูสิ ไม้เท้าของอาโรนสำหรับพงศ์พันธุ์เลวีนั้นงอกขึ้น ทั้งมีดอกตูมและดอกบาน และเกิดผลอัลมอนด์สุกบ้าง 9แล้วโมเสสนำไม้เท้าทั้งหมดจากเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์มายังคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาได้ตรวจดู แล้วแต่ละคนก็นำไม้เท้าของตนไป 10พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงนำไม้เท้าของอาโรนกลับไปวางไว้ต่อหน้าหีบแห่งสักขีพยาน เพื่อเก็บไว้เป็นหมายสำคัญเตือนพวกกบฏ เพื่อเจ้าจะให้เขาทั้งหลายยุติการบ่นว่าเรา เพื่อพวกเขาจะไม่ต้องตาย” 11โมเสสก็ทำเช่นนี้ พระยาห์เวห์ตรัสสั่งท่านอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้น  12และคนอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า “ดูซิ เราพินาศแล้ว เราถึงที่ตายแล้ว เราตายกันหมดแล้ว 13ทุกคนที่มาใกล้พลับพลาของพระยาห์เวห์ต้องตาย เราจะต้องตายกันหมดหรือ?”

กันดารวิถี 18

หน้าที่ของปุโรหิตและคนเลวี

 1ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับอาโรนว่า “เจ้ากับบุตรทั้งหลายของเจ้า และสกุลของเจ้าจะต้องรับโทษความผิดด้วยกันเนื่องจากสถานนมัสการ ส่วนเจ้าและบุตรของเจ้าจะต้องรับโทษความผิดด้วยกันเนื่องจากหน้าที่ปุโรหิตของพวกเจ้า 2นอกจากนี้ เจ้าจงนำพี่น้องของเจ้าคือเผ่าเลวีซึ่งเป็นเผ่าของบรรพบุรุษภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า บิดาเจ้ามา เพื่อเขาทั้งหลายจะสมทบกับเจ้าและช่วยเหลือเจ้า ขณะที่เจ้าและบรรดาบุตรของเจ้าอยู่ต่อหน้าเต็นท์แห่งสักขีพยานด้วยกัน 3เขาทั้งหลายจะทำหน้าที่ต่างๆ แทนเจ้า และทำหน้าที่ในเต็นท์ทุกอย่าง แต่ห้ามพวกเขาเข้าใกล้บรรดาเครื่องใช้ของสถานนมัสการหรือแท่นบูชา มิฉะนั้นทั้งพวกเขาและเจ้าจะต้องตาย 4เขาทั้งหลายจะสมทบกับเจ้า และคอยทำหน้าที่ต่างๆ อยู่ที่เต็นท์นัดพบ ในงานปรนนิบัติทุกอย่างของเต็นท์ และห้ามใครเข้ามาใกล้เจ้าทั้งหลาย 5พวกเจ้าต้องคอยทำหน้าที่ของสถานนมัสการและหน้าที่ของแท่นบูชา เพื่อพระพิโรธจะไม่เกิดขึ้นกับคนอิสราเอลอีก 6และเราได้นำคนเลวีพี่น้องของเจ้ามาจากท่ามกลางคนอิสราเอลเป็นของประทานแก่เจ้า เป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์เพื่อให้ทำงานของเต็นท์นัดพบ 7ส่วนเจ้าและบรรดาบุตรชายนั้นจงทำหน้าที่ของปุโรหิตด้วยกัน เพื่อการปรนนิบัติทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแท่นบูชา และที่อยู่ภายในม่าน พวกเจ้าจงอยู่ปฏิบัติงาน เราให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่พวกเจ้าเป็นงานที่ประทานให้ แต่คนนอกที่เข้ามาใกล้จะต้องตาย”

ส่วนแบ่งของปุโรหิต

 8แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับอาโรนว่า “ดูสิ เราให้หน้าที่ดูแลเครื่องถวายของเราแก่เจ้า คือบรรดาของถวายบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล เราให้สิ่งเหล่านี้แก่เจ้าและบุตรหลานของเจ้าเป็นส่วนแบ่งที่กำหนดถาวร 9ในบรรดาของบริสุทธิ์ที่สุดจากส่วนที่ไม่ได้เผาไฟซึ่งเป็นของเจ้ามีดังนี้ ของถวายทั้งหมดของพวกเขา ธัญบูชาทั้งหมดของเขา เครื่องบูชาลบล้างบาปทั้งหมดของเขา และเครื่องบูชาชดใช้บาปทั้งหมดของเขา ซึ่งพวกเขาถวายแก่เรานั้นจะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแก่เจ้าและแก่บุตรหลานของเจ้า 10เจ้าจงรับประทานสิ่งนี้ดังของบริสุทธิ์ที่สุด ผู้ชายทุกคนรับประทานได้ สิ่งนี้จะเป็นของบริสุทธิ์แก่เจ้า 11สิ่งต่อไปนี้ก็เป็นของเจ้าด้วย คือบรรดาเครื่องถวายที่พวกเขาถวาย และเครื่องโบกถวายทั้งหมดของคนอิสราเอล เราให้แก่เจ้าและบุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้าเป็นส่วนแบ่งที่กำหนดถาวร ทุกคนที่สะอาดซึ่งอยู่ในครัวเรือนของเจ้ารับประทานได้ 12น้ำมันที่ดีที่สุดทั้งหมด เหล้าองุ่นที่ดีที่สุดและเมล็ดพืชทั้งหมด และผลรุ่นแรกที่เขาทั้งหลายถวายแด่พระยาห์เวห์นั้นเราให้แก่เจ้า 13ผลรุ่นแรกของพืชทุกอย่างที่อยู่ในแผ่นดิน ซึ่งเขานำมาถวายพระยาห์เวห์จะเป็นของเจ้า ทุกคนในครัวเรือนของเจ้าที่สะอาดรับประทานได้ 14ของมอบถวายทุกอย่างในอิสราเอลจะเป็นของเจ้า 15ลูกหัวปีของทุกชีวิตที่ออกจากครรภ์ไม่ว่าคนหรือสัตว์ซึ่งเขาถวายแด่พระยาห์เวห์จะเป็นของเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม บุตรหัวปีของมนุษย์นั้นเจ้าจะต้องไถ่ไว้ และเจ้าต้องไถ่ลูกหัวปีของพวกสัตว์ที่มลทินด้วย 16และค่าไถ่ (พออายุได้หนึ่งเดือนเจ้าก็ต้องไถ่) ให้เจ้ากำหนดว่าเป็นเงินห้าเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (หนึ่งเชเขลหนักประมาณ 12 กรัม) 17แต่ลูกหัวปีของโค หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์ 18แต่เนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับเนื้ออกที่โบกถวายและเนื้อโคนขาขวาที่เป็นของเจ้า 19เครื่องถวายทุกอย่างที่บริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลถวายแด่พระยาห์เวห์ เราให้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้า เป็นส่วนแบ่งที่กำหนดถาวร เป็นพันธสัญญาเกลือนิรันดร์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์สำหรับเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเจ้าด้วย” 20และพระยาห์เวห์ตรัสกับอาโรนว่า “เจ้าจะไม่ได้รับมรดกในแผ่นดินของพวกเขา และจะไม่มีส่วนแบ่งใดๆ ท่ามกลางพวกเขาเลย เราเองจะเป็นส่วนแบ่งของเจ้าและเป็นมรดกของเจ้าท่ามกลางคนอิสราเอล
 21“และดูสิ เราให้ทศางค์ร้อยละสิบทั้งหมด ในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาทั้งหลายทำอยู่ คืองานที่เต็นท์นัดพบ 22ตั้งแต่นี้ไปคนอิสราเอลจะไม่เข้ามาใกล้เต็นท์นัดพบ เกรงว่าพวกเขาจะรับโทษบาปถึงตาย 23แต่คนเลวีจะต้องทำงานของเต็นท์นัดพบ และพวกเขาจะต้องรับโทษความผิดของเขา จะเป็นกฎกำหนดถาวรตลอดชาติพันธุ์ของเจ้า เขาทั้งหลายจะไม่มีส่วนมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล 24เพราะว่าทศางค์ของคนอิสราเอล ซึ่งถวายแด่พระยาห์เวห์เป็นเครื่องถวาย เราได้ให้แก่คนเลวีเป็นมรดก เพราะฉะนั้นเราจึงบอกพวกเขาว่าเขาจะไม่มีมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล”
 25พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 26“ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงกล่าวแก่คนเลวีว่า ‘เมื่อพวกเจ้ารับทศางค์จากคนอิสราเอล ซึ่งเราให้แก่พวกเจ้าเป็นมรดกของเจ้าที่มาจากพวกเขานั้น เจ้าจงนำร้อยละสิบจากทศางค์นั้นถวายแด่พระยาห์เวห์เป็นเครื่องถวาย 27และเครื่องถวายของพวกเจ้านั้นจะนับเสมือนพืชผลที่ได้จากลานนวดข้าว และเสมือนผลผลิตเต็มเปี่ยมจากบ่อย่ำองุ่น 28ดังนั้นพวกเจ้าต้องถวายเครื่องถวายจากทศางค์ทั้งหมดของเจ้าที่รับจากคนอิสราเอลนั้นแด่พระยาห์เวห์ด้วย แล้วพวกเจ้าจงมอบส่วนที่เป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์นี้ให้แก่อาโรนปุโรหิต 29เจ้าจงถวายเครื่องถวายทั้งหมดจากทุกอย่างที่พวกเจ้าได้รับนั้นแด่พระยาห์เวห์ คือจากส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมดของสิ่งนั้น เป็นส่วนบริสุทธิ์จากสิ่งนั้น’ 30ฉะนั้นเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดจากของเหล่านั้นแล้ว ให้คนเลวีนับส่วนที่เหลืออยู่ภาษาฮีบรูไม่มีข้อความ ส่วนที่เหลืออยู่ เสมือนพืชที่ได้มาจากลานนวดข้าวและเสมือนผลผลิตจากบ่อย่ำองุ่น 31และเจ้าทั้งหลายจะรับประทานส่วนนั้น ณ ที่ใดๆ ก็ได้ ทั้งตัวเจ้าและครัวเรือนของเจ้า เพราะว่าเป็นค่าตอบแทนการทำงานของพวกเจ้าในเต็นท์นัดพบ 32เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้ว เจ้าจะไม่มีโทษเนื่องจากของถวายนั้น แต่พวกเจ้าอย่าทำสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอลให้มลทินเกรงว่าเจ้าจะต้องตาย’ ”

อรรถาธิบาย

การใคร่ครวญด้วยความเกรงกลัวในการให้อภัยที่น่าอัศจรรย์

เรามีแนวโน้มที่จะไม่เห็นคุณค่าของการให้อภัย นักประพันธ์ชื่อ เฮนดริก ไฮน์ เคยกล่าวไว้ว่า ‘Dieu me pardonnera. C'est son métier.’ (พระเจ้าจะทรงให้อภัยฉัน นี่คืองานของพระองค์) อีกแง่หนึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่เกินกว่าความเป็นจริงนี้ ความบาปนั้นมีการจ่ายราคาที่สูงมาก (16:38) หลายเรื่องที่เราอ่านในภาคพันธสัญญาเดิมทำให้เราอาจตีความได้ว่าเป็นเรื่องของความ ‘ยำเกรง' ในแง่ที่ว่าดูเหมือนจะน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม อีกความหมายหนึ่งของคำว่า ‘ยำเกรง’ ก็คือ ‘การเต็มไปด้วยความกลัว’ คำจำกัดความในพจนานุกรมของคำว่า ‘ยำเกรง’ คือ ‘นำให้มาถึงการยอมอยู่ใต้บังคับบัญชา ให้ความเคารพในความน่าเกรงขาม’

ภาษาในที่ใช้ในพระธรรมตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงของความบาป ราคาที่ต้องจ่ายและปฏิกิริยาของพระเจ้าต่อความบาป ‘พระพิโรธได้พลุ่งออกมาจากพระยาห์เวห์’ (ข้อ 46) พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ตัวอย่างเช่นการ ‘บ่นว่า’ (17:5)

บาปจำเป็นต้องได้รับการลบมลทินบาป (16:46) จำเป็นจะต้องไถ่ (18:15–16) จำเป็นต้องมีการประพรม ด้วยเลือด (ข้อ 17) การแต่งตั้งคนเลวีในตำแหน่งปุโรหิตเป็นการสำแดงและเตรียมทางเพื่อพระเยซู มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งหลั่งพระโลหิตประพรมและทรงลบมัลทินบาปเพื่อไถ่เราจากบาป (ฮีบรู 4:14; 12:24; 2:17)

ถ้าคุณยังไม่เข้าใจถึงความร้ายแรงของความบาป และภูมิหลังในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยากลำบาก และความซับซ้อนของการได้รับการให้อภัย คุณจะไม่เข้าใจว่า การให้อภัยของพระเจ้านั้นน่าทึ่ง น่ายำเกรง และน่าอัศจรรย์เพียงใด การให้อภัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยทันที แต่พระเยซูทรงทำให้เป็นไปได้ ในขณะที่คุณใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ คุณควรเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความเกรงกลัว และความอัศจรรย์ใจในเวลาเดียวกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ ข้าพระองค์สามารถรู้ได้ว่า ข้าพระองค์ได้รับการอภัยแล้ว ขอบคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์อยู่ในยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอบคุณพระองค์ที่พระราชกิจ การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู และการเต็มล้นใน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพระองค์ และเปลี่ยนแปลงโลกนี้อย่างไร ขอให้คนทั้งโลกลืมตาขึ้นเพื่อเห็นพระราชกิจอันน่าจดจำเหล่านี้ด้วย*ความทึ่ง*และ*อัศจรรย์ใจ*

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 5:17–26

การนำเพื่อนของเรามาหาพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ต้องใช้ความเพียรพยายาม ความทรหดอดทน การอธิษฐาน และแม้กระทั่งการคิดออกนอกกรอบ (หรือในกรณีนี้ คือบนที่สูง!)

ข้อพระคำประจำวัน

ลูกา 5:17

‘ฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่กับพระองค์เพื่อที่จะรักษาโรคได้’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม