วัน 338

กุญแจ 4 ดอกในการเอาชนะความกลัว

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 138:1-8
พันธสัญญาใหม่ 1 ยอห์น 4:7-21
พันธสัญญาเดิม  ดาเนียล 11:2-35

เกริ่นนำ

อเล็กซ์ บุชนัน นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ศิษยาภิบาลของเหล่าศิษยาภิบาล’ เขามีหูหนวกสนิทหนึ่งข้าง มีความสามารถในการได้ยินผู้อื่นเพียงแค่ 5% และใบหน้าของเขาข้างหนึ่งเป็นอัมพฤกษ์ หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากเส้นประสาทที่ถูกทำลายลงในระหว่างการผ่าตัดใหญ่ ผมจำได้ว่าได้ยินเขาพูดถึงความรักของพระเจ้า และกล่าวย้ำถ้อยคำนี้ว่า ‘พระเจ้าทรงรักคุณอย่างไร้เงื่อนไข หมดหัวใจ และเรื่อยไป

เมื่อเขากล่าวจบแล้วนั้นก็ได้เข้ามาหาผมและพูดว่า ‘คุณเชื่อหรือเปล่าว่าพระเจ้าทรงรับรองในความเป็นคุณ?’ ผมพูดว่า ‘จริง ๆ แล้ว ผมต่อสู้อย่างมากในเรื่องนี้ เพราะผมรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผมเอง นั่นหมายความว่า ผมพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่า พระเจ้าทรงรับรองในความเป็นผม’ เขาตอบกลับมาว่า ‘เราต่างก็ปล้ำสู้ในเรื่องนี้กันทั้งนั้น แต่พระเจ้าปรารถนาให้คุณรู้ว่าพระองค์ทรงรับรองในความเป็นคุณ พระองค์ปรารถนาให้คุณรู้ว่า พระองค์ทรงรักคุณอย่างไร้เงื่อนไข หมดหัวใจ และเรื่อยไป

ถ้าผมถูกถามว่า ผมจะสรุปพระคัมภีร์ทั้งเล่มจากความคิดของผมเป็นคำเพียงหนึ่งคำว่าอย่างไร ที่นอกเหนือจากคำว่า ‘พระเยซู’ ผมจะเลือกคำว่า ‘ความรัก’ จะมีสองครั้งในบทของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่วันนี้ ยอห์นเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นความรัก’ (1 ยอห์น 4:8,16) คำว่า ‘ความรัก’ ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในสังคมของเรา ไม่มีที่ไหนเลยในพระคัมภีร์ที่พูดว่า ‘ความรักคือพระเจ้า’ หรืออาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้นิยามคำว่าความรักมากกว่าที่จะกล่าวว่าความรักนิยามพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นความรัก

นี่คือข้อความที่คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเอง ตรึกตรองอย่างต่อเนื่อง และพูดสิ่งนี้กับโลกว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นความรัก’

นี่คือคำตอบของโลกสำหรับวันนี้ต่อสิ่งที่เฝ้าคอยและปรารถนาอย่างที่สุด ผู้คนต่างเสาะหาความรัก หัวใจของเขาแสวงหา เมื่อคุณรู้จริง ๆ ว่าความรักของพระเจ้านั้นเพื่อคุณ ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป เหมือนดังที่เราได้เห็นในบทพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่สำหรับวันนี้ ความรักของพระเจ้านั้นเป็นหัวใจของกุญแจแต่ละดอกของทั้งสี่ดอก ที่จะเอาชนะความกลัวในชีวิตของคุณ ‘ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย’ (ข้อ 18)

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 138:1-8

การขอบพระคุณและการสรรเสริญพระเจ้า

ของดาวิด

1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ด้วยสุดใจ
 ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์ต่อหน้าพระทั้งหลาย
2ข้าพระองค์จะกราบลงตรงมายังพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
 และจะยกย่องพระนามของพระองค์
เนื่องด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์
 เพราะพระองค์ทรงเชิดชูพระนามและพระดำรัสของพระองค์เหนือสิ่งสารพัด
3ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล พระองค์ได้ทรงตอบข้าพระองค์
 พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กล้าหาญโดยประทานกำลังแก่จิตใจของข้าพระองค์ 4ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระราชาทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะยกย่องพระองค์
 เพราะท่านเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ 5และท่านเหล่านั้นจะร้องเพลงถึงพระมรรคาของพระยาห์เวห์
 เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์นั้นใหญ่ยิ่ง
6เพราะพระยาห์เวห์แม้สูงส่ง พระองค์ก็ทรงดูแลคนต่ำต้อย
 แต่พระองค์ทรงรู้จักคนโอหังได้แต่ไกล 7แม้ข้าพระองค์เดินอยู่กลางความยากลำบาก
 พระองค์ทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ไว้
พระองค์เหยียดพระหัตถ์ออกต่อต้าน ความกริ้วของศัตรูของข้าพระองค์
 และพระหัตถ์ขวาของพระองค์ก็ช่วยข้าพระองค์ให้รอด
8พระยาห์เวห์จะทรงให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จเพื่อข้าพระองค์
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
 ขออย่าทรงละทิ้งผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์

อรรถาธิบาย

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์

‘ขอบพระคุณ ด้วยทุกสิ่งที่ข้าพระองค์มีจะกล่าวว่า “ขอบพระคุณ”’ผู้เขียนพระธรรมสดุดีเขียนไว้ว่า ‘ขอบพระคุณสำหรับความรักของพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับความสัตย์ซื่อของพระองค์’ (ข้อ 1–2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

พระเจ้านั้นทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความสัตย์ซื่อ และความรักอันเปี่ยมล้น ‘ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล พระองค์ได้ทรงตอบข้าพระองค์ พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์กล้าหาญโดยประทานกำลังแก่จิตใจของข้าพระองค์’ (ข้อ 3)

ในชีวิตนี้เราต่างก็เผชิญ ‘ความยากลำบาก’ มากมาย (ข้อ 7ข) ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วย การต่อต้าน การล่อลวง ความเหน็ดเหนื่อย การทดลองและการถูกจู่โจม ในความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้านั้นทรงปกป้องคุ้มครองเรา ‘แม้ข้าพระองค์เดินอยู่กลางความยากลำบาก พระองค์ทรงรักษาชีวิตของข้าพระองค์ไว้’ (ข้อ 7ก)

ผมคิดว่าข้อ 8 คือ หนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่หนุนใจมากที่สุดข้อหนึ่งจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ‘พระยาห์เวห์จะทรงให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จเพื่อข้าพระองค์’ (ข้อ 8ก) ในความรัก และความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์มีพระประสงค์สำหรับชีวิตของคุณ และพระองค์จะทำให้มันสำเร็จ

ความรักของมนุษย์นั้นสามารถจืดจางลงได้ แต่ ‘ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์’ (ข้อ 8ข) เมื่อความรัก และความสัตย์ซื่อของพระเจ้ามาคู่กัน ดังนั้น ความรักของเราก็ควรมีให้กันและกัน ไม่ว่าจะในการแต่งงาน และในทุกความสัมพันธ์ของเรา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความสัตย์ซื่อและความรักอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อข้าพระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์สัญญาที่จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์นั้นสำเร็จเพื่อข้าพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ที่จะดำเนินชีวิตแห่งความรักและความสัตย์ซื่อ
พันธสัญญาใหม่

1 ยอห์น 4:7-21

พระเจ้าทรงเป็นความรัก

 7ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า 8ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก 9ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราโดยข้อนี้ คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร 10ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา 11ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราอย่างนั้น เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย 12ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
 13เช่นนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา 14และเราได้เห็นและเป็นพยานว่า พระบิดาได้ทรงใช้พระบุตรมาเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอด 15ผู้ที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า 16ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น 17ความรักของเราจึงสมบูรณ์ในข้อนี้ เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไร เราในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น 18ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ และผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ 19เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน 20ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้ 21พระบัญญัตินี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย

อรรถาธิบาย

ดำเนินชีวิตในความรักของพระเจ้า

‘พระเจ้าทรงเป็นความรัก เมื่อเราอยู่อย่างถาวรในชีวิตแห่งความรัก เราอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเรา’ (ข้อ 17, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำว่า ‘รัก’ และ ‘ทรงรัก’ นั้นปรากฏอยู่ประมาณ 27 ครั้งในบทสั้น ๆ นี้ นี่คือหัวใจของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ นี่คือหัวใจแห่งพระคัมภีร์ และนี่คือหัวใจของพระเจ้า

ความรัก คือ ยาแก้พิษของความกลัว ‘ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย’ (ข้อ 18) หรือ ‘ความรักที่สมบูรณ์นั้นผลักไสความกลัวออกไปทางประตู และขับไล่ทุกร่องรอยแห่งความหวาดกลัว’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) ความรักคือขั้วตรงข้ามของความกลัว เปรียบเสมือน น้ำกับน้ำมัน ความรักคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ความกลัวคือสิ่งที่ทุกคนอยากกำจัด เราเห็นกุญแจ 4 ดอกในบทนี้ที่จะเอาชนะความกลัวในชีวิตของคุณ

  1. ทำความเข้าใจความรักของพระเจ้า
    ‘ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา... เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา ... ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นขับไล่ความกลัวออกไป เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ และผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์’ (ข้อ 10,17–18)

ความกลัวที่ไม่เหมาะสมนั้นเข้ามายังโลกของเราเมื่ออาดัม และเอวาทำบาป พวกเขาซ่อนตัวเองจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าถามว่า ‘เจ้าอยู่ที่ไหน?’ อาดัมตอบว่า ‘ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว...จึงได้ซ่อนตัวเสีย’ (ปฐมกาล 3:10) อาดัมกลัวว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษเขา

รากที่ลึกที่สุดของความกลัว คือ การถูกกล่าวโทษ นั่นก็คือ ความรู้สึกที่ว่าพระเจ้าทรงขุ่นเคืองคุณ แต่พระเจ้า ‘ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา’ (1 ยอห์น 4:10) พระเยซูทรงรับคำกล่าวโทษของคุณไปแล้ว พระเจ้าปรารถนาให้คุณมีความมั่นใจต่อหน้าพระองค์

  1. มีประสบการณ์ความรักของพระเจ้า
    ‘เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์และพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา ... เรารู้และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา’ (ข้อ 13,16)

คุณได้เริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างแท้จริง เมื่อคุณรู้ว่าพระเจ้ารักคุณด้วยความรักอันไร้เงื่อนไขของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานประสบการณ์ความรักของพระเจ้าต่อเรา เมื่อพิพพายังเป็นเด็ก เมื่อใดก็ตามที่เธอตื่นกลัว พ่อของเธอจะอุ้มเธอขึ้นมา และร้องเพลงว่า ‘พ่อมาช่วยหนูแล้ว’ นี่คือ การงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงอุ้มท่านขึ้นมาด้วยอ้อมแขนของพระองค์ และยืนยันความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา

  1. เชื่อในความรักของพระเจ้า
    ‘เรารู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา' (ข้อ 16) คำภาษากรีกที่ใช้สำหรับ ‘วางใจ’ นั้นมีความหมายเดียวกับ ความเชื่อ แม้เราจะรู้จัก และมีประสบการณ์ความรักของพระเจ้าแล้ว เรายังต้องเชื่อต่อไป

‘ความคงอยู่ของวัตถุ’ นี้เป็นศัพท์ของนักจิตวิทยาของความสามารถของเด็กที่จะเข้าใจว่าวัตถุนั้นยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถมองเห็นได้แล้วก็ตาม

เมื่ออายุถึงประมาณ 4 เดือน ทารกไม่มีความสามารถที่จะเชื่อว่าบางสิ่งยังคงอยู่ ถ้าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ เพราะถ้าคุณซ่อนของเล่นไว้ พวกเขาจะคิดว่าของเล่นนั้นไม่มีอยู่แล้ว แต่แล้วหากพวกเขาจะมาถึงจุดที่เมื่อคุณซ่อนของเล่นเอาไว้ พวกเขาจะพยายามตามหามัน พวกเขาระลึกได้แล้วว่า วัตถุนั้นยังคงอยู่แม้มองไม่เห็นก็ตาม

นี่คือสัญญาณของการเป็นคริสเตียนที่เติบโต เมื่อเราเชื่อต่อไปในความรักของพระเจ้า แม้ในเวลาที่เรามองไม่เห็น หรือไม่รู้สึก แต่เรายังจำและระลึกได้ เช่นเดียวกับที่เราเชื่อในดวงอาทิตย์แม้มันไม่ได้ส่องแสง เรายังคงเชื่อในความรักของพระเจ้าต่อไป แม้ในเวลาแห่งความมืดมิดที่เราไม่รู้สึกถึงความรักของพระเจ้า

  1. ทำให้ความรักของพระเจ้านั้นสมบูรณ์ ‘ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา’ (ข้อ 12) ‘ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย’ (ข้อ 18)

ยิ่งคุณรักพระองค์มากเท่าใด และแสดงออกความจริงนี้ในการรักกันและกัน คุณจะตกเป็นเหยื่อของความกลัวน้อยลงเรื่อย ๆ จงพัฒนาวัฒนธรรมแห่งความรัก คือ เป็นทั้งผู้ให้ความรักและผู้รับความรัก นี่คือ คู่แข่งฝ่ายตรงข้ามของการนินทา ยิ่งคุณให้ความรักออกไปมากเท่าใด ความกลัวจะค่อย ๆ หายไป

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าข้า ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์อย่างไร้เงื่อนไข หมดหัวใจ และจะทรงรักตลอดไป ขอบคุณที่ความรักที่สมบูรณ์นั้นขับไล่ความกลัวออกไปจากเรา
พันธสัญญาเดิม

 ดาเนียล 11:2-35

 2“และบัดนี้ เราจะสำแดงความจริงแก่ท่านคือ จะมีพระราชาอีกสามองค์ขึ้นครองเปอร์เซีย และองค์ที่สี่จะมั่งคั่งยิ่งกว่าองค์อื่นทั้งหมด เมื่อท่านมีอำนาจด้วยความมั่งคั่งของท่านแล้ว ท่านก็จะปลุกปั่นให้ทุกคนต่อสู้กับราชอาณาจักรกรีก 3แล้วจะมีพระราชาผู้เก่งกล้าขึ้นมา ท่านจะปกครองด้วยราชอำนาจยิ่งใหญ่ และทำตามความพอใจของตนเอง 4และเมื่อท่านขึ้นมาแล้ว ราชอาณาจักรของท่านจะแตก และแบ่งแยกออกไปตามทางลมทั้งสี่แห่งฟ้าสวรรค์ แต่จะไม่ตกอยู่กับทายาทของท่าน และจะไม่มีราชอำนาจอย่างที่ท่านปกครองอยู่ เพราะว่าราชอาณาจักรของท่านจะถูกถอน และตกไปเป็นของผู้อื่น
 5“แล้วพระราชาแห่งถิ่นใต้จะเข้มแข็ง แต่แม่ทัพของท่านคนหนึ่งจะเข้มแข็งกว่าท่าน และขยายอำนาจครอบครองมากกว่าท่าน 6ต่อมาอีกหลายปี พระราชาทั้งสองจะเป็นพันธมิตรกัน และพระธิดาของพระราชาแห่งถิ่นใต้จะมาหาพระราชาแห่งถิ่นเหนือ เพื่อทำสัญญาไมตรี แต่เธอจะไม่รักษากำลังอำนาจของเธอ และอำนาจของพระราชาจะไม่ยั่งยืน เธอจะถูกทรยศ รวมทั้งบรรดาผู้ที่นำเธอมา ผู้ที่ให้กำเนิดเธอ และผู้ที่สนับสนุนเธอในเวลานั้น
 7“คนหนึ่งจากเชื้อสายของเธอจะขึ้นมาแทนที่พระราชาแห่งถิ่นใต้ ท่านจะยกมาต่อสู้กับกองทัพ และเข้าในป้อมของพระราชาแห่งถิ่นเหนือ และจะรบกับพวกเขาและจะชนะ 8ท่านจะขนเอาบรรดาพระ พร้อมทั้งรูปหล่อโลหะของพระทั้งหลาย และภาชนะมีค่าที่ทำด้วยเงินและทองคำ ไปเป็นของริบยังอียิปต์ และท่านจะอยู่ห่างจากพระราชาแห่งถิ่นเหนือหลายปี 9แล้วพระราชาแห่งถิ่นเหนือจะเข้ามาในเขตพระราชาแห่งถิ่นใต้ แต่ก็จะกลับไปยังแผ่นดินของตนเอง
 10“บุตรทั้งหลายของเขาจะก่อสงครามและรวบรวมกำลังรบเป็นอันมากไว้ ซึ่งจะยกมาเหมือนน้ำท่วมและผ่านไป และจะทำสงครามอีกไกลไปจนถึงป้อมปราการของท่าน 11แล้วพระราชาแห่งถิ่นใต้จะโกรธมาก จะยกออกมาต่อสู้กับพระราชาแห่งถิ่นเหนือผู้ซึ่งจะจัดกองทัพเป็นอันมาก แต่พลมากมายนั้นก็จะถูกมอบไว้ในมือของศัตรู 12และเมื่อกองทัพเหนือถูกรวบไปแล้ว จิตใจของพระราชาแห่งถิ่นใต้ก็ผยองขึ้น และท่านจะทำลายคนเป็นหมื่นๆ แต่การชนะนั้นจะไม่ถาวร 13เพราะว่าพระราชาแห่งถิ่นเหนือจะจัดกองทัพเป็นอันมาก ใหญ่โตกว่าครั้งก่อน ต่อมาอีกหลายปี เขาจะยกกองทัพใหญ่นั้นมาพร้อมกับเสบียงอุดมสมบูรณ์
 14“ในกาลนั้น หลายกลุ่มจะยกขึ้นต่อสู้กับพระราชาแห่งถิ่นใต้ และพวกหัวรุนแรงท่ามกลางชนชาติของท่านเองก็จะยกตัวขึ้นเพื่อจะทำให้นิมิตสำเร็จ แต่พวกเขาจะล้มเหลว 15แล้วพระราชาแห่งถิ่นเหนือจะมาล้อมและก่อเชิงเทินและยึดเมืองที่มีป้อมแข็งแรงได้เมืองหนึ่ง ส่วนกำลังกองทัพของถิ่นใต้จะสู้ไม่ไหว แม้ว่ากองทัพที่คัดเลือกแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังยืนหยัดอยู่ได้ 16แต่ผู้ยกมาต่อสู้กับท่านจะทำตามความพอใจของเขาเอง จึงไม่มีใครต่อสู้เขาได้ และเขาจะยั่งยืนอยู่ในแผ่นดินอันรุ่งโรจน์ และตลอดทั้งแผ่นดินก็จะตกอยู่ในอำนาจของเขา 17เขาจะมุ่งหน้ามาด้วยกำลังทั้งหมดแห่งราชอาณาจักร และเขาจะนำหลักสันติภาพมาเสนอและทำตาม และเขาจะยกธิดาคนหนึ่งให้พระราชาแห่งถิ่นใต้ เพื่อให้ทำลายราชอาณาจักรนั้น แต่เธอจะไม่มั่นคงและไม่เป็นประโยชน์แก่เขาแต่อย่างใด 18ภายหลังเขาจะมุ่งหน้าไปตามเมืองชายฝั่งทะเล และจะยึดได้หลายเมือง แต่แม่ทัพคนหนึ่งจะกำจัดความผยองของเขาเสีย และจะเอาความผยองนั้นมาสนองเขา 19แล้วเขาจะหันหน้ามุ่งตรงไปยังบรรดาป้อมปราการแห่งแผ่นดินของเขาเอง แต่เขาก็จะสะดุดและล้มลง หาตัวไม่พบอีกต่อไป
 20“แล้วจะมีผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่เขา ผู้นี้จะส่งเจ้าพนักงานเก็บส่วยให้ไปทั่วราชอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ แต่ไม่กี่วันเขาก็ประสบหายนะ ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือสงคราม 21จะมีคนน่าเกลียดคนหนึ่งตั้งตัวขึ้นแทนที่ โดยไม่มีผู้ใดมอบราชสมบัติให้ เขาจะยกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว แล้วชิงเอาราชอาณาจักรนั้นด้วยเล่ห์กล 22กองทัพทั้งหลายจะถูกกวาดไปหมดให้พ้นหน้าเขา และถูกทำลาย ส่วนมหาปุโรหิตจะถูกทำลายด้วย 23ตั้งแต่เวลาที่เป็นพันธมิตรกับเขา เขาจะทำการล่อลวงอยู่เสมอ และเขาจะเข้มแข็งขึ้นด้วยคนจำนวนน้อย 24เขาจะยกเข้ามาในส่วนของมณฑลซึ่งอุดมที่สุดโดยไม่บอกกล่าว และเขาจะทำสิ่งที่ปู่ทวดหรือบรรพบุรุษของเขาไม่ทำ เขาจะเอาทรัพย์ที่ปล้นมา ของที่ริบมาได้ และข้าวของต่างๆ มาแจกกัน เขาจะออกอุบายต่อสู้กับที่กำบังเข้มแข็ง แต่ก็ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น 25และเขาจะปลุกปั่นกำลังของเขาและความกล้าหาญของเขาด้วยกองทัพมหึมา ยกไปสู้กับพระราชาแห่งถิ่นใต้ และพระราชาแห่งถิ่นใต้จะทำสงครามด้วยกองทัพเข้มแข็งมหึมายิ่งนัก แต่ท่านก็สู้ไม่ได้เพราะจะมีการปองร้ายท่าน 26ถึงแม้ว่าผู้ร่วมรับประทานอาหารชั้นสูงของเขาก็จะหักหลังเขา กองทัพของเขาก็จะถูกกวาดไป ที่ถูกฆ่าฟันล้มตายจะมีมาก 27ส่วนพระราชาสององค์นั้น จิตใจต่างคิดปองร้าย เขาจะนั่งร่วมโต๊ะและพูดมุสากัน แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะวาระสุดท้ายก็จะมาตามเวลากำหนด 28แล้วพระราชาแห่งถิ่นเหนือก็จะกลับเข้าบ้านเข้าเมืองพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย แต่จิตใจก็มุ่งร้ายต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ เขาจะลงมือทำตามใจชอบ และกลับเมืองของตน
 29“พอถึงเวลากำหนด เขาจะกลับมาที่ถิ่นใต้ แต่ครั้งนี้เหตุการณ์จะไม่เป็นไปอย่างครั้งก่อน 30เพราะว่ากองทัพเรือของเมืองคิทธิมจะมาปะทะกับเขา เขาจะกลัวและกลับไป และจะเกรี้ยวกราดต่อพันธสัญญาบริสุทธิ์ และลงมือปฏิบัติงาน เขาจะหันกลับมาสนใจบรรดาผู้ทิ้งพันธสัญญาบริสุทธิ์ 31กองทัพของเขาจะยกมาทำให้สถานนมัสการคือป้อมปราการเป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์นั้นเสีย และพวกเขาจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งทำให้เกิดการร้างเปล่าขึ้น 32เขาจะใช้เล่ห์กลล่อลวงผู้ละเมิดพันธสัญญา แต่บรรดาประชาชนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของตนจะยืนหยัดต่อสู้ 33และคนเหล่านั้นที่ฉลาดจะทำให้คนเป็นอันมากเข้าใจ แม้ว่าเขาจะล้มลงด้วยดาบหรือด้วยเปลวไฟ ด้วยการเป็นเชลยหรือด้วยถูกปล้นสักระยะเวลาหนึ่งก็ตาม 34เมื่อเขาล้มลงนั้น เขาจะได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อย และจะมีคนจำนวนมากที่เข้าร่วมอย่างไม่จริงใจ 35คนฉลาดบางคนจะล้มลงเพื่อพวกเขาจะถูกถลุงและชำระให้หมดจด จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย เพราะวาระก็จะมาตามเวลากำหนด

อรรถาธิบาย

ยืนหยัดในความรักของพระเจ้า

ผู้คนที่รู้จักพระเจ้าของเขา(ข้อ 32) คือประชากรแห่งความรัก ความรักนั้นไม่อ่อนแอ ประชากรผู้ที่รู้จักพระเจ้าจริง ๆ จะต่อต้านผู้นำที่ชั่วร้าย ดีทริช บอนเฮฟเฟอร์ คือ บุรุษผู้รู้จักพระเจ้าและต่อต้าน อดอลฟ ฮิตเล่อร์ อย่างเต็มที่ในขณะที่เขาอธิษฐาน ‘ขอทรงประทานความรักเช่นนั้นต่อพระเจ้าและต่อผู้คนทั้งสิ้น ความรักที่จะลบเอาความขมขื่นและความเกลียดชังออกไป’ หลายศตวรรษที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่รู้จักพระเจ้าของเขาได้ยืนหยัดที่จะต่อสู้กับความชั่วร้าย

อีกครั้งกับการที่คำเผยพระวจนะตอนนี้ (ข้อ 2-35) เกิดขึ้นจริงในหลายระดับ การเกิดขึ้นจริงในทันทีนั้นเกี่ยวข้องกับกษัตริย์หลายพระองค์และผู้ปกครองในช่วง 530-150 ปีก่อนคริสตกาล มีหลายคนที่ชั่วร้าย และประพฤติตนอย่างคนไม่มีพระเจ้า

แต่ก็มีการเกิดขึ้นจริงในระยะยาว ดังที่เราได้เห็นเมื่อวาน พระเยซูอ้างถึงสิ่งที่น่ารังเกียจที่เป็นเหตุให้ความพินาศ (9:27, 11:31, มัทธิว 24:15) พระองค์อาจจะกำลังกล่าวถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 70 ที่เป็นการพยากรณ์ถึงเวลาสิ้นยุค

ท่ามกลางความชั่วร้ายทั้งสิ้นนี้ ‘แต่บรรดาประชาชนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของตนจะยืนหยัดต่อสู้ (ความชั่วร้าย)’ (ดาเนียล 11:32ข) ดังที่พระคัมภีร์เวอร์ชั่น RSV ใช้คำว่า พวกเขาจะ ‘ยืนหยัดและลงมือ’ หรือในพระคัมภีร์เวอร์ชั่น The Message ใช้คำว่า ‘บรรดาผู้ที่ภักดีอย่างหาญกล้าต่อพระเจ้าของเขาจะยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง’ (ข้อ 32ข) และล่าวต่อไปว่า ‘บรรดาผู้ที่คิดและทำอย่างฉลาดจะสอนให้เหล่าผู้คนอย่างถูกต้องจากสิ่งผิดด้วยชีวิตอันเป็นแบบอย่าง....การทดสอบนี้จะถลุงและชำระ และทำให้บริสุทธิ์หมดจดในผู้ที่คิดอย่างฉลาด ทำอย่างฉลาด และอยู่ในความจริง’ (ข้อ 33,35, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในวันนี้ จงขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์ และดำเนินชีวิตในความรักของพระเจ้า เอาชนะความกลัวของคุณ ยืนหยัดและต่อสู้กับความชั่วร้าย

คำอธิษฐาน

พระเจ้าข้า ขอทรงช่วยเราให้เป็นประชากรแห่งความรักผู้ที่รู้จักพระเจ้าของเขา และยืนหยัด เอาชนะความกลัว ต่อสู้กับความชั่วร้าย และลงมือทำ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 ยอห์น 4:18

‘ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นขับไล่ความกลัวออกไป...’

ฉันได้พบกับการปลอบประโลมใจในข้อพระคัมภีร์นี้เป็นพัน ๆ ครั้ง

ข้อพระคำประจำวัน

สดุดี 138:8

‘องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จเพื่อท่าน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม