วัน 76

ถ้าหญ้าดูเขียวกว่า อาจจะเป็นหญ้าเทียมก็ได้

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 7:6-20
พันธสัญญาใหม่ ลูกา 2:1-20
พันธสัญญาเดิม กันดารวิถี 5:11-6:27

เกริ่นนำ

แคมเปญของเอเจนซี่ออนไลน์แห่งหนึ่งเสนอบริการหาคู่ให้กับผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่ต้องการมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เอเจนซี่นี้ไม่ได้มีเจ้าเดียวในท้องตลาดอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือพวกเขาใช้การโฆษณาที่ทั้งคลุมเครือแต่เฉพาะเจาะจงไปบนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างมอเตอร์เวย์ด้วยสโลแกนที่ว่า ‘หญ้าจะดูเขียวกว่าเสมอ’

พวกเขาหาเงินจากจุดอ่อนของผู้คนและช่วยให้พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ สิ่งนี้อาจดูน่าดึงดูด แต่ในความเป็นจริงมันสามารถทำลายชีวิตแต่ละคนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนชีวิตของคู่สมรส ครอบครัว และลูก ๆ ของพวกเขาด้วย

พระเยซูทรงใส่ความซื่อสัตย์ควบคู่ไปกับความยุติธรรมและความเมตตา (มัทธิว 23:23) ความซื่อสัตย์เป็นผลของพระวิญญาณฯ (กาลาเทีย 5:22) แม่ชีเทเรซ่ากล่าวว่า ‘ฉันไม่ได้ถูกเรียกให้ประสบความสำเร็จ(sucessful) แต่ถูกเรียกให้ซื่อสัตย์(faithful)’

ความซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราเป็นตัวอย่างให้เราปฏิบัติตามในความสัมพันธ์ของเราเอง ความซื่อสัตย์คือสิ่งที่เราควรพยายามเป็นอย่างมากในชีวิตแต่งงาน มิตรภาพ และในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 7:6-20

6เพราะที่หน้าต่างบ้านของข้า
 ข้าได้มองออกไปตามบานเกล็ด
7ข้าเห็นหนุ่มคนหนึ่งท่ามกลางคนรู้น้อย
 ข้าพิเคราะห์ดูเขาท่ามกลางคนหนุ่ม
 เขาไม่มีสามัญสำนึก
8เขากำลังผ่านไปตามถนนใกล้หัวมุมไปบ้านของนาง
 เขาเดินไปทางบ้านของนาง
9ในเวลาโพล้เพล้ ในเวลาเย็น
 ในตอนกลางคืนและในความมืด
10และดูสิ หญิงคนหนึ่งมาพบเขา
 แต่งตัวอย่างโสเภณีและมีหัวใจเจ้าเล่ห์
11นางจัดจ้านและหัวรั้น
 เท้าของนางไม่อยู่กับบ้าน
12ประเดี๋ยวอยู่ถนน ประเดี๋ยวอยู่ที่ลานเมือง
 และนางหมอบคอยอยู่ทุกหัวมุม
13นางฉวยเขาได้และจูบเขา
 นางพูดกับเขาอย่างหน้าไม่อายว่า
14“ฉันต้องถวายเครื่องศานติบูชา
 และวันนี้ฉันได้ถวายแก้บนแล้ว
15เพราะฉะนั้นฉันจึงออกมาหาเธอ
 เสาะหาเธออย่างตั้งใจ และฉันพบเธอแล้ว
16ฉันได้คลุมเตียงของฉันด้วยผ้าคลุม
 เป็นผ้าลินินสีจากอียิปต์
17ฉันทำที่นอนของฉันให้หอมด้วยมดยอบ
 กฤษณา และอบเชย
18มาเถอะ ให้เรามาอิ่มด้วยความรักจนรุ่งเช้า
 ให้เราสำเริงสำราญกันด้วยความรักอิ่มด้วยความรัก
19เพราะสามีของฉันไม่อยู่บ้าน
 เขาไปทางไกล
20เขาพกเงินไปถุงหนึ่ง
 พอวันเพ็ญเขาจึงจะกลับมา”

อรรถาธิบาย

จงซื่อสัตย์ในทุกความสัมพันธ์

ในพระธรรมสุภาษิตเตือนถึงอันตรายของความไม่ซื่อสัตย์ ในพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นถึงความโง่เขลาของทั้งชายและหญิงที่ข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศนอกสมรส

ในพระธรรมสุภาษิตตลอดทั้งเล่มมีความแตกต่างกันระหว่างวิถีของหญิงสองคนที่ต่างกัน ในมุมหนึ่งมี ‘หญิงผู้มีปัญญา' (ดูในบทที่ 8) และในทางกลับกันมี ‘หญิงแพศยา’ (ในบทนี้) คำสอนส่วนใหญ่เป็นคำแนะนำที่บิดามีให้บุตร (แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเราทุกคน) ผู้เป็นบิดาชักนำให้บุตรของเขาโอบกอด ‘หญิงผู้มีปัญญา’ แต่หลีกเลี่ยง ‘หญิงแพศยา’ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ

มีคำกล่าวว่า 'โอกาสอาจจะมาเพียงครั้ง แต่การล่อลวงนั้นรอคอยอยู่หน้าประตูบ้าน’ การล่อลวงทางเพศมีอยู่ทั่วไป ‘นางหมอบคอยอยู่ทุกหัวมุม’ (7:12) มันให้ความอิ่มใจในทันที แต่มันเป็นสิ่งหลอกลวง นางพูดว่า ‘มาเถอะ ให้เรามาอิ่มด้วยความรักจนรุ่งเช้า’ (ข้อ 18ก)

บางครั้งคนเราพยายามหาเหตุผลสำหรับความไม่ซื่อสัตย์โดยใช้คำว่า ‘รัก’ แต่ไม่มีความรักที่แท้จริง ไม่มีความลึกซึ้งและยาวนาน มันคงอยู่เพียง ‘จนรุ่งเช้า’ (ข้อ 18ก) ที่เลวร้ายที่สุด การยอมแพ้ต่อสิ่งล่อลวงเหล่านี้เป็นความไม่ซื่อสัตย์ ‘เพราะสามีของฉันไม่อยู่บ้าน เขาไปทางไกล’ (ข้อ 19)

บุคคลที่เดินตามเส้นทางนี้ขาดสามัญสำนึก (ข้อ 7) ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ห่างไกล แต่อยู่ ‘ใกล้หัวมุมไปบ้าน ของนาง’ (ข้อ 8) การมีชีวิตที่ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่เพียงเริ่มจากหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่เริ่มจากความคิดและหัวใจของคุณ สิ่งล่อลวงของความไม่ซื่อสัตย์ซ่อนอยู่ในความเร้นลับของมัน ‘ในตอนกลางคืน’ (ข้อ 9)

ความไม่ซื่อสัตย์อาจทำลายชีวิตสมรส หรือการสมรสในอนาคต และทำลายชีวิต นั่นคือสาเหตุที่ในวันแต่งงานเจ้าสาวและเจ้าบ่าวปฏิญาณที่จะซื่อสัตย์ต่อกันตราบเท่าที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ มักจะมีคนพูดว่า ‘หญ้าจะไม่เขียวกว่าหญ้าที่อยู่นอกรั้วบ้าน แต่หญ้าจะเขียวกว่าในที่ที่เรารดน้ำ’ ในความเป็นจริง ‘ถ้าหญ้าดูเขียวกว่า ก็น่าจะเป็นหญ้าเทียม!’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้มีความซื่อสัตย์ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ขอโปรดทรงช่วยคนที่แต่งงานแล้วให้มีความซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญา โปรดทรงนำและปกป้องคู่สมรสในคริสตจักรและสังคมของเรา
พันธสัญญาใหม่

ลูกา 2:1-20

การประสูติของพระเยซู

 1อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากจักรพรรดิออกัสตัสให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน 2นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เกิดขึ้นในสมัยที่คีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย 3คนทั้งหลายต่างก็ไปจดทะเบียนที่เมืองของตน 4โยเซฟก็เดินทางจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี ไปที่เมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮมในแคว้นยูเดียด้วย เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด 5เขาไปจดทะเบียนพร้อมกับมารีย์หญิงที่เขาหมั้นไว้แล้วและกำลังตั้งครรภ์ 6ขณะเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะคลอดบุตร 7นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา

คนเลี้ยงแกะและทูตสวรรค์

 8ในแถบนั้นมีพวกคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน 9มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าคำว่า องค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่พวกเขา และพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก 10ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย 11เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกท่านคือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาประสูติที่เมืองของดาวิดหมายถึงเมืองเบธเลเฮม 12นี่จะเป็นหมายสำคัญสำหรับพวกท่าน คือท่านจะพบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” 13ในทันใดนั้น ชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาปรากฏอยู่กับทูตสวรรค์องค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า

14“พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
 ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์โปรดปรานนั้น”

 15เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากพวกเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว บรรดาคนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งกับเรา” 16เขาก็รีบไป แล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า 17เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น 18คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา 19ส่วนนางมารีย์ก็เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้และรำพึงอยู่ในใจ  20บรรดาคนเลี้ยงแกะจึงกลับไปถวายพระเกียรติและสรรเสริญพระเจ้า สำหรับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขาได้ยินและได้เห็นดังที่กล่าวไว้กับพวกเขา

อรรถาธิบาย

จงซื่อสัตย์ต่อการทรงเรียก พระสัญญา และถ้อยคำของพระองค์

ความซื่อสัตย์ของผู้ที่มีส่วนในการประสูติของพระเยซูเป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง ได้แก่

1.\tจงซื่อสัตย์ต่อการทรงเรียกของพระเจ้า

เราได้อ่านเรื่องราวนี้ในวิธีที่โยเซฟเดินทางไปเบธเลเฮม ‘เขาไปจดทะเบียนพร้อมกับมารีย์หญิงที่เขาหมั้นไว้แล้วและกำลังตั้งครรภ์' (ข้อ 5)

มันดูไม่ดี โยเซฟรู้ดีว่ามารีย์ไม่ได้นอกใจ แต่เขาก็ต้องรู้ว่าสำหรับคนรอบข้างแล้ว ดูเหมือนว่าเธอกำลังนอกใจ การล่อลวงนี้ต้องการแยกตัวเขาออกจากเธอ (เรื่องนี้พบในพระธรรมมัทธิว 1:19 ได้กล่าวว่าเขาต้องการจะถอนหมั้นเสียลับ ๆ จนกระทั่งมีทูตสวรรค์มาพูดกับเขา)

อย่างไรก็ตาม เขาซื่อสัตย์กับการทรงเรียกของพระเจ้าและต่อมารีย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะถูกมองจากภายนอกอย่างไรก็ตาม

2.\tจงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาของพระเจ้า

มารีย์ต้องรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยินและสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาที่เธอได้รับ และเธอ ‘ก็เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้และรำพึงอยู่ในใจ' (ลูกา 2:19)

นี่เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมว่าต้องปฏิบัติอย่างไรต่อคำพยากรณ์และถ้อยคำอื่น ๆ ที่คุณรู้สึกได้ว่ามาจากพระเจ้า บางครั้งคุณต้องเก็บไว้กับตัวเองดังเช่นมารีย์ คือ ปิดปากของคุณให้สนิท และในเวลาเดียวกันก็เปิดใจของคุณด้วย เก็บพระสัญญาของพระเจ้าไว้กับตัวคุณและรำพึงอยู่ในใจ

3.\tจงซื่อสัตย์ต่อถ้อยคำของพระเจ้า

ถ้อยคำของคนเลี้ยงแกะแตกต่างกันมาก อย่างไรก็ตามนี่เป็น 'ข่าวดี... ถึงคนทั้งหลาย’ (ข้อ 10) เมื่อพวกเขาได้พบกับพระกุมารในรางหญ้าดังที่ทูตสวรรค์ได้อธิบายว่า ‘เมื่อพวกเขาเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น’ (ข้อ 17) คุณเองก็ได้รับความไว้วางใจให้ได้รู้เรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับพระเยซู และคุณก็ถูกเรียกให้ซื่อสัตย์ในการ ‘เล่าเรื่องที่ได้ยิน’

4.\tจงวางใจว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ

เหนือสิ่งอื่นใดนี่เป็นเรื่องราวของความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับมารีย์ โยเซฟ และคนเลี้ยงแกะก็เป็นจริง ‘ทุกอย่างที่เขาได้ยิน’ (ข้อ 20) แต่ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า

เราเริ่มเห็นว่าพระเยซูทรงกระทำให้พระสัญญาของพระเจ้าทั้งหมดสำเร็จได้อย่างไรในพันธสัญญาเดิม พระองค์ประสูติใน ‘เมืองของดาวิด’ (ข้อ 11) และบิดาบนโลกนี้ของพระองค์ ‘เป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด’ (ข้อ 4) พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ตามพระสัญญาในพันธสัญญาเดิม ‘พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอด’ (ข้อ 11)

นี่เป็น ‘ข่าวดี...ถึงคนทั้งหลาย’ (ข้อ 10) ในที่นี้เราจะเห็นว่ามีความหมายอย่างไรสำหรับเรา พระเยซูทรงเป็น ‘พระผู้ช่วยให้รอด’ ของคุณ (ข้อ 11) ซึ่งผ่านทางพระองค์ คุณจะได้รู้จักกับสันติสุขและความโปรดปรานของพระเจ้า (ข้อ 14) คุณไม่จำเป็นต้องแบกรับความกลัวอีกต่อไป (‘อย่ากลัวเลย’ ข้อ 10ก) เมื่อคุณรู้จักพระคริสต์ คุณก็รู้จักพระเจ้า พระองค์เองทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็น ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 11) ความสัตย์ซื่อและความรักของพระเจ้าเป็นรากฐานของการทรงสร้างทุกสิ่ง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับความสัตย์ซื่อของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ในเรื่องพระเยซูคริสต์ ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงให้ความหวัง ความปีติยินดี อิสรภาพและเป้าหมายแก่ข้าพระองค์ ขอโปรดทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะซื่อสัตย์ในการนำเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าสู่ ‘คนทั้งหลาย’ (ข้อ 10)
พันธสัญญาเดิม

กันดารวิถี 5:11-6:27

กฎเกณฑ์เรื่องภรรยาที่นอกใจ

 11และพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 12“จงบอกคนอิสราเอลว่า ถ้าภรรยาของชายคนไหนหลงผิดและประพฤตินอกใจสามี 13มีชายอื่นมานอนกับนางในที่ลับตาสามีของนาง นางก็มีมลทินแล้วแม้ถูกปิดบังไว้ และแม้ไม่มีพยาน ทั้งจับไม่ได้คาหนังคาเขา 14จิตหึงหวงก็มาอยู่ในตัวสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาผู้มีมลทินนั้น หรือว่ามีจิตหึงหวงอยู่ในสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขาทั้งๆ ที่ภรรยาไม่มีมลทิน 15ให้ชายนั้นพาภรรยาของเขาไปหาปุโรหิต และนำเครื่องบูชาสำหรับภรรยาไปด้วย คือแป้งบาร์เลย์ประมาณหนึ่งกิโลกรัม แต่ไม่ให้เขาเทน้ำมันหรือใส่กำยานในแป้งนั้น เพราะเป็นธัญบูชาเกี่ยวกับความหึงหวง เป็นธัญบูชาแห่งการระลึกคือให้ระลึกถึงความผิด
 16“ปุโรหิตจะนำนางมาใกล้และให้ยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 17และปุโรหิตจะเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์ใส่ในภาชนะดิน แล้วเอาผงคลีจากพื้นพลับพลาใส่ในน้ำนั้น 18ปุโรหิตจะให้นางยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และแก้มวยผมของนางออก แล้วส่งธัญบูชาแห่งการระลึกให้นางถือไว้ ซึ่งเป็นธัญบูชาแห่งความหึงหวง ส่วนปุโรหิตจะถือน้ำแห่งความขมขื่นที่ทำให้เกิดการสาปแช่งนั้นไว้ 19จากนั้นปุโรหิตจะให้นางสาบานและพูดกับนางว่า ‘ถ้าไม่มีชายใดมานอนกับเจ้า หรือถ้าเจ้าไม่ได้หลงผิดไปมีมลทิน เมื่อเจ้ายังอยู่กินกับอยู่กินกับ ก็ให้เจ้าพ้นจากน้ำแห่งความขมขื่นที่ทำให้เกิดการสาปแช่งนี้ 20แต่ถ้าเจ้าหลงผิดในขณะที่เจ้าอยู่กินกับสามีแล้วมีมลทิน โดยชายอื่นที่ไม่ใช่สามีได้นอนกับเจ้า 21(และให้ปุโรหิตบอกหญิงนั้นกล่าวคำสาบานของการสาปแช่ง ทั้งบอกกับหญิงนั้นว่า) ขอพระยาห์เวห์ทรงทำให้เจ้าเป็นคำแช่ง และคำสาปท่ามกลางชนชาติของเจ้า โดยการที่พระองค์ทรงทำให้มดลูกของเจ้าลีบ และท้องเจ้าป่อง 22และน้ำที่ทำให้เกิดการสาปแช่งนี้จะเข้าในตัวเจ้า แล้วทำให้ท้องเจ้าป่อง และมดลูกของเจ้าลีบไป’ และหญิงนั้นจะต้องพูดว่า ‘อาเมน อาเมน’
 23“แล้วปุโรหิตจะเขียนคำสาปนี้ลงในหนังสือม้วน แล้วลบข้อความนั้นออกในน้ำแห่งความขมขื่น 24จากนั้นให้หญิงนั้นดื่มน้ำแห่งความขมขื่นที่ทำให้เกิดการสาปแช่ง แล้วน้ำที่ทำให้เกิดการสาปแช่งนั้นจะเข้าไปในตัวนางและทำให้นางเจ็บปวดมาก 25และปุโรหิตจะเอาธัญบูชาแห่งความหึงหวงจากมือนาง แล้วโบกถวายธัญบูชานั้นเฉพาะพระยาห์เวห์ แล้วนำไปที่แท่นบูชา 26ปุโรหิตจะหยิบธัญบูชากำมือหนึ่งเป็นส่วนอนุสรณ์บูชาและเผาบนแท่นบูชา หลังจากนั้นปุโรหิตจะให้หญิงนั้นดื่มน้ำนั้น 27เมื่อให้หญิงนั้นดื่มน้ำแล้ว ถ้านางทำตัวเป็นมลทินและประพฤตินอกใจสามี น้ำที่ทำให้เกิดการสาปแช่งนั้นจะเข้าในตัวนางและทำให้เจ็บปวดมาก ท้องของนางจะป่องและมดลูกจะลีบไป และนางจะเป็นที่แช่งสาปท่ามกลางชนชาติของนาง 28ถ้าหญิงนั้นไม่ได้มีมลทินและนางบริสุทธิ์ นางก็จะพ้นความผิดและตั้งครรภ์
 29“นี่เป็นกฎเรื่องความหึงหวง เมื่อภรรยาได้หลงไปทำตัวให้มีมลทินทั้งที่ยังอยู่กินกับสามี 30หรือเมื่อมีจิตหึงหวงอยู่ในผู้ชาย และเขาหึงหวงภรรยาของตน เขาต้องให้นางไปยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และปุโรหิตจะปฏิบัติต่อนางตามบัญญัตินี้ทุกประการ 31ผู้ชายจึงจะพ้นผิด ส่วนผู้หญิงจะต้องรับความผิดของนาง”

กันดารวิถี 6

เกี่ยวกับพวกนาศีร์

 1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2“จงกล่าวกับคนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงก็ดีได้ปฏิญาณเป็นพิเศษ คือปฏิญาณเป็นนาศีร์โดยปลีกตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ 3ก็ให้คนนั้นปลีกตัวจากเหล้าองุ่นและสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ทำจากเหล้าองุ่นหรือสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือรับประทานองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง 4เขาต้องไม่รับประทานสิ่งใดที่ได้จากต้นองุ่น ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดหรือเปลือกองุ่นตลอดเวลาที่ปลีกตัว
 5“ห้ามมีดโกนถูกศีรษะของเขาตลอดเวลาที่เขาปฏิญาณเป็นนาศีร์ เขาต้องบริสุทธิ์จนกว่ากำหนดเวลาที่ปลีกตัวถวายแด่พระยาห์เวห์จะสิ้นสุด และเขาจะต้องไว้ผมยาว
 6“และเขาต้องไม่เข้าใกล้ซากศพตลอดเวลาที่ปลีกตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ 7เขาต้องไม่ทำตัวให้มีมลทินเนื่องจากบิดามารดาหรือพี่น้องชายหญิงที่ตาย เพราะการเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้านั้นอยู่บนศีรษะของเขา 8ตลอดเวลาที่เป็นนาศีร์เขาต้องบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์
 9“และถ้ามีคนมาตายอยู่ชิดตัวเขาอย่างปัจจุบันทันด่วน ศีรษะของเขาที่ชำระให้บริสุทธิ์ไว้ก็เป็นมลทิน เขาต้องโกนศีรษะของเขาในวันชำระตัว คือในวันที่เจ็ดนั้นเขาต้องโกนศีรษะ 10และในวันที่แปดเขาต้องนำนกเขาสองตัว หรือลูกนกพิราบสองตัวไปให้ปุโรหิตที่ประตูเต็นท์นัดพบ 11และปุโรหิตจะถวายตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเพื่อลบมลทินให้เขา เพราะเหตุความผิดเกี่ยวกับเรื่องศพ และเขาต้องชำระศีรษะให้บริสุทธิ์ในวันนั้น 12เขาจะต้องปลีกตัวถวายแด่พระยาห์เวห์ตลอดเวลาการเป็นนาศีร์ของเขาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนช่วงเวลาปลีกตัวก่อนหน้านี้ให้ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะการเป็นนาศีร์ของเขามีมลทิน และให้เขานำแกะผู้อายุหนึ่งปีตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาชดใช้บาป
 13“เมื่อเวลาเป็นนาศีร์ของเขาครบกำหนดแล้ว กฎของนาศีร์มีดังนี้ คือให้นำตัวเขามาที่ประตูเต็นท์นัดพบ 14ให้เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์คือลูกแกะผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว ลูกแกะเมียอายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิตัวหนึ่งเป็นศานติบูชา 15รวมทั้งขนมไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง (คือขนมที่ทำด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันและขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน) พร้อมกับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน 16แล้วปุโรหิตจะถวายของเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทั้งถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปและเครื่องบูชาเผาทั้งตัว  17จากนั้นปุโรหิตจะถวายแกะผู้เป็นศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับขนมไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง รวมทั้งถวายธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันด้วย 18แล้วผู้เป็นนาศีร์จะโกนศีรษะที่ปฏิญาณไว้นั้นที่ประตูเต็นท์นัดพบ และนำเอาผมของศีรษะที่ปฏิญาณไว้นั้นไปใส่ในไฟที่อยู่ใต้ศานติบูชา 19หลังจากผู้เป็นนาศีร์โกนศีรษะที่เขาปฏิญาณไว้เสร็จแล้ว ปุโรหิตจะนำเนื้อขาหน้าของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้วกับขนมไร้เชื้อก้อนหนึ่งจากกระจาด และขนมแผ่นไร้เชื้อแผ่นหนึ่งวางไว้ในมือทั้งสองของนาศีร์คนนั้น 20แล้วปุโรหิตจะโบกของเหล่านั้นเป็นเครื่องโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ นี่เป็นส่วนที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิตที่รวมเข้ากับเนื้ออกซึ่งเป็นเครื่องโบกถวายและเนื้อโคนขาซึ่งเป็นเครื่องถวาย หลังจากนี้ผู้เป็นนาศีร์ก็ดื่มเหล้าองุ่นได้
 21“นี่เป็นกฎของนาศีร์ผู้ซึ่งได้ปฏิญาณ และเครื่องบูชาของเขาที่ถวายแด่พระยาห์เวห์ในการเป็นนาศีร์ของเขา นอกเหนือจากสิ่งอื่นที่เขาสามารถถวายได้ เขาจะต้องทำตามที่กล่าวปฏิญาณตามกฎของการเป็นนาศีร์”

คำอวยพรของปุโรหิต

 22พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 23“จงกล่าวกับอาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาว่า ท่านทั้งหลายจงอวยพรคนอิสราเอล คือพูดกับเขาทั้งหลายว่า
 24‘ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน
 25ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน
 26ขอพระยาห์เวห์เงยพระพักตร์ของพระองค์ต่อท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน’
 27“ดังนั้นแหละพวกเขาจะประทับนามของเราเหนือคนอิสราเอล และเราจะอวยพรเขาทั้งหลาย”

อรรถาธิบาย

จงซื่อสัตย์เป็นการตอบสนองความสัตย์ซื่อของพระเจ้า

1.\tจงซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสของคุณ

คำสั่งสอนที่อธิบายไว้โดยละเอียดในพระธรรมตอนนี้ (5:11-31) เป็นการชี้ให้เห็นว่าความไม่ซื่อสัตย์ เป็นอันตรายต่อชีวิตสมรสอย่างไร ซึ่งในบทความนี้ในพระธรรมสุภาษิตได้เตือนเรื่องการล่วงประเวณี แต่พระธรรมตอนนี้เกี่ยวกับผลที่ตามมาของการล่วงประเวณี

อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ได้ยอมรับว่าการไม่แน่ว่าอีกฝ่ายนอกใจหรือไม่นั้นไม่เพียงพอ เพราะมันอาจจะเกิดจากความหึงหวงหรือการกล่าวหาเท็จ เป็นสิ่งสำคัญที่จะปกป้องผู้หญิงจากการกล่าวหาเท็จ เนื่องจากสถานะของพวกเธอในสังคมยุคโบราณนั้นเปราะบาง

หากหญิงนั้นบริสุทธิ์ เธอก็ไม่มีอะไรต้องกลัวในพิธีสาบานนี้ น้ำไม่เป็นอันตรายด้วยตัวของมันเอง กฎเกณฑ์ต้องการลงโทษผู้กระทำผิดมากกว่าผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าสามีจะเลือกใช้พิธีสาบานนี้หรือไม่ก็ ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นคนประเภทไหน โยเซฟไม่ใช้วิธีนี้ (มัทธิว 1:19)

2.\tจงซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของคุณ

คำปฏิญาณของพวกนาศีร์ (กันดารวิถี 6:1-21) อาจอยู่ไปชั่วชีวิต (ตัวอย่างเช่น แซมสัน ซามูเอล และยอห์นผู้ให้บัพติศมา) หรืออาจอยู่แค่ชั่วคราว มันเป็นการแสดงถึงความบริสุทธิ์ซึ่งไม่ได้จำเป็น สำหรับทุกคน มันไม่ใช่เรื่องของการทำความดีเสริม พระเยซูไม่ได้เป็นนาศีร์ (ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธ ซึ่งแตกต่างกันเล็กน้อย!) ประเด็นสำคัญของบทความนี้ก็คือถ้าคุณได้ให้สัญญาต่อพระเจ้า คุณควรจะซื่อสัตย์ต่อคำสัญญานั้น

3.\tจงซื่อสัตย์เป็นการตอบสนองความสัตย์ซื่อของพระเจ้า

อาโรนและบุตรทั้งหลายของเขาได้รับการบอกกล่าวจากพระเจ้าถึงวิธีการกล่าวคำอวยพรประชาชนของพระเจ้า (ข้อ 24-27) นี่คือวิธีที่พระเจ้าต้องการอวยพรคุณและผม

พระองค์ทรงต้องการอวยพรคุณด้วยการทรงสถิตของพระองค์ ให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ คุณ ‘พระเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ให้ท่าน’ (ข้อ 25, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ทรงต้องการที่จะเมตตาคุณ (ข้อ 25ข) พระองค์ทรงเมตตา กรุณา ให้อภัย และเปี่ยมด้วยความรัก

พระองค์ทรงประทานสันติสุขแก่คุณ (ข้อ 26ข) ในท่ามกลางปัญหาในชีวิต และทรงปกป้องรักษาคุณ (ข้อ 24) พระองค์ทรงปกป้องคุณจากความชั่วร้ายและการถอยห่างจากพระองค์ ความปรารถนาของพระเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบคือการอวยพรคุณ (ข้อ 24, 27)

เมื่อคุณได้สัมผัสถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีต่อคุณ การตอบสนองของคุณควรเป็นการซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ของคุณ

คำอธิษฐาน

ผมขออธิษฐานถึงการอวยพรนี้มาเหนือคุณในวันนี้ ‘ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระยาห์เวห์เงยพระพักตร์ของพระองค์ต่อท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน’ (กันดารวิถี 6:24-26)

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ลูกา 2:19

‘...มารีย์ก็เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้และรำพึงอยู่ในใจ’

ฉันได้สะสมหลายสิ่งไว้ในใจมาตลอดหลายปี เป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าตรัสและความทรงจำของการได้พบกับพระเจ้า และการตอบคำอธิษฐานที่ยอดเยี่ยม ฉันได้รำพึงถึงหลายสิ่งด้วยเช่นกัน คือ เรื่องที่เป็นปัญหา หรือคำอธิษฐานที่ฉันยังคงคาดหวังที่จะได้รับคำตอบ หรือเพียงสิ่งที่เป็นความลี้ลับของพระเจ้า

ข้อพระคำประจำวัน

กันดารวิถี 6:24-26

‘ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่าน
และพิทักษ์รักษาท่าน
ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน
และทรงพระกรุณาท่าน
ขอพระยาห์เวห์เงยพระพักตร์ของพระองค์ต่อท่าน
และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม