จะเข้าหาพระเจ้าได้อย่างไร?
เกริ่นนำ
ยิ่งผมได้ศึกษามากขึ้น ผมยิ่งรักพระวจนะมากขึ้น พระธรรมฮีบรูเป็นพระธรรมที่เขียนไปถึงคริสเตียนชาวยิว วิธีการเขียนจะดูแปลกไปสำหรับคนสมัยปัจจุบัน ภาษาที่ใช้เป็นภาษาในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมตอบคำถามในเรื่องสำคัญมาก นั่นคือ คุณจะเข้าหาพระเจ้าได้อย่างไร?
คำตอบที่ผู้เขียนบอกคือโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ การเป็นมหาปุโรหิตของพระเยซูเป็นจุดสูงสุดของจดหมายฉบับนี้ มีเพียงเอกสารของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เท่านั้นที่กล่าวถึงพระเยซูในฐานะมหาปุโรหิต การกระทำกิจของพระเยซูในฐานะมหาปุโรหิต ถูกกล่าวในพระธรรมตอนอื่น ๆ ด้วยเช่น ‘คำอธิษฐานของพระเยซู’ ในการประกาศข่าวประเสริฐของยอห์น (ยอห์น 17) และการอธิบายถึง ‘สาวกที่เป็นที่รัก’ ของพระเยซู ในฐานะที่พระองค์เป็น ‘ผู้ช่วยทูลขอพระบิดา’ (1 ยอห์น 2:1) แต่ ในพระธรรมฮีบรูหัวข้อหลักนี้ได้ถูกนำมาพิจารณาและอธิบายอย่างละเอียด
สดุดี 119:153-160
ר (เรช)
153ขอทอดพระเนตรความทุกข์ยากของข้าพระองค์ และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์มิได้ลืมธรรมบัญญัติของพระองค์
154ขอทรงสู้คดีเพื่อข้าพระองค์และขอทรงไถ่ข้าพระองค์
ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ไว้ตามพระสัญญาของพระองค์
155ความรอดนั้นอยู่ห่างจากคนอธรรม
เพราะเขาไม่แสวงหากฎเกณฑ์ของพระองค์
156ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระกรุณาของพระองค์มากมายนัก
ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ตามกฎหมายของพระองค์
157ผู้ข่มเหงและคู่อริของข้าพระองค์มีมากมาย
แต่ข้าพระองค์ไม่หันเหไปจากพระโอวาทของพระองค์
158ข้าพระองค์มองดูคนทรยศด้วยความชิงชัง
เพราะเขาไม่ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์
159ขอทรงพิเคราะห์ว่า ข้าพระองค์รักข้อบังคับของพระองค์มากเพียงไร
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ไว้ตามความรักมั่นคงของพระองค์
160สาระสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์ คือความจริง
และกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์
อรรถาธิบาย
เข้ามาหาพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยรักและพระกรุณา
ความรักของพระเจ้ามีต่อมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ ‘พระกรุณาของพระองค์มากมายนัก’ (ข้อ 156) ผู้เขียนพระธรรมสดุดีรู้จักความรักของพระเจ้าเป็นอย่างดี ‘ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ไว้ตามความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 159) และรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยกู้ (ข้อ 153) เขาได้พูดถึงการไถ่บาป (ข้อ 154) และความรอด (ข้อ 155)
เขารู้ว่าพระเจ้าจะทรงช่วยกู้ ไถ่ความบาปและประทานความรอด และเพราะเหตุนี้เขารู้ว่าเขาสามารถเข้าหาพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้นั่นคือพระเจ้าจะช่วยเขาอย่างไร
ถ้าเราได้ใคร่ครวญพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมทั้งหมด รวมถึงพระธรรมสดุดีผ่านมุมมองของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เราจะทราบว่าผู้เขียนพระธรรมสดุดีบรรยายความเป็นไปได้ทั้งหมดผ่านพระเยซูมหาปุโรหิต
คำอธิษฐาน
ฮีบรู 4:14-5:10
พระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่
14เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ผู้เสด็จผ่านฟ้าสวรรค์แล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เรายึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้ 15เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป 16ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ
ฮีบรู 5
1มหาปุโรหิตทุกคนก็เลือกมาจากมนุษย์ และแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนมนุษย์ ในบรรดาการซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า คือนำของถวายและเครื่องบูชามาถวายเพื่อลบล้างบาป 2ท่านสามารถปฏิบัติอย่างนุ่มนวลต่อคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และที่หลงผิด เพราะท่านเองก็มีความอ่อนแอ 3เพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องถวายเครื่องบูชาเพื่อลบล้างบาป สำหรับตัวเองและสำหรับประชาชนด้วย 4อนึ่งไม่มีใครรับตำแหน่งอันมีเกียรตินี้เองได้ เว้นแต่พระเจ้าทรงเรียกเขาเหมือนอย่างทรงเรียกอาโรน
5ในทำนองเดียวกัน พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงยกย่องพระองค์เองขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า
“เจ้าเองเป็นบุตรของเรา
วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า”
6และตรัสอีกตอนหนึ่งว่า
“เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์
ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค”
7ในระหว่างที่พระคริสต์ประทับในโลก พระองค์ทรงถวายคำอธิษฐาน และคำร้องขอด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าทรงสดับเนื่องจากความยำเกรงของพระคริสต์ 8ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังโดยการทนทุกข์ต่างๆ 9เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์ 10โดยพระเจ้าทรงตั้งพระองค์เป็นมหาปุโรหิตตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค
อรรถาธิบาย
เข้าหาพระเจ้าผ่านทางพระเยซู มหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของคุณ
เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจที่คุณกับผมสามารถเข้ามาหาพระผู้สร้างสรรพสิ่งด้วยความมั่นใจและกล้าหาญ แน่ทีเดียว เราต้องให้ความยำเกรงแต่เราไม่จำเป็นต้องขลาดกลัว แล้วสิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร?
จากที่ผู้เขียนเกริ่นหัวข้อในจดหมายแกนหลักคือสถานะการเป็นมหาปุโรหิตของพระซู ผู้เขียนบอกประเด็นใจความหลักของจดหมายของเขาเพื่อหนุนใจให้ ‘ยึดมั่นในหลักความเชื่อ’ (4:14) การเรียนรู้จักพระเยซูมากขึ้นนั้นช่วยให้คุณยืนหยัดในความเชื่อของคุณท่ามกลางปัญหาและการทดลองในชีวิต
พระเยซูทรงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เพราะทรงเป็นมหาปุโรหิตที่เป็นทั้งพระบุตรของพระเจ้า (ข้อ 14) และเป็นมนุษย์ พระองค์สามารถเข้าถึงลึกซึ้งถึงความอ่อนแอของเราและพระองค์ ‘ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป’ (ข้อ 15)
พระเยซูทรงรู้สึกแบบเดียวกับเรา มีช่วงเวลารู้สึกว่าผิดแต่เลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกเสมอ เมื่อคุณอธิษฐานกับพระเจ้า คุณรู้ได้เลยว่าพระองค์รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร
คุณสมบัติของปุโรหิตมีอยู่ 3 ข้อ ดังนี้:
- เป็นมนุษย์ (‘เลือกจากมนุษย์’ ฮีบรู 5:1)
- เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา (‘สามารถปฏิบัติอย่างนุ่มนวล’ ข้อ 2)
- ได้รับแต่งตั้งโดยพระเจ้า (‘พระเจ้าทรงเรียก' ข้อ 4)
พระเยซูทรงเหมาะเจาะกับบทบาทนี้
แต่พระเยซูทรงบังเกิดในเผ่ายูดาห์ ไม่ใช่เผ่าเลวี ดังนั้นพระองค์จึงไม่มีคุณสมบัติในการเป็นปุโรหิตที่ควรแต่งตั้งจากลูกหลานของอาโรนน้องชายของโมเสส (ซึ่งอยู่ในเผ่าเลวี) ดังนั้น ผู้เขียนจึงบอกลำดับใหม่ของการเป็นปุโรหิตของพระเยซู ซึ่งกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมตามอย่างเมลคีเซเดค ซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้า ‘ผู้สูงสุด’ และปรนนิบัติรับใช้อับราฮัม (ปฐมกาล 14:18–20)
หนังสือพระธรรมฮีบรูแสดงให้เห็นว่าฐานะปุโรหิตของเมลคีเซเดคเหนือกว่าอาโรนในทุกด้านอย่างไร (ดู ฮีบรู 7) เนื่องจากฐานะปุโรหิตของพระเยซูเป็นเหมือนเมลคีเซเดค จึงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ (5:6) จึงมีผลตลอดไป และส่งผลต่อผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนพระเยซู รวมทั้งทุกคนที่มีชีวิตอยู่หลังจากพระองค์
พระองค์ทรงเป็นดั่งตัวแทนของคุณ (ข้อ 1) ทรงเป็นปุโรหิตที่เป็นแบบอย่าง และสูงส่งกว่าปุโรหิตคนอื่น ๆ
พระเยซูมีประสบการณ์การทนทุกข์ต่าง ๆ (ข้อ 9) พระเจ้าใช้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ แม้แต่ความเจ็บปวด เพื่อให้เราจะได้มีประสบการณ์ และสามารถใช้ความเจ็บปวดของเราเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
ริค วอเรน เขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าทรงรักที่จะเปลี่ยนการตรึงที่กางเขนเป็นการฟื้นชีวิต’ สิ่งที่คุณปรารถนามากที่สุดมักถูกลบออกจากชีวิตของคุณและเป็นสิ่งที่พระเจ้าใช้เพื่อหล่อหลอมคุณ และทำให้คุณกลายเป็นผู้เชื่อที่พระองค์ต้องการให้คุณเป็น พระองค์ทรงใช้ทุกอุปสรรคเพื่อผลดีในชีวิตเรา มีบางอย่างที่สำคัญกว่าความเจ็บปวดของคุณ คือสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้จากความเจ็บปวด เฉกเช่นเดียวกับพวกเรา พระเยซูทรงมีประสบการณ์ผ่านความเจ็บปวดที่แตกต่างออกไป คือกระนั้นพระองค์ก็ยังคงปราศจากบาป ดังนั้นพระองค์ไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาล้างบาป เพราะพระองค์ทรง ‘เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์’ (ข้อ 9)
คุณสามารถ ‘เข้ามายังพระที่นั่งแห่งพระกรุณาด้วยความกล้า เพื่อว่า(คุณ)จะรับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่จะช่วย(คุณ)ในยามต้องการ’ (ข้อ 16) ในขณะคุณขอการอภัยสำหรับสิ่งที่เคยทำผิดพลาด คุณจะพบว่าคุณจะได้รับ ‘พระเมตตา’ และเมื่อคุณขอความช่วยเหลือในอนาคต คุณจะได้รับ ‘พระคุณที่จะช่วยเหลือ’ คุณตามที่ต้องการหรือแม้แต่ความยากลำบากที่เจอในตอนนี้ก็ตาม
ภาพของพระที่นั่ง คือ การเน้นความยิ่งใหญ่ และพระสิริของผู้ที่ประทับบนนั้น-พระเจ้า กระนั้นโดยทางพระเยซู คุณสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ผ่านทางการอธิษฐานและนมัสการ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรหรือจะทำอะไรลงไปก็ตาม
คำอธิษฐาน
เอเสเคียล 1:1-3:27
นิมิตเกี่ยวกับพระสิริของพระเจ้า
1ในวันที่ 5 เดือนที่ 4 ปีที่ 30 ขณะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเชลยที่ริมแม่น้ำเคบาร์ ท้องฟ้าเปิดออก และข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าในนิมิต 2ในวันที่ 5 เดือนนั้น (คือในปีที่ 5 ที่กษัตริย์เยโฮยาคีนตกเป็นเชลย) 3พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังปุโรหิตเอเสเคียลบุตรบุซี ในแผ่นดินของคนเคลเดียริมแม่น้ำเคบาร์ ณ ที่นั่นพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มาอยู่เหนือท่าน
4ดูสิ เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมพายุพัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างโดยรอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูเหมือนทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ 5และท่ามกลางไฟนั้นมีรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต 4 ตน ลักษณะของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเป็นเช่นนี้คือ มีรูปลักษณ์ของมนุษย์ 6แต่ละตนมีหน้า 4 หน้า และมีปีก 4 ปีก 7ส่วนขานั้นตรง ฝ่าเท้าเหมือนกีบลูกโคและเป็นประกายเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัดเงา 8ที่ใต้ปีกมีมือเหมือนมือมนุษย์อยู่ข้างลำตัวทั้งสี่ ทั้งสี่ตนต่างมีหลายหน้าและมีหลายปีก 9ปีกของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต่างก็จดปีกของกันและกัน ขณะที่บินไปก็ไม่ต้องหัน แต่ละตนสามารถบินไปในทิศที่ใบหน้านั้นๆ มุ่งไป 10รูปลักษณ์ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นคือด้านหน้าเป็นหน้าคน ด้านขวาเป็นหน้าสิงโต ด้านซ้ายเป็นหน้าโค และด้านหลังเป็นหน้านกอินทรี 11ใบหน้าของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้แหละ ส่วนปีกทั้งหลายนั้นกางขึ้นข้างบน แต่ละตนมีสองปีกที่จดปีกของกันและกัน ส่วนอีกสองปีกคลุมกายของตัวเอง 12แต่ละตนบินไปในทิศที่ใบหน้ามุ่งไป วิญญาณจะไปทางไหน พวกเขาก็ไปทางนั้นและไปโดยไม่ต้องหันเลย 13รูปลักษณ์และลักษณะของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเหมือนถ่านลุกโชน ลักษณะเหมือนคบเพลิงหลายอันเคลื่อนไปมาระหว่างสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น มีความสว่างของไฟและมีแสงฟ้าแลบออกมาจากไฟนั้น 14สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นพุ่งไปพุ่งมาเหมือนลักษณะสายฟ้าแลบ
15เมื่อข้าพเจ้ามองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ดูสิ มีวงล้อบนพื้นอยู่ข้างกายสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ตนละหนึ่งวงล้อทั้งสี่ตน 16ลักษณะและโครงสร้างของวงล้อเหล่านั้นเหมือนเบริล วงล้อทั้งสี่มีรูปลักษณ์เหมือนกัน มีลักษณะและโครงสร้างเหมือนวงล้อซ้อนอยู่กลางวงล้อ 17เมื่อเคลื่อนที่ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะไปทางด้านใดของใบหน้าทั้งสี่ก็ได้ทั้งนั้น พวกเขาเคลื่อนโดยไม่ต้องหันเลย 18ขอบวงล้อเหล่านั้นสูงและดูน่าสะพรึงกลัว และขอบล้อทั้งสี่เต็มด้วยดวงตาอยู่โดยรอบ 19เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสี่บินไป วงล้อเหล่านั้นก็เคลื่อนตามไปข้างๆ ด้วย เมื่อสิ่งมีชีวิตลอยขึ้นจากพิภพ วงล้อก็ลอยขึ้นด้วย 20เมื่อวิญญาณจะไปที่ไหน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ไปด้วย และวงล้อนั้นก็ลอยตามไปอย่างใกล้ชิด เพราะว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่ในวงล้อ 21เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสี่บินไป วงล้อก็เคลื่อนไปด้วย และเมื่อหยุด วงล้อก็หยุดด้วย เมื่อพวกนั้นลอยขึ้นจากพิภพ วงล้อก็ลอยตามไปอย่างใกล้ชิด เพราะว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในวงล้อ
22เหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีสิ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายพื้นฟ้า ซึ่งเหมือนผลึกพร่าตา แผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา 23ที่ใต้พื้นฟ้านี้ ปีกของพวกเขากางออกตรงเข้าหากัน และแต่ละตนมีปีก 2 ปีกคลุมกายของตนเอง 24และเมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นบินไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปีกเหมือนเสียงของน้ำไหลเชี่ยว เหมือนพระสุรเสียงขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เสียงโกลาหลเหมือนเสียงกองทหาร เมื่อพวกเขายืนนิ่ง ปีกก็จะหุบลง 25และมีเสียงจากข้างบนพื้นฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะพวกเขา ขณะที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นยืนนิ่ง ปีกทั้งหลายก็หุบลง
26และบนพื้นฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเขา มีสิ่งมีรูปลักษณ์ของพระที่นั่งซึ่งมีลักษณะเหมือนไพลิน และบนสิ่งที่มีรูปลักษณ์ของพระที่นั่งนั้นก็มีผู้มีลักษณะเหมือนมนุษย์อยู่บนนั้น 27และจากส่วนที่มีลักษณะของบั้นเอวของผู้นั้นขึ้นไป ข้าพเจ้าเห็นสิ่งคล้ายทองสัมฤทธิ์แวบวาบ ลักษณะคล้ายไฟถูกบังไว้โดยรอบ และจากส่วนที่มีลักษณะของบั้นเอวลงมา ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่มีลักษณะคล้ายไฟและมีความสุกใสอยู่รอบๆ ท่านผู้นั้น 28ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบๆ นั้นเหมือนลักษณะของรุ้งที่ปรากฏในเมฆเมื่อฝนตก
ลักษณะและรูปลักษณ์ของพระสิริของพระยาห์เวห์เป็นเช่นนี้แหละ และเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน และข้าพเจ้าได้ยินเสียงผู้หนึ่งกำลังตรัส
เอเสเคียล 2
ทรงเรียกเอเสเคียล
1แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงยืนขึ้น เราจะพูดกับเจ้า” 2ในขณะที่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้านั้น พระวิญญาณทรงเข้ามาในข้าพเจ้าและทรงตั้งข้าพเจ้าให้ยืนขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ผู้ตรัสกับข้าพเจ้า 3และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังคนอิสราเอล ไปยังประชาชาติที่มักกบฏ ผู้ซึ่งได้กบฏต่อเรา ทั้งตัวเขาและบรรพบุรุษของเขาได้ละเมิดต่อเราจนถึงทุกวันนี้ 4เผ่าพันธุ์ที่ดื้อด้านและใจกระด้าง เราใช้เจ้าไปหาเขาทั้งหลาย และเจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้’ 5พวกเขาจะฟังหรือปฏิเสธก็ตาม (เพราะว่าเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ) พวกเขาจะได้รู้ว่ามีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งท่ามกลางพวกเขาแล้ว 6ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย อย่ากลัวพวกเขาหรือคำพูดของเขา ถึงแม้ว่าต้นหนามและหนามพุงดอจะอยู่กับเจ้า และเจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางแมงป่อง ก็อย่ากลัวคำพูดของพวกเขา และอย่าท้อถอยเพราะสีหน้าของพวกเขา เพราะว่าเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ 7แต่เจ้าจงกล่าวถ้อยคำของเราให้พวกเขาฟัง แม้พวกเขาจะฟังหรือปฏิเสธก็ตามเถอะ เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
8“ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิ่งที่เรากล่าวกับเจ้า อย่าเป็นคนมักกบฏเหมือนพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏนั้น จงอ้าปากของเจ้าและกินสิ่งที่เราให้เจ้า” 9เมื่อข้าพเจ้ามองดู นี่แน่ะ พระหัตถ์ข้างหนึ่งเหยียดออกมายังข้าพเจ้า และดูสิ ในพระหัตถ์นั้นมีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง 10แล้วพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีตัวหนังสือเขียนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีบทคร่ำครวญ คำไว้ทุกข์ และคำวิบัติเขียนอยู่บนนั้น
เอเสเคียล 3
1และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่เจ้าได้พบ จงกินหนังสือม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล” 2ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก และพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ารับประทานหนังสือม้วนนั้น 3และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ซึ่งเราให้แก่เจ้า และบรรจุให้เต็มท้องของเจ้า” แล้วข้าพเจ้าก็รับประทาน และเมื่อหนังสือม้วนนั้นอยู่ในปากข้าพเจ้ามันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง
4แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกล่าวถ้อยคำของเราแก่พวกเขา 5เพราะเราไม่ได้ใช้เจ้าไปหาชนชาติที่พูดภาษาต่างด้าวหรือภาษาที่เข้าใจยาก แต่ไปหาพงศ์พันธุ์อิสราเอล 6ไม่ใช่ให้ไปหาชนชาติจำนวนมากที่พูดภาษาต่างด้าวและเข้าใจยาก ซึ่งเป็นภาษาที่เจ้าไม่เข้าใจ ที่จริงถ้าเราใช้เจ้าไปหาคนพวกนั้น พวกเขาก็จะฟังเจ้า 7แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้า เพราะเขาไม่ยอมฟังเรา เพราะว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดเป็นคนหัวแข็งและใจดื้อด้าน 8ดูสิ เราได้ทำให้หน้าของเจ้าด้านเหมือนพวกเขา และทำให้หัวของเจ้าแข็งเช่นพวกเขา 9เราได้ทำให้หัวของเจ้าแข็งแกร่งเหมือนเพชร แข็งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวพวกเขาเลย อย่าท้อถอยด้วยสีหน้าของเขา เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ” 10พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงรับถ้อยคำทั้งหมดของเราที่พูดกับเจ้าไว้ในใจของเจ้า และจงฟังด้วยหูของเจ้า 11จงไปเถอะ เจ้าจงไปหาพวกที่เป็นเชลยคือชนชาติของเจ้านั้น จงพูดกับเขาทั้งหลาย และกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้’ ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือปฏิเสธก็ตาม”
เอเสเคียลที่ริมแม่น้ำเคบาร์
12พระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระหึ่มอยู่ข้างหลังข้าพเจ้า (สาธุการแด่พระสิริของพระยาห์เวห์ในที่ประทับของพระองค์) 13และมีเสียงปีกของสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสกัน และเสียงวงล้อข้างๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้น เป็นเสียงกระหึ่ม 14แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นและนำข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็ไปด้วยความขมขื่น วิญญาณจิตของข้าพเจ้าเดือดดาล และพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ทรงพลังอยู่บนข้าพเจ้า 15ข้าพเจ้าจึงมาถึงพวกเชลยที่เทลอาบิบ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเคบาร์ และในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นข้าพเจ้าก็นั่งด้วยความตะลึงงันอยู่ท่ามกลางพวกเขาเจ็ดวัน
16พอสิ้นวันที่เจ็ด พระวจนะของพระยาห์เวห์ก็มาถึงข้าพเจ้าว่า 17“บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นยามของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเรา เจ้าจงกล่าวคำตักเตือนจากเราแก่พวกเขา 18ถ้าเราจะบอกกับคนอธรรมว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าไม่ได้ตักเตือนเขาหรือไม่ได้กล่าวตักเตือนคนอธรรมให้ละจากทางอธรรมของเขา เพื่อจะช่วยชีวิตเขาไว้ คนอธรรมนั้นจะตายเพราะความผิดบาปของเขา แต่โลหิตของเขา เราจะเรียกร้องเอาจากมือเจ้า 19แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนอธรรม และเขาไม่ได้หันกลับจากการอธรรมของเขา หรือจากทางอธรรมของเขา เขาจะตายเพราะความผิดบาปของเขา แต่เจ้าจะช่วยชีวิตของเจ้าให้รอด 20อีกประการหนึ่ง ถ้าคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของเขา และทำการอยุติธรรม แล้วเราวางสิ่งสะดุดไว้ตรงหน้าเขา เขาจะต้องตาย เขาตายเพราะบาปของเขา เนื่องจากเจ้าไม่ได้ตักเตือนเขา และจะไม่มีใครจดจำความชอบธรรมที่เขาเคยทำไว้ แต่โลหิตของเขา เราจะเรียกร้องเอาจากมือเจ้า 21แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนชอบธรรมไม่ให้ทำบาป และเขาไม่ทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน เพราะว่าเขารับคำตักเตือนและเจ้าก็จะช่วยชีวิตของเจ้าให้รอด”
เอเสเคียลอยู่ลำพังและเป็นใบ้
22ณ ที่นั่นพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มาอยู่บนข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ แล้วเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น” 23ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และนี่แน่ะ พระสิริของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกับพระสิริซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน 24แต่พระวิญญาณเสด็จเข้าในข้าพเจ้าและทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าและทรงบอกข้าพเจ้าว่า “จงไป แล้วขังตัวเองไว้ภายในบ้านของเจ้า 25เจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูสิ พวกเขาจะเอาเชือกพันเจ้า และมัดเจ้าด้วยเชือกนั้น เจ้าจึงออกไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาไม่ได้ 26และเราจะทำให้ลิ้นของเจ้าติดกับเพดานปากของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นใบ้ เจ้าจะไม่สามารถว่ากล่าวพวกเขา เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ 27แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้า แล้วเจ้าจะพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า’ ผู้ที่จะฟังก็ให้เขาฟัง และผู้ที่จะปฏิเสธก็ให้เขาปฏิเสธ เพราะเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์มักกบฏ”
อรรถาธิบาย
เข้ามายังพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยใจกล้าหาญ
ช่างน่าอัศจรรย์ที่เรารู้ว่าเราสามารถเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งฟ้าสววรค์ เราสามารถ ‘เข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า’ (ฮีบรู 4:16)! ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียล (หมายถึง ‘พระเจ้าทรงมีพระกำลังแข็งแกร่ง’) บรรยายถึงพระที่นั่งว่า ‘อัศจรรย์’ (ข้อ 22) ‘มีลักษณะคล้ายพระที่นั่งสีเหมือนกับพลอยสีน้ำเงิน มีสัตว์คล้ายมนุษย์เหนือพระที่นั่ง... จากเอวขึ้นไป ดูคล้ายกับทองสัมฤทธิ์ขัดเงา และจากเอวลงมาเหมือนกับไฟที่ลุกโชติช่วง สว่างไสวไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเป็นพระสิริของพระเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็คุกเข่าลงแล้วซบหน้าลงถึงดิน แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียง (เอเสเคียล 1:26–28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าทรงเรียกเอเสเคียลเมื่อตอนอายุ 30 ปี (593 ปี ก่อนคริสตกาล) (ข้อ1) เขาเป็นปุโรหิต (ข้อ 3) เป็นชาวยิว ถูกกวาดต้อนในบาบิโลน (แต่เยเรมีย์อยู่ที่เยรูซาเล็ม) เขาถูกจับเป็นเชลยพร้อมกับกษัตริย์ที่ทรงพระเยาว์ชื่อ เยโฮยาคีน ใน 597 ปี ก่อนคริสตกาล (2 พงศ์กษัตริย์ 24:8–17) เช่นเดียวกับเยเรมีย์ที่บอกให้ประชากรกลับใจใหม่ และพยากรณ์ถึงการสร้างเยรูซาเล็มขึ้นใหม่
การทรงเรียกของเอเสเคียลเริ่มจากการเห็นนิมิตของพระเจ้า ในนิมิตเขาเห็นสัตว์ประหลาดสี่ตัว (เอเสเคียล 1:10) แต่ละตัวเป็นการสำแดงถึงพระลักษณะของพระเจ้า
ตัวแรกมีใบหน้าเป็นมนุษย์ ตัวที่สองเหมือนสิงโต อันหมายถึงพละกำลังและความกล้าหาญ ตัวที่สามเหมือนวัว อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ และตัวที่สี่เหมือนนกอินทรี อันหมายถึงความรวดเร็ว ทั้งสี่ตัวชี้ไปที่ความโอ่อ่าน่ายำเกรง และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ข้อ 10)
ในนิมิตเอเสเคียลเห็นเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งเรารู้แล้วว่า คือ พระเยซู (วิวรณ์ 4:1–10)
เอเสเคียลตอบสนองต่อนิมิตพระที่นั่งแห่งพระกรุณา โดยการ ‘ซบหน้าลงถึงดิน’ (เอเสเคียล 1:28) นี่เป็นการตอบสนองที่ไม่แปลกไปต่อการทรงสถิตของพระเจ้า (ดูตัวอย่าง วิวรณ์ 4:10)
พระเจ้าตรัสกับเอเสเคียล (เอเสเคียล 2:1) พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในเอเสเคียล (ข้อ 2) พระองค์มอบหนังสือม้วนให้เอเสเคียลกิน (3:1) ‘แล้วข้าพเจ้าก็รับประทาน และเมื่อหนังสือม้วนนั้นอยู่ในปากข้าพเจ้ามันก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง’ (ข้อ 3ข) พระเจ้าให้เขาฟังอย่างตั้งใจ (2:8, 3:10) และออกไปกล่าวถ้อยคำที่พระเจ้ามอบให้
เอเสเคียลพบเจอกับการต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘อย่ากลัวพวกเขาเลย’ (ข้อ 9) มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเอเสเคียลที่ ‘ไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือปฏิเสธก็ตาม’ (ข้อ 11ข) นี่เป็นการย้ำเตือนความสำคัญของการฟัง ความรับผิดชอบของคุณก็เหมือนเอเสเคียล คือ ฟัง และพูดถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า
คุณไม่ต้องรับผิดชอบการตอบสนองของผู้อื่น (ข้อ 18–21) แต่คุณต้องรับผิดชอบกับการที่คุณตัดสินใจว่าจะฟังและพูดพระวจนะของพระเจ้าออกไปหรือไม่ (ข้อ 18, 20) บางครั้งคุณอาจไม่รู้ผลลัพธ์จากสถานการณ์นั้น ๆ แต่คุณสามารถวางใจและเชื่อฟังพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ต่อมาภายหลังพระสิริของพระเจ้าปรากฏแก่เอเสเคียลอีกครั้งและเขาซบหน้าลงถึงดิน (ข้อ 23) พระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาเหนือเอเสเคียล (ข้อ 24) และพระเจ้าทรงสัญญาว่า ‘แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้า แล้วเจ้าจะพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้”’ (ข้อ 27)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ฮีบรู 4:16 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘ดังนั้นให้เราเข้ามาหาพระองค์และรับเอาสิ่งที่พระองค์พร้อมที่จะประทานให้ จงรับพระเมตตาและยอมรับการช่วยเหลือ’
นั่นเรียกว่าความมั่นใจ
ข้อพระคำประจำวัน
ข้อพระคำประจำวัน
ฮีบรู 4:16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘ดังนั้นให้เราเข้ามาหาพระองค์และรับเอาสิ่งที่พระองค์พร้อมที่จะประทานให้ จงรับพระเมตตาและยอมรับการช่วยเหลือ’

App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)