สามวิธีในการเอาชนะความชั่วร้าย
เกริ่นนำ
ในสุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1968 เขาย้ำว่า ‘เราจะชนะ’ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เขากำลังสะท้อนคำของนักร้องโฟล์กคนหนึ่ง นามว่า โจแอน บาเอส ผู้ซึ่งพาคน 300,000 คน ร้องเพลง ‘เราจะชนะ’ ในปี 1963 เพลงนี้พูดถึงการเอาชนะ และการค้นพบความหวัง อนาคต ท่ามกลางความยากลำบากแสนสาหัส
ตลอดทั้งปีนี้ เมื่อเราได้ศึกษาพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม เราได้เห็นว่าเราไม่ควรคาดหวังว่าชีวิตจะเป็นเรื่องง่าย พระคัมภีร์เป็นความจริงสำหรับชีวิตจริง ชีวิตประกอบไปด้วยการต่อสู้สารพัดรูปแบบ การทดลอง การทดลอง การล่อลวงให้หลงไป ความยากลำบาก และการปะทะ แต่ในพระคริสต์ คุณสามารถเป็น ผู้มีชัยได้
สดุดี 145:8-13ก
8พระยาห์เวห์ทรงมีพระคุณและทรงพระกรุณา
กริ้วช้าและทรงมีความรักมั่นคงอย่างอุดม
9พระยาห์เวห์ทรงดีต่อทุกคน
และพระกรุณาของพระองค์อยู่เหนือพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์
10ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์
และผู้จงรักภักดีทั้งสิ้นของพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระองค์
11เขาทั้งหลายจะกล่าวถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์
และเล่าถึงกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์
12เพื่อให้บรรดาบุตรของมนุษย์ทราบถึงกิจการอันทรงอานุภาพ
และศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่แห่งราชอาณาจักรของพระองค์
13ราชอาณาจักรของพระองค์เป็นราชอาณาจักรนิรันดร์
และการครอบครองของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์
พระยาห์เวห์ทรงซื่อสัตย์ตามพระวจนะทั้งสิ้นของพระองค์
และทรงพระเมตตาตามกิจการทั้งสิ้นของพระองค์
อรรถาธิบาย
ความรักของพระเจ้าชนะทุกสิ่ง
ความรักคือพลังที่มีพลานุภาพมากที่สุดในโลก เราเอาชนะผ่านทางความรัก นี่คือข้อความของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ผู้ที่กล่าวไว้ว่า ‘ความมืดไม่สามารถขับไล่ความมืดได้ มีเพียงความสว่างเท่านั้นที่ทำได้ ความเกลียดชังไม่สามารถขับไล่ความเกลียดชังออกไปได้ มีเพียงแค่ความรักเท่านั้นที่สามารถทำได้’
พระเจ้าคือแหล่งแห่งความรัก พระองค์ทรง ‘พระกรุณา’ ‘เต็มไปด้วยความรัก’ (ข้อ 8) ‘พระกรุณาของพระองค์อยู่เหนือพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์’ (ข้อ 9) สิ่งที่เอาชนะมารได้คือความรักของพระเจ้า
ในทุกความสัมพันธ์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณได้เผชิญกับความยากลำบากอันใหญ่หลวง ให้เราเลียนแบบพระเจ้า ทรงมี ‘พระคุณและทรงพระกรุณา กริ้วช้าและทรงมีความรักมั่นคงอย่างอุดม’ (ข้อ 8)
ความรักของพระเจ้าไม่ใช่ความรักที่อ่อนแอหรือเปราะบาง แต่ได้รับการค้ำจุนโดยฤทธิ์อำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ ประชากรของพระเจ้าจะ ‘กล่าวถึงพระสิริแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ และเล่าถึงกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ เพื่อให้บรรดาบุตรของมนุษย์ทราบถึงกิจการอันทรอานุภาพ..’ (ข้อ 11-12) นี่คือสิ่งที่คุณสามารถยึดมั่นได้ ‘ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้านั้นเป็น ‘ราชอาณาจักรนิรันดร์’ (ข้อ 13)
ดังที่เขาประกาศความรักของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์ด้วยกัน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ดาวิดหันมาสรรเสริญพระเจ้า: ‘พระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ และผู้จงรักภักดีทั้งสิ้นของพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระองค์’ (ข้อ 10)
คำอธิษฐาน
วิวรณ์ 12:1-13:1ก
ผู้หญิงและพญานาค
1และมีหมายสำคัญยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือผู้หญิงคนหนึ่งสวมดวงอาทิตย์เป็นเสื้อผ้า และมีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้าของนาง บนศีรษะของนางมีมงกุฎที่เป็นดาวสิบสองดวง 2หญิงนั้นมีครรภ์ และร้องด้วยความทรมานเพราะเจ็บครรภ์ 3และหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็ปรากฏในสวรรค์ นี่แน่ะ มีพญานาคสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา และบนหัวทั้งเจ็ดมีมงกุฎเจ็ดอัน 4และหางของพญานาคตวัดดวงดาวหนึ่งส่วนสามในท้องฟ้า แล้วทิ้งลงมาบนแผ่นดินโลก และพญานาคตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างหน้าหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่บุตรนั้นคลอดออกมา 5แล้วนางก็คลอดบุตรชาย ผู้ที่จะครอบครองประชาชาติทั้งหมดด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกนำตัวไปเฝ้าพระเจ้ายังพระที่นั่งของพระองค์ 6และหญิงคนนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน
7ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอล กับบรรดาทูตสวรรค์ของท่านต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้ 8แต่มันพ่ายแพ้และพบว่าไม่มีที่อยู่สำหรับพวกมันในสวรรค์อีกต่อไป 9พญานาคใหญ่ตัวนั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มันถูกโยนลงมาที่แผ่นดินโลก และเหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย 10และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า
“บัดนี้ความรอดและฤทธิ์เดช
และอาณาจักรของพระเจ้าของเรา
และสิทธิอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว
เพราะว่าผู้กล่าวหาพี่น้องของเรา ถูกโยนลงไปแล้ว
คือผู้ที่กล่าวหาพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเราทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น
11พวกเขาชนะมารด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก
และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง
และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย
12เพราะเหตุนี้จงรื่นเริงยินดีเถิด
สวรรค์และบรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์
แต่วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล
เพราะว่ามารได้ลงมาหาเจ้าทั้งหลาย
ด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง
เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”
13เมื่อพญานาคตัวนั้นเห็นว่ามันถูกโยนลงไปที่แผ่นดินโลกแล้ว มันก็ไล่ตามหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น 14แต่พระเจ้าประทานปีกของนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงคนนั้น เพื่อว่านางจะบินเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้พ้นหน้างูตัวนั้น ไปยังสถานที่ของนางที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งวาระ สองวาระ และครึ่งวาระ 15งูตัวนั้นก็พ่นน้ำออกจากปากเหมือนอย่างแม่น้ำไหลตามหญิงคนนั้น เพื่อจะทำให้นางถูกน้ำซัดไป 16แต่แผ่นดินช่วยหญิงคนนั้นไว้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้วกลืนน้ำที่พญานาคพ่นออกจากปาก 17และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและยึดถือคำพยานของพระเยซู 18และมันก็ไปยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล
วิวรณ์ 13
สัตว์ร้ายสองตัว
1และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเลมันมีสิบเขาและเจ็ดหัว และมีมงกุฎสิบอันอยู่บนเขาเหล่านั้นของมัน และมีชื่อต่างๆ ที่หมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน
อรรถาธิบาย
พระเยซูทรงชนะมาร
บางครั้ง คุณยังรู้สึกผิดอยู่ แม้ว่าอธิษฐานสารภาพและทูลขอการอภัยไปแล้วบ้างไหม? บางครั้งคุณเคยรู้สึกแย่กับตัวเองแบบไม่มีเหตุผลบ้างหรือไม่? คุณเคยรู้สึกถึงการถูกกล่าวโทษอย่างไม่ชัดเจน คลุมเครือบ้างไหม?
นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่มารทำงาน มันคือ ‘ผู้กล่าวหา’ (12:10) คำในภาษาฮีบรูสำหรับซาตาน หมายถึง ‘ผู้กล่าวหา’ หรือ ‘คนที่ใส่ร้าย’ มันกล่าวหาพระเจ้าต่อหน้าประชาชน พระเจ้าถูกตำหนิในทุกสิ่ง มันกล่าวหาว่าไว้ใจพระเจ้าไม่ได้
มันยังกล่าวหาคริสเตียนจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกด้วย มันปฏิเสธอำนาจแห่งการตายของพระเยซู กล่าวโทษคุณและทำให้คุณรู้สึกผิด โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็นบาปที่เจาะจง แต่เป็นความรู้สึกผิดอย่างกว้างๆ และคลุมเครือ ในทางตรงกันข้าม เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจเราให้สำนึกบาปพระองค์จะตรัสกับเราอย่างเจาะจงเสมอ
พระธรรมตอนนี้บอกเราว่า จะสามารถเอาชนะมารได้อย่างไร พระธรรมวิวรณ์เปิดเผยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์และเปิดเผยสิ่งที่อยู่ภายหน้า หลายต่อหลายครั้งยอห์นได้สรุปถึงเรื่องราวของการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์จนถึงการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระองค์ ในแต่ละครั้งมีความขัดแย้งและการข่มเหง แต่ท้ายที่สุดแล้วชัยชนะและการเฉลิมฉลองก็อยู่ที่นั่น
ผู้มีบทบาทสำคัญสามคนในบทที่ 12:
พระบุตร
พระเยซูคือ ‘พระบุตร ผู้ที่จะครอบครองดูแลประชาชาติ’ (ข้อ 5ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ได้ ‘เข้าเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์’ (ข้อ 5ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)มาร
มารถูกอธิบายไว้ในภาพของ ‘พญานาคสีแดง’ (ข้อ 3) อัตลักษณ์ของมันได้ถูกพรรณนาไว้ในข้อ 9: ‘พญานาคใหญ่ตัวนั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มันถูกโยนลงมาที่แผ่นดินโลก และเหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย’ (ข้อ 9) มันเป็น ผู้กล่าวหา (ข้อ 10)ผู้หญิง
บางทีการตีความที่ชัดเจนที่สุดของ ผู้หญิงคนนั้น ก็คือ นางมารีย์ พระมารดาของพระเยซู คำแนะนำอื่น ๆ คือ เธอเป็นดั่งตัวตนแห่งปัญญา เยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ตัวตนแห่งชนชาติอิสราเอล หรือคริสตจักร ในภาพของวันสิ้นโลกและการแปลความในหลากหลายระดับชั้น เธออาจเปรียบได้กับทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น
หญิงนั้นได้ ‘สวมดวงอาทิตย์เป็นเสื้อผ้า และมีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้าของนาง บนศีรษะของนางมีมงกุฎที่เป็นดาวสิบสองดวง’ (ข้อ 1ข) ‘เธอกำลังให้กำเนิดเด็กคนหนึ่ง’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ภายหลังจากที่เด็กคนนั้นถูกนำไปเข้าเฝ้าพระเจ้าที่พระบัลลังก์ของพระองค์ หญิงผู้นั้น ‘ก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน (นั่นก็คือ สามปีครึ่ง)’ (ข้อ 6)
ต่อมาเราได้อ่านว่างูพยายามที่จะกวาดหญิงนั้นออกไป ‘แต่แผ่นดินช่วยหญิงคนนั้นไว้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้วกลืนน้ำที่พญานาคพ่นออกจากปาก’ (ข้อ 16)
สิ่งที่ชัดเจนในพระธรรมตอนนี้คือ ท้ายที่สุดพระเยซูชนะมารและพวกพ้องของมัน เบื้องหลังของประวัติศาสตร์มนุษย์นั้นคือพลังที่ยิ่งใหญ่และชาญฉลาดของทั้งความดีและความชั่ว: ‘ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับบรรดาทูตสวรรค์ของท่านต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้’ (ข้อ 7)
ที่สุดแล้ว ความดีเอาชนะความชั่ว: ‘แต่มันพ่ายแพ้และพบว่าไม่มีที่อยู่สำหรับพวกมันในสวรรค์อีกต่อไป มันถูกโยนลงมา… ที่แผ่นดินโลก เหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย’ (ข้อ 8-9) มันพยายามที่จะ ‘ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก’ (ข้อ 9)
ในตอนนี้ คุณกำลังทำสงครามกับอำนาจปีศาจแห่งความชั่วร้าย แต่ชัยชนะนั้นแน่แท้: ‘พวกเขาชนะพวกมัน’ (ข้อ 11ก) ‘พวกเขา’ คือ คริสตจักร ประชากรของพระเจ้าผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ส่วน ‘มัน’ คือ มาร ซาตาน ผู้ใส่ร้าย งู ผู้ที่จะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นซาก คุณเอาชนะมันได้ด้วย 3 วิธี:
ไว้วางใจในพระโลหิต
ไม้กางเขนของพระเยซู ‘พระโลหิตของพระเมษโปดก’ (ข้อ 11ก) คือ ชัยชนะอันสูงสุดต่อมาร คุณสามารถแน่ใจได้ในการยืนต่อหน้าพระเจ้า ‘เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์’ (โรม 8:1) คุณไม่จำเป็นต้องเข้านอนหรือตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกผิด ดังที่ คอรี่ เทน บูม ชี้ให้เห็นว่า ‘พระโลหิตของพระคริสต์นั้นเปรียบดั่งน้ำตาในดวงตา มันช่วยชะล้างสิ่งสกปรกออกไป’เล่าเรื่องราวของคุณ
พวกเขาชนะ ‘ด้วยคำพยานของพวกเขาเอง’ (วิวรณ์ 12:11ข) คำพยานของคุณเป็นวิธีที่มีอำนาจมากที่สุดในการชนะการต่อต้านต่อความเชื่อ มันยากที่คนอื่นจะมาโต้เถียงเรื่องราวของคุณ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธประสบการณ์ส่วนตัวของคุณรับความเสี่ยงเพื่อพระเยซู
‘พวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย’ (ข้อ 11ค)
‘พวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย
พวกเขาพร้อมที่จะตายเพื่อพระคริสต์’ (ข้อ 11ค, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คุณสามารถแน่ใจในอนาคตของคุณได้ ดังนั้น คุณสามารถรับความเสี่ยงเพื่อพระเยซูได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณจะปลอดภัยในอ้อมแขนของพระองค์
คำอธิษฐาน
เอสรา 6:1-7:10
กฤษฎีกาของดาริอัส
1แล้วกษัตริย์ดาริอัสทรงออกกฤษฎีกาและทรงให้ค้นดูในบาบิโลน ในหอเก็บหนังสือที่คลังราชทรัพย์ 2และในเอกบาทานาเมืองป้อมซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย ได้พบหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งมีข้อความเขียนอยู่ต่อไปนี้ “บันทึก 3ในปีแรกแห่งรัชกาลกษัตริย์ไซรัส กษัตริย์ไซรัสทรงออกกฤษฎีกาว่า เรื่องพระนิเวศของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ให้สร้างพระนิเวศนั้นขึ้นใหม่ คือที่ซึ่งเขานำเครื่องสัตวบูชามาถวาย ให้ลงรากมั่นคง ให้พระนิเวศสูง 27 เมตร และกว้าง 27 เมตร 4ให้ก่อด้วยหินสามชั้นและไม้หนึ่งชั้น และให้เสียเงินค่าก่อสร้างจากพระคลังหลวง 5และเครื่องใช้ทองคำและเงินของพระนิเวศแห่งพระเจ้า ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ทรงนำออกมาจากพระวิหารที่อยู่ในเยรูซาเล็มนำมาไว้ที่บาบิโลนนั้น ให้คืนเสียและให้นำกลับไปยังพระวิหารซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม ไว้ตามที่ของสิ่งนั้นๆ ท่านจงเก็บไว้ในพระนิเวศแห่งพระเจ้า”
6“เพราะฉะนั้นทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก เชธาร์โบเซนัย และผู้ร่วมงานของท่านที่เป็นผู้ตรวจราชการซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก จงไปเสียให้ห่างเถิด 7จงปล่อยให้งานสร้างพระนิเวศของพระเจ้าดำเนินไปเถิด ให้ผู้ว่าราชการของพวกยิว และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวสร้างพระนิเวศของพระเจ้านี้ในที่เดิมขึ้นใหม่ 8ยิ่งกว่านั้นอีก เราออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกท่านพึงทำเพื่อพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ให้ชำระเงินค่าก่อสร้างแก่คนเหล่านี้เต็มจำนวน เอาเงินจากราชทรัพย์ คือบรรณาการของมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตกเพื่องานจะไม่หยุดชะงัก 9และสิ่งใดๆ ที่เขาต้องการเช่น วัวหนุ่ม แกะผู้ หรือแกะสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทั้งข้าวสาลี เกลือ เหล้าองุ่นหรือน้ำมัน ตามที่พวกปุโรหิตในเยรูซาเล็มกำหนดไว้ ให้มอบแก่เขาเป็นวันๆ ไปอย่าได้ขาด 10เพื่อเขาจะได้ถวายเครื่องสัตวบูชา อันเป็นที่พอพระทัยแก่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และให้อธิษฐานเพื่อชีวิตของกษัตริย์และโอรสของพระองค์ 11และเราออกกฤษฎีกาว่า ถ้าใครเปลี่ยนแปลงประกาศิตนี้ ก็ให้ดึงไม้ใหญ่อันหนึ่งออกเสียจากบ้านของเขาและให้เสียบเขาไว้บนไม้นั้น และให้บ้านของเขาเป็นกองขยะเพราะเรื่องนี้ 12และขอพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระนามของพระองค์สถิตที่นั่น ทรงคว่ำกษัตริย์ทั้งหมดหรือประชาชาติใดๆ ที่ยื่นมือออกเปลี่ยนแปลงข้อนี้ คือเพื่อทำลายพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าดาริอัสออกกฤษฎีกานี้ ขอให้ทำกันด้วยความขยันขันแข็ง”
งานสร้างพระนิเวศสำเร็จและการมอบถวาย
13แล้วทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก เชธาร์โบเซนัย และผู้ร่วมงานของท่านทั้งสองก็ได้ทำทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็งตามพระดำรัสซึ่งกษัตริย์ดาริอัสได้ทรงบัญชามา 14และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวก็ได้ทำการก่อสร้างให้ก้าวหน้าไป ตามการเผยพระวจนะของฮักกัยผู้เผยพระวจนะ และเศคาริยาห์บุตรอิดโด พวกเขาสร้างเสร็จตามพระบัญชาแห่งพระเจ้าของอิสราเอล และตามกฤษฎีกาของไซรัสและดาริอัสและอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย 15และพระนิเวศนี้ได้สำเร็จในวันที่สามของเดือนอาดาร์ ในปีที่หกแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส
16และชนชาติอิสราเอล บรรดาปุโรหิตและคนเลวี และคนอื่นๆ ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยและได้กลับมา ได้ฉลองการมอบถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้านี้ด้วยความชื่นบาน 17ณ การถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้านี้ เขาทั้งหลายได้ถวายวัวผู้ 100 ตัว แกะผู้ 200 ตัว ลูกแกะ 400 ตัว และส่วนเครื่องบูชาชดใช้บาปสำหรับอิสราเอลทั้งปวงนั้นมีแพะผู้ 12 ตัว ตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล 18และเขาตั้งปุโรหิตไว้ในกองของเขาทั้งหลาย และคนเลวีในเวรของเขา สำหรับการปรนนิบัติพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือของโมเสส
ฉลองเทศกาลปัสกา
19ในวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง พวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย และได้กลับมาได้ถือเทศกาลปัสกา 20เพราะบรรดาปุโรหิตและคนเลวีได้ชำระตนด้วยกัน พวกเขาบริสุทธิ์หมดทุกคน เขาจึงฆ่าแกะปัสกาสำหรับผู้ถูกกวาดไปเป็นเชลยซึ่งกลับมาทั้งหมด สำหรับพวกพี่น้องที่เป็นปุโรหิต และสำหรับตัวพวกเขาเอง 21ประชาชนอิสราเอลผู้ได้กลับมาจากการถูกกวาดไปเป็นเชลยและทุกคนที่สมทบกับพวกเขา และแยกตัวออกจากการมลทินของบรรดาประชาชาติแห่งแผ่นดินนั้น เพื่อจะนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลก็ได้รับประทาน 22และพวกเขาได้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันด้วยความชื่นบาน เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้เขาชื่นบาน และทรงหันพระทัยของกษัตริย์อัสซีเรียมาหาเขา เพื่อเสริมกำลังเขาในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
เอสรา 7
การมาและภารกิจของเอสรา
1ต่อมาในรัชกาลของอารทาเซอร์ซีส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย เอสราบุตรเสไรยาห์ ผู้เป็นบุตรอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรฮิลคียาห์ 2ผู้เป็นบุตรชัลลูม ผู้เป็นบุตรศาโดก ผู้เป็นบุตรอาหิทูบ 3ผู้เป็นบุตรอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเมราโยท 4ผู้เป็นบุตรเศ-ราหิยาห์ ผู้เป็นบุตรอุสซี ผู้เป็นบุตรบุคคี 5ผู้เป็นบุตรอาบีชูวา ผู้เป็นบุตรฟีเนหัส ผู้เป็นบุตรเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรอาโรนมหาปุโรหิต 6เอสราคนนี้ได้ขึ้นไปจากบาบิโลน ท่านเป็นธรรมาจารย์ชำนาญในเรื่องธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ และกษัตริย์ประทานทุกอย่างที่ท่านทูลขอ เพราะว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน
7มีบางคนในคนอิสราเอลและในบรรดาปุโรหิต บรรดาคนเลวี บรรดานักร้องและคนเฝ้าประตู และบ่าวไพร่ประจำพระวิหาร ได้ขึ้นไปด้วย ถึงเยรูซาเล็มในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส 8และท่านมาถึงเยรูซาเล็มในเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดของกษัตริย์ 9เพราะในวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งท่านได้เริ่มขึ้นไปจากบาบิโลน และในวันที่หนึ่งของเดือนที่ห้าท่านมายังเยรูซาเล็ม เพราะว่าพระหัตถ์ประเสริฐของพระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน 10เพราะเอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ และทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล
อรรถาธิบาย
ประชากรของพระเจ้ามีชัยเหนือการต่อต้าน
ครั้งหนึ่งมาร์ค ทเวนกล่าวว่า ‘พจนานุกรมเป็นเพียงที่เดียวที่ ความสำเร็จ มาก่อน การทำงาน!’ นิมิตที่ปราศจากการลงมือทำงานเป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อ คริสตจักรจะไม่สามารถถูกสร้างขึ้นใหม่ได้หากปราศจากพระหัตถ์ของพระเจ้า (7:6) แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน หากปราศจากการทำงานหนัก การอุทิศตัว และการประยุกต์ใช้
แม้ว่างานในการสร้างพระวิหารจะชะงักอยู่เพราะการต่อต้าน แต่ในที่สุดกษัตริย์ดาริอุส ‘ออกกฤษฎีกา’ (6:1) พวกเขาพบพระราชกฤษฎีกาดั้งเดิมของกษัตริย์ไซรัสที่สั่งการให้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่ (ข้อ 1-3) กษัตริย์ดาริอัสจึงสั่งซ้ำว่า งานก่อสร้างนี้ควรดำเนินต่อไปในพระวิหารของพระเจ้า และจะไม่มีผู้ใดมาขัดขวาง (ข้อ 6-12)
พระวิหารเสร็จสมบูรณ์ (ข้อ 14-15) 515 ปีก่อนคริสตกาล และนี่เป็นเหตุให้มีความสุขใจยิ่งและการเฉลิมฉลองมโหฬาร (ข้อ 16) ‘พวกเขาได้ถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันด้วยความชื่นบาน…เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้เขาชื่นบาน’ (ข้อ 22)
แต่ก็มีช่วงเงียบเป็นระยะเวลายาวนานในตอนจบของบทที่ 6 และตอนต้นบทที่ 7 (น่าจะ 458 ปีก่อนคริสตกาล) เอสราได้รับการกล่าวถึงว่า เป็นผู้ที่อยู่เหนือทุกคน และรับผิดชอบต่อการตั้งธรรมบัญญัติเพื่อความเชื่อและชีวิตในสังคมของชุมชนประชากรของพระเจ้า ภายหลังจากที่ได้กลับมาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน
เอสราเป็นธรรมาจารย์และ ‘พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอยู่กับท่าน’ (7:6) ‘เอสราได้ตั้งใจของท่านที่จะศึกษาธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตามและสอนกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระองค์ในอิสราเอล’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การศึกษาพระวจนะของพระเจ้าแต่ปราศจากการลงมือทำนั้นไร้ค่า
ตัวอย่างของเอสรานั้นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเลียนแบบ ให้เราจุ่มตัวลงไปในพระวจนะของพระเจ้า มุ่งมั่นที่จะศึกษาโดยการจัดเวลาและความพยายาม ระลึกไว้เสมอว่า ลำพังพระวจนะของพระเจ้าเองนั้นไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้ามาสร้างและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเช่นกัน นำมาประพฤติปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ทำเหมือนกัน
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
วิวรณ์ 12:9
‘พญานาคตัวใหญ่นั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มันถูกโยนลงมาที่แผ่นดินโลก – และเหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย’
ดีแล้วที่มารถูกโยนออกมาจากสวรรค์ แต่ก็น่าเสียดายที่มันดันมาอยู่บนโลก (… แต่ก็ไม่นานหรอกค่ะ) และมันก็พ่ายแพ้ไป
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 145:8ก
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระคุณและทรงกรุณา…’

App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)