วัน 346

ข้อดีของการถูกตักเตือน

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 141:1-10
พันธสัญญาใหม่ วิวรณ์ 3:7-22
พันธสัญญาเดิม เอสเธอร์ 2:19-5:14

เกริ่นนำ

ผมไม่เคยชอบเมื่อถูกคนอื่นตักเตือน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมพบว่า การตักเตือนอย่างสัตย์ซื่อจากเพื่อน เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง พระธรรมตอนนี้บอกเราว่าการตักเตือนที่ถูกต้องเป็นวิธีสำคัญที่พระเจ้าทรงห่วงใยเรา และที่เราเองจะห่วงใยซึ่งกันและกัน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 141:1-10

คำอธิษฐานขอทรงปกป้องจากความชั่ว

เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ ขอทรงรีบตอบข้าพระองค์
 ขอเงี่ยพระกรรณฟังเสียงข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์
2ขอให้คำอธิษฐานของข้าพระองค์เป็นเหมือนเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระองค์
 และการที่ข้าพระองค์ชูมือขึ้นอธิษฐานเป็นเหมือนของถวายเวลาเย็น
3ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์
 ขอทรงเฝ้าระวังประตูริมฝีปากของข้าพระองค์
4ขออย่าให้ใจข้าพระองค์เอนเอียงไปหาสิ่งชั่วใดๆ
 ที่จะทำการอธรรมต่างๆ
ร่วมกับคนที่ทำความชั่ว
 และขออย่าให้ข้าพระองค์กินของโอชะของพวกเขา
5ขอให้คนชอบธรรมตี
 และตักเตือนข้าพระองค์ด้วยความเมตตา
น้ำมันดีอย่างนั้น อย่าให้ศีรษะข้าพระองค์ปฏิเสธเลย
 เพราะข้าพระองค์ยังอธิษฐานต่อสู้ความอธรรมของเขาทั้งหลายอยู่
6บรรดาผู้พิพากษาของพวกเขาถูกโยนลงข้างหน้าผา
 และพวกเขาจะได้ยินถ้อยคำของข้าพระองค์ว่าเป็นถ้อยคำไพเราะ
7เหมือนหินโม่ที่แตกหักอยู่บนแผ่นดินฉันใด
 กระดูกของพวกเราก็กระจายที่ปากแดนคนตายฉันนั้น
8ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านายของข้าพระองค์ ดวงตาข้าพระองค์เพ่งไปยังพระองค์
 ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์ ขออย่าทรงให้ข้าพระองค์รับอันตราย
9ขอทรงป้องกันข้าพระองค์จากกับที่พวกเขาวางดักข้าพระองค์
 และจากบ่วงแร้วของผู้ทำความชั่ว
10ขอให้คนอธรรมตกลงไปด้วยกันในตาข่ายของตน
 แต่ขอให้ข้าพระองค์ผ่านพ้นไป

อรรถาธิบาย

ตักเตือนด้วยความเมตตา

มีอยู่หลายครั้งในชีวิตผมที่ถูกตักเตือนด้วยความเมตตา เป็นช่วงเวลาที่ไม่ง่ายเลยสักครั้ง แต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว ผมซาบซึ้งต่อพวกเขา กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า คำตักเตือนจากผู้ชอบธรรมด้วยความเมตตา เป็นเหมือน ‘น้ำมันดี' (ข้อ 5) เพราะว่าความปรารถนาของเขาไม่เพียงแค่บนศีรษะ แต่ทุกส่วนบนร่างกาย และชีวิตควรถวายเกียรติแด่พระเจ้า

  1. ชูมือของคุณขึ้น
    ‘ขอให้การที่ข้าพระองค์ชูมือขึ้นอธิษฐานเป็นเหมือนของถวายเวลาเย็น’ (ข้อ 2) การยกมือของคุณขึ้นต่อพระเจ้าเป็นสัญลักษณ์แห่งการที่คุณเปิดทั้งร่างกายของคุณต่อพระเจ้า

  2. ระแวดระวังริมฝีปากของคุณ
    ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอทรงเฝ้าระวังประตูริมฝีปากของข้าพระองค์’ (ข้อ 3) ผมมักจะอธิษฐานเช่นนี้ก่อนที่จะขึ้นบรรยายหรือเข้าร่วมประชุมใด ๆที่พระเจ้าจะทรงปกป้องผมจากการพูดที่ไม่เกิดประโยชน์ แต่ให้ถ้อยคำของผมหนุนใจและพระพรต่อผู้ฟัง

  3. ระมัดระวังใจของคุณ
    “ขออย่าให้ใจข้าพระองค์เอนเอียงไปหาสิ่งชั่วใด ๆ” (ข้อ 4ก) ความคิดของคุณจะเปลี่ยนเป็นการกระทำ การกระทำซ้ำ ๆ จะกลายเป็นนิสัย นิสัยของคุณจะกลายเป็นคุณลักษณะชีวิตของคุณ และคณลักษณะชีวิตของคุณจะกลายเป็นชีวิตของคุณ ทั้งหมดล้วนเริ่มต้นมาจากใจ

  4. จับตามอง
    ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้รู้ทุกสิ่ง ดวงตาข้าพระองค์เพ่งไปยังพระองค์’ (ข้อ 8ก) เราได้รับการเตือนให้ ‘จับตามองที่พระเยซู’ (ฮีบรู 12:2)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยกมือและเสียงขึ้นในการนมัสการ และจับจ้องที่พระองค์ ขอพระเจ้าปกป้องปากและริมฝีปาก และขอนำใจของข้าพระองค์ให้ออกห่างจากทางความชั่วร้าย
พันธสัญญาใหม่

วิวรณ์ 3:7-22

ถ้อยคำถึงคริสตจักรเมืองฟีลาเดลเฟีย

 7“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า
 ‘พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงสัตย์จริง
ผู้ทรงมีลูกกุญแจของดาวิด
 ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีใครปิดได้  ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีใครเปิดได้นั้น’ ตรัสดังนี้ว่า
 8“เรารู้จักความประพฤติของเจ้า นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ถือรักษาคำของเรา และไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา 9นี่แน่ะ เราจะเป็นเหตุให้พวกธรรมศาลาของซาตานที่กล่าวอ้างว่า พวกเขาเป็นยิวและไม่ได้เป็น แต่กลับโกหกนั้น เราจะทำให้พวกเขามากราบลงแทบเท้าของเจ้า และให้เขารู้ว่าเรารักเจ้า 10เพราะว่าเจ้าถือรักษาคำของเรา คือมีความทรหดอดทน เราจะเฝ้ารักษาเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งการทดลอง ซึ่งจะมาถึงคนทั่วทั้งโลกเพื่อจะทดลองคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก 11เราจะมาโดยเร็ว จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามี เพื่อจะไม่ให้ใครชิงเอามงกุฎของเจ้าไปได้ 12คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย 13ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ’

ถ้อยคำถึงคริสตจักรเมืองเลาดีเซีย

 14“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซียว่า ‘พระองค์ผู้เป็นพระอาเมน ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง และทรงเป็นต้นกำเนิดของสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น ตรัสดังนี้ว่า
 15“เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือว่าเจ้าไม่เย็นและไม่ร้อน เราอยากให้เจ้าเย็นหรือร้อน 16เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา 17เพราะเจ้าพูดว่า ‘ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย’ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย 18เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งมี และให้ซื้อเสื้อผ้าสีขาว เพื่อจะได้สวมให้พ้นจากความอับอายที่ต้องเปลือยกาย และซื้อยาหยอดตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้เห็น 19เรารักใครเราก็ตักเตือนและตีสอนเขา เพราะฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจใหม่ 20นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา 21คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระที่นั่งของพระองค์ 22ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณได้ตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ’ ”

อรรถาธิบาย

ตักเตือนด้วยความรัก

พระเยซูทรงรักคุณ เมื่อพระองค์อนุญาตให้คุณเผชิญกับไฟแห่งการตักเตือน การทดสอบ หรือการลงวินัย พระองค์ทำเช่นนั้นด้วยความรัก พระองค์ตรัสกับคริสตจักรในเมืองฟิลาเดเฟียว่า ‘ท่านคือผู้ที่เรารัก...เราจะเฝ้ารักษาท่านให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งการทดลอง’ (ข้อ 9–10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระองค์ตรัสกับคริสตจักรในเมืองเลาดีเซียว่า ‘เรารักใครเราก็ตักเตือนและตีสอนเขา’ (ข้อ 19) คุณควรตอบสนองอย่างไร?

  1. พยายามคว้าทุกโอกาส
    พระเยซูทรงบริสุทธิ์และสัตย์จริงและพระองค์ทรง ‘มีลูกกุญแจ… ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีใครปิดได้ ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีใครเปิดได้’ (ข้อ 7) ถ้าคุณไม่แน่ใจ ตัวอย่างเช่น ในเรื่องงานหรือความสัมพันธ์ ให้เราอธิษฐานทูลขอพระเจ้าให้ปิดทาง หากว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือเปิดทางให้หากว่าเป็นสิ่งที่ใช่

มีอย่างน้อย 2 โอกาสในชีวิตผมที่พระเจ้าทรงปิดประตูในสิ่งที่ผมปรารถนาอย่างมาก และผมเชื่อว่านั่นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมพยายามที่จะอธิษฐาน เพื่อให้ประตูเปิดออก แต่มันยังคงปิดอยู่ ผมผิดหวังมาก แต่หลายปีต่อมา ผมซาบซึ้งใจอย่างยิ่งและเข้าใจในตอนนี้แล้วว่า ทำไมพระองค์จึงทรงปิดประตูนั้น (อย่างไรก็ตาม ในมุมของฟ้าสวรรค์ ผมไม่แน่ใจว่าจะได้รู้หรือไม่ว่าทำไมพระเจ้าจึงปิดประตูบานอื่น ๆ อีกในชีวิตของผม)

พระวิญญาณฯ กล่าวต่อไปว่า ‘นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้’ (ข้อ 8) บางครั้งพระเจ้าวางประตูแห่งโอกาสไว้ต่อหน้าคุณ ถ้าพระองค์ทรงเป็นผู้เปิด จะไม่มีมนุษย์ใดสามารถปิดมันลงได้ คุณอาจตกอยู่ใต้การโจมตีอย่างหนัก แต่หากพระเยซูทรงเป็นผู้เปิดประตูให้ คุณมั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่

สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าให้รออยู่เฉย ๆ จนกว่าประตูจะเปิด เราต้องใช้ความเชื่อเป็นก้าวแรก คล้าย ๆ กับการที่เราเคลื่อนไปสู่ประตูอัตโนมัติ คุณต้องก้าวออกไปก่อนที่จะเห็นว่าประตูนั้นจะเปิดหรือไม่

คริสตจักรในเมืองฟิลาเดเฟียนี้มีกำลังเพียงน้อยนิด แต่ยังคงยึดมั่นในถ้อยคำของพระเยซู และไม่ปฏิเสธพระนามของพระองค์ (ข้อ 8) พวกเขามีความอดทนอย่างยิ่งและพระเยซูทรงสัญญาว่าจะปกป้องพวกเขาจากชั่วโมงแห่งการทดลอง (ข้อ 10)

พูดกันตามภาษามนุษย์แล้ว คริสตจักรนี้ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ แต่พระเยซูไม่ได้ทรงตำหนิพวกเขาใดๆ มุมมองของพระองค์มักแตกต่างจากเราอย่างมาก และความสัตย์ซื่อต่อพระองค์สำคัญยิ่งกว่าขนาดหรือความเข้มแข็งภายนอก

ข้อความของพระองค์นั้นเรียบง่าย ยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามี พระองค์สัญญาต่อผู้ที่มีชัยชนะว่า จะทรงตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้า พระนามของพระองค์จะถูกจารึกลงบนพวกเขา (ข้อ 12) อนาคตของคุณมั่นคงอย่างที่สุด

  1. เปิดใจของคุณต่อพระเยซู
    คำพูดที่รุนแรงที่สุดของพระเยซูนั้นถูกสงวนไว้ให้คริสตจักรในเมืองเลาดีเซีย (ข้อ 15–17) คริสตจักรในเมืองเลาดีเซียนั้นเหมือนกับคริสตจักรทางฝั่งตะวันตก ในระดับหนึ่งนั้น ‘ประสบความสำเร็จ’ เมืองเลาดีเซียโด่งดังเรื่องความร่ำรวยและอุตสาหกรรม แต่ในฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขากลับหยิ่งยโส ‘อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น’ ‘น่าสมเพช’ ‘น่าสังเวช’ ทั้งยัง ‘ยากจน ตาบอด และเปลือยกาย’(ข้อ 17) ผมพบว่าถ้อยคำเหล่านี้มีความท้าทายที่ลึกมาก

แต่ยังมีความหวังที่นี่ พวกเรายังคงได้รับความรักจากองค์พระผู้เป็นเจ้า (ข้อ 19) พระองค์ทรงเตือนเราให้แสวงหาทรัพย์สมบัติที่แท้จริง รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านไฟ เพื่อที่เราจะได้มั่งมีในฝ่ายจิตวิญญาณ (ข้อ 18ก) ทางเดียวที่จะปกปิดการเปลือยกายอย่างน่าสมเพชคือ การสวมเสื้อแห่งความชอบธรรม (ข้อ 18ข) เราต้องใช้ขี้ผึ้งของพระเจ้าทาบนดวงตาของเราเพื่อกำจัดความมืดบอดทางจิตวิญญาณ (ข้อ 18ค)

เมื่อเราผ่านไฟแห่งการชำระของพระเจ้านั้น นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการตีสอน (ข้อ 19) มันมีวัตถุประสงค์ พระองค์ต้องการให้เรา ‘กระตือรือร้นและกลับใจใหม่’ (ข้อ 19)

ในบริบทนี้เองที่ข้อพระคัมภีร์อันอัศจรรย์และโด่งดังนี้ได้ถูกพบเจอ ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา’ (ข้อ 20) การกินด้วยกันเป็นสัญญาณของมิตรภาพอันใกล้ชิดที่พระเยซูประทานให้แก่ทุกคนที่เปิดประตูชีวิตของเขาให้กับพระองค์

ด้ามจับประตูมีเพียงอันเดียวและมันอยู่ด้านในของประตู* ในอีกแง่หนึ่ง คุณต้องเปิดประตูเพื่อให้พระเยซูเข้ามาในหัวใจของคุณ พระเยซูไม่ได้บีบบังคับคุณ พระองค์ประทานเสรีภาพในการเลือกให้แก่คุณ ขึ้นอยู่กับคุณเองว่าจะเปิดประตูให้กับพระองค์หรือไม่ ถ้าคุณเปิด พระองค์ทรงสัญญาว่า ‘เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา’

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอกลับใจใหม่จากช่วงเวลาที่ข้าพระองค์เป็นแต่อุ่น ๆ ให้พระองค์แค่เพียงครึ่งใจ หลงระเริง และยากจนในจิตวิญญาณ ข้าพระองค์ปรารถนาความสัมพันธ์ที่ติดสนิทกับพระองค์ ขอทรงเข้ามา และเติมให้ข้าพระองค์วันนี้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
พันธสัญญาเดิม

เอสเธอร์ 2:19-5:14

โมรเดคัยพบแผนปองร้ายกษัตริย์

 19เมื่อเขารวบรวมหญิงพรหมจารีมาครั้งที่สอง โมรเดคัยกำลังนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง 20ส่วนพระนางเอสเธอร์นั้นไม่ได้ทรงให้ใครทราบถึงชาติกำเนิดของพระนางดังที่โมรเดคัยกำชับพระนางไว้ เพราะพระนางเอสเธอร์ทรงเชื่อฟังโมรเดคัยเหมือนเมื่อครั้งที่พระนางทรงอยู่ในความดูแลของท่าน 21ในครั้งนั้น เมื่อโมรเดคัยกำลังนั่งอยู่ที่ประตูพระราชวัง บิกธานและเทเรช ขันทีสองคนของกษัตริย์ ผู้เฝ้าธรณีประตูมีความโกรธและหาโอกาสลอบปลงพระชนม์กษัตริย์อาหสุเอรัส 22เรื่องนี้รู้ถึงโมรเดคัยและท่านก็ทูลพระราชินีเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์กราบทูลกษัตริย์ในนามของโมรเดคัย 23หลังจากสอบสวนเรื่องนี้ว่าเป็นความจริงแล้ว ก็ทรงให้แขวนคอสองคนนั้นเสียที่ตะแลงแกง และบันทึกเรื่องไว้ในหนังสือพงศาวดารเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์

เอสเธอร์ 3

ฮามานคิดทำลายพวกยิว

 1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ กษัตริย์อาหสุเอรัสทรงให้ฮามานบุตรฮัมเมดาธา คนอากักเป็นใหญ่ ทรงยกเขาขึ้นและทรงให้นั่งในตำแหน่งสูงกว่าเจ้านายทั้งปวงที่อยู่กับเขา 2มหาดเล็กทุกคนซึ่งอยู่ที่ประตูวังก็กราบลงแสดงความเคารพต่อฮามาน เพราะกษัตริย์ทรงบัญชาให้แสดงความเคารพต่อเขาเช่นนั้น แต่โมรเดคัยไม่ได้กราบหรือแสดงความเคารพ 3พวกมหาดเล็กซึ่งอยู่ที่ประตูพระราชวังจึงพูดกับโมรเดคัยว่า “ทำไมท่านละเมิดพระบัญชาของกษัตริย์?” 4ต่อมาเมื่อเขาทั้งหลายพูดกับท่านวันแล้ววันเล่า และท่านไม่ฟัง พวกเขาจึงไปเรียนฮามานเพื่อดูว่าถ้อยคำของโมรเดคัยจะชนะหรือไม่? เพราะท่านบอกพวกเขาว่าท่านเป็นยิว 5เมื่อฮามานเห็นว่าโมรเดคัยไม่กราบลงหรือแสดงความเคารพ ฮามานก็เดือดดาล 6แต่เห็นว่าเป็นการเสียเกียรติที่จะจับกุมโมรเดคัยคนเดียว เพราะพวกเขาแจ้งให้ทราบเรื่องชนชาติของโมรเดคัย ฮามานจึงหาทางทำลายคนยิวทั้งหมด คือชนชาติของโมรเดคัย ทั่วราชอาณาจักรของอาหสุเอรัส
 7ในเดือนแรกซึ่งเป็นเดือนนิสาน ปีที่สิบสองแห่งรัชกาลกษัตริย์อาหสุเอรัส เขาพากันทอดสลากต่อหน้าฮามานเพื่อหาวันหาเดือน เขาได้เดือนที่สิบสอง คือเดือนอาดาร์ 8แล้วฮามานทูลกษัตริย์อาหสุเอรัสว่า “มีชนชาติหนึ่งกระจายและแยกกันอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ ในทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ กฎหมายของพวกเขาต่างกับกฎหมายของชนชาติอื่นทั้งสิ้น และพวกเขาไม่รักษากฎหมายของกษัตริย์ การที่กษัตริย์ทรงปล่อยพวกเขาไว้เช่นนี้ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่พระองค์ 9ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอทรงออกกฤษฎีกาให้ทำลายล้างพวกเขาเสีย และข้าพระบาทจะถวายเงิน 10,000 ตะลันต์ใส่มือผู้ดูแลพระราชกิจเพื่อจะเก็บเข้าพระคลังหลวง” 10กษัตริย์จึงทรงถอดแหวนตราจากพระหัตถ์ ประทานแก่ฮามานบุตรฮัมเมดาธา คนอากัก ศัตรูของพวกยิว 11และตรัสกับฮามานว่า “เรามอบเงินนั้นและประชาชนนั้นแก่ท่าน เพื่อจะทำกับพวกเขาตามที่ท่านเห็นดี”
 12แล้วทรงเรียกราชอาลักษณ์เข้ามาในวันที่สิบสามเดือนที่หนึ่ง ให้เขียนกฤษฎีกาตามที่ฮามานบัญชาไว้ทุกประการ ส่งไปถึงสมุหเทศาภิบาลของกษัตริย์และถึงข้าหลวงประจำทุกมณฑล และถึงเจ้านายของชนทุกชาติ ทุกมณฑล เป็นตัวอักษรของชนทุกชาติตามภาษาของเขา เขียนในพระนามของกษัตริย์อาหสุเอรัส และประทับตราด้วยแหวนตราของกษัตริย์ 13ให้ผู้ถือสารนำจดหมายเหล่านี้ไปยังทุกมณฑลของกษัตริย์ สั่งให้ทำลาย สังหารและกวาดล้างคนยิวทั้งสิ้น ทั้งหนุ่มและแก่ ทั้งเด็กและผู้หญิงในวันเดียวกัน คือวันที่สิบสามเดือนสิบสองคือเดือนอาดาร์ และให้ริบเอาข้าวของของพวกเขาด้วย 14ให้ทำสำเนาเอกสารนั้นและออกเป็นกฤษฎีกาในทุกมณฑล นำไปป่าวร้องให้ชนทุกชาติเตรียมพร้อมเพื่อวันนั้น 15ผู้ถือสารก็รีบไปตามรับสั่งของกษัตริย์ ส่วนกฤษฎีกานั้นก็ออกใช้ในสุสาเมืองป้อม กษัตริย์ก็ประทับและทรงดื่มกับฮามาน ขณะที่เมืองสุสาสับสนวุ่นวาย

เอสเธอร์ 4

พระนางเอสเธอร์ทรงเห็นชอบที่จะช่วยพวกยิว

 1เมื่อโมรเดคัยทราบทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว โมรเดคัยก็ฉีกเสื้อผ้าของตน สวมผ้ากระสอบและซัดขี้เถ้าใส่ศีรษะของตน และออกไปร้องไห้เสียงดังอย่างขมขื่นที่กลางเมือง 2ท่านขึ้นไปอยู่ตรงทางเข้าประตูพระราชวัง เพราะผู้ที่สวมผ้ากระสอบจะเข้าประตูพระราชวังไม่ได้ 3และในทุกมณฑลที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์ไปถึง ก็มีความเศร้าโศกอย่างยิ่งท่ามกลางพวกยิว และมีการอดอาหาร การร้องไห้และคร่ำครวญ อีกทั้งหลายคนนอนบนผ้ากระสอบและขี้เถ้า
 4เมื่อนางกำนัลและขันทีของพระนางเอสเธอร์มาทูลพระนาง พระราชินีก็ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก พระนางทรงส่งเสื้อผ้าไปให้แก่โมรเดคัย เพื่อท่านจะได้ถอดผ้ากระสอบออกเสีย แต่ท่านไม่ยอมรับผ้านั้น 5แล้วพระนางเอสเธอร์มีรับสั่งเรียกฮาธาค (ขันทีคนหนึ่งของกษัตริย์ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ปรนนิบัติพระนาง) ให้ไปหาโมรเดคัยเพื่อจะทรงทราบว่า เกิดเรื่องอะไร และทำไมทำอย่างนั้น 6ฮาธาคก็ออกไปหาโมรเดคัยที่ลานกว้างในเมือง หน้าประตูพระราชวัง 7โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดกับท่าน และจำนวนเงินที่ฮามานได้สัญญาถวายเข้าพระคลังหลวงเพื่อทำลายพวกยิว 8โมรเดคัยยังได้ให้สำเนาบันทึกกฤษฎีกาที่ออกในสุสา สั่งให้ทำลายพวกเขา เพื่อให้ฮาธาคนำไปแสดงต่อพระนางเอสเธอร์ และอธิบายเรื่องราวต่อพระนาง พร้อมกับกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อชนชาติของพระนาง 9ฮาธาคก็กลับไปทูลพระนางเอสเธอร์ ถึงสิ่งที่โมรเดคัยได้บอกนั้น 10แล้วพระนางเอสเธอร์ก็รับสั่งฮาธาคให้ส่งข่าวถึงโมรเดคัยว่า 11“ข้าราชการทั้งสิ้นของกษัตริย์ และประชาชนในมณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยไม่ได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด คือให้ลงโทษถึงตาย เว้นแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นพระคทาสุวรรณออกรับ คนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันเอง กษัตริย์ก็ไม่ได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว” 12เขาทั้งหลายก็มาบอกโมรเดคัยถึงสิ่งที่พระนางเอสเธอร์ตรัสนั้น 13โมรเดคัยจึงบอกเขาให้กลับไปทูลตอบพระนางเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดว่าเธออยู่ในพระราชวังแล้วจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่นๆ 14เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้” 15แล้วเอสเธอร์ตรัสกับเขาให้ไปบอกโมรเดคัยว่า 16“ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทานและอย่าดื่มเป็นเวลาสามวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้ากษัตริย์แม้ว่าเป็นการฝืนกฎ ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” 17โมรเดคัยก็ไปทำทุกอย่างตามที่พระนางเอสเธอร์รับสั่งแก่ท่าน

เอสเธอร์ 5

พระนางเอสเธอร์ทรงจัดงานเลี้ยง

 1เมื่อถึงวันที่สาม พระนางเอสเธอร์ก็ทรงเครื่องทรงราชินี และทรงยืนในลานชั้นในของพระราชวังตรงข้ามกับท้องพระโรง กษัตริย์ประทับบนราชบัลลังก์ภายในพระราชสำนักตรงข้ามทางเข้าพระราชวัง 2เมื่อกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ในพระลาน พระนางเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ กษัตริย์จึงยื่นพระคทาสุวรรณซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แก่พระนางเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์ก็เสด็จเข้ามาแตะยอดพระคทา 3กษัตริย์ตรัสกับพระนางว่า “ราชินีเอสเธอร์ มีเรื่องอะไรหรือ? เธอต้องการอะไร? ก็จะให้เธอได้ถึงครึ่งราชอาณาจักร” 4และพระนางเอสเธอร์ทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอกษัตริย์เสด็จมาพร้อมกับฮามานในวันนี้ เพื่อเสวยอาหารที่หม่อมฉันเตรียมไว้ถวายพระองค์ท่าน” 5กษัตริย์จึงตรัสว่า “จงรีบไปพาฮามานมา เพื่อจะได้ทำตามที่พระนางเอสเธอร์ปรารถนา” กษัตริย์จึงเสด็จไปในงานเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์พร้อมกับฮามาน 6ขณะเสวยเหล้าองุ่นอยู่ กษัตริย์ตรัสกับพระนางเอสเธอร์ว่า “เธอจะร้องขออะไร? เราจะให้ เธอจะทูลขออะไร? แม้ถึงครึ่งราชอาณาจักรก็จะได้” 7พระนางเอสเธอร์ทูลว่า “คำร้องขอของหม่อมฉันและคำทูลขอของหม่อมฉัน 8คือถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ และเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ที่จะประทานตามคำร้องขอของหม่อมฉัน และทรงทำตามคำทูลขอของหม่อมฉัน พรุ่งนี้ขอกษัตริย์เสด็จมายังงานเลี้ยงของหม่อมฉันพร้อมกับฮามาน และหม่อมฉันจะทำตามที่กษัตริย์ตรัสนั้น”

ฮามานวางแผนแขวนคอโมรเดคัย

 9วันนั้นฮามานก็ออกไปด้วยใจชื่นบานและยินดี แต่เมื่อฮามานเห็นโมรเดคัยที่ประตูพระราชวังไม่ยืนขึ้นหรือตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็โกรธแค้นโมรเดคัย 10ถึงกระนั้นก็ดี ฮามานก็อดกลั้นไว้ กลับไปบ้าน ใช้คนไปตามเพื่อนๆ และเศเรชภรรยาของตน 11แล้วฮามานก็เล่าถึงความมั่งมี จำนวนบุตร และเกียรติยศต่างๆ ซึ่งกษัตริย์ประทานแก่ตน และเล่าถึงเรื่องที่กษัตริย์ได้เลื่อนเขาขึ้นเหนือเจ้านายและข้าราชสำนักอย่างไร 12แล้วฮามานกล่าวเสริมว่า “แม้พระราชินีเอสเธอร์ก็ไม่ได้ทรงให้ผู้ใดตามเสด็จกษัตริย์ไปในงานเลี้ยงซึ่งพระนางทรงจัดขึ้น นอกจากตัวข้า และพรุ่งนี้พระนางทรงเชิญข้ากับกษัตริย์อีก 13แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่เป็นประโยชน์แก่ข้า ตราบที่ข้าเห็นโมรเดคัยคนยิวนั่งอยู่ที่ประตูของพระราชวัง” 14เศเรชภรรยาของเขา และเพื่อนๆ ทุกคนจึงพูดกับเขาว่า “ขอทำตะแลงแกงสูงยี่สิบสองเมตร รุ่งเช้าก็ทูลกษัตริย์ให้แขวนคอโมรเดคัยเสียที่นั่น แล้วก็ไปกินเลี้ยงอย่างร่าเริงกับกษัตริย์” คำแนะนำนี้ถูกใจฮามาน เขาจึงสั่งให้ทำตะแลงแกงนั้น

อรรถาธิบาย

ตักเตือนด้วยปัญญา

พ่อของผมเป็นชาวยิว และครอบครัวชาวยิวจำนวนมากได้ล้มตายไปในค่ายกักกันช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

แต่การต่อต้านชาวยิวไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ในพระธรรมเอสเธอร์นั้น เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เราได้อ่านเรื่องการต่อต้านชาวยิว เอสเธอร์ต้องเก็บความเป็นมาของเธอไว้เป็นความลับ(2:20) ฮามานต้องการจะ ‘ทำลายและสังหารชาวยิวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ ทั้งผู้หญิงและเด็ก ในวันเดียว ..และให้ริบเอาข้าวของของพวกเขาด้วย’ (3:13)

การตอบสนองของโมรเดคัยนั้นคือ ฉีกเสื้อผ้า นุ่งห่มผ้ากระสอบและขี้เถ้า ร้องคร่ำครวญเสียงดังอย่างดังอย่างขมขื่น (4:1) เขาได้ร้องหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือได้อย่างสัมฤทธิ์ผล

โมรเดคัยระลึกได้ว่า เอสเธอร์บุตรสาวบุญธรรมของเขาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เอสเธอร์ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในสถานการณ์ของเธอ และเป็นเรื่องยากลำบากขนาดไหนสำหรับเธอที่จะยื่นมือมาช่วย (ข้อ 9-11)

การตอบสนองของโมรเดคัยเป็นผลของการตักเตือนอย่างมีปัญญาจากผู้เป็นพ่อ ‘อย่าคิดว่าเธออยู่ในพระราชวังแล้วจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่น ๆ เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้’ (ข้อ 13-14)

เอสเธอร์ระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงวางเธอไว้ในตำแหน่งนี้เพราะทรงมีวัตถุประสงค์ คุณก็เช่นกัน ผู้คนจำนวนมากกำลังเผชิญปัญหาในชีวิตอย่างไร้ความหมายหรือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในชีวิต โดยพยายามไขว่คว้าตามสิ่งที่ตัวเองวางแผนไว้ และไม่ได้ตระหนักว่าพระประสงค์ของเจ้าดียิ่งกว่านั้นนัก คุณมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ก็เพื่อให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในคนรุ่นนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใด จงเชื่อว่า คุณอยู่ที่นั่น ‘เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้

เอสเธอร์ฟังถ้อยคำแห่งสติปัญญาของโมรเดคัย เธอขอให้ประชาชนอดอาหารอธิษฐานเผื่อเธอและพูดว่า ‘ฉันจะเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้ว่าเป็นการฝ่าฝืน ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ’ (ข้อ 16) เรื่องนี้มีความเสี่ยง เรามีเพียงชีวิตเดียว เราต้องเสี่ยงดู ถ้าเราพินาศ เราก็พินาศ แต่การรับเอาความเสี่ยงก็ดีกว่าการไม่ลองทำอะไรเลย ขอให้เราเป็นดั่งเอสเธอร์ ที่พึ่งพาพระเจ้าอย่างที่สุด และเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตของเรา เพื่อรักษาชีวิตของผู้อื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ฟังการตักเตือนด้วยปัญญา และด้วยเมตตา เมื่อข้าพระองค์กำลังผ่านไฟแห่งการชำระ ขอทรงชำระใจข้าพระองค์ให้บริสุทธิ์ ให้ข้าพระองค์รักพระองค์เต็มล้นมากขึ้น และคว้าทุกโอกาสในชีวิตที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

เอสเธอร์ 2:19 – 5: 14

เอสเธอร์ไม่ใช่แค่ผู้หญิงมีดีแต่หน้าตา เธอคือคนที่อยู่ถูกที่และเต็มใจที่จะกล้ายืนต่อต้านความอยุติธรรม เธอไม่ได้ทำมันคนเดียวและเธอไม่ได้รีบร้อน เธออธิษฐาน วางแผน และทำให้มันเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสม เธอใช้ส่วนผสมของความกล้าหาญ ความเชื่อ และทักษะ

มีโอกาสอะไรบ้างไหมที่คุณจะยืนขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรม?

ข้อพระคำประจำวัน

วิวรณ์ 3:20

‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม