คุณจะสร้างความแตกต่างได้อย่างไร
เกริ่นนำ
ในการสัมภาษณ์ของนิตยสาร ไทม์ นักศาสนศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวสวิส คาร์ล บาร์ธ เล่าว่า เขาได้แนะนำนักศาสนศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ ให้ ‘นำพระคัมภีร์กับหนังสือพิมพ์ไปด้วยกัน และอ่านทั้งสองอย่าง แต่ให้ตีความหนังสือพิมพ์จากพระคัมภีร์’
เมื่อเราอ่าน ดูหรือฟังข่าว มันทำให้เราหดหู่ลงได้อย่างง่ายดาย บางครั้งดูเหมือนว่าความชั่วร้ายกำลังมีชัยชนะเหนือสิ่งที่ดี แผนการณ์ของ ‘คนชั่ว’ ดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องได้รับผลแห่งการถูกทำลายจากกลุ่มก่อการร้าย สงคราม ความยากจน และความอยุติธรรม
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องได้ยินเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และฟังพระวจนะของพระเจ้า เพราะเมื่อเราศึกษาพระคำพระเจ้า เราได้เห็นว่าความดีมีชัยชนะเหนือความชั่วร้าย ในแต่ละบทของวันนี้ เราจะได้เห็นว่าที่สุดแล้วความชั่วจะไม่ได้ชนะครั้งสุดท้าย ในท้ายที่สุด ความดีจะชนะความชั่ว ยิ่งไปกว่านั้น คุณสามารถที่จะสร้างความแตกต่างได้ในการปล้ำสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว
สดุดี 140:6-13
6ข้าพเจ้าทูลพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังเสียงวิงวอนของข้าพระองค์
7ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ผู้ทรงเป็นกำลังแห่งความรอดของข้าพระองค์
พระองค์ทรงกำบังศีรษะข้าพระองค์ไว้ในยามศึก
8ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงให้คนอธรรมสมปรารถนา
ขออย่าทรงให้แผนร้ายของเขาคืบหน้า เกรงว่าเขาจะยกตัวขึ้น
เส-ลาห์
9“ขอให้ศีรษะของคนที่ล้อมข้าพระองค์
คลุมด้วยความทุกข์ร้อนที่มาจากริมฝีปากของพวกเขาเอง
10ขอให้ถ่านที่ลุกโพลงตกบนพวกเขา
ขอให้เขาถูกทิ้งลงในไฟ ลงในบ่อลึก ขึ้นมาไม่ได้อีกเลย
11ขออย่าให้คนที่ใส่ร้ายคนอื่นอยู่อย่างมั่นคงในแผ่นดิน
ขอให้ความเลวร้ายไล่ล่าคนทารุณอย่างรวดเร็ว”
12ข้าพระองค์ทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ทุกข์ยาก
และทรงให้ความยุติธรรมแก่คนขัดสน
13แน่ทีเดียวที่คนชอบธรรมจะยกย่องพระนามของพระองค์
คนเที่ยงธรรมจะอาศัยอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
อรรถาธิบาย
ร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อให้ความดีมีชัยชนะ
ในโลกที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรมต่อคนยากจนและคนขัดสน พระเจ้าจะทรงผดุงความยุติธรรมเพื่อคนยากจนและให้การสนับสนุนคนขัดสน เรารู้ว่าในที่สุดผู้ชอบธรรมจะสรรเสริญพระนามของพระเจ้าและคนเที่ยงตรงจะได้ใช้ชีวิตต่อหน้าพระองค์ตลอดไป (ข้อ 12-13)
กษัตริย์ดาวิดถูกแวดล้อมไปด้วย ‘ผู้สร้างปัญหา’ (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พวกเขาเป็น ‘คนที่ใส่ร้าย’ และเป็นประชากรแห่งความรุนแรง (ข้อ 11) ทั้งกรณีพิพาททางกายภาพและคำพูด ซึ่งทั้งคู่ก่อให้เกิดการเสียหายพอ ๆกัน ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ดาวิดร้องหาพระเจ้าว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงให้คนอธรรมสมปรารถนา’ (ข้อ 8)
ดาวิดจบพระธรรมสดุดีด้วยข้อความแห่งความไว้วางใจ ‘ข้าพระองค์ทราบว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ทุกข์ยาก และทรงให้ความยุติธรรมแก่คนขัดสน แน่ทีเดียวที่คนชอบธรรมจะยกย่องพระนามของพระองค์ คนเที่ยงธรรมจะอาศัยอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์’ (ข้อ 12-13 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
วิวรณ์ 2:18-3:6
ถ้อยคำถึงคริสตจักรเมืองธิยาทิรา
18“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองธิยาทิราว่า ‘พระองค์ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงมีพระเนตรเหมือนอย่างเปลวไฟ และทรงมีพระบาทเหมือนทองสัมฤทธิ์ ได้ตรัสดังนี้ว่า
19“เรารู้จักความประพฤติของเจ้า รู้เรื่องความรัก ความเชื่อ การปรนนิบัติ และความทรหดอดทนของเจ้า และรู้ว่าความประพฤติในตอนปลายนั้นดีกว่าตอนต้น 20แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือเจ้าทนฟังเยเซเบล ผู้หญิงที่อ้างตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ นางสอนและล่อลวงบรรดาผู้รับใช้ของเราให้ล่วงประเวณีและกินอาหารที่บูชารูปเคารพ 21เราให้โอกาสนางเพื่อจะได้กลับใจใหม่ แต่นางก็ไม่ประสงค์จะกลับใจจากการล่วงประเวณี 22นี่แน่ะ เราจะโยนนางไว้บนเตียงคนไข้ และโยนพวกที่ล่วงประเวณีกับนางไว้ในความยากลำบากยิ่งใหญ่ นอกจากว่าพวกเขาจะกลับใจจากการประพฤติชั่วของนาง 23เราจะประหารลูกๆ ของนางให้ตาย แล้วคริสตจักรทั้งหมดจะได้รู้ว่าเราเป็นผู้ตรวจสอบความคิดและจิตใจ และเราจะให้กับเจ้าทั้งหลายแต่ละคนตามความประพฤติของพวกเจ้า 24สำหรับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในเมืองธิยาทิราที่ไม่ถือคำสอนนี้ และไม่รู้จักสิ่งที่เขาเรียกว่าความล้ำลึกของซาตาน เราขอบอกว่าเราจะไม่มอบภาระอื่นแก่พวกเจ้า 25ถึงอย่างไรก็ดี จงยึดมั่นสิ่งที่มีอยู่จนกว่าเราจะมา 26และคนที่ชนะและปฏิบัติงานของเราจนถึงที่สุด
เราจะประทานสิทธิอำนาจเหนือบรรดาประชาชาติกับเขา
27และเขาจะปกครองดูแลคนทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก
เหมือนอย่างหม้อกระเบื้องที่ถูกตีแตกเป็นเสี่ยงๆ
28เหมือนอย่างที่เราได้รับอำนาจจากพระบิดาของเราแล้ว และเราจะมอบดาวประจำรุ่งให้กับเขาด้วย 29ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย”
วิวรณ์ 3
ถ้อยคำถึงคริสตจักรเมืองซาร์ดิส
1“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาวเจ็ดดวงนั้น ตรัสดังนี้ว่า “เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว 2เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า 3เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน 4แต่เจ้าก็ยังมีสองสามคนในเมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนเป็นมลทิน และพวกเขาจะดำเนินไปกับเราในชุดสีขาว เพราะว่าเขาเป็นคนที่คู่ควร 5เช่นเดียวกัน คนที่ชนะก็จะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อของเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อของเขาเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ 6ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ’ ”
อรรถาธิบาย
เป็นคนที่จะเอาชนะความชั่วด้วยความดี
ดังที่เราจะได้อ่านต่อไปในถ้อยคำของพระเยซูต่อคริสตจักรทั้ง 7 เราเห็นว่าการสู้รบกันของความดีและความชั่วร้ายไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคริสตจักรและโลกนี้เท่านั้น แต่เกิดขึ้นภายในคริสตจักรเองด้วยพระเยซูทรงประทานพระสัญญาอย่างวิเศษและยอดเยี่ยมแก่ผู้ที่ชนะความชั่วได้:
- ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ คริสตจักรในเมืองธิยาทิราได้รับการเชิดชูในเรื่องของความรัก ความเชื่อ การรับใช้ ความมุมานะ และการจำเริญขึ้นในแต่ละคน ‘เรารู้จักความประพฤติของเจ้า รู้เรื่องความรัก ความเชื่อ การปรนนิบัติ และความทรหดอดทนของเจ้า และรู้ว่าความประพฤติตอนปลายนั้นดีกว่าตอนต้น’ (2:19)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงท้าทายคริสตจักรในเรื่อง ‘ความทรหดอดทน’ วันนี้ คำว่า ‘ความทรหดอดทน’ ทุกวันนี้ คำว่า 'ความทรหดอดทน' ถือได้ว่าเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งที่เห็นได้เฉพาะในแง่บวกเท่านั้น ความทรหดอดทนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างมาก แต่ความอดทนก็มีขีดจำกัดและความอดทนบางรูปแบบก็ไม่ดี
พระเยซูทรงวิจารณ์คริสตจักรในเมืองธิยาทิราในเรื่องความอดทนกับการล่วงประเวณีในคริสตจักร ‘เจ้าทนฟังเยเซเบล ผู้หญิงที่อ้างตัวเป็นผู้เผยพระวจนะ นางสอนและล่อลวงบรรดาผู้รับใช้ของเราให้ล่วงประเวณีและกินอาหารที่บูชารูปเคารพ เราให้โอกาสนางเพื่อจะได้กลับใจใหม่ แต่นางก็ไม่ประสงค์จะกลับใจจากการล่วงประเวณี’ (ข้อ 20-21)
เราอยู่ในวัฒนธรรมแห่งความเต็มอิ่มทางเพศ เราได้รับการส่งเสริมและคาดหวังให้มีความตื่นตัวทางเพศ และแสวงหา ‘การเติมเต็มทางเพศ’ พระคัมภีร์มีมุมมองที่สูงในเรื่องเพศ ซึ่งมีความยินดีและส่งเสริมเรื่องนี้ในบริบทที่ถูกต้อง คือใน ชีวิตแต่งงาน แต่ในด้านอื่น ๆ ทั้งการติดตามสื่อลามกอนาจารและความสำส่อนนั้นเป็นสิ่งบ่อนทำลายและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เราไม่รู้ว่าการล่วงประเวณีของเยเซเบลนั้นคืออะไร แต่ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เป็นสิ่งเตือนใจเราถึงเรื่องความบริสุทธิ์ทางเพศ
พระเยซูทรงเตือนว่าถ้าไม่กลับใจจากทางของเยเซเบล หายนะจะมาถึง (ข้อ 22ข) พระบุตรของพระเจ้า ‘ผู้ทรงมีพระเนตรดั่งเปลวไฟและทรงมีพระบาทเหมือนทองสัมฤทธิ์’ (ข้อ 18) ‘ตรวจสอบความคิดและจิตใจ’ จะตอบแทนแต่ละคนตามความประพฤติของพวกเขา (ข้อ 23)
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยคำแห่งการประนาม เพราะมีการเรียกให้ ‘กลับใจใหม่’ แท้จริงแล้ว แม้แต่เยเซเบลเองก็ได้รับโอกาสในการกลับใจใหม่ (ข้อ 21) เมื่อเราได้ทำบาปทางเพศ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอว่า เราสามารถได้รับการอภัยบาป การตอบสนองของเราต่อพระธรรมเช่นนี้ ไม่ควรเป็นการสิ้นหวัง แต่ด้วยการกลับใจใหม่ และสำนึกในพระคุณ
คริสตจักรถูกเรียกให้บริสุทธิ์ พระเยซูทรงสัญญาว่า ‘คนที่ชนะและปฏิบัติงานของเราจนถึงที่สุด เราจะประทานสิทธิอำนาจเหนือบรรดาประชาชาติกับเขา เหมือนอย่างที่เราได้รับอำนาจจากพระบิดาของเรา’ (ข้อ 26–27) พระเยซูจะทรงแบ่งปันสิทธิอำนาจของพระองค์กับคนสัตย์ซื่อที่มีชัยชนะ
คุณได้รับส่วนแบ่งในพระสิริของพระองค์อีกด้วย ‘เราจะมอบดาวประจำรุ่งให้กับเขาด้วย’ (ข้อ 28) ถ้าคุณหันหลังให้กับความมืดดำแห่งความบาป คุณจะพบแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าบนพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าการต่อสู้ในการสู้รบเพื่อความบริสุทธิ์นี้จะหนักหนาสาหัสสักเพียงใด วันหนึ่ง ด้วยพระเยซูผู้เป็นดาวประจำรุ่ง คุณจะมีความอิ่มเอิบใจอย่างแน่นอนและตลอดไป
- เป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ
ความบริสุทธิ์ไม่ได้หมายความว่าต้องสมบูรณ์แบบ แต่หมายถึง การดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ ซึ่งตรงข้ามกับความหน้าซื่อใจคด นั่นหมายถึง เป็นตัวจริง ซื่อสัตย์ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
คริสตจักรในเมืองซาร์ดิสมีชื่อเสียงในด้านความมีชีวิตชีวา แต่ความเป็นจริงพวกเขาตายแล้ว (3:1) ดูเหมือนตื่นตัว ฟังดูเหมือนเป็นคริสตจักรที่น่าไป แต่กลับเป็นความหลงระเริง พระเยซูทรงเรียกพวกเขาให้กลับใจ ‘จงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่’ (ข้อ 3) ‘เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น’ พระองค์ทรงเตือน ‘เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน’ (ข้อ 3ข) พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับพระกิตติคุณและได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็ได้เผาตัวเองด้วยความวุ่นวายต่าง ๆของชีวิตมากกว่าการแสวงหาพระเจ้า “ไม่พบความครบสมบูรณ์ใด ๆในงานของพระเจ้า” (ข้อ 3, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) พระคัมภีร์เวอร์ชั่น The Message เตือนให้เรา ‘ระลึกว่าเจ้าได้รับอะไรและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่ คว้ามันขึ้นมาอีกครั้งและหันกลับมาหาพระเจ้า’ (ข้อ 3)
ประเด็นของเมืองซาร์ดิสคือ หน้าซื่อใจคดและเสแสร้ง การทรงเรียกต่อพวกเขา คือให้อยู่กับความเป็นจริงและเป็นตัวเอง มีบางคนในคริสตจักรที่ ‘ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนเป็นมลทิน’ (ข้อ 4ก) ‘พวกเขาจะดำเนินไปกับเราในชุดสีขาว เพราะว่าเขาเป็นคนที่คู่ควร’ (ข้อ 4ข)
อีกครั้งที่พระเยซูทรงทำพันธสัญญาอัศจรรย์กับผู้ที่มีชัยชนะ ‘คนที่ชนะก็จะสวมเสื้อสีขาว เราจะไม่ลบชื่อของเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิต แต่จะรับรองชื่อของเขาเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราและทูตสวรรค์ของพระองค์’ (ข้อ 5)
คำอธิษฐาน
เอสเธอร์ 1:1-2:18
กษัตริย์อาหสุเอรัสทรงถอดพระราชินีวัชทีออกจากตำแหน่ง
1อยู่มาในรัชสมัยของอาหสุเอรัส คืออาหสุเอรัสผู้ทรงครอบครอง 127 มณฑล ตั้งแต่อินเดียถึงคูช 2ในเวลานั้น เมื่อกษัตริย์อาหสุเอรัสประทับบนราชบัลลังก์ในสุสาเมืองป้อม 3ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ประทานการเลี้ยงแก่เจ้านายและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ นายทัพนายกองแห่งเปอร์เซียและมีเดีย ขุนนางและผู้ว่าราชการมณฑลต่างๆ เฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 4ในขณะที่พระองค์ทรงแสดงราชสมบัติอันรุ่งเรืองของพระองค์ ทั้งความโอ่อ่าตระการอันรุ่งโรจน์ของพระองค์อยู่หลายวัน คือถึง 180 วัน 5เมื่อวันเหล่านี้สิ้นสุดลงแล้ว กษัตริย์ก็ประทานการเลี้ยงแก่ประชาชนทุกคน ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยที่อยู่ในสุสาเมืองป้อม เป็นเวลาเจ็ดวันในลานพระราชอุทยานของพระราชวัง 6มีผ้าม่านทำด้วยผ้าฝ้ายสีขาวและสีฟ้า โยงด้วยเชือกป่านสีม่วงที่คล้องเข้ากับห่วงเงินบนเสาหินอ่อน อีกทั้งมีเตียงทำด้วยทองคำและเงินบนพื้นลาดปูนฝังหินแดง หินอ่อน มุกดาและหินสีต่างๆ 7เครื่องดื่มก็ใส่ถ้วยทองคำหลายแบบส่งให้ดื่ม และเหล้าองุ่นของราชสำนักก็มีเหลือเฟือตามพระทัยกว้างขวางของกษัตริย์ 8การดื่มก็ทำกันตามพระบัญชาโดยไม่มีการยับยั้ง เพราะกษัตริย์มีรับสั่งไปยังข้าราชสำนักทุกคนว่า ให้ทำตามความพอใจของแต่ละคน 9ส่วนพระราชินีวัชทีก็ประทานการเลี้ยงแก่สตรี ที่ราชสำนักของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย
10ในวันที่เจ็ด เมื่อพระทัยของกษัตริย์รื่นเริงด้วยเหล้าองุ่น พระองค์ทรงบัญชาเมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์และคารคาส ขันทีทั้งเจ็ดผู้ปรนนิบัติกษัตริย์อาหสุเอรัส 11ให้ไปทูลเชิญพระราชินีวัชทีทรงมงกุฎเสด็จเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อจะให้ประชาชนและเจ้านายได้ชมพระสิริโฉม เพราะพระนางทรงงามยิ่งนัก 12แต่พระนางวัชทีทรงปฏิเสธไม่มาตามพระบัญชาของกษัตริย์ที่รับสั่งไปกับขันที เมื่อเป็นเช่นนี้กษัตริย์ก็ทรงเดือดดาล และพระพิโรธของพระองค์ก็ระอุอยู่ภายใน
13แล้วกษัตริย์จึงตรัสหารือกับพวกนักปราชญ์ ผู้ซึ่งรู้ระเบียบแบบแผน (เพราะนี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของกษัตริย์ต่อบรรดาผู้เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายและการพิพากษา 14อันได้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์คือ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน เจ้านายทั้งเจ็ดแห่งเปอร์เซียและมีเดีย ผู้สามารถเข้าเฝ้ากษัตริย์ และมีตำแหน่งสูงในราชอาณาจักร) 15ว่า “จะต้องทำอย่างไรต่อพระราชินีวัชทีตามกฎหมาย? เพราะพระนางขัดขืนพระบัญชาของกษัตริย์อาหสุเอรัส ซึ่งรับสั่งไปกับขันที” 16เมมูคานจึงทูลต่อพระพักตร์กษัตริย์และต่อหน้าเจ้านายทั้งหลายว่า “พระราชินีทรงทำผิดไม่ใช่ต่อกษัตริย์เท่านั้น แต่ต่อเจ้านายทั้งหมดและต่อประชาชนทุกคนผู้อยู่ในมณฑลทั้งสิ้นของกษัตริย์อาหสุเอรัสด้วย 17เพราะการกระทำของพระราชินีจะรู้ไปถึงสตรีทุกคน ทำให้พวกนางดูหมิ่นสามีของตนเอง โดยพูดว่า ‘กษัตริย์อาหสุเอรัสมีพระบัญชาให้นำพระราชินีวัชทีมาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ แต่พระนางไม่เสด็จมา’ 18ในวันนี้ นายผู้หญิงแห่งเปอร์เซียและมีเดียซึ่งได้ยินเรื่องการกระทำของพระราชินี ก็จะเล่าให้เจ้านายทั้งปวงของกษัตริย์ฟัง และจะเกิดการดูหมิ่นและความโกรธมากมาย 19ฉะนั้น ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอให้มีพระราชโองการจากพระองค์ และให้บันทึกไว้ในกฎหมายของคนเปอร์เซียและคนมีเดีย อย่างที่จะเพิกถอนไม่ได้ว่า พระนางวัชทีจะเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสอีกไม่ได้ และขอให้กษัตริย์ประทานตำแหน่งราชินีแก่ผู้อื่นที่ดีกว่าพระนาง 20ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาทั่วพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ของพระองค์ สตรีทั้งปวงจะต้องให้เกียรติสามีของตน ไม่ว่าเขาจะมีฐานะสูงหรือต่ำ” 21คำทูลนี้เป็นที่พอพระทัยกษัตริย์และถูกใจเจ้านาย กษัตริย์จึงทรงทำตามที่เมมูคานทูลเสนอ 22พระองค์ทรงส่งพระราชสารไปทั่วทุกมณฑลของพระองค์ ถึงแต่ละมณฑลตามอักษรของมณฑลนั้น และถึงประชาชนทุกชาติตามภาษาของเขา ให้ชายทุกคนเป็นเจ้าเป็นนายในบ้านของตนและพูดตามภาษาชนชาติของตน
เอสเธอร์ 2
เอสเธอร์ได้เป็นพระราชินี
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ เมื่อพระพิโรธของกษัตริย์อาหสุเอรัสสงบลง พระองค์ทรงระลึกถึงวัชทีและสิ่งที่นางทำ อีกทั้งกฤษฎีกาที่พระองค์ทรงออกเกี่ยวกับเรื่องนาง 2ข้าราชการของกษัตริย์ผู้ปรนนิบัติพระองค์จึงทูลว่า “ขอทรงให้เสาะหาหญิงสาวพรหมจารีที่งดงามมาถวายกษัตริย์ 3และขอกษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ในทุกมณฑลแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ ให้รวบรวมหญิงสาวพรหมจารีที่งดงามทุกคนมายังฮาเร็มในสุสาเมืองป้อม ให้อยู่ในอารักขาของเฮกัย ขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลสตรี และขอประทานเครื่องสำอางแก่พวกนาง 4และขอให้หญิงสาวผู้ที่กษัตริย์พอพระทัย ได้เป็นพระราชินีแทนวัชที” คำทูลนี้พอพระทัยกษัตริย์ พระองค์จึงทรงทำตามนั้น
5ยังมียิวคนหนึ่งในสุสาเมืองป้อม ชื่อโมรเดคัย บุตรยาอีร์ ผู้เป็นบุตรชิเมอี ผู้เป็นบุตรคีช คนเบนยามิน 6คือคีช ผู้ถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนกวาดต้อนจากเยรูซาเล็มไปพร้อมกับเชลยและเยโคนิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ 7ท่านได้เลี้ยงดูฮาดาชาห์คือ เอสเธอร์ บุตรหญิงของลุงของท่านเพราะเธอไม่มีบิดามารดา หญิงสาวคนนี้รูปงามและชวนมอง เมื่อบิดามารดาของเธอสิ้นชีวิตแล้ว โมรเดคัยก็รับเธอมาเป็นบุตร 8เมื่อรับสั่งของกษัตริย์ และกฎหมายของพระองค์ประกาศออกไป หญิงสาวมากมายก็ถูกรวบรวมเข้ามายังสุสาเมืองป้อมในอารักขาของเฮกัย เอสเธอร์ก็ถูกนำเข้ามาไว้ในราชสำนัก อยู่ในอารักขาของเฮกัยผู้ดูแลสตรี 9หญิงนั้นเป็นที่พอใจและเป็นที่โปรดปรานแก่เขา เขาจึงรีบจัดเครื่องสำอางและอาหารส่วนที่เป็นของเธอ พร้อมกับสาวใช้ที่คัดเลือกแล้วเจ็ดคนจากราชสำนักให้เธอ แล้วก็ย้ายเธอและสาวใช้ของเธอไปยังสถานที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม 10เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องชาติกำเนิดของเธอ เพราะโมรเดคัยกำชับเธอไม่ให้บอกใคร 11ทุกๆ วันโมรเดคัยเดินไปเดินมาหน้าลานของฮาเร็ม เพื่อฟังข่าวคราวของเอสเธอร์ว่าเป็นอย่างไร และมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ
12เมื่อถึงเวร หญิงสาวทุกคนจะเข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัส หลังจากได้เตรียมตัวตามระเบียบของหญิงเป็นเวลาสิบสองเดือนแล้ว (และนี่เป็นเวลาปกติสำหรับประทินผิว คือชโลมกายด้วยน้ำมันกำยานหกเดือน และด้วยเครื่องเทศและเครื่องสำอางของผู้หญิงอีกหกเดือน) 13หญิงสาวจะเข้าเฝ้ากษัตริย์อย่างนี้คือ เธอต้องการจะเอาอะไรจากฮาเร็มไปยังพระราชวังก็เอาไปได้ 14เธอเข้าไปเฝ้าเวลาเย็น และในเวลาเช้าเธอกลับไปยังฮาเร็มที่สองในอารักขาของชาอัชกาส ขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลนางห้าม เธอไม่ได้ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อีก นอกจากกษัตริย์จะพอพระทัยในเธอและทรงเรียกชื่อเธอให้เข้าเฝ้า
15เมื่อถึงเวรของเอสเธอร์บุตรหญิงของอาบีฮาอิล ผู้เป็นลุงของโมรเดคัยผู้ซึ่งรับเธอไว้เป็นบุตร จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ เธอไม่ได้ขอสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เฮกัยขันทีของกษัตริย์ผู้ดูแลสตรีแนะนำ เอสเธอร์เป็นที่โปรดปรานของทุกคนที่เห็นเธอ 16เขาได้พาเอสเธอร์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์อาหสุเอรัสในพระราชสำนัก ในเดือนสิบซึ่งเป็นเดือนเทเบทในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์ 17กษัตริย์ทรงรักเอสเธอร์ยิ่งกว่าหญิงอื่นทั้งสิ้น และเธอได้รับความโปรดปรานและพระกรุณาจากพระองค์มากกว่าหญิงพรหมจารีทั้งหมด พระองค์จึงทรงสวมมงกุฎบนศีรษะของเธอ และทรงตั้งเธอให้เป็นพระราชินีแทนวัชที 18แล้วกษัตริย์ประทานการเลี้ยงแก่เจ้านายและข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ เป็นการเลี้ยงเพื่อให้เกียรติแก่พระนางเอสเธอร์ พระองค์ทรงอนุมัติให้มีวันหยุดพักแก่มณฑลทั้งปวง และประทานของกำนัลด้วยพระทัยกว้างขวาง
อรรถาธิบาย
จับตาดูพระเจ้าพลิกสถานการณ์ที่ชั่วร้าย
คนๆ หนึ่งสามารถสร้างความแตกต่างได้ เอสเธอร์เป็นหนึ่งในผู้ช่วยกู้ของชนชาติยิว เธอเป็นเด็กกำพร้า (2:7) รูปงามและน่ามอง (ข้อ 7) ‘เอสเธอร์เป็นที่โปรดปรานของทุกคนที่เห็นเธอ’ (ข้อ 15) เธอมีความเชื่อฟังต่อบิดาบุญธรรมของเธอ ‘เธอไม่ได้ให้ใครทราบถึงชาติกำเนิดของนาง ดังที่โมรเดคัยกำชับนางไว้’ (ข้อ 20) การทรงเรียกของเธอนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก จนต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างยาวนาน
เอสเธอร์เป็นพระธรรมหนึ่งในสองเล่มในพันธสัญญาเดิมที่ตั้งชื่อตามชื่อของผู้หญิง (อีกเล่มหนึ่งคือ นางรูธ) และเป็นพระธรรมหนึ่งจากสองเล่มที่ไม่ได้ออกนามพระเจ้า (อีกเล่มหนึ่งคือพระธรรมเพลงซาโลมอน) พระธรรมเอสเธอร์นี้บันทึกเรื่องราวของจุดกำเนิดของเทศกาลปูริม และวันหยุดสำคัญประจำปีของชาวยิวซึ่งถูกตั้งขึ้นในรัชสมัยของเซอร์ซีส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย (486-465 ปีก่อนคริสตกาล)
เมื่อช่วงอายุราว 35 ปี กษัตริย์เซอร์ซีสได้สืบทอดจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่ปัจจุบันนี้รวมประเทศอิหร่าน อิรัก อียิปต์ และเอธิโอเปีย รวมถึงบางส่วนของประเทศอินเดียไว้ด้วย
พระธรรมเอสเธอร์เป็นการบันทึกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของประชาชนยิว เมื่อพวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์ของผู้ที่ต้องการทำลายล้างพวกเขา
ดังที่ ยูจีน ปีเตอร์สัน เขียนไว้ ‘ไม่ว่าคุณจะเข่นฆ่าพวกเขาไปสักกี่คนก็ตาม คุณไม่สามารถที่จะกำจัดชุมชนแห่งการถวายเกียรติพระเจ้า ชุมชนแห่งการรับใช้พระเจ้า ชุมชนแห่งการนมัสการพระเจ้า เพราะประชากรเหล่านี้ได้กระจายอยู่ทั่วโลก นี่ยังคงเป็นถ้อยคำสุดท้ายและแน่แท้’
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราจะอ่านถึงคุณสมบัติอันดียอดเยี่ยมของเอสเธอร์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เราได้เห็นว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่กับเธอ พระองค์ทรงเตรียมทางไว้ที่จะใช้เธอในการพลิกสถานการณ์ และนำชัยชนะแห่งความดีเหนือความชั่วร้าย
จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ฉันเชื่อว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์และการทรงเรียกอันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของคุณเช่นเดียวกับที่ทรงทำในชีวิตของเอสเธอร์ สิ่งที่คุณได้รับมอบหมายนั้นอาจไม่ใช่การปลดปล่อยชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกให้คุณได้กระทำสิ่งใด สิ่งเหล่านั้นล้วนสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ขอให้คุณบากบั่นในการโอบรับกระบวนการเตรียมการที่จำเป็น เพื่อคุณจะได้รับการเตรียมพร้อม เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องลงมือทำ’
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เอสเธอร์ 1:1–2:18
เรื่องราวของเอสเธอร์นั้นน่าทึ่ง ฉันมักสงสัยเสมอว่า ทำไมราชินีวัชทีจึงปฏิเสธที่จะเข้าเฝ้าพระสวามีของเธอ ซึ่งไม่ว่าเหตุผลคืออะไร ดีหรือไม่ดี มันไปได้ไม่ค่อยสวยนัก แล้วหลังจากนั้นบรรดาบุรุษต่างก็อกสั่นขวัญแขวนว่าจะเสียการควบคุมภรรยาของตน ควรมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการได้ความเคารพ โดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกา บางทีการสำแดงผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์บางด้าน อาจได้ผลมากกว่า!
ข้อพระคำประจำวัน
วิวรณ์ 3:6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)