วัน 56

วิธีใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 6:1-11
พันธสัญญาใหม่ มาระโก 8:14-9:11
พันธสัญญาเดิม อพยพ 37:1-38:31

เกริ่นนำ

‘คนมักถามผมว่า แม่ชีเทเรซาเป็นอย่างไร’ เชน ไคลบอร์น เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง The Irresistible Revolution กล่าวถึงว่า ‘บางครั้งพวกเขา’สงสัยว่าท่านเรืองแสงได้ในความมืดหรือมีรัศมีเจิดจรัส ท่านตัวไม่สูงนัก ใบหน้าของท่านมีรอยย่นยับและแสนเลอค่า อาจจะมีเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนสตรีสูงอายุที่สวยงามและฉลาด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่มีวันลืมนั่นคือเท้าของท่านที่ผิดรูปไปจากเดิม

ทุกเช้าผมจะจ้องมองมัน ผมสงสัยว่าท่านเป็นโรคเรื้อน วันหนึ่งซิสเตอร์คนหนึ่งอธิบายว่า “เท้าของท่านผิดรูป เพราะเราได้บริจาครองเท้าที่เพียงพอสำหรับทุกคนและแม่ชีไม่ต้องการให้ใครได้รับคู่ที่แย่ที่สุด ท่านจึงขุดคุ้ยและพบคู่ที่ต้องการ และหลายปีของการทำเช่นนั้นทำให้เท้าของท่านผิดรูปไปเลย” หลายปีแห่งการรักเพื่อนบ้านของเธอในขณะที่ตัวเองเท้าพิการ’

เมื่อมีคนถามถึงบุคคลที่พวกเขาชื่นชอบในชีวิตมากที่สุดคำตอบก็คือ ‘แม่ชีเทเรซา’ เพราะท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด มันเป็นความขัดแย้งเพราะชีวิตของท่านเป็นชีวิตของการปฏิเสธตัวเอง ท่านแบกกางเขนและติดตามพระเยซู

ชีวิตเป็นของขวัญที่พิเศษและยอดเยี่ยม ในพระคัมภีร์เราได้รับการกระตุ้นเตือนตลอดเวลาว่า อย่าให้ของขวัญนี้เสียไป แต่ให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดแทน

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 6:1-11

คำแนะนำเรื่องต่างๆ

1ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าเป็นผู้ค้ำประกันให้เพื่อนบ้านของเจ้า
 ได้ทำสัญญากับคนแปลกหน้า
2ถ้าเจ้าติดบ่วงเพราะคำจากปากของเจ้า
 และเจ้าติดกับเพราะคำจากปากของเจ้า
3ลูกเอ๋ย จงทำอย่างนี้และช่วยตัวเจ้าให้พ้นภัย
 เพราะเจ้าตกอยู่ในกำมือเพื่อนบ้านของเจ้าแล้ว
 รีบไป ถ่อมตัวลง และวิงวอนเพื่อนบ้านของเจ้า
4อย่าให้ดวงตาของเจ้าหลับลง
 อย่าให้หนังตาของเจ้าปรือไป
5จงปลีกตัวของเจ้าจากภัย อย่างละมั่งปลีกตัวจากมือของนายพราน
 อย่างนกจากมือของคนจับนก
6คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊
 พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงมีปัญญา
7โดยปราศจากหัวหน้า
 เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง
8มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง
 และสะสมเสบียงของมันในฤดูเกี่ยว
9คนเกียจคร้านเอ๋ย เจ้าจะนอนนานเท่าไร?
 เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ?
10หลับนิด เคลิ้มหน่อย
 กอดมือพักนิดหน่อย
11แล้วความจนจะมาหาเจ้าอย่างคนจรจัด
 และความขัดสน อย่างคนถืออาวุธ

อรรถาธิบาย

มีวินัยในตนเองเป็นสำคัญ

พระธรรมสุภาษิตให้สติปัญญาที่ใช้ได้จริงเกี่ยวกับวิธีใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดและวิธีหลีกเลี่ยงการสูญเปล่าโดยตกอยู่ในกับดักต่าง ๆ ในเนื้อหาสำหรับวันนี้เราเห็นสองตัวอย่าง คือ

1.\tเชี่ยวชาญด้านการเงินของคุณ

หนึ่งในพื้นที่ของชีวิตที่ต้องมีวินัยในตนเองคือการเงินของเรา มีกับดักและบ่วงทางการเงินมากมาย อยู่เสมอเช่นหนี้ที่จัดการไม่ได้ การลงทุนที่ไม่ฉลาดและคำมั่นสัญญาที่โง่เขลา ผู้เขียนเรียกร้องให้คุณทราบว่าหากคุณตกอยู่ในความยุ่งเหยิงทางการเงิน (ข้อ 2–5) คุณควรทำทุกวิถีทางเพื่อออกไปโดยเร็วที่สุด ‘อย่าเสียเวลาสักนาที’ (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก the Message โดยผู้แปล)

คุณอาจต้องถ่อมตัวลง (ข้อ 3ข) คุณอาจต้องวิงวอนต่อคดีของคุณ (ข้อ 3ค) ทำทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากบ่วงเหล่านี้ (ข้อ 5) หากเราไม่ได้รับการจัดการทางการเงินอาจส่งผลเสียอย่างมากต่อชีวิตของเราและต่อครอบครัวของเรา

2.\tควบคุมเวลาของคุณ

เราสามารถเสียชีวิตหากขาดวินัยในตนเอง หากปราศจากความรับผิดชอบ เราอาจกลายเป็นคนเกียจคร้านได้ง่าย ๆ และอาจส่งผลร้ายตามมาได้ (ข้อ 9–11) เราสามารถเรียนรู้การเป็นผู้นำในตนเองจากมด ไม่มีใครคอยบอกมันว่าต้องทำอะไร ‘โดยปราศจากหัวหน้า เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง’ (ข้อ 7) แต่มันทำงานหนักมาก ‘มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้งและสะสมเสบียงของมันในฤดูเกี่ยว’ (ข้อ 8)

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือต้องนอนหลับให้เพียงพอ ร่างกายของเราต้องการการพักผ่อน แต่เราต้องระวังอย่าเสียเวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ในการจัดการการเงินและเวลาของข้าพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มาระโก 8:14-9:11

เชื้อของพวกฟาริสีและของเฮโรด

 14พวกสาวกลืมเอาขนมปังไปและในเรือมีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น 15พระองค์ทรงเตือนพวกสาวกว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อเชื้อ ในข้อนี้ หมายถึง เชื้อขนมของพวกฟาริสี และเชื้อของเฮโรดให้ดี” 16พวกสาวกจึงพูดกันว่า “เพราะพวกเราไม่มีขนมปังนี่เอง” 17เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านถึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง? พวกท่านยังไม่รู้และยังไม่เข้าใจหรือ? ใจของพวกท่านแข็งกระด้างหรือ? 18มีตาแล้วยังไม่เห็นหรือ? มีหูแล้วยังไม่ได้ยินหรือ? พวกท่านจำไม่ได้หรือ? 19เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้แก่คนห้าพันคนนั้น พวกท่านเก็บเศษที่เหลือนั้นได้กี่ตะกร้า?” พวกเขาทูลตอบว่า “สิบสอง” 20“เมื่อเราแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้แก่คนสี่พันคนนั้น พวกท่านเก็บเศษที่เหลือได้กี่กระบุง?” พวกเขาทูลตอบว่า “เจ็ด” 21พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

การทรงรักษาคนตาบอดที่เมืองเบธไซดา

 22พระองค์กับพวกสาวกจึงไปยังเมืองเบธไซดา มีบางคนพาคนตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ และทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงสัมผัสคนนั้น 23พระองค์จึงทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน เมื่อทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของคนนั้นและวางพระหัตถ์บนตัวเขาแล้ว พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างหรือไม่?” 24คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่า “ข้าพระองค์มองเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา” 25พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาของเขาอีก แล้วเขาก็เพ่งดู และตาก็หายเป็นปกติ มองเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจน 26พระองค์จึงตรัสสั่งให้คนนั้นกลับไปที่บ้านของตนเองและทรงกำชับว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น”

คำประกาศยอมรับของเปโตรเกี่ยวกับพระเยซู

 27พระเยซูกับพวกสาวกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในแขวงซีซารียาฟีลิปปี เมื่ออยู่ระหว่างทางนั้นพระองค์ตรัสถามพวกสาวกว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?” 28พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ” 29พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร?” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์” 30แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกไม่ให้บอกใครถึงเรื่องของพระองค์

พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

 31ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ทรงสอนพวกสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่และพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์จะทรงถูกประหารชีวิต และหลังจากนั้นสามวันจะเป็นขึ้นมาใหม่ 32ถ้อยคำเหล่านี้พระองค์ตรัสอย่างเปิดเผย ส่วนเปโตรนั้นพาพระองค์แยกออกมาแล้วทูลทักท้วง 33พระองค์หันพระพักตร์มามองพวกสาวกแล้วตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าคิดอย่างคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”
 34พระองค์จึงทรงเรียกฝูงชนกับพวกสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 35เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด 36เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน 37คนนั้นจะเอาอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา 38ใครมีความละอายเพราะเราและคำสอนของเรา ในยุคที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและอธรรมนี้ บุตรมนุษย์ก็จะมีความละอายเพราะคนนั้นด้วย เมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยพระรัศมีของพระบิดาพร้อมกับพวกทูตสวรรค์บริสุทธิ์”

มาระโก 9

 1พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ จะไม่พบกับความตายภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้ามาด้วยฤทธิ์เดช”

การทรงจำแลงพระกาย

 2หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา 3และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จนไม่มีช่างฟอกผ้าคนใดในโลกจะฟอกให้ขาวอย่างนั้นได้ 4แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่สาวกเหล่านั้น กำลังสนทนากับพระเยซู 5เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงๆ ที่เราได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราทำเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” 6เปโตรไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะพวกเขากำลังตกใจกลัว 7แล้วก็มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้และมีพระสุรเสียงดังออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด” 8ทันใดนั้น เมื่อพวกสาวกมองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับพวกเขา
 9เมื่อลงมาจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวก ไม่ให้นำสิ่งที่เห็นนั้นไปบอกกับคนอื่นจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตาย 10ดังนั้นพวกสาวกจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้ แต่ก็ถามกันว่า การเป็นขึ้นมาจากตายมีความหมายอย่างไร? 11พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์ถึงกล่าวว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน?”

อรรถาธิบาย

สละชีวิตของคุณไป

พระเยซูเตือนสาวกให้ระวัง ‘เชื้อ’ (8:15) ของพวกฟาริสีและเฮโรด คำว่า ‘เชื้อ’ นั้นเป็นคำอุปมาทั่วไปถึงแนวโน้มของสิ่งชั่วร้ายในชีวิตมนุษย์ซึ่งแม้ว่ามันอาจจะดูเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย แต่ก็ทำให้คนทั้งคนพินาศไป เหล่าสาวกยังคงไม่เข้าใจเพราะพวกเขาจมอยู่กับฝ่ายร่างกายมากจนไม่มีสายตาฝ่ายวิญญาณ

ไม่ใช่ว่ามีสิ่งผิดปกติทางกายภาพในตัวเอง ชายตาบอดต้องการสัมผัสพระเยซู (ข้อ 22) พระเยซูทรงทำบางสิ่งบางอย่างทางกายภาพ คือทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาชายคนนั้น และวางมือบนเขา สองครั้ง (ข้อ 23–25) พระองค์ทรงอธิษฐานสองครั้งก่อนที่ชายคนนั้นจะหายเป็นปกติ สิ่งนี้กระตุ้นเราให้อธิษฐานมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อคนป่วย

ในที่สุดเหล่าสาวกก็เข้าใจว่าพระเยซูคือใคร ‘พระองค์เป็นพระคริสต์’ (ข้อ 29) ‘Christos’ (คริสตอส) หมายถึง ‘ผู้ถูกเจิมคือพระเมสสิยาห์’ ในสมัยของพระเยซูคำนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับความคาดหวังที่จะมีกษัตริย์ดาวิดองค์ใหม่ อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม กษัตริย์ ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะได้รับการเจิมทั้งสิ้น พระเยซูคือการเติมเต็มของพวกเขาทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ มหาปุโรหิตสูงสุด และผู้เผยพระวจนะ

กระนั้นเพียงพระนาม ‘เมสสิยาห์’ นี้อาจยังไม่เพียงพอ พระเยซูต้องการใช้พระนามว่า ‘บุตรมนุษย์' (ข้อ 31) ‘บุตรมนุษย์” เป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่และเหมาะสมกว่า สิ่งนี้ยังรองรับแนวคิดเรื่องความทุกข์ (ดาเนียล 7:21) เพราะ ‘บุตรมนุษย์’ ยังเป็นตัวแทนที่บ่งบอกว่าพระองค์เองเป็นมนุษย์

จากนั้นพระเยซูทรงเริ่มตรัสเกี่ยวกับไม้กางเขน (มาระโก 8:31) เราไม่สามารถเข้าใจไม้กางเขนได้ เว้นแต่เราจะเข้าใจว่าพระเยซูคือใคร การสอนของพระองค์ขัดแย้งกันมากสวนทางกับความคิดและน่าประหลาดใจจนเปโตรต้องแยกออกมาแล้วทูลทักท้วง (ข้อ 32)

มีความคล้ายคลึงกันในการรักษาคนตาบอด ซึ่งทำหน้าที่เป็นภาพอุปมาของการเปิดหูเปิดตาทีละน้อยของเหล่าสาวก ประการแรกเปโตรเปิดตาเกี่ยวกับตัวตนของพระเยซู (ข้อ 29) อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจเพียงครึ่งเดียวเขา ยังไม่เห็นภารกิจของพระเยซู (ข้อ 31–32) เปโตรสามารถ ‘มองเห็น’ ได้ แต่เขาไม่สามารถ ‘เข้าใจ’ ได้ทั้งหมด

พระเยซูทรงต้องอธิบายให้สาวกเข้าใจถึงความขัดแย้งที่ไม่ธรรมดานี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเราให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งพระองค์จะต้องสำแดงถึงตัวอย่างชั้นเยี่ยม พระองค์ตรัสว่าถ้าคุณต้องการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดคุณต้องให้มันไป คุณต้องละทิ้งชีวิตของคุณเพื่อรับใช้พระองค์และประกาศพระกิตติคุณ ‘ใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด’ (ข้อ 35)

ในทางตรงกันข้าม พระองค์ก็ทรงตรัสว่าเป็นไปได้ที่จะ ‘ได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิต [ของตน]’ (ข้อ 36) นักแสดงจิม แคร์รี่ กล่าวว่า ‘ผมคิดว่าทุกคนควรร่ำรวยและมีชื่อเสียงและทำทุกอย่างที่พวกเขาใฝ่ฝันเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นว่านั่นไม่ใช่คำตอบ’

แม้แต่อภิมหาเศรษฐีหลายคนก็เป็นเพียงเจ้าของบางส่วนของโลกเท่านั้น พระเยซูทรงเตือนเราว่าหากเราถูกล่อลวงให้มุ่งไปในทิศทางนั้นแม้ว่าเราจะประสบความสำเร็จและได้เป็นเจ้าของโลกทั้งใบ แต่เราก็ต้องเสียชีวิตและสูญเสียจิตวิญญาณไปโดยสิ้นเชิง (ข้อ 36) พระองค์ตรัสว่าวิธีค้นหาชีวิตคือการปฏิเสธตัวเอง และแบกกางเขนของคุณติดตามพระองค์ (ข้อ 34)

คำว่า ‘ปฏิเสธตัวเอง’ หมายถึง ทิ้งความปรารถนาของตัวเอง ชีวิตคริสเตียนเกี่ยวข้องกับความท้าทายของการปฏิเสธทุกวัน โลกคิดว่าหนทางสู่ชีวิตคือการไร้ซึ่งการปฏิเสธว่าตัวเอง แต่พระเยซูตรัสว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามเป็นความจริง ดังนั้นวิธีค้นหาชีวิต คือการปฏิเสธตัวเอง แบกกางเขนและติดตามพระองค์ไป

คุณถูกเรียกให้รัก คุณต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าและเพื่อคนอื่น ๆ และเมื่อคุณสละตัวเอง พระเจ้าจะทรงดูแลชีวิตของคุณเอง

คำสอนของพระเยซูนั้นเด็ดขาดและเป็นถือเป็นการปฏิวัติ มันตรงข้ามกับสิ่งที่เราคาดหวัง แต่เราเห็นว่ามันเป็น อย่างไรในทางปฏิบัติ ผู้ที่แสวงหาความพึงพอใจของตัวเองจะจบลงด้วยความท้อแท้และผิดที่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูจะพบชีวิตที่ครบบริบูรณ์

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า พระดำรัสของพระองค์ช่างท้าทายเหลือเกิน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทุกวันในการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธตัวเองในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และเรื่องใหญ่และรับกางเขนและติดตามพระองค์ ขอบคุณที่ในขณะที่ข้าพระองค์ได้มอบชีวิตกับพระองค์ ข้าพระองค์ได้พบกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์
พันธสัญญาเดิม

อพยพ 37:1-38:31

การทำหีบแห่งสักขีพยาน

 1เบซาเลลทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ยาว 110 เซนติเมตร กว้าง 66 เซนติเมตร และ สูง 66 เซนติเมตร 2หีบนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านในและด้านนอก และได้ทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบหีบนั้น 3เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วงและด้านนั้นสองห่วง 4เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศแล้วหุ้มด้วยทองคำ 5เขาสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหามหีบนั้น 6แล้วเขาทำพระที่นั่งกรุณาด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาว 110 เซนติเมตร กว้าง 66 เซนติเมตร 7เขาทำเครูบทองคำสองรูปโดยใช้ค้อนเป็นเครื่องมือทำ ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง 8เขาทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป เขาทำเครูบนั้นที่ตอนปลายทั้งสองข้างเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา 9เครูบกางปีกขึ้นสูงปกพระที่นั่งกรุณาไว้ และหันหน้าเข้าหากัน คือเครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา

การทำโต๊ะขนมปังเฉพาะพระพักตร์

 10เขาเอาไม้กระถินเทศมาทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาว 88 เซนติเมตร กว้าง 44 เซนติเมตร และ สูง 66 เซนติเมตร 11เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบโต๊ะนั้นด้วย 12เขาทำกรอบโต๊ะนั้นกว้าง 7.5 เซนติเมตรโดยรอบ แล้วทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบกรอบนั้น 13เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่ 14ห่วงนั้นชิดกับกรอบสำหรับสอดคานหาม 15เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ แล้วหุ้มด้วยทองคำสำหรับหามโต๊ะนั้น 16และเขาทำเครื่องใช้สำหรับโต๊ะนั้น มีจาน ชามเล็ก ช้อน กับอ่างและคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา ซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์

การทำคันประทีป

 17เขาใช้ค้อนเป็นเครื่องมือทำคันประทีปด้วยทองคำบริสุทธิ์ อีกทั้งฐานและลำตัวของคันประทีป ดอก ฐานดอกและกลีบก็ทำเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป 18มีกิ่งหกกิ่งแยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง 19แต่ละกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป มีดอกเหมือนดอกอัลมอนด์สามดอก ทุกๆ ดอกมีฐานดอกและกลีบ 20และตรงลำคันประทีปนั้น มีดอกสี่ดอกเหมือนดอกอัลมอนด์ทั้งฐานดอกและกลีบ 21ใต้กิ่งทุกๆ คู่ที่ยื่นออกจากลำคันประทีปนั้น จะมีฐานดอกหนึ่งอัน 22ฐานดอกและกิ่งเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป ทุกส่วนเป็นเนื้อเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนเป็นเครื่องมือทำ 23เขาทำตะเกียงเจ็ดดวงของคันประทีปนั้น ตะไกรตัดไส้ตะเกียงและถาดใส่ตะไกรด้วยทองคำบริสุทธิ์ 24เขาทำคันประทีปและเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับคันประทีปนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 35 กิโลกรัม

การทำแท่นเผาเครื่องหอม

 25เขาสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอมด้วยไม้กระถินเทศ ยาว 45 เซนติเมตร กว้าง 45 เซนติเมตร เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และ สูง 90 เซนติเมตร เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ชิ้นเดียวกับแท่น 26เขาหุ้มแท่นนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทุกด้าน และเชิงงอนด้วย และเขาทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบแท่นนั้น 27เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ใต้ขอบด้านละห่วงตรงข้ามกันสำหรับสอดไม้คานหาม 28เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ

การปรุงน้ำมันเจิมและเครื่องหอม

 29เขาปรุงน้ำมันเจิมอันศักดิ์สิทธิ์และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์ ด้วยเครื่องเทศตามศิลปะของช่างปรุง

อพยพ 38

การทำแท่นบูชา

 1เขาทำแท่นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวด้วยไม้กระถินเทศเป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาว 2.2 เมตร กว้าง 2.2 เมตร สูง 1.3 เมตร 2เขาทำเชิงงอนทั้งสี่มุมบนแท่นนั้นให้เป็นเนื้อเดียวกับแท่น เขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ 3เขาทำเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่นนั้นคือ หม้อ พลั่ว อ่าง สามง่าม และถาดรองไฟ เครื่องใช้ทุกชิ้นสำหรับแท่นนั้น เขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์ 4และเขาทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น ให้อยู่ใต้ขอบใน รอบแท่นบูชา และให้ยื่นลงมาจนถึงประมาณกึ่งกลางของแท่น 5เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงสำหรับสอดไม้คาน 6เขาทำไม้คานด้วยไม้กระถินเทศสำหรับหาม และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ 7เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง

การทำอ่างทองสัมฤทธิ์

 8เขาทำอ่างและฐานรองอ่างด้วยทองสัมฤทธิ์ จากกระจกเงาของบรรดาผู้หญิงที่ปรนนิบัติ ณ ประตูเต็นท์นัดพบ

การทำลานพลับพลา

 9และเขาสร้างลานพลับพลา โดยด้านใต้มีผ้าบังที่ทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี ยาว 44 เมตร 10มีเสายี่สิบต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน แต่ขอติดเสาและราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน 11ในทำนองเดียวกัน ด้านเหนือให้มีผ้าบังยาว 44 เมตร กับเสายี่สิบต้นและฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอและราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน 12ส่วนด้านตะวันตกมีผ้าบังยาว 22 เมตร กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน ขอและราวยึดเสาทำด้วยเงิน 13ด้านตะวันออกใช้ผ้ายาว 22 เมตร 14ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งยาว 6.6 เมตร มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน 15และอีกข้างหนึ่งก็เหมือนกัน ริมประตูข้างนี้และข้างโน้น มีผ้าบังยาว 6.6 เมตร มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน 16ผ้าบังลานโดยรอบนั้นทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี 17ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ส่วนขอติดเสาและราวยึดเสาเป็นเงิน และหัวเสานั้นหุ้มด้วยเงิน และเสาทุกต้นของลานมีราวยึดเสาทำด้วยเงิน 18ม่านบังตาที่ประตูเข้าลานนั้นปักด้วยฝีมือของช่างปักเป็นสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี ยาว 9 เมตร สูง 2 เมตร เสมอกับผ้าบังลาน 19มีเสาสี่ต้นกับฐานรองรับเสาสี่ฐาน เป็นทองสัมฤทธิ์ ขอติดเสาทำด้วยเงิน และส่วนที่หุ้มหัวเสากับราวยึดเสาเป็นเงิน 20หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และของลานรอบพลับพลานั้น ทำด้วยทองสัมฤทธิ์

โลหะที่ใช้ในการสร้างพลับพลา

 21ต่อไปนี้คือบัญชีสิ่งของที่ใช้ในพลับพลา คือพลับพลาแห่งสักขีพยาน ซึ่งได้บันทึกไว้ตามคำสั่งของโมเสส โดยคนเลวีในความดูแลของอิธามาร์บุตรอาโรนปุโรหิต 22ส่วนเบซาเลล บุตรอุรีผู้เป็นบุตรของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ ทำทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสแล้ว 23ผู้ร่วมงานกับเขาคือ โอโฮลีอับ บุตรอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน เป็นช่างฝีมือ ช่างออกแบบ และช่างปัก โดยใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม กับผ้าป่านเนื้อดี
 24ทองคำทั้งหมดซึ่งเขาใช้ในการสร้างสถานนมัสการนั้น คือทองคำที่มาจากการถวาย มีน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม ตามมาตราการชั่งน้ำหนักของสถานนมัสการ 25เงินที่ได้จากชุมนุมชนที่ถูกนับไว้ รวมเป็น 3,430 กิโลกรัม ตามมาตราการชั่งน้ำหนักของสถานนมัสการ 26โดยเก็บเงินคนละ 6 กรัม (คือครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ) จากทุกคนที่ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป รวม 603,550 คน 27เงินหนัก 3,400 กิโลกรัมนั้น เขาใช้หล่อทำฐานรองรับเสาของสถานนมัสการและฐานของม่าน ฐานร้อยฐานใช้เงินหนัก 3,400 กิโลกรัม คือฐานละ 34 กิโลกรัม 28แต่เขาใช้เงินหนัก 30 กิโลกรัมทำขอสำหรับเสาและหุ้มหัวเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย 29ทองสัมฤทธิ์ที่เขานำมาถวายหนัก 2,425 กิโลกรัม 30ทองสัมฤทธิ์นั้นเขาใช้ทำฐานประตูเต็นท์นัดพบและทำแท่นทองสัมฤทธิ์ และตะแกรงประจำแท่นและทำเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่นนั้น 31ทำฐานล้อมรอบลานและฐานที่ประตูลาน หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และหลักหมุดรอบลานนั้น

อรรถาธิบาย

รับใช้พระเจ้าในที่ทำงาน

คุณไม่จำเป็นต้องออกจากงานเพื่อรับใช้พระเจ้าด้วยใจจริง ในชีวิตของเบซาเลล เราจะได้เห็นตัวอย่างของคนที่ใช้ประโยชน์สูงสุดในชีวิตด้วยการรับใช้พระเจ้าในกิจการงานของเขา งานประจำของเขาคืองานรับใช้พระเจ้า

พระเจ้าเติมพระวิญญาณให้คนของพระองค์เพื่อเป็นพรต่อที่ทำงาน ‘เราเติมเต็มเขาด้วยพระวิญญาณของ พระเจ้ามอบทักษะและความรู้และความเชี่ยวชาญในงานฝีมือทุกประเภทเพื่อสร้างงานออกแบบ...เขาเป็น ช่างที่มีฝีมือรอบด้าน’ (31:3–5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เบซาเลลเป็นช่างแกะสลัก เขาได้รับเลือกจากพระเจ้าให้สร้างพลับพลา (37:1; ดู 31:1–5 ด้วย) เขาตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าและ ‘ทำทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส’ (38:22) เขาทำงานในทีมซึ่งรวมถึงนักออกแบบชื่อ โอโฮลีอับ (ข้อ 23) และทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระเจ้าให้สำเร็จ กุญแจสู่ความสำเร็จของเขาคือการเป็นคนที่เต็มไป ‘ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า’ (31:3; 35:31)

เป็นไปได้ที่จะเป็นนักดนตรี นักเขียนหรือศิลปินที่มีความสามารถโดยไม่ได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณ แต่เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าเติมเต็มคนสำหรับงานเหล่านี้ งานของพวกเขามักจะเกิดขึ้นในมิติใหม่มัน มีผลกระทบทางจิตวิญญาณมากขึ้น สิ่งนี้อาจเป็นจริงได้แม้ว่าความสามารถตามธรรมชาติของนักดนตรีหรือ ศิลปินจะไม่โดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะหัวใจจะได้รับการสัมผัสได้และมีชีวิตเปลี่ยนไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นผ่านชีวิตของเบซาเลล

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณสำหรับทุกคนที่รับใช้พระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความสามารถทางศิลปะ การดูแลสุขภาพ การศึกษา ธุรกิจ การค้าปลีก กฎหมาย การธนาคารและด้านอื่น ๆ ในที่ทำงาน ขอให้เราทุกคนเต็มไปด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าเช่นเบซาเลล และทำทุกสิ่งที่พระองค์สั่งเรา ขอทรงโปรดช่วยเราให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

สุภาษิต 6:10–11

‘หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักนิดหน่อย ...’

ฉันคิดว่ามันฟังดูดีทีเดียว แต่ข้อ 11 มาพร้อมกับความตกใจที่น่ารังเกียจ

‘... แล้วความจนจะมาหาเจ้าอย่างคนจรจัด’

เราไม่อยากถูกจับได้ว่างีบหลับและพลาดทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เรา

ข้อพระคำประจำวัน

มาระโก 8:36

‘เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม