วิธีอ่านและทำความเข้าใจพระคัมภีร์
เกริ่นนำ
ในการอ่านและพยายามทำความเข้าใจพระคัมภีร์ คุณมี 3 ตัวช่วยด้วยกัน อย่างแรก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ในคุณ (1 โครินธ์ 2:2-16) อย่างที่สอง การช่วยเหลือจากทางคริสตจักร คงฟังดูทะนงตนเกินไปที่จะอ้างว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับฉันเท่านั้น พระองค์ตรัสกับคนอื่น ๆ ด้วยในประวัติศาสตร์และยังตรัสกับประชากรของพระองค์ต่อไป เปาโลอธิษฐานว่า ‘ให้ท่านสามารถเข้าใจร่วมกับธรรมิกชน’ (เอเฟซัส 3:18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก New Revised Standard Version โดยผู้แปล) และอย่างที่สาม คุณได้รับประโยชน์จากการคิดหาเหตุผล จากความคิดเห็นของคุณ เปาโลหนุนใจแต่ละคนให้ ‘มีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด’ (โรม 14:5)
ในการตีความพระคัมภีร์นั้น มีอยู่ 3 คำถามหลักที่คุณจำเป็นต้องถาม:
จริง ๆ แล้วพระคัมภีร์พูดว่าอย่างไร?
พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเขียนในภาษาฮีบรู (และภาษาอาราเมค) และในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เขียนด้วยภาษากรีก แต่คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการแปลในสมัยใหม่นั้นน่าเชื่อถือและถูกต้องพระคัมภีร์หมายความว่าอย่างไร?
การจะตอบคำถามนี้ คุณต้องถามว่า: เป็นงานเขียนประเภทไหน? เป็นการเขียนทางประวัติศาสตร์หรือไม่? เป็นคำกลอน? เป็นคำเผยพระวจนะ? เป็นคำพยากรณ์การสิ้นโลก? เป็นธรรมบัญญัติ? เป็นถ้อยคำแห่งสติปัญญา? เป็นพระกิตติคุณ? ตอนต่าง ๆ ในวันนี้เป็นประเภทวรรณกรรมที่แตกต่างกัน (คำกลอน คำพยากรณ์การสิ้นโลก และประวัติศาสตร์) ดังนั้น เราจะอ่านแต่ละบทด้วยวิธีที่แตกต่างกัน
จากนั้น ถามต่อว่าสิ่งนี้มีความหมายอย่างไรตามที่ผู้เขียนต้องการสื่อ และมีความหมายอย่างไรสำหรับผู้อ่านหรือผู้ได้ยินกลุ่มแรกด้วย แล้วถามต่อไปอีกว่า ‘มีสิ่งใดเกิดขึ้นตามมาที่จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเราหรือไม่?’ ตัวอย่างเช่น ความเข้าใจในเรื่องการเสด็จมาของพระเยซูทำให้เราเข้าใจพันธสัญญาเดิมแตกต่างไปอย่างไร? ท้ายที่สุดแล้ว พระคัมภีร์ล้วนเป็นเรื่องของพระเยซูทั้งสิ้น (ดู ยอห์น 5:39-40)
- เรื่องนี้จะนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของฉันได้อย่างไร?
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นเพียงบททดสอบทางสติปัญญา คุณต้องคิดให้ตกว่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้อะไรได้บ้างในชีวิตประจำวัน
สดุดี 144:9-15
9ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระองค์
ข้าพระองค์จะดีดพิณสิบสายสดุดีพระองค์
10ผู้ประทานชัยชนะแก่บรรดาพระราชา
และผู้ทรงฉวยดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากดาบชั่วร้าย
11ขอทรงฉวยและช่วยกู้ข้าพระองค์
ให้พ้นจากมือคนต่างชาติ
ผู้ซึ่งปากของเขาพูดเท็จ
และมือขวาของเขาเป็นมือแห่งการหลอกลวง
12ขอให้บรรดาบุตรชายของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เมื่อพวกเขายังหนุ่มๆ อยู่เป็นเหมือนต้นไม้โตเต็มขนาด
และขอให้บรรดาบุตรหญิงของข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนเสาหัวมุม
สลักเสลาตามแบบพระราชวัง
13ขอให้ยุ้งฉางของข้าพระองค์ทั้งหลายเต็ม
มีของบรรจุอยู่ทุกอย่าง
ขอให้ฝูงแกะของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เพิ่มพูนเป็นพันเป็นหมื่นที่ในทุ่งโล่ง
14ขอให้ฝูงวัวของข้าพระองค์ทั้งหลายมีลูกดก
ไม่มีใครพังเข้ามา ไม่มีออกไป
และขออย่าให้มีเสียงร้องทุกข์ในถนนหนทางของข้าพระองค์ทั้งหลาย
15ชนชาติผู้มีพระพรอย่างนี้ก็เป็นสุข
ชนชาติซึ่งพระเจ้าของเขาคือพระยาห์เวห์ ก็เป็นสุข
อรรถาธิบาย
จริงใจต่อพระเจ้า (บทกวี)
พระเจ้าต้องการให้เราจริงใจต่อพระองค์ พระธรรมสดุดีไม่ใช่การอธิษฐานจากคนดีด้วยภาษาสุภาพ แต่มักใช้คำที่ดูดิบเถื่อน แบบทางโลก และหยาบกระด้าง ถ้อยคำเหล่านี้คือการตอบสนองส่วนตัวที่แท้จริง และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองต่อพระเจ้า
พระธรรมสดุดีเขียนด้วยภาษาแห่งบทกวี บทกวีของโรเบิร์ต เบิร์นส์ เขียนไว้ว่า ‘ความรักของผมเปรียบดังกุหลาบแดง’ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้หมายความตามนั้นตรงตัว
ภาษาด้านศาสนศาสตร์มากมายมักเกี่ยงข้องกับภาพเปรียบเทียบ เมื่อสองสิ่งถูกนำมาเปรียบเทียบกัน ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเหมือนกันในทุกแง่มุม
ตัวอย่างเช่น:
‘ขอให้บรรดาบุตรชายของข้าพระองค์ทั้งหลาย
เมื่อพวกเขายังหนุ่ม ๆ อยู่เป็นเหมือนต้นไม้โตเต็มขนาด
และขอให้บรรดาบุตรหญิงของข้าพระองค์ทั้งหลาย
มีรูปร่างสวยงามและมีความสดใส ดั่งทุ่งดอกไม้ป่า’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระธรรมสดุดียังแสดงถึงความรู้สึกของมนุษย์เป็นอย่างมากอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในวันนี้ ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า ‘ขอทรงฉวยและช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากมือคนต่างชาติ ผู้ซึ่งปากของเขาพูดเท็จ และมือขวาของเขาเป็นมือแห่งการหลอกลวง’ (ข้อ 11)
ชัดเจนว่า ไม่ใช่คนต่างชาติทุกคนเป็นคนโกหกและชอบหลอกลวง แต่บางครั้งพระธรรมสดุดีกล่าวถึงความฉุนเฉียวที่มีต่อพระเจ้าและความแค้นต่อผู้อื่น ไม่ได้หมายความว่า ความรู้สึกเหล่านี้ถูกต้อง แต่คือการตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเราหลายคนรู้สึกแบบเดียวกันในช่วงเวลาต่างกันไปในชีวิต
ดาวิดอยู่ท่ามกลางสงครามและถูกจู่โจมจากเมืองต่างชาติอยู่เสมอ ความขัดแย้งกันทางกองกำลังเป็นความจริงในชีวิตสำหรับเขา สิ่งนี้ขัดกับฉากหลังที่เขาขอบคุณพระเจ้าในการฝึกมือของเขาเพื่อทำสงคราม นี่ไม่ได้บ่งชี้ว่าเราควรเลียนแบบความรู้สึกเหล่านี้ ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เราควรที่จะรักคนต่างชาติและคนนอกเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความรู้สึกอื่น ๆ ที่คุณสามารถได้รับแรงบันดาลใจในการทำตาม ตัวอย่างเช่น ถ้อยคำของดาวิดในข้อ 9 สร้างแรงบันดาลใจให้เราในการนมัสการ และเขายังคงกล่าวต่อไปถึงความปรารถนาในพระพรของพระเจ้าเหนือครอบครัวของเขา การงานและความมั่นคงของชนชาติของเขา เขาจบลงด้วย ‘ชนชาติผู้มีพระพรอย่างนี้ก็เป็นสุข ชนชาติซึ่งพระเจ้าของเขาคือองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข’ (ข้อ 15)
คำอธิษฐาน
วิวรณ์ 8:1-9:12
ตราดวงที่เจ็ดและกระถางไฟทองคำ
1และเมื่อพระเมษโปดกทรงแกะตราดวงที่เจ็ด ในสวรรค์ก็เกิดความเงียบขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง 2แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์ที่ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นได้รับมอบแตรเจ็ดคัน 3และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำออกมาและยืนอยู่ที่แท่นบูชา พระเจ้าประทานเครื่องหอมมากมายแก่ทูตองค์นั้น เพื่อให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหมดบนแท่นบูชาทองคำ ที่อยู่หน้าพระที่นั่งนั้น 4และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า 5แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นก็นำกระถางไฟไป และเอาไฟจากแท่นบูชามาใส่จนเต็ม แล้วโยนลงบนแผ่นดินโลกทำให้เกิดฟ้าร้องเสียงครืนๆ ฟ้าแลบและแผ่นดินไหว
แตรทั้งเจ็ด
6และทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือแตรทั้งเจ็ดนั้นต่างก็เตรียมพร้อมเพื่อที่จะเป่า
7เมื่อทูตสวรรค์องค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟ ที่ปนด้วยเลือดก็ตกลงมาบนแผ่นดินโลก แผ่นดินโลกก็ถูกเผาไปหนึ่งส่วนสาม ต้นไม้ถูกเผาไปหนึ่งส่วนสาม และหญ้าเขียวสดถูกเผาไปทั้งหมด
8เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนอย่างภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังลุกเป็นไฟ ถูกโยนลงไปในทะเล แล้วหนึ่งส่วนสามของทะเลกลายเป็นเลือด 9บรรดาสิ่งที่มีชีวิตในทะเลนั้นตายไปหนึ่งส่วนสาม และเรือต่างๆ ถูกทำลายไปหนึ่งส่วนสาม
10เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สามเป่าแตรขึ้น ก็มีดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่ลุกไหม้เหมือนอย่างคบเพลิงตกลงมาจากท้องฟ้า ดาวดวงนั้นตกลงไปในหนึ่งส่วนสามของแม่น้ำทั้งหลาย และตกลงไปในบ่อน้ำพุทั้งหลาย 11ดาวดวงนี้มีชื่อว่า “บอระเพ็ด” น้ำปริมาณหนึ่งส่วนสามก็กลายเป็นรสขม และคนมากมายตายไปเพราะเหตุน้ำนั้นถูกทำให้ขม
12เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่สี่เป่าแตรขึ้น หนึ่งส่วนสามของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์วันเพ็ญ และของดวงดาวทั้งหลายก็ถูกทำลายไป ทำให้หนึ่งส่วนสามของสิ่งเหล่านั้นมืดไป กลางวันก็ไม่สว่างเสียหนึ่งส่วนสาม และกลางคืนก็เช่นเดียวกัน
13แล้วข้าพเจ้าเห็นและได้ยินนกอินทรีตัวหนึ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้าร้องเสียงดังว่า “วิบัติ วิบัติ วิบัติ จะมีแก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก เพราะเสียงของแตรที่เหลืออยู่ซึ่งทูตสวรรค์ทั้งสามองค์กำลังจะเป่า”
วิวรณ์ 9
1เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งที่ได้ตกจากฟ้าลงมาที่แผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าประทานลูกกุญแจสำหรับช่องของบาดาลลึกให้แก่ดาวดวงนั้น 2เมื่อท่านเปิดช่องของบาดาลนั้น ก็มีควันพลุ่งขึ้นมาจากช่องนั้น เหมือนอย่างควันของเตาใหญ่ ดวงอาทิตย์และอากาศก็มืดไปด้วยควันจากช่องนั้น 3และมีฝูงตั๊กแตนออกจากควันนั้นมายังแผ่นดินโลก พระเจ้าประทานอำนาจกับตั๊กแตนพวกนั้นเหมือนอย่างอำนาจของพวกแมงป่องแห่งแผ่นดินโลก 4พระองค์ตรัสบอกพวกมันไม่ให้ทำร้ายหญ้าบนแผ่นดินโลก หรือพืชเขียว หรือต้นไม้ แต่ให้ทำร้ายเฉพาะคนทั้งหลาย ที่ไม่มีตราของพระเจ้าบนหน้าผากของเขา 5พระองค์ไม่ให้ฆ่าคนพวกนั้น แต่ให้ทรมานเขาห้าเดือน ความทรมานของพวกเขานั้นเป็นเหมือนอย่างความทรมานเมื่อถูกแมงป่องต่อย 6ตลอดระยะเวลานั้น คนทั้งหลายจะแสวงหาความตาย แต่จะไม่พบ เขาอยากจะตาย แต่ความตายจะหนีจากพวกเขาไป
7ตั๊กแตนพวกนั้นมีรูปร่างเหมือนม้าที่เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม บนหัวของมันมีสิ่งที่ดูเหมือนอย่างมงกุฎทองคำ และหน้าของพวกมันเหมือนอย่างหน้าของมนุษย์ 8พวกมันมีผมเหมือนอย่างผมของผู้หญิง ฟันของมันเหมือนอย่างฟันของสิงโต 9พวกมันมีเกราะป้องกันอกเหมือนอย่างเกราะเหล็ก เสียงปีกของมันเหมือนอย่างเสียงของรถและม้ามากมายที่กรูเข้าสู่สงคราม 10พวกมันมีหางและมีเหล็กในเหมือนแมงป่อง หางของมันนั้นมีอำนาจที่จะทำร้ายมนุษย์ตลอดห้าเดือน 11พวกมันมีทูตของบาดาลลึกเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือมัน ทูตผู้นั้นมีชื่อภาษาฮีบรูว่าอาบัดโดนและในภาษากรีกว่า อปอลลิโยน
12วิบัติที่หนึ่งผ่านไปแล้ว นี่แน่ะ ยังมีวิบัติอีกสองอย่างที่จะตามมาหลังจากนี้
อรรถาธิบาย
สร้างความแตกต่างด้วยการอธิษฐาน (คำพยากรณ์ถึงการสิ้นโลก)
งานเขียนแห่งคำพยากรณ์การสิ้นโลกเป็นงานเขียนแห่งความฝันและนิมิต ของความลึกลับอันล้ำลึก และวาระสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์ เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ต้องตีความ ในนั้นเราจะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มักจะอยู่ในขอบเขตของความเข้าใจของมนุษย์ ซึ่งสิ่งที่ซับซ้อน และอยู่เหนือจินตนาการนี้ สามารถช่วยให้เราเริ่มที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกินความเข้าใจของเราได้
เป็นที่ทราบกันดีว่าวรรณกรรมเกี่ยวกับคำพยากรณ์ถึงการสิ้นโลกนั้นยากที่จะตีความ พบได้หลายที่ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะพระธรรมดาเนียล และวิวรณ์
การอ่านการเขียนคำพยากรณ์ถึงการสิ้นโลกสำหรับวันนี้นั้นไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ ดูเป็นการทรงเรียกของพระคริสต์ที่มีต่อทั้งโลกให้กลับใจใหม่ และสัญญาณเตือนแห่งการพิพากษาของพระองค์ที่กำลังมา
ก่อนการพิพากษา ‘ฟ้าสวรรค์เงียบไป เงียบสงัดประมาณครึ่งชั่วโมง’ (8:1 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในระหว่างช่วงเวลาอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ทั่วทั้งฟ้าสวรรค์เงียบสงัด บางทีนี่อาจเป็นสัญลักษณ์ของโอกาสของการอธิษฐานแห่งประชากรของพระเจ้าที่จะได้นำเสนอต่อพระองค์และจะทรงได้ยิน
แตร 7 คัน (ข้อ 2) พระองค์กำลังทำทุกสิ่งโดยอำนาจทั้งหมดที่มีเพื่อที่จะนำให้เราได้กลับใจใหม่ ความปรารถนาของพระเจ้าคือการเตือนเราถึงผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากทางของเราแตร 4 คันแรกนั้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ข้อ 6-13) มีภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อม (ข้อ 7) เหตุการณ์วุ่นวายท่ามกลางการทรงสร้างของพระองค์ (ข้อ 8-9) โศกนาฏกรรมของมนุษย์ (ข้อ 10-11) และอันตรายที่มาถึงในระบบจักรวาล (ข้อ 12) แล้วทูตสวรรค์องค์ที่ 5 และ 6 ได้นำความพินาศมาสู่มนุษยชาติ (9:1-21)
ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ คุณสามารถเห็นความสำคัญของการอธิษฐาน ‘ทูตสวรรค์อีกองค์... พระเจ้าประทานเครื่องหอมมากมาย ให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชน... และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า’ (8:3-4) ผลของคำอธิษฐานที่แท้จริงยังไม่ชัดเจนนัก แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของคุณ คำอธิษฐานของคุณนั้นสำคัญ คำอธิษฐานของคุณทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เราใช้ชีวิตอยู่ในเวลาระหว่างการเสด็จมาครั้งที่ 1 และ 2 ของพระคริสต์ เราเห็นหลักฐานของสิ่งที่ถูกเขียนไว้เกี่ยวกับบทเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในโลกของเรา การตอบสนองของเราควรจะเป็นการอธิษฐาน และกลับใจใหม่
คำอธิษฐาน
เอสรา 1:1-2:67
สิ้นสุดการเป็นเชลยในบาบิโลน
1ในปีแรกแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย เพื่อพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ตรัสโดยปากของเยเรมีย์จะสำเร็จ พระยาห์เวห์ทรงเร้าจิตใจของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระองค์จึงทรงป่าวประกาศตลอดราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงด้วยว่า
2“ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียตรัสดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ได้ประทานบรรดาราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกแก่เรา และพระองค์ทรงกำชับให้เราสร้างพระนิเวศให้พระองค์ที่เยรูซาเล็มซึ่งอยู่ในยูดาห์ 3มีใครในหมู่พวกท่านที่เป็นประชากรของพระองค์? ขอพระเจ้าของเขาสถิตกับเขา และขอให้เขาขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม ซึ่งอยู่ในยูดาห์และสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล คือพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้สถิตในเยรูซาเล็ม 4และคนทั้งปวงที่เหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใด ให้บรรดาคนตามที่นั้นๆ ช่วยเขาด้วยเงินและด้วยทองคำ ด้วยข้าวของและสัตว์เลี้ยง นอกเหนือจากของถวายด้วยความสมัครใจ สำหรับพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม’ ”
5แล้วหัวหน้าของตระกูลแห่งยูดาห์และเบนยามินได้เตรียมพร้อม ทั้งพวกปุโรหิตและคนเลวี คือทุกคนที่พระเจ้าทรงเร้าจิตใจของเขาให้ไปสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็ม 6และทุกคนที่อยู่แวดล้อมเขาก็ได้ช่วยเขาด้วยเครื่องเงิน ด้วยทองคำ ด้วยข้าวของ ด้วยสัตว์เลี้ยง และด้วยของมีค่า นอกเหนือจากของถวายด้วยความสมัครใจ 7กษัตริย์ไซรัสก็ทรงนำเครื่องใช้ของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ออกมา ซึ่งเป็นเครื่องใช้ที่เนบูคัดเนสซาร์ได้ทรงกวาดมาจากเยรูซาเล็ม และทรงเก็บไว้ในวิหารแห่งพระของพระองค์ 8ไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียทรงนำสิ่งเหล่านี้ออกมาในความดูแลของมิทเรดาท สมุหพระคลัง ผู้นับออกให้แก่เชชบัสซาร์เจ้านายของยูดาห์ 9และนี่เป็นจำนวนของสิ่งเหล่านั้น อ่างทองคำ 30 ใบ อ่างเงิน 1,000 ใบ มีด 29 เล่ม 10ชามทองคำ 30 ใบ ชามเงิน 410 ใบ และภาชนะอย่างอื่น 1,000 ใบ 11ภาชนะที่ทำด้วยทองคำและทำด้วยเงินทั้งสิ้นรวม 5,400 ใบ ทั้งหมดนี้เชชบัสซาร์ได้นำขึ้นมา เมื่อได้นำพวกเชลยขึ้นมาจากบาบิโลนถึงกรุงเยรูซาเล็ม
เอสรา 2
รายนามเชลยที่กลับ
1ต่อไปนี้เป็นประชาชนของมณฑลที่กลับมาจากการเป็นเชลยในพวกที่ถูกกวาดต้อนไป ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กวาดต้อนไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และกลับมายังเยรูซาเล็มและยูดาห์ แต่ละคนต่างก็ไปยังเมืองของตน 2เขาทั้งหลายมากับเศรุบบาเบล เยชูอา เนหะมีย์ เสไรยาห์ เรเอไลยาห์ โมรเดคัย บิลชาน มิสปาร์ บิกวัย เรฮูม และบาอานาห์
จำนวนประชาชนอิสราเอล คือ 3พงศ์พันธุ์ปาโรช 2,172 คน 4พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ 372 คน 5พงศ์พันธุ์อาราห์ 775 คน 6พงศ์พันธุ์ปาหัทโมอับ คือพงศ์พันธุ์ของเยชูอา และ โยอาบ 2,812 คน 7พงศ์พันธุ์เอลาม 1,254 คน 8พงศ์พันธุ์ศัทธู 945 คน 9พงศ์พันธุ์ศักคัย 760 คน 10พงศ์พันธุ์บานี 642 คน 11พงศ์พันธุ์เบบัย 623 คน 12พงศ์พันธุ์อัสกาด 1,222 คน 13พงศ์พันธุ์อาโดนีคัม 666 คน 14พงศ์พันธุ์บิกวัย 2,056 คน 15พงศ์พันธุ์อาดีน 454 คน 16พงศ์พันธุ์อาเทอร์ คือ ของเฮเซคียาห์ 98 คน 17พงศ์พันธุ์เบไซ 323 คน 18พงศ์พันธุ์โยราห์ 112 คน 19พงศ์พันธุ์ฮาชูม 223 คน 20พงศ์พันธุ์กิบบาร์ 95 คน 21พงศ์พันธุ์ชาวเบธเลเฮม 123 คน 22ชาวเนโทฟาห์ 56 คน 23ชาวอานาโธท 128 คน 24พงศ์พันธุ์อัสมาเวท 42 คน 25พงศ์พันธุ์ชาวคีริยาทอาริม ชาวเคฟีราห์ และชาวเบเอโรท 743 คน 26พงศ์พันธุ์ชาวรามาห์ และชาวเกบา 621 คน 27ชาวมิคมาส 122 คน 28ชาวเบธเอลและชาวอัย 223 คน 29พงศ์พันธุ์ชาวเนโบ 52 คน 30พงศ์พันธุ์ชาวมักบีช 156 คน 31พงศ์พันธุ์เอลามอีกคนหนึ่ง 1,254 คน 32พงศ์พันธุ์ชาวฮาริม 320 คน 33พงศ์พันธุ์ชาวโลด ชาวฮาดิด และชาวโอโน 725 คน 34พงศ์พันธุ์ชาวเยรีโค 345 คน 35พงศ์พันธุ์เสนาอาห์ 3,630 คน
36บรรดาปุโรหิต คือ พงศ์พันธุ์เยดายาห์ ตระกูลเยชูอา 973 คน 37พงศ์พันธุ์อิมเมอร์ 1,052 คน 38พงศ์พันธุ์ปาชเฮอร์ 1,247 คน 39พงศ์พันธุ์ฮาริม 1,017 คน
40คนเลวี คือ พงศ์พันธุ์เยชูอา และขัดมีเอล คือพงศ์พันธุ์โฮดาวิยาห์ 74 คน 41พวกนักร้อง คือ พงศ์พันธุ์อาสาฟ 128 คน 42พงศ์พันธุ์คนเฝ้าประตู คือ พงศ์พันธุ์ชัลลูม พงศ์พันธุ์อาเทอร์ พงศ์พันธุ์ทัลโมน พงศ์พันธุ์อักขูบ พงศ์พันธุ์ฮาทิธา และพงศ์พันธุ์โชบัย รวมกัน 139 คน
43บ่าวไพร่ประจำพระวิหาร คือพงศ์พันธุ์ศีหะ พงศ์พันธุ์ฮาสูฟา พงศ์พันธุ์ทับบาโอท 44พงศ์พันธุ์เคโรส พงศ์พันธุ์สีอาฮา พงศ์พันธุ์พาโดน 45พงศ์พันธุ์เลบานาห์ พงศ์พันธุ์ฮากาบาห์ พงศ์พันธุ์อักขูบ 46พงศ์พันธุ์ฮากาบ พงศ์พันธุ์ชัมลัย พงศ์พันธุ์ฮานัน 47พงศ์พันธุ์กิดเดล พงศ์พันธุ์กาฮาร์ พงศ์พันธุ์เรอายาห์ 48พงศ์พันธุ์เรซีน พงศ์พันธุ์เนโคดา พงศ์พันธุ์กัสซาม 49พงศ์พันธุ์อุสซา พงศ์พันธุ์ปาเสอาห์ พงศ์พันธุ์เบสัย 50พงศ์พันธุ์อัสนาห์ พงศ์พันธุ์เมอูนิม พงศ์พันธุ์เนฟิสิม 51พงศ์พันธุ์บัคบูค พงศ์พันธุ์ฮาคูฟา พงศ์พันธุ์ฮารฮูร 52พงศ์พันธุ์บัสลูท พงศ์พันธุ์เมหิดา พงศ์พันธุ์ฮารชา 53พงศ์พันธุ์บารโขส พงศ์พันธุ์สิเสรา พงศ์พันธุ์เทมาห์ 54พงศ์พันธุ์เนซิยาห์ และพงศ์พันธุ์ฮาทิฟา
55พงศ์พันธุ์ข้าราชการของซาโลมอน คือพงศ์พันธุ์โสทัย พงศ์พันธุ์หัสโสเฟเรท พงศ์พันธุ์เปรุดา 56พงศ์พันธุ์ยาอาลาห์ พงศ์พันธุ์ดารโคน พงศ์พันธุ์กิดเดล 57พงศ์พันธุ์เชฟาทิยาห์ พงศ์พันธุ์ฮัทธิล พงศ์พันธุ์โปเคเรทหัสซาบาอิม และพงศ์พันธุ์อามี
58บ่าวไพร่ประจำพระวิหารและพงศ์พันธุ์ของข้าราชการของซาโลมอนทั้งสิ้น เป็น 392 คน
59ต่อไปนี้เป็นพวกที่ขึ้นมาจากเทลเมลาห์ เทลฮารชา เครูบ อัดดาน และอิมเมอร์ แม้พวกเขาจะพิสูจน์ตระกูลของเขาหรือเชื้อสายของเขาไม่ได้ ว่าเขาเป็นคนอิสราเอลหรือไม่ คือ 60พงศ์พันธุ์เดลายาห์ พงศ์พันธุ์โทบีอาห์ และพงศ์พันธุ์เนโคดา รวม 652 คน 61และจากพงศ์พันธุ์ปุโรหิตด้วย คือ พงศ์พันธุ์โฮบายาห์ พงศ์พันธุ์ฮักโขส และพงศ์พันธุ์บารซิลลัย (ผู้มีภรรยาเป็นบุตรหญิงคนหนึ่งของบารซิลลัยคนกิเลอาด จึงได้ชื่อตามนั้น) 62คนเหล่านี้เมื่อค้นหาชื่อในทะเบียนตามสำมะโนครัวเชื้อสายก็ไม่พบ จึงถือว่าเป็นคนสามัญ และถูกตัดออกจากการเป็นปุโรหิต 63ผู้ว่าราชการเมืองสั่งเขาไม่ให้รับอาหารบริสุทธิ์ที่สุด จนกว่าจะมีปุโรหิตปรึกษากับอูริมและทูมมิมเสียก่อน
64ชุมนุมชนทั้งหมดรวมกันมี 42,360 คน 65นอกเหนือจากคนใช้ชายหญิงซึ่งมีอยู่ 7,337 คน และเขามีนักร้องชายหญิง 200 คน 66ม้าของเขามี 736 ตัว ล่อ 245 ตัว 67อูฐของเขา 435 ตัว และลาของเขา 6,720 ตัว
อรรถาธิบาย
ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จในชีวิตของคุณ (ประวัติศาสตร์)
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์สำหรับชีวิตของคุณ คุณได้รับการทรงเรียกให้ทำบางอย่างที่พิเศษเพื่อพระองค์ พระธรรมเอสราแสดงให้เราเห็นว่าแม้ว่าจะเป็นแผนการของพระเจ้าเอง ก็ยังมีฝ่ายต่อต้าน และแรงเสียดทานมากมาย แต่พระเจ้าทรงอยู่กับคุณ (1:3) และแผนการของพระเจ้าจะสำเร็จในที่สุด
ในพระธรรมเอสรา เราพบตนเองว่ามีจุดที่คล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ในตอนนั้น หมวดประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์นั้นไม่เพียงแค่บันทึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังให้การตีความของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พรรณนาถึง การเขียนทางประวัติศาสตร์ดูเหมือนเป็นกิจพยากรณ์ ซึ่งบันทึกทั้งความจริงและอธิบาย หรือเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงทำการนั้นอย่างไรผ่านเหตุการณ์ที่บรรยาย
ข้อพระคัมภีร์เปิดของพระธรรมเอสราเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการนำความจริงกับการตีความมาไว้ด้วยกัน: ‘ในปีแรกแห่งรัชกาลไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย เพื่อพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสโดยปากของเยเรมีย์จะสำเร็จ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเร้าจิตใจของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียพระองค์จึงทรงป่าวประกาศตลอดราชอาณาจักรของพระองค์และทรงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร’ (ข้อ 1) (ข้อความร่วมสมัยที่จารึกไว้แสดงให้เห็นด้วยว่ากษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียอนุญาตให้เชลยชนชาติอื่นสามารถกลับบ้านได้เช่นกัน)
ขณะเดียวกัน ผู้เขียนอธิบายถึง ความสำคัญของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ เขาเน้นว่าพวกเขาทำให้คำเผยพระวจนะก่อนหน้าของเยเรมีย์ว่าจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยจะมีช่วงเวลาราว 70 ปี (เยเรมีย์ 25:12 และ 29:10) นี่ไม่ใช่แค่เพียงบทเรียนประวัติศาสตร์ดึกดำบรรพ์ แต่คือการเปิดเผยจากพระเจ้า แสดงให้เราเห็นถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ เป็นสิ่งเตือนใจเราว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งการช่วยกู้ และทำให้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้บัญชาการและควบคุมประวัติศาสตร์
เหตุการณ์ที่เอสราพรรณนาถึงในบทเหล่านี้เกิดขึ้น 536 ปีก่อนคริสตกาล ภายหลังจาก 70 ปีที่ถดถอย พ่ายแพ้ และเป็นเชลย พระเจ้าได้ทรงประทานการเริ่มต้นใหม่ดังที่เห็นได้ว่าประชากรของพระเจ้าได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน
พระราชกฤษฎีกาของไซรัสอนุญาติให้ชาวยิวเดินทางกลับ และสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เอสราจดจ่ออยู่กับการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ และเนหะมีย์จดจ่อกับการสร้างกำแพงของกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม พื้นฐานท่าทีภายในใจของพวกเขานั้นเหมือนกัน พวกเขาเห็นแก่พระสิริของพระเจ้าและประชากรของพระองค์ ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ทั้งสองต่างทำตามประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของพวกเขา
วันนี้ เป็นแบบเดียวกันสำหรับคุณ คุณมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับชีวิต พวกเราทั้งหมดมีโครงการที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับงานของเรา ความรักความชอบและของประทานที่ต่างกัน แต่พื้นฐานท่าทีภายในใจควรจะเหมือนกัน นั่นก็คือ เห็นแก่พระสิริของพระเจ้าและประชากรของพระองค์ พระเจ้าจะทรงทำให้เป้าหมายเฉพาะในชีวิตของคุณนั้นเป็นจริง
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ฉันเพิ่งดูรายชื่อของเชลยที่กลับมาจากการถูกกวาดต้อนในพระธรรมเอสราบทที่ 2 พวกเขานับจำนวนคน เพราะประชาชนมีความสำคัญ
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 144:15
‘…ชนชาติผู้มีพระพรอย่างนี้ก็เป็นสุข ชนชาติซึ่งพระเจ้าของเขาคือองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)