จงใจกว้างอยู่เสมอ
เกริ่นนำ
การมีใจที่กว้างขวางเป็นคุณลักษณะที่ดีของคนเรา เรารักและชื่นชมคนที่มีใจที่กว้างขวาง แม่ของผมเคยกระตุ้นเมื่อตอนเราเป็นเด็ก ๆ ว่า ‘จงใจกว้างเสมอ’
คุณคิดอย่างไรกับพระเจ้า? คุณคิดว่าพระองค์ใจร้ายหรือใจแคบหรือไม่? หรือคุณคิดว่าพระองค์ทรงมีพระทัยกว้างขวางเป็นพิเศษ?
พระทัยที่กว้างขวางของพระเจ้ามีให้เห็นในธรรมชาติของโลกใบนี้ ตัวอย่างเช่น มีกล้วยไม้มากกว่า 25,000 ชนิด โดยกล้วยไม้เป็นเพียงหนึ่งใน 270,000 สายพันธุ์ของดอกไม้ พระเจ้าไม่ทรงกระทำสิ่งใดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในกาแลคซี่ของเรามีดวงดาวมากกว่า 100 ล้านดวง เช่น ดวงอาทิตย์ กาแล็กซี่ของเราเป็นหนึ่งในกาแล็กซี่มากกว่า 100 พันล้านกาแล็กซี่ เหมือนกับทรายทุกเม็ดมีดาวนับล้านดวงในนั้น ในพระธรรมปฐมกาล ผู้เขียนได้บอกกับเราว่า ‘พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ ด้วย’ (ปฐมกาล 1:16)
พระเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวางเป็นพิเศษ ดาวิดพูดถึง ‘... แม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระองค์’ (สดุดี 36:8ข) พระองค์ ‘ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวาง’ (ยากอบ 1:5) ถ้าพระเจ้าใจกว้างมากกับเรา เราก็ควร ‘ใจกว้างเสมอ’ ด้วยเช่นกัน
สดุดี 36:1-12
ความชั่วของมนุษย์กับความดีของพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง ของดาวิด ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์
1การละเมิดพูดในใจของคนอธรรมว่า
เขาไม่เห็นจะต้องหวาดกลัวพระเจ้า
2เพราะเขาป้อยอตนเองในสายตาของตนว่า
ไม่มีผู้ใดพบความชั่วของเขาและรังเกียจมัน
3ถ้อยคำจากปากของเขาก็ชั่วร้ายและหลอกลวง
เขาเลิกประพฤติอย่างฉลาดและเลิกทำความดี
4เขาวางแผนชั่วเมื่ออยู่บนที่นอน
เขาพาตัวเองไปอยู่ในทางที่ไม่ดี
เขามิได้ปฏิเสธความชั่ว
5ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์แผ่ไปถึงฟ้าสวรรค์
ความซื่อสัตย์ของพระองค์ไปถึงเมฆ
6ความชอบธรรมของพระองค์เหมือนภูเขาสูงตระหง่าน
ความยุติธรรมของพระองค์เหมือนที่ลึกยิ่ง
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงช่วยทั้งมนุษย์และสัตว์ให้รอด
7ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ล้ำเลิศยิ่งนัก
มนุษย์ทั้งหลายเข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกพระองค์
8พวกเขาอิ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์แห่งพระนิเวศของพระองค์
และพระองค์ทรงให้เขาดื่มจากแม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระองค์
9เพราะน้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์
เราเห็นความสว่างโดยความสว่างของพระองค์
10ขอทรงให้ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เรื่อยไปแก่ผู้ที่รู้จักพระองค์
และความชอบธรรมของพระองค์
11ขออย่าให้เท้าของคนจองหองเหยียบย่ำข้าพระองค์
และอย่าให้มือของคนอธรรมขับไล่ข้าพระองค์ไปเสีย
12แล้วบรรดาผู้ทำความชั่วก็ล้มอยู่ที่นั่น
เขาถูกผลักลง และลุกขึ้นอีกไม่ได้
อรรถาธิบาย
แม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระเจ้า
ดาวิดวาดภาพของพระเจ้าว่าเป็นเจ้าบ้านที่ร่ำรวย และใจกว้างซึ่งให้ความช่วยเหลือแก่ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า (ข้อ 7)
ดาวิดถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่ ‘ไม่ยำเกรงพระเจ้า’ และคนที่ ‘กระหายความบาป’ (ข้อ 1, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขา ‘ชั่วร้ายและหลอกลวง’ (ข้อ 3ก) และวางแผนชั่วอยู่ตลอดเวลา (ข้อ 4ก) พวกเขา ‘เลิกประพฤติอย่างฉลาดและเลิกทำความดี’ (ข้อ 3ข) โดยพาตัวเองไปอยู่ในทางที่ไม่ดี (ข้อ 4ข) พวกเขาได้ปฏิเสธพระทัยที่กว้างขวางของพระเจ้า
แม้จะอยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหลายนี้ ดาวิดรู้จักพระเจ้า (ข้อ 10) และดื่มจาก ‘แม่น้ำแห่งความสุขเกษมของพระองค์’ (ข้อ 8ข) ความสุขเกษมเหล่านี้รวมไปถึงการได้รู้จักและได้สัมผัสกับขอบเขตความรักของพระเจ้า (ดูในพระคัมภีร์จาก The Message)
1.\tความรักของพระเจ้าเป็นดั่ง ‘ความโชติช่วง’
ความรักของพระองค์ ‘แผ่ไปถึงฟ้าสวรรค์’ (ข้อ 5ก)
2.\tความซื่อสัตย์ของพระเจ้า ‘มหาศาล’
ความซื่อสัตย์ของพระองค์ ‘ไปถึงเมฆ’ (ข้อ 5ข)
3.\tพระประสงค์ของพระเจ้าคือ ‘มหึมา’
ความชอบธรรมของพระองค์ ‘เหมือนภูเขาสูงตระหง่าน’ (ข้อ 6ก)
4.\tความยุติธรรมของพระเจ้าคือ ‘มหาสมุทร’
ความยุติธรรมของพระองค์ ‘เหมือนที่ลึกยิ่ง’ (ข้อ 6ข)
คุณสามารถเข้า ‘ลี้ภัย’ อยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์ (ข้อ 7ข) คุณสามารถ ‘อิ่ม’ ด้วยความอุดมสมบูรณ์แห่งพระนิเวศของพระองค์ (ข้อ 8ก) ความอุดมสมบูรณ์มีความหมายเหมือนกับความใจกว้าง เราจะพบ ‘น้ำพุแห่งชีวิต’ ได้ในพระองค์ (ข้อ 9ก) ในความสว่างของพระองค์ คุณจะ ‘ได้เห็นความสว่าง’ (ข้อ 9ข)
สิ่งเหล่านี้เป็น ‘ความสุขเกษม’ บางส่วน ที่พระองค์ประทานให้คุณด้วยพระทัยที่กว้างขวางในสัมพันธภาพของคุณกับพระองค์
คำอธิษฐาน
ลูกา 4:14-37
พระเยซูทรงเริ่มต้นพระราชกิจในแคว้นกาลิลี
14พระเยซูเสด็จกลับไปที่แคว้นกาลิลีด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วทุกแว่นแคว้นโดยรอบ 15พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา และได้รับการสรรเสริญจากคนทั้งหลาย
ชาวนาซาเร็ธไม่ยอมรับพระเยซู
16แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตเช่นเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม 17เขาจึงส่งคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ทรงพบข้อที่เขียนไว้ว่า
18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า
เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
19 และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
20แล้วพระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วประทับลง และตาของทุกคนที่อยู่ในธรรมศาลาก็จ้องดูพระองค์ 21พระองค์จึงเริ่มต้นตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูก็สำเร็จแล้วในวันนี้” 22ทุกคนก็กล่าวชมเชยพระองค์ และประหลาดใจในถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณซึ่งพระองค์ตรัส และกล่าวว่า “คนนี้เป็นลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ?” 23พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านคงอยากจะกล่าวภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือ ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด’ และพวกท่านคงอยากจะพูดว่า ‘สิ่งต่างๆ ที่เราได้ยินว่าท่านทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงทำในเมืองของตัวเองที่นี่ด้วยซิ’ ” 24พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการยอมรับในบ้านเกิดของตัวเอง 25และเราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า มีหญิงม่ายอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดถึงสามปีหกเดือนจนเกิดการกันดารอาหารอย่างมากทั่วทั้งแผ่นดิน 26พระเจ้าไม่ทรงใช้เอลียาห์ให้ไปหาหญิงม่ายคนใดในพวกนั้นเลย เว้นแต่หญิงม่ายในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน 27และมีคนโรคเรื้อนอยู่มากมายท่ามกลางพวกอิสราเอลในสมัยของเอลีชาผู้เผยพระวจนะด้วย แต่ไม่มีใครได้รับการรักษาให้หายเว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย” 28เมื่อทุกคนในธรรมศาลาได้ยินอย่างนั้นก็ฉุนเฉียวอย่างยิ่ง 29จึงลุกขึ้นผลักไสพระองค์ออกจากเมือง และพาพระองค์ไปที่หน้าผาของเนินเขาที่เมืองนั้นตั้งอยู่ ตั้งใจจะผลักให้พระองค์ตกลงไป 30แต่พระองค์ทรงฝ่าพ้นพวกเขาและเสด็จจากไป
ชายที่มีผีโสโครก
31แล้วพระองค์เสด็จไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และทรงสั่งสอนพวกเขาในวันสะบาโต 32เขาก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ
33มีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผีโสโครกเข้าสิง ร้องเสียงดังว่า 34“พระเยซูชาวนาซาเร็ธ พระองค์มายุ่งกับเราทำไม? พระองค์มาทำลายเราหรือ? ข้ารู้ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์คือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 35พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า “นิ่งเสีย จงออกมาจากตัวเขา” ผีนั้นก็ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางฝูงชน แล้วก็ออกจากตัวเขา แต่ไม่ได้ทำอันตรายเขาเลย 36ทุกคนก็ประหลาดใจพูดกันว่า “ถ้อยคำของคนนี้มีอะไรพิเศษนะ เพราะท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดช และพวกมันก็ออก” 37กิตติศัพท์ของพระองค์จึงเลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
อรรถาธิบาย
พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ลงมาด้วยพระทัยที่กว้างขวาง
พระเยซูเสด็จกลับไปที่แคว้นกาลิลี ‘ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ’ (ข้อ 14ก) พระองค์ทรงเข้าไปในธรรมศาลาที่นาซาเร็ธและอ่านพระธรรม ทรงอ่านจากพระธรรมอิสยาห์ 61 และทรงตรัสว่า
‘พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า
เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า’
พระองค์ทรงประกาศว่า ‘พระคัมภีร์ที่ท่านเพิ่งได้ยินในประวัติศาสตร์ ได้เป็นจริงในบัดนี้ ณ ที่แห่งนี้’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
‘พระวิญญาณของพระเจ้า’ เหมือนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘องค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา’ (ทิตัส 3:6) ในพระเยซู เราได้เห็นผลของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีไว้สำหรับทุกคนที่ติดตามพระองค์
1.\tการเจิมของพระวิญญาณ
คำว่า ‘คริสต์’ หมายถึง ‘ผู้ได้รับการเจิม’ (เป็นคำภาษากรีกจากคำในฮีบรู ‘เมสสิยาห์’) ในที่นี้เราจะได้เห็นว่าพระเยซูได้รับการเจิมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในงานรับใช้ของพระองค์อย่างไร การเจิมอย่างเดียวกันนี้ได้ประทานให้กับผู้ที่ติดตามพระองค์ในวันเพ็นเทคอสต์ ‘พระองค์ทรงเจิมเรา... และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย’ (2 โครินธ์ 1:21-22) เธโอฟีลัสแห่งเมืองอันทิโอก (นักศาสนศาสตร์ในศตวรรษที่ 2) เขียนไว้ว่า ‘เราถูกเรียกว่าคริสเตียน (christianoi) เพราะเราได้รับการเจิม (chrisometha) ด้วยน้ำมันของพระเจ้า’
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเจิมคุณเพื่อ ‘นำข่าวดีมายังคนยากจน... ประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ’ (ลูกา 4:18) ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรือสมบูรณ์ไปกว่าการรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
2.\tถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณ
ทุกคนก็ ‘ประหลาดใจในถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณ’ ซึ่งออกมาจากริมฝีปากของพระเยซู (ข้อ 22) ความรักไม่หยาบคาย (1 โครินธ์ 13:5) พระเยซูทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอยู่เสมอ ถ้อยคำที่ประกอบด้วยพระคุณนี้เป็นหลักฐานแสดงถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในชีวิตของคุณ
3.\tคำสอนอันน่าอัศจรรย์
‘เขาก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ’ (ลูกา 4:32) ‘คำสอนของพระองค์ตรงไปตรงมา เป็นที่แน่นอน มีอำนาจมาก ไม่มีการพูดคลุมเครือและไม่อ้างถึงคำพูดที่พวกเขาคุ้นเคย’ (ข้อ 32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สิทธิอำนาจมาจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณฯ หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำสอนก็เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น
4.\tสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดช
พระเยซูทรงจัดการกับอำนาจของผีโสโครกด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 33-35) และอีกครั้งหนึ่งที่ ‘ทุกคนก็ประหลาดใจ’ (ข้อ 36) เพราะ ‘ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดช และพวกมันก็ออก!’ (ข้อ 36)
5.\tการสรรเสริญและฉุนเฉียว
การรับใช้ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่ตรงกันข้ามกัน 2 อย่าง คือการสรรเสริญและฉุนเฉียว ในข้อ 15 เราได้อ่านถึงพระเยซู ‘ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา และได้รับการสรรเสริญจากคนทั้งหลาย’ ใน 2-3 ข้อต่อมาเราได้อ่านถึงว่า ‘ทุกคนในธรรมศาลาได้ยินอย่างนั้นก็ฉุนเฉียวอย่างยิ่ง’ (ข้อ 28) วันนี้คุณสามารถคาดหวังปฏิกิริยาตอบสนองแบบเดียวกัน คำสอนของพระเยซู และงานรับใช้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อให้เกิดทั้งการสรรเสริญและฉุนเฉียว
คำอธิษฐาน
กันดารวิถี 13:26-14:45
26เขากลับมายังโมเสส อาโรน และชุมนุมชนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช พวกเขากลับมารายงานต่อท่านทั้งสองและชุมนุมชนทั้งหมด ทั้งให้ดูผลไม้ของแผ่นดินนั้น 27เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายไปถึงแผ่นดินซึ่งท่านส่งเราไปนั้น ที่นั่นมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์จริง และนี่เป็นผลไม้ของแผ่นดินนั้น 28แต่ว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังมาก เมืองของพวกเขาก็มีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก นอกจากนั้นเรายังเห็นลูกหลานคนอานาคที่นั่นด้วย 29คนอามาเลขอาศัยในดินแดนทางทิศใต้ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30แต่คาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสสแล้วกล่าวว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดแผ่นดินนั้น เพราะเราจะชนะแน่นอน” 31แต่คนทั้งหลายที่เข้าไปสอดแนมด้วยกล่าวว่า “เราไม่สามารถเข้าไปและชนะคนเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขามีกำลังมากกว่าเรา” 32พวกเขายังกล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่ได้ไปสอดแนมมาโดยเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองทั้งหมดที่เราเห็นล้วนเป็นคนรูปร่างใหญ่โต 33ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิลคือพวกมนุษย์ที่มีรูปร่างใหญ่โตมากราวกับยักษ์ (คนอานาคนั้นมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตน และเราก็เป็นเช่นนั้นในสายตาของพวกเขา”
กันดารวิถี 14
ประชาชนกบฏ
1แล้วชุมนุมชนทั้งหมดก็ร้องลั่นขึ้นมา และประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น 2คนอิสราเอลทั้งหมดบ่นว่าโมเสสและอาโรน ชุมนุมชนทั้งหมดกล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ให้เราตายเสียที่อียิปต์ หรือตายในถิ่นทุรกันดารนี้ยังดีกว่า 3ทำไมพระยาห์เวห์ทรงนำเรามาในแผ่นดินนี้ให้ล้มตายด้วยคมดาบ? ลูกเมียของเราต้องถูกปล้นเอาไป เรากลับอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?”
4เขาพูดต่อกันและกันว่า “ให้เราตั้งคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้า แล้วกลับไปอียิปต์” 5ส่วนโมเสสกับอาโรนซบหน้าลงต่อหน้าที่ประชุมของชุมนุมชนอิสราเอล 6และโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ผู้ร่วมไปสอดแนมแผ่นดินนั้นได้ฉีกเสื้อผ้าของตน 7และพูดกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีเหลือเกิน 8ถ้าพระยาห์เวห์พอพระทัยในเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 9ขอเพียงอย่าให้เรากบฏต่อพระยาห์เวห์ อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นเหมือนขนมปังของเราแล้ว เกราะกำบังของพวกเขาก็ถูกนำออกไปแล้ว พระยาห์เวห์สถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย” 10แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดว่าให้เอาหินขว้างเขาทั้งสอง
ขณะนั้นพระสิริของพระยาห์เวห์ปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมด 11และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ชนชาตินี้จะสบประมาทเรานานเท่าไร? พวกเขาจะไม่เชื่อเรานานแค่ไหน? แม้เราได้ทำการอัศจรรย์ทุกอย่างท่ามกลางพวกเขามาแล้ว 12เราจะประหารเขาทั้งหลายด้วยโรคระบาด และตัดเขาทิ้งไปแปลได้อีกว่า และทำลายเขา แล้วเราจะทำให้เจ้าเป็นประเทศใหญ่โตและแข็งแรงกว่าพวกเขาอีก”
โมเสสทูลวิงวอนเพื่อประชาชน
13แต่โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ชาวอียิปต์จะได้ยินเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงพาชนชาตินี้ออกจากท่ามกลางพวกเขาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ 14พวกเขาจะเล่าเรื่องนี้แก่ชาวแผ่นดินนี้ เขาทั้งหลายได้ยินว่า พระองค์คือพระยาห์เวห์สถิตท่ามกลางชนชาตินี้ ชนชาตินี้ได้เห็นพระองค์คือพระยาห์เวห์อย่างชัดเจน เมฆของพระองค์ลอยอยู่เหนือเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆและกลางคืนด้วยเสาไฟ 15ถ้าพระองค์จะทรงประหารชนชาตินี้ในคราวเดียวภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ชนชาตินี้เหมือนคนคนเดียว ประชาชาติต่างๆ ที่ได้ยินกิตติศัพท์ของพระองค์จะพูดกันว่า 16‘เพราะพระยาห์เวห์ไม่สามารถพาชนชาตินี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณกับพวกเขานั้น พระองค์จึงทรงประหารพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร’ 17บัดนี้ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอองค์เจ้านายทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ขอให้ฤทธิ์อำนาจขององค์เจ้านายยิ่งใหญ่ตามที่พระองค์ตรัสไว้ว่า 18‘พระยาห์เวห์กริ้วช้า ทรงอุดมด้วยความรักมั่นคง และทรงยกโทษบาปและการทรยศ แต่กระนั้นก็ไม่ละเว้นการลงโทษ ให้บาปของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามถึงสี่ชั่วอายุคน’ 19ขอทรงอภัยบาปของชนชาตินี้ตามความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เหมือนดังที่พระองค์ทรงยกโทษบาปของชนชาตินี้ตั้งแต่อียิปต์จนถึงบัดนี้”
20แล้วพระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เราให้อภัยตามคำของเจ้า 21แท้จริงเรามีชีวิตอยู่เช่นไร แผ่นดินโลกทั้งหมดจะเต็มไปด้วยพระสิริของพระยาห์เวห์เช่นนั้น 22ทุกคนที่ได้เห็นพระสิริของเรา และเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่เราทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่ยังทดลองเราถึงสิบครั้ง ทั้งไม่ฟังเสียงของเรา 23พวกเขาจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเขา และทุกคนที่สบประมาทเราก็จะไม่ได้เห็นแผ่นดินนั้นเช่นกัน 24แต่ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรา เนื่องจากเขามีจิตใจที่แตกต่างและได้ติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะนำเขาไปถึงแผ่นดินที่เขาเข้าไปนั้น และพงศ์พันธุ์ของเขาจะได้เป็นกรรมสิทธิ์ 25ในเมื่อพวกอามาเลขและพวกคานาอันอยู่ที่หุบเขา พรุ่งนี้พวกเจ้าจงกลับไปในถิ่นทุรกันดารตามทางไปยังทะเลแดง”
การถูกขับไล่เมื่อเข้ายึดแผ่นดิน
26แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 27“เราจะทนต่อชุมนุมชนชั่วร้ายนี้ที่บ่นว่าเรานานแค่ไหน? เราได้ยินเสียงบ่นว่าของคนอิสราเอลซึ่งบ่นว่าเรา 28เจ้าจงกล่าวกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะทำกับพวกเจ้าตามสิ่งที่เจ้าทั้งหลายพูดเข้าหูของเราฉันนั้น 29ซากศพของพวกเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ฮบ.3:17 จำนวนคนทั้งหมดของเจ้าซึ่งถูกนับไว้ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปผู้ซึ่งบ่นว่าเรา 30พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่า จะให้เจ้าอาศัยอยู่ นอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน 31แต่บรรดาลูกน้อยที่เจ้าทั้งหลายว่าจะถูกปล้นเอาไปนั้นเราจะให้พวกเขาเข้าไปและเขาจะรู้จักแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายสบประมาทแปลได้อีกว่า ที่เจ้าทั้งหลายปฏิเสธ 32ส่วนเจ้าทั้งหลาย ศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ 33ลูกๆ ของเจ้าทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงแกะอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาทั้งหลายจะรับผลของการนอกใจของพวกเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้จะครบถ้วน 34ตามจำนวนวันที่พวกเจ้าเข้าไปสอดแนมแผ่นดินนั้น คือสี่สิบวัน วันหนึ่งจะเท่ากับปีหนึ่ง เจ้าทั้งหลายจะรับโทษบาปของเจ้าสี่สิบปี เจ้าทั้งหลายจะรู้ซึ้งถึงความไม่พอใจของเรา 35เราคือยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาแล้ว เราจะทำเช่นนี้กับชุมนุมชนชั่วร้ายทั้งหมดนี้ ซึ่งร่วมกันต่อสู้เรา พวกเขาจะถึงวาระสุดท้ายในถิ่นทุรกันดารและจะตายอยู่ที่นั่น”
36แล้วพวกที่โมเสสส่งไปสอดแนมแผ่นดิน ผู้ที่กลับมากล่าวร้ายแผ่นดินนั้น ซึ่งทำให้ชุมนุมชนบ่นว่าพระองค์ 37พวกที่มาและกล่าวร้ายแผ่นดินนั้นต่างตายด้วยโรคภัยเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 38เหลือเพียงโยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากคนที่ไปสอดแนมแผ่นดินที่ยังมีชีวิตอยู่
39เมื่อโมเสสบอกเรื่องนี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง ประชาชนก็ร้องไห้โศกเศร้าอย่างยิ่ง 40และเขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าแล้วขึ้นไปที่ยอดเขา กล่าวว่า “ดูสิ เรามาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเข้าไปยังที่ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสัญญาไว้ เพราะเราได้ทำผิดแล้ว” 41แต่โมเสสกล่าวว่า “ทำไมพวกท่านยังขัดขืนพระดำรัสของพระยาห์เวห์? การนี้จะไม่สำเร็จ 42อย่าขึ้นไปเลย เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน อย่าให้ท่านทั้งหลายต้องล้มตายต่อหน้าศัตรูเลย 43เพราะคนอามาเลขและคนคานาอันอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านทั้งหลายจะล้มลงด้วยคมดาบ เพราะท่านได้หันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะไม่สถิตกับท่านทั้งหลาย” 44แต่เขาทั้งหลายยังบังอาจขึ้นไปที่ยอดเขา แม้ว่าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และโมเสสเองไม่ได้ออกจากค่าย 45แล้วคนอามาเลขและคนคานาอันที่อยู่ในเขตเทือกเขาลงมาโจมตีและขับไล่พวกเขาไปถึงตำบลโฮรมาห์
อรรถาธิบาย
การจัดเตรียมของพระเจ้าด้วยพระทัยกว้างขวาง
พระเจ้าทรงมีพระทัยที่กว้างขวางต่อประชาชนของพระองค์ ในพระธรรมตอนนี้ เราจะได้เห็นว่าพระองค์ทรงจัดเตรียม ‘แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์' ให้กับพวกเขาอย่างไร โยชูวาและคาเลบได้รายงานว่า ‘แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีเหลือเกิน ถ้าพระยาห์เวห์พอพระทัยในเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปและประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์’ (14:7-8)
พระทัยที่กว้างของพระเจ้านั้นพิเศษมาก บางสิ่งถูกเก็บไว้สำหรับอนาคตเมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับพระองค์ (ดูใน เอเฟซัส 1:13-14; ฮีบรู 4:8-11 และ1 เปโตร 1:4-5) แต่มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้ประชาชนของพระองค์ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าคุณต้องการเพลิดเพลินกับพระทัยที่กว้างของพระเจ้า มี 4 สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญในวันนี้
1.\tเข้ายึดครอง
คาเลบกล่าวว่า ‘ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดแผ่นดินนั้น เพราะเราจะชนะแน่นอน’ (กันดารวิถี 13:30ข) แต่คนอื่น ๆ คัดค้านว่า ‘พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรามาก พวกเขาแพร่ข่าวลือที่น่ากลัว’ (ข้อ 31-32, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) มักมีฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ แต่อย่าถอดใจเพราะพวกยักษ์ใหญ่
ประชาชนไม่คิดว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะยักษ์ใหญ่ได้ มีเพียง 4 คนเท่านั้น (โมเสส อาโรน คาเลบ และโยชูวา) ที่เชื่อว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าปัญหา จอยซ์ ไมเยอร์ ให้ความเห็นว่า ‘น่าเศร้าที่เรามักจะมองไปที่ปัญหาอันใหญ่หลวงของเราแทนที่จะมองไปที่พระเจ้า... ฉันเชื่อว่าการใช้เวลาในการนมัสการและสรรเสริญพระเจ้าให้มากขึ้นจะช่วยให้เรามีสมาธิและทำให้เราสามารถเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง มีทัศนคติแง่บวก เชื่อว่าเราสามารถทำทุกสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราทำ’
2.\tเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า
พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า ‘พวกเขาจะไม่เชื่อเรานานแค่ไหน?’ (14:11) ประชาชนของพระเจ้าเริ่มบ่นว่าผู้นำของพวกเขาและพูดว่า ‘ทำไมไม่ให้เราตายเสียที่อียิปต์?... ให้เราได้เลือกผู้นำคนใหม่ ให้เรากลับไปที่อียิปต์เถิด’ (ข้อ 2-4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในระหว่างที่เผชิญกับการต่อต้านและปัญหา บางครั้งคุณถูกทดลองให้สงสารตัวเองและต้องการกลับไปใช้ชีวิตเก่าของคุณ คือมีความคิดที่ว่าคุณดีกว่านี้ก่อนที่คุณจะเริ่มติดตามพระเยซูหรือไม่? การทดลองนี้เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง
3.\tเฝ้าดูการทรงนำของพระองค์
พระเจ้ามีความกรุณาและใจกว้างต่อเรามาก พระองค์ทรงสัญญาที่ ‘พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆและกลางคืนด้วยเสาไฟ’ (ข้อ 14) ถ้าคุณต้องการเพลิดเพลินกับสิ่งดีทั้งสิ้นที่พระเจ้ามีให้คุณ ให้คุณเฝ้าดูที่การทรงนำของพระองค์
4.\tติดตามพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ
คนส่วนใหญ่กลัวถอดใจเพราะพวกยักษ์ มีเพียงโยชูวาและคาเลบที่แตกต่าง ‘คาเลบมีจิตใจที่แตกต่างและได้ติดตามเราอย่างสุดใจ’ (ข้อ 24) ในท้ายที่สุดมีเพียงผู้ที่ติดตามพระยาห์เวห์ ‘ด้วยสิ้นสุดใจ’ เท่านั้น (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ที่จะได้เพลิดเพลินกับแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
กันดารวิถี 14:29-30
มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่จะวางใจในพระเจ้าเพียงครึ่งเดียว หรือบ่น หรือไม่เชื่อฟังพระองค์ ประชาชนของพระเจ้าผิดพลาดเรื่องนี้เป็นอย่างมาก (ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับการบ่นบ้างเป็นครั้งคราวของฉัน!)
แต่พระเจ้าให้รางวัลในความซื่อสัตย์แก่ ‘คาเลบผู้รับใช้ของเรา เนื่องจากเขามีจิตใจที่แตกต่างและได้ติดตามเราอย่างสุดใจ’ (ข้อ 24) ให้เราหยุดการถากถางและการบ่นว่า และติดตามพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอย่างสุดใจ
ข้อพระคำประจำวัน
ลูกา 4:18
‘พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)