พระนามทั้งเจ็ดของพระเยซู
เกริ่นนำ
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงดำรงพระอิสริยยศอันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาท, เจ้าฟ้าชาย, เจ้าชายแห่งเวลส์ อัศวินแห่งการ์เตอร์, ดยุคแห่งคอร์นวอลล์, พันเอกในหัวหน้ากรมทหารแห่งเวลส์, ดยุคแห่งรอธซี, อัศวินแห่งทริสเติล, พลเรือตรี, ปรีชากรแห่งราชอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติแห่งบาธ, เอิร์ลแห่งเชสเตอร์, เอิร์ลแห่งแคร์ริก, บารอนแห่งเรนเฟรว, ลอร์ดแห่งไอล์ส, เจ้าชายและธนารักษ์ใหญ่แห่งสกอตแลนด์
ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ผูกติดอยู่กับผู้คนล้วนต้องอาศัยยศ ตำแหน่งหรือความสำเร็จ แต่ในพระคัมภีร์พระเยซูทรงดำรงฐานะที่มากกว่าเจ้าชาย อันที่จริงแล้ว พระองค์ทรงมีพระนามมากมายเลยทีเดียว
พระคัมภีร์ทั้งหมดล้วนเล็งมาที่องค์พระเยซู (ยอห์น 5:39) เราจะได้พบกับพระนามทั้งเจ็ดของพระเยซูที่ปรากฏในเนื้อหาวันนี้ ซึ่งเปิดเผยบางสิ่งที่มุ่งเน้นถึงพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าการให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางชีวิตนั้นมีความหมายอย่างไร
สุภาษิต 8:1-11
ผลของปัญญา
1ปัญญาไม่ได้ร้องเรียกหรือ?
ความเข้าใจไม่ได้เปล่งเสียงหรือ?
2บนยอดสูง ที่ข้างทาง
และตามถนน ปัญญายืนอยู่
3ข้างประตูหน้าเมือง
คือที่ทางเข้า ปัญญาร้องเสียงดังว่า
4“โอ ทุกๆ คน ข้าพเจ้าเรียกเจ้า
และเสียงเรียกของข้าพเจ้าไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย
5โอ คนรู้น้อย จงเข้าถึงความสุขุม
โอ คนโง่
6จงฟัง เพราะข้าพเจ้าจะพูดสิ่งที่มีเกียรติ
เพราะสิ่งที่ถูกต้องจะมาจากปากของข้าพเจ้า
7เพราะปากของข้าพเจ้าจะพูดความจริง
ความชั่วเป็นสิ่งน่าเกลียดน่าชังต่อริมฝีปากของข้าพเจ้า
8ทุกคำจากปากของข้าพเจ้านั้นชอบธรรม
ไม่บิดผันหรือตลบตะแลง
9คำเหล่านั้นก็ตรงหมดสำหรับผู้ที่เข้าใจ
และถูกต้องสำหรับผู้พบความรู้
10จงรับคำสั่งสอนของข้าพเจ้าแทนเงิน
และจงรับความรู้แทนทองคำเนื้อดี
11เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม
และทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาเปรียบกับปัญญาไม่ได้เลย
อรรถาธิบาย
1. สติปัญญาของพระเจ้า
ผู้คนมากมายในปัจจุบันไร้ซึ่งแนวทางการใช้ชีวิต ชีวิตแต่งงานและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของพวกเขาล้มเหลว ไม่เป็นท่า บ่อยครั้งที่พวกเขาทำลายชีวิตของตัวเองและผู้อื่นลง ดังนั้นเราทุกคนจำเป็นต้องมีสติปัญญาเพื่อที่ จะดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น
แต่เราจะแสวงสติปัญญาได้จากที่ใด? ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ได้ให้คำตอบว่า ในท้ายที่สุดแล้ว สติปัญญาพบได้ในองค์พระเยซูคริสต์ อัครทูตเปาโลได้บรรยายไว้ว่า ‘พระคริสต์...พระปัญญาของพระเจ้า’ (1 โครินธ์ 1:24) ‘พระปัญญาของพระเจ้า’ เป็นหนึ่งในพระนามของพระเยซู
สติปัญญาในหนังสือพระธรรมสุภาษิตได้เปรียบเปรยดังบุคคลที่เป็นเพศหญิง (‘หญิงผู้มีปัญญา’ ‘สตรีผู้มีความเข้าใจถ่องแท้’, สุภาษิต 8:1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ซึ่งตรงกันข้ามกับหญิงโสเภณีที่แอบซุ่มอยู่ทุกหัวมุมถนนยามค่ำคืนคอยกระซิบกระซาบอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ (7:6) แต่หญิงผู้มีปัญญาได้สวนกลับไปว่า ‘ตัวดิฉันนั้นเฉิดฉายใจกลางเมือง บนถนนที่คับคั่งไปด้วยผู้คน’ (8:2, พระคัมภีร์ ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และนางยังได้อุทิศชีวิตของตนเป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์มากกว่าเป็นหญิงโสเภณี
นี่เองแสดงให้เราเห็นว่าสติปัญญาไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้เท่านั้น แต่การเป็นผู้มีสติปัญญาคือการดำเนินชีวิตอย่างดี การที่จะมีชีวิตที่ดีนั้น ขั้นแรกเลยคือต้องตั้งเป้าหมาย และเสาะหา ให้เราแสวงหาสติปัญญามากกว่าความสำราญทางใจที่ถูกนำเสนอผ่านทางหญิงโสเภณี
สติปัญญาเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาอย่างแรงกล้า มัน (หรือเธอ) นั้นดีกว่าเงิน ทองหรืออัญมณี ‘จงรับคำสั่งสอนของข้าพเจ้าแทนเงิน และจงรับความรู้แทนทองคำเนื้อดีเพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาเปรียบกับปัญญาไม่ได้เลย’ (ข้อ 10–11)
หากคุณปรารถนาที่จะมีสติปัญญาที่เที่ยงแท้ ให้เราเริ่มต้นด้วยการติดสนิทกับพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้มีค่ามากกว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้
ความสัมพันธ์กับพระเยซูส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณ เพราะผลของสติปัญญานั้นสำแดงออกมาผ่านริมฝีปาก (ข้อ 6–9) ที่ซื่อสัตย์และสื่อสารด้วยถ้อยคำที่ชอบธรรมและเป็นจริง (เปรียบเทียบและเทียบเคียง พระคำในพระธรรมกันดารวิถี 20:3–5 ซึ่งเผยให้เห็นถึงการขาดความไว้วางใจในพระเจ้า)
คำอธิษฐาน
ลูกา 5:33-6:11
ปัญหาเรื่องการถืออดอาหาร
33เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “ศิษย์ของยอห์นถืออดอาหารกันและอธิษฐานบ่อยๆ และศิษย์ของพวกฟาริสีก็ทำเหมือนกัน แต่ศิษย์ของท่านทั้งกินทั้งดื่ม” 34พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านจะให้เพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวอดอาหารขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาอย่างนั้นหรือ? 35แต่วันที่เจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไปจะมาถึง และในวันนั้นเขาจะถืออดอาหาร” 36แล้วพระองค์ทรงกล่าวคำเปรียบเทียบเรื่องหนึ่งแก่พวกเขาด้วย “ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่จะขาด และผ้าที่ได้จากเสื้อใหม่ก็จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าด้วย 37ไม่มีใครเอาเหล้าองุ่นหมักใหม่ไปใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น เหล้าองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงหนังเก่าขาด และเหล้าองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย 38แต่เหล้าองุ่นหมักใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ 39ไม่มีใครเมื่อดื่มเหล้าองุ่นหมักเก่าแล้ว จะอยากได้เหล้าองุ่นหมักใหม่ เพราะเขาย่อมจะกล่าวว่า ‘ของเก่านั้นดีกว่า’ ”
ลูกา 6
สาวกเด็ดรวงข้าวในวันสะบาโต
1ต่อมาในวันสะบาโตหนึ่ง ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามทุ่งนา พวกสาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าวขยี้ด้วยมือแล้วกิน2พวกฟาริสีบางคนจึงกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านทำสิ่งที่ต้องห้ามในวันสะบาโต?” 3พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “พวกท่านไม่ได้อ่านเรื่องที่ดาวิดทำเมื่อหิวหรือ? ทั้งตัวท่านและพรรคพวกด้วย 4ท่านเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและรับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ทั้งให้พรรคพวกด้วย ซึ่งบัญญัติห้ามใครรับประทานนอกจากพวกปุโรหิตเท่านั้น” 5แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต”
ชายที่มือข้างหนึ่งลีบ
6ในวันสะบาโตอีกวันหนึ่ง ขณะพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและสั่งสอน ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ 7พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็คอยดูอยู่ว่าพระองค์จะทรงรักษาเขาในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ 8แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของพวกเขาจึงตรัสกับคนมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้นออกมายืนข้างหน้า” เขาก็ลุกขึ้นยืน 9แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราจะถามพวกท่านว่าในวันสะบาโตนั้นควรจะทำการดีหรือการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” 10พระองค์ทอดพระเนตรดูทุกคนโดยรอบ แล้วตรัสกับชายมือลีบคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออก” เขาก็ทำตาม แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ 11แต่คนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเดือดดาล และปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซู
อรรถาธิบาย
2. เจ้าบ่าว
‘เจ้าบ่าว’ เป็นคำถูกใช้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเพื่ออ้างถึงพระเจ้า ‘และเจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์ในเจ้าสาวอย่างไร พระเจ้าของท่านจะเปรมปรีดิ์ในท่านอย่างนั้น’ (อิสยาห์ 62:5)
ในพระธรรมลูกา (ลูกา 5:34) พระเยซูก็ทรงวางพระองค์เองในฐานะเดียวคือพระเจ้า ซึ่งไม่ถือเป็นการยกตัว แต่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น พระองค์ทรงใช้อุปมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้เราได้เห็นภาพของ พระเจ้าได้อย่างน่าประทับใจ
พระเยซูในฐานะเจ้าบ่าวและเราในฐานะเจ้าสาวเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ (ดูเอเฟซัส 5:23) นอกจากนี้ยังเป็นภาพที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของคุณกับพระเยซูเมื่อพระองค์ เสด็จกลับมา คุณถูกเรียกให้เตรียมตัวด้วยความเอาใจใส่และความรักเช่นเดียวกับเจ้าสาวในวันแต่งงานของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มุ่งเน้นไปที่การดำรงชีวิตอย่าง ‘ชอบธรรม’ (ดูวิวรณ์ 19:6–9)
คำสอนของพระเยซูเป็นเรื่องใหม่โดยแท้ ไม่สามารถใส่เข้ากับค่านิยมหรือพฤติกรรมของพวกฟาริสีได้ เหล้าองุ่นใหม่ต้องใช้ถุงหนังใหม่ (ลูกา 5:36–39)
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเรียกข้าพระองค์เข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และชื่นชมยินดี กับข้าพระองค์ดั่งเจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์กับเจ้าสาวของตน ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะตอบสนองด้วยความรักและ การนมัสการอย่างใกล้ชิดกับพระองค์
3. บุตรมนุษย์
เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงโปรดปรานในการอ้างถึงตัวพระองค์เอง (ดูตัวอย่าง เช่น ลูกา 6:5) นี่คือสถานะที่ใช้เรียก พระเมสสิยาห์ ในพระธรรมดาเนียล บทที่ 7 กล่าวถึง ‘ท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์’ (ดาเนียล 7:13) และดู เหมือนว่าเรารับรู้และเข้าใจสถานะของพระเยซูผ่านทางพระคำตอนนี้ด้วยเช่นกัน คำนี้รวมไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพคู่ไปกับความถ่อมตนและความทุกข์ทรมาน
เราได้รับการเตือนให้ใคร่ครวญถึงความรักของพระเยซูและสิทธิอำนาจของพระองค์ที่มีต่อเรา บ่อยครั้งที่เราเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งแรกโดยไม่สนใจสิ่งที่สอง ให้เรายอมจำนนต่อสิทธิอำนาจของพระเยซู เชื่อฟังคำสอนของพระองค์ และทำตามการทรงนำของพระองค์
ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่เป็นตัวแทนแห่งบุตรมนุษย์ที่ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อข้าพระองค์
4. พระเจ้า
พระเยซูทรงยกข้อพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมอีกครั้ง เมื่อพวกฟาริสีถามว่า ‘ทำไมพวกท่านทำสิ่งที่ต้องห้ามในวันสะบาโต?’ (ลูกา 6:2) พระเยซูตรัสโดยอ้างตัวอย่างในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (ข้อ 3–4) พระองค์ ทรงสำแดงให้เห็นจากการใคร่ครวญพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอย่างเปิดกว้างว่าความเข้าใจของพวกฟาริสีเกี่ยวกับวันสะบาโตนั้นคับแคบเกินไป
ทรงรักษาชายคนหนึ่งในวันสะบาโตและถามว่า ‘ในวันสะบาโตนั้นควรจะทำการดีหรือการร้าย ควรจะช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?’ (ข้อ 9) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระองค์ทรงมองข้ามตัวอักษรในบทบัญญัติทะลุไปยังเจตนารมย์ของบทบัญญัติ และสำแดงให้เห็นว่าในฐานะที่ทรงเป็น ‘นายเหนือวันสะบาโต’ (ข้อ 5) พระองค์ทรงไม่ได้ยึดติดตามตัวอักษรของบทบัญญัติ
พระเยซูทรงหยั่งลึกในการตีความพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและเราจำเป็นต้องใคร่ครวญผ่านมุมมองของพระองค์ เราจำเป็นต้องเข้าใจโดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่พระเยซูตรัสว่า ‘และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา’ (ยอห์น 5:39) สิ่งนี้ปรากฏในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมอย่างเจาะจงสามประการ
คำอธิษฐาน
กันดารวิถี 19:1-21:3
พิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำชำระมลทิน
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2“ต่อไปนี้เป็นกฎของธรรมบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาว่า จงบอกคนอิสราเอลให้นำโคตัวเมียสีแดงที่ไม่พิการและไม่มีตำหนิ ซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกมา 3จงให้โคนั้นแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต และให้เอาโคนั้นไปนอกค่ายแล้วฆ่าต่อหน้าเขา 4เอเลอาซาร์ปุโรหิตจะเอานิ้วมือจุ่มเลือดโค แล้วพรมที่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง 5และให้เผาโคตัวเมียนั้นต่อหน้าเขา คือเผาทั้งหนัง เนื้อ และเลือด กับมูลของมัน 6และปุโรหิตจะเอาไม้สนสีดาร์ ไม้หุสบกับด้ายสีแดงโยนเข้าไปในไฟที่เผาโคตัวเมียนั้น 7แล้วปุโรหิตจะซักเสื้อตำแหน่งและชำระร่างกายของเขาในน้ำ หลังจากนั้นจึงเข้าไปในค่าย และปุโรหิตจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น 8คนที่เผาโคก็ต้องซักเสื้อผ้าและชำระร่างกายของเขาในน้ำ และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น 9ให้ผู้ชายที่สะอาดเก็บขี้เถ้าโคตัวเมีย และนำไปไว้ในที่สะอาดนอกค่าย ขี้เถ้านั้นจะเป็นเหมือนน้ำชำระมลทินสำหรับคนอิสราเอล คือการชำระบาป 10คนที่เก็บขี้เถ้าของโคตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น นี่จะเป็นกฎถาวรสำหรับคนอิสราเอล และคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
11“ใครที่แตะต้องศพของผู้ใดก็ตามต้องเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน 12เขาต้องชำระตัวด้วยน้ำในวันที่สามและวันที่เจ็ด เขาจึงจะสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ได้ชำระตัวในวันที่สามและวันที่เจ็ด เขาจะสะอาดไม่ได้ 13ทุกคนที่แตะต้องคนตาย คือร่างกายของคนที่ตายแล้ว และไม่ได้ชำระตัว คนนั้นก็ทำให้พลับพลาของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน เขาต้องถูกตัดออกจากอิสราเอล เพราะไม่ได้เอาน้ำชำระมลทินพรมเขา เขาจะเป็นมลทิน และมลทินยังอยู่บนตัวเขา
14“ต่อไปนี้เป็นบัญญัติเรื่องคนตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้ามาในเต็นท์ หรือทุกคนที่อยู่ในเต็นท์จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน 15ภาชนะทุกชิ้นที่ไม่มีฝาปิดต้องเป็นมลทิน 16ทุกคนที่อยู่ในพื้นทุ่งซึ่งแตะต้องคนที่ตายด้วยดาบ หรือแตะต้องศพหรือกระดูกคน หรือหลุมศพจะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน 17คนที่เป็นมลทินต้องเอาขี้เถ้าจากการเผาบูชาลบล้างบาป และเอาน้ำที่ไหลเติมเข้าไปในภาชนะ 18แล้วให้คนสะอาดเอากิ่งหุสบจุ่มน้ำนั้น แล้วประพรมที่เต็นท์ เครื่องใช้ทั้งหมด บนตัวคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น และบนตัวคนที่แตะต้องกระดูกหรือคนถูกฆ่า หรือคนตายหรือหลุมศพ 19ให้คนที่สะอาดประพรมคนที่เป็นมลทินในวันที่สามและวันที่เจ็ด แล้วในวันที่เจ็ดเขาจะทำให้คนนั้นสะอาด และเขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ แล้วเขาจะสะอาดในเวลาเย็น
20“แต่คนที่เป็นมลทินและไม่ชำระตัว เขาต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางที่ประชุม เพราะเขาทำให้สถานนมัสการของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน คือไม่ได้เอาน้ำชำระมลทินประพรมเขา เขาจึงเป็นมลทิน 21ดังนั้นจึงเป็นกฎถาวรแก่พวกเขา ผู้ที่พรมน้ำชำระมลทินจะต้องซักเสื้อผ้าของตน และผู้ที่แตะต้องน้ำชำระมลทินจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น 22นอกจากนี้ทุกสิ่งที่ผู้เป็นมลทินแตะต้องนั้นก็จะเป็นมลทินด้วย และคนที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น”
กันดารวิถี 20
น้ำที่เมรีบาห์
1ชุมนุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลเข้ามาในถิ่นทุรกันดารศิน ในเดือนที่หนึ่ง ประชาชนพักอยู่ที่คาเดช และมิเรียมสิ้นชีวิต แล้วถูกฝังไว้ที่นั่น
2และชุมนุมชนไม่มีน้ำ เขาทั้งหลายประชุมกันต่อต้านโมเสสและอาโรน 3ประชาชนโต้เถียงกับโมเสสและกล่าวว่า “เมื่อพี่น้องเราตายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์นั้น ถ้าเราตายเสียด้วยก็ดี 4ทำไมท่านพาชุมนุมชนของพระยาห์เวห์มาในถิ่นทุรกันดารนี้ และให้ตัวเราและสัตว์เลี้ยงของเราตายกันที่นี่? 5และทำไมท่านจึงให้เราออกจากอียิปต์ และนำเรามายังที่เลวทรามนี้? ซึ่งเป็นที่ที่ไม่สามารถหว่านข้าว ไม่มีต้นมะเดื่อ ไม่มีองุ่นหรือทับทิม และไม่มีน้ำดื่ม” 6แล้วโมเสสและอาโรนจึงออกจากที่ประชุมไปที่ประตูเต็นท์นัดพบแล้วซบหน้าลง และพระสิริของพระยาห์เวห์ปรากฏแก่เขาทั้งหลาย 7พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 8“จงถือไม้เท้าและจงเรียกประชุมชุมนุมชน ทั้งตัวเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และให้เจ้าทั้งสองบอกหินต่อหน้าต่อตาประชาชนให้มันหลั่งน้ำออกมา ดังนั้นเจ้าจะเอาน้ำออกจากหินให้พวกเขา แล้วให้ทั้งชุมนุมชนและสัตว์เลี้ยงได้ดื่ม” 9โมเสสก็นำไม้เท้าไปจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงบัญชา
10โมเสสกับอาโรนก็เรียกชุมนุมชนให้ไปพร้อมกันที่หิน โมเสสกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าพวกกบฏจงฟัง จะให้เราเอาน้ำออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ?” 11โมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลออกมาอย่างมากมาย ชุมนุมชนและสัตว์เลี้ยงของเขาก็ได้ดื่มกัน 12พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะเจ้าทั้งสองไม่ได้เชื่อมั่นในเราที่จะถวายความศักดิ์สิทธิ์แก่เราต่อหน้าคนอิสราเอล เพราะฉะนั้นเจ้าทั้งสองจะไม่ได้นำคนในที่ประชุมนี้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้ให้แก่พวกเขา” 13น้ำนั้นคือน้ำแห่งเมรีบาห์ เพราะว่าคนอิสราเอลได้โต้เถียงพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงสำแดงความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลางพวกเขา
เอโดมไม่ให้อิสราเอลผ่านแดน
14โมเสสส่งผู้สื่อสารจากคาเดชไปยังกษัตริย์ของเอโดมทูลว่า “พี่น้องของฝ่าพระบาทคือคนอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ‘ฝ่าพระบาททรงทราบถึงความทุกข์ยากทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว 15ว่าบรรพบุรุษของเราลงไปยังอียิปต์ และเราอาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลานาน และคนอียิปต์ได้ข่มเหงเราและบรรพบุรุษของเรา 16และเมื่อเราร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงสดับเสียงร้องของเรา และพระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำเราออกจากอียิปต์ และเราได้มาอยู่ที่คาเดชซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ชิดพรมแดนของฝ่าพระบาท 17ขอทรงให้เราผ่านเขตแดนของฝ่าพระบาท เราจะไม่ผ่านไร่นาหรือสวนองุ่น เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวง และเราจะไม่หันออกไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ จนกว่าเราจะผ่านพ้นพรมแดนของฝ่าพระบาท’ ” 18แต่เอโดมกล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจะผ่านไปไม่ได้ มิฉะนั้นเราจะออกมาสู้กับเจ้าด้วยดาบ” 19และคนอิสราเอลทูลพระองค์ว่า “เราจะเดินไปตามทางหลวง ถ้าเราดื่มน้ำของฝ่าพระบาท ไม่ว่าตัวเราหรือฝูงสัตว์ เราจะจ่ายเงินให้ เราไม่ต้องการสิ่งอื่นใดเลยนอกจากการเดินผ่านไป” 20แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “เจ้าจะผ่านไปไม่ได้” แล้วเอโดมก็ออกมาต่อสู้กับเขาด้วยคนมากมายที่มีกำลังเข้มแข็ง 21เช่นนี้แหละเอโดมจึงไม่ให้อิสราเอลผ่านพรมแดนของเขา ดังนั้นอิสราเอลจึงหันไปจากเขา
อาโรนสิ้นชีวิต
22และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็ยกออกจากคาเดชมาถึงภูเขาโฮร์ 23พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ที่ริมพรมแดนแผ่นดินเอโดมว่า 24“อาโรนจะจากจะจากไปอยู่กับประชาชนของเขา เพราะเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่คนอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองกบฏต่อคำสั่งของเราที่น้ำแห่งเมรีบาห์ 25จงนำอาโรนและเอเลอาซาร์ลูกของเขาขึ้นมาบนภูเขาโฮร์ 26จงถอดชุดเสื้อตำแหน่งของอาโรนแล้วสวมให้แก่เอเลอาซาร์ลูกของเขา อาโรนจะจากไป เขาจะสิ้นชีวิตที่นั่น” 27โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา และพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ต่อหน้าชุมนุมชนทั้งหมด 28แล้วโมเสสถอดชุดเสื้อตำแหน่งของอาโรนออก และสวมให้เอเลอาซาร์บุตรของเขา อาโรนก็สิ้นชีวิตที่ยอดภูเขานั้น แล้วโมเสสและเอเลอาซาร์ลงมาจากภูเขา 29เมื่อประชาชนเห็นว่าอาโรนเสียชีวิตแล้ว คนอิสราเอลทั้งหมดก็ร้องไห้ไว้ทุกข์ให้อาโรนอยู่ 30 วัน
กันดารวิถี 21
งูทองสัมฤทธิ์
1เมื่อกษัตริย์เมืองอาราดชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเนเกบ ทรงได้ยินว่าอิสราเอลยกมาตามทางอาธาริม พระองค์ทรงมาต่อสู้กับคนอิสราเอลและทรงจับบางคนไปเป็นเชลย 2และคนอิสราเอลบนไว้กับพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าพระองค์จะทรงมอบชนชาตินี้ไว้ในมือพวกข้าพระองค์แน่นอนแล้ว ข้าพระองค์จะทำลายบ้านเมืองของพวกเขาให้สิ้นซาก” 3และพระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงของคนอิสราเอล และทรงมอบชาวคานาอันให้ เขาทั้งหลายก็ทำลายชาวคานาอันและบ้านเมืองของเขาจนสิ้นซาก ดังนั้นเขาจึงเรียกตำบลนั้นว่าโฮรมาห์
อรรถาธิบาย
5. คนกลาง
เรื่องราวทั้งหมดของพระธรรมตอนนี้เกี่ยวกับเลือดของแพะ วัวตัวผู้ และ ‘ขี้เถ้าโคตัวเมีย’ (19:9) เป็นดั่งเงาสะท้อนล่วงหน้าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแทนเราบนไม้กางเขน
แม้ผู้เขียนในพระธรรมฮีบรูมุ่งให้ความสนใจไปที่เครื่องเผาบูชาเหล่านั้น แต่เขาได้บรรยายหลังจากนั้นว่า ‘มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ทรงถวายพระองค์เองที่ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยพระวิญญาณนิรันดร์ ก็จะทรงชำระมโนธรรมของเราจากการประพฤติที่เปล่าประโยชน์ เพื่อเราจะปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่! เพราะเหตุนี้พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลาง’ (ฮีบรู 9:14–15ก)
ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ข้าพระองค์มี ‘พระเจ้าองค์เดียวและคนกลางก็มีแต่เพียงผู้เดียวระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์ ผู้ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับทุกคน’ (1 ทิโมธี 2:5–6)
6. ศิลา
พระเจ้าสั่งให้โมเสสเอาน้ำออกจากหิน โมเสสก็ยกมือตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลออกมาอย่างมากมาย (กันดารวิถี 20:1–11) ‘น้ำพลุ่งออกมาอย่างล้นเหลือ’ (ข้อ 11, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) อัครสาวกเปาโลยังบอกเราถึงความหมายของน้ำที่ออกมาจากหิน โดยกล่าวว่า ‘พวกเขา...ได้ดื่มน้ำฝ่าย จิตวิญญาณเดียวกันทุกคน เพราะว่าพวกเขาได้ดื่มจากพระศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขาไป พระศิลานั้นคือพระคริสต์’ (1 โครินธ์ 10:3–4) พระองค์คือผู้ที่ดับความกระหายของเรา วัตถุสิ่งของเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถดับกระหายเราได้
พระเจ้าทรงมีพระทัยที่กว้างขวางต่อเรามาก น้ำไม่ได้ไหลออกมาเป็นหยดๆ แต่หลั่งมาอย่างล้นเหลือ พระเยซูทรงเสด็จมาเพื่อให้คุณมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Revised Standard Version โดยผู้แปล) พระองค์ทรงสัญญาว่าจะสนองความกระหายทางวิญญาณของคุณด้วย ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรง ชีวิต’ (ยอห์น 7: 37–38)
ข้าแต่พระเจ้า พระศิลาของข้าพระองค์ ขอบคุณที่พระองค์ทรงตอบสนองความหิวกระหายทางจิตวิญญาณของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะนำน้ำแห่งชีวิตของพระองค์ไปสู่ผู้อื่น
7. มหาปุโรหิตยิ่งใหญ่
พระเยซูทรงเป็น ‘มหาปุโรหิตยิ่งใหญ่’ (ฮีบรู 4:14) ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์เพื่อถวายเครื่องเผาต่อพระเจ้าแทนเราทุกคน การตายของอาโรน (กันดารวิถี 20: 28–29) ย้ำเตือนเราว่าจุดอ่อนประการหนึ่งปุโรหิตที่เป็นคนเลวี คือพวกเขาสามารถล้มหายตายจากได้
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูสะท้อนให้เห็นว่าปุโรหิตเหล่านี้เหมือนกับอาโรนที่ ‘ความตายขัดขวางไม่ให้พวกเขาปฏิบัติงานได้ตลอดไป’ แต่พระเยซูองค์นี้ทรงดำรงตำแหน่ง ‘ปุโรหิตตลอดกาล’ เพราะพระองค์ทรง ‘ดำรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์’ เพราะเหตุนี้ ‘พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา’ (ฮีบรู 7:23–25)
สิ่งนี้ย้ำเตือนเราถึงความมั่นคงที่คุณสามารถมีได้ในความเชื่อของคุณ คุณไม่ต้องกังวลว่าคุณจะ ‘ดีพอ’ หรือไม่ คุณสามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่ในความรอดที่มีในพระเยซู
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ลูกา 6:1–11
เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับการหยุดงานสักวัน พักผ่อน ฟื้นตัว และสนุกเพลิดเพลินไปกับมัน!
ข้อพระคำประจำวัน
สุภาษิต 8:10–11ก (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘ยอมรับคำสั่งสอนของข้าพเจ้าแทนทรัพย์สินเงินทองและพระปัญญาของพระเจ้ามากกว่ากิจการงานที่มั่งคั่ง เพราะปัญญาก็ดีกว่าสิ่งมีค่าทั้งปวง…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)