วัน 285

กล้าที่จะแตกต่าง

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 119:17-24
พันธสัญญาใหม่ 1 เธสะโลนิกา 5:1-28
พันธสัญญาเดิม เยเรมีย์ 25:15-26:24

เกริ่นนำ

ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้พบและสัมภาษณ์ศิษยาภิบาลนาดาร์คานี ยูเซฟ เขาพบพระเยซูคริสต์เมื่ออายุได้สิบเก้าปี เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นศิษยาภิบาล และเป็นผู้นำของคริสตจักรในอิหร่าน

ในปี 2010 เมื่อเขาอายุ 32 ปี ได้แต่งงานและมีลูกสองคน เขาถูกจับและถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหา ‘ละทิ้งความเชื่อ’ (เปลี่ยนศาสนาจากอิสลามเป็นคริสต์) แต่ในสองปีต่อมา หลังจากถูกแรงกดดันจากนานาชาติ ก็ทำให้การตัดสินนั้นถูกเปลี่ยนไป

ในระหว่างการพิจารณาคดี ศิษยาภิบาลนาดาร์คานี ปฏิเสธที่จะละทิ้งความเชื่อของเขา ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต เขาบอกผู้พิพากษาว่า ‘ผมแน่วแน่ในความเชื่อและความเป็นคริสต์เตียนของผม และไม่วันล้มเลิกไป’ วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักรในขณะนั้น ยกย่องความกล้าหาญของเขา หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนอธิบายว่าเขาเป็น ‘คริสเตียนผู้กล้าหาญที่สร้างแรงบันดาลใจ’ ศิษยาภิบาลนาดาร์คานีก็เหมือนกับคริสเตียนหลาย ๆ คนทั่วโลกในทุกวันนี้ ยังคงเผชิญกับการกดขี่ข่มเหงเพราะความเชื่อของเขา

พระเยซูให้ภาพความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงแก่เรา กล้าที่จะแตกต่างด้วยการเป็นเหมือนพระองค์ อย่าทำตามสิ่งที่โลกบอกคุณว่าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา แต่จงติดตามพระเจ้าด้วยการเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 119:17-24

ג (กิเมล)
17ขอทรงดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์
 เพื่อข้าพระองค์จะมีชีวิตอยู่ และจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์
18ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็น
 สิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์
19ข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวบนแผ่นดินโลก
 ขออย่าทรงซ่อนพระบัญญัติของพระองค์จากข้าพระองค์
20จิตใจของข้าพระองค์กระตือรือร้นด้วยความปรารถนาใน
 กฎหมายของพระองค์ตลอดเวลา
21พระองค์ทรงขนาบคนโอหัง คนที่ถูกสาป
 ผู้หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์
22ขอทรงเอาการเยาะเย้ยและการหมิ่นประมาทไปจากข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์ได้รักษาพระโอวาทของพระองค์
23แม้พวกเจ้านายนั่งปรึกษากันต่อสู้ข้าพระองค์
 แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์
24พระโอวาทของพระองค์เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์
 เป็นที่ปรึกษาของข้าพระองค์

อรรถาธิบาย

เป็น ‘คนแปลกหน้า’ ของโลก

คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเข้ากับคนรอบข้างทั้งในที่ทำงานหรือเพื่อนบ้านของคุณบ้างหรือไม่? ดูเหมือนว่าค่านิยมและลักษณะการดำเนินชีวิตของคุณจะแตกต่างกันอยู่บ้างหรือไม่? บางครั้งคุณก็เผชิญกับ ‘การเยาะเย้ย’ และ ‘การหมิ่นประมาท’ (ข้อ 22) หรือไม่?

ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ‘ข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวบนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 19) ชายหญิงที่ยิ่งใหญ่ทุกคนในพระภาคพันธสัญญาเดิมเป็น ‘คนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก’ (ฮีบรู 11:13) อัครสาวกเปโตรเขียนว่า ‘จงดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงในเวลาที่พวกท่านอยู่ในโลกนี้’ (1 เปโตร 1:17) เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสดุดี ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า เราถูกเรียกให้แตกต่างจากคนรอบข้าง

ในความแตกต่างจากคนรอบข้าง ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า ‘จิตใจของข้าพระองค์กระตือรือร้นด้วยความปรารถนาในกฎหมายของพระองค์ตลอดเวลา’ (สดุดี 119:20) ขณะที่เขาอ่านพระคัมภีร์ เขาอธิษฐานว่า ‘ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์’ (ข้อ 18) นี่เป็นคำอธิษฐานที่ดีเมื่อคุณศึกษาพระคัมภีร์ เราสามารถเข้าใจเฉพาะในสิ่งที่พระวิญญาณทรงเปิดเผยเท่านั้น

คนรอบข้างบางคนเป็น ‘เพื่อนบ้านที่ไม่ดี’ ที่ ‘มุ่งปองร้าย’ (ข้อ 23ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แต่พระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นเหมือน ‘เพื่อนบ้านที่ดี’ (ข้อ 24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เขาเขียนว่า ‘ข้าพระองค์แช่อยู่กับการไตร่ตรองคำแนะนำอันชาญฉลาดของพระองค์ ใช่ คำตรัสของพระองค์เกี่ยวกับชีวิตก็เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าพระองค์มีความสุข ข้าพระองค์ฟังสิ่งเหล่านั้นเสมือนเพื่อนบ้านที่ดี!’ (ข้อ 23ข–24, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดประทานความกล้าหาญแก่ข้าพระองค์ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างคนแปลกหน้าบนแผ่นดินโลก ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เอาใจใส่อยู่กับพระวจนะของพระองค์ ใคร่ครวญในสิ่งที่พระองค์ตรัส ขอเปิดตาข้าพระองค์ให้เห็นสิ่งอัศจรรย์ในพระวจนะของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

1 เธสะโลนิกา 5:1-28

 1พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่ทรงกำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน 3เมื่อเขาพูดกันว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงทันที เหมือนกับความเจ็บปวดมาถึงหญิงมีครรภ์ พวกเขาจะหนีก็ไม่พ้น 4แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นไม่น่าจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา 5ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่าง และเป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด 6เพราะฉะนั้นเราอย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวังและมีสติ 7เพราะว่าคนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8แต่เมื่อเราเป็นของเวลากลางวันแล้วก็ให้เรามีสติ จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก 9เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระพิโรธ แต่สำหรับการรับความรอด โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 10ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ 11เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น

คำเตือนสติและคำทักทายสุดท้าย

 12พี่น้องทั้งหลาย เราขอร้องท่านให้นับถือคนที่ทำงานอยู่ท่ามกลางพวกท่าน และปกครองท่านและตักเตือนท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า 13จงเคารพและรักเขาให้มากเพราะงานที่เขาได้ทำ จงอยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน 14พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พวกท่านตักเตือนคนที่เกียจคร้าน หนุนใจผู้ที่ขาดความกล้าหาญ ช่วยเหลือคนที่อ่อนกำลัง และมีความอดทนต่อทุกคน 15อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงหาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั่วไปด้วย 16จงชื่นบานอยู่เสมอ 17จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ 18จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์ 19อย่าขัดขวางพระวิญญาณ 20อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ 21จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น 22จงเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง
 23ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา 24พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ
 25พี่น้องทั้งหลาย จงอธิษฐานเพื่อเราด้วย
 26จงทักทายปราศรัยพี่น้องด้วยการจูบอันบริสุทธิ์
 27ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ท่านอ่านจดหมายฉบับนี้ให้พี่น้องฟังทุกคน
 28ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด

อรรถาธิบาย

ดำเนินชีวิตอย่างแตกต่าง

การถูกเรียกให้แตกต่างจากโลกรอบตัวเรา เราได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ เปาโลเขียนว่า ‘อย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น’ (ข้อ 6) กล้าที่จะแตกต่างเปาโลใช้อุปมาสี่ประการเพื่ออธิบายความแตกต่าง:

1. แสงสว่าง ไม่ใช่ความมืด
โลกรอบตัวอยู่ในความมืด (ข้อ 4) อย่าวิ่งหนีจากความมืด แต่จงส่องแสงในนั้น ‘ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่าง’ (ข้อ 5ก) ความมืดหมายถึงความเขลาและบาป คุณอยู่ในความมืด พระเยซูส่องแสงในชีวิตของคุณ คุณเป็นลูกของความสว่าง การเป็นลูกของบางสิ่งนั้นจะต้องมีลักษณะเฉพาะกับสิ่งนั้น เมื่อกล่าวถึงคริสเตียนว่าเป็น ‘ลูกของความสว่าง’ หมายความว่า ‘ความสว่าง’ เป็นลักษณะเด่นของคุณ

2. กลางวัน ไม่ใช่กลางคืน
เปาโลเขียนว่า ‘ท่านทุกคน…เป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด’ (ข้อ 5) เช่นเดียวกับประเด็นก่อนหน้าเกี่ยวกับความสว่างและความมืด สิ่งนี้ยังหมายถึง ‘วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 2) ด้วย เราเป็นลูกของวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดนี้หมายถึงการรอคอยและการมีส่วนร่วมในชัยชนะของวันอันยิ่งใหญ่นั้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา

3. ตื่น ไม่ใช่หลับ
เปาโลเขียนว่า ‘อย่าหลับเหมือนอย่างคนอื่น... คนนอนหลับก็ย่อมหลับในเวลากลางคืน’ (ข้อ 6–7) เขากล่าวต่อไปว่า ‘จะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์’ (ข้อ 10) พระเยซูอยู่กับคุณแล้วในตอนนี้ พระเยซูเองก็ทรงใช้ภาษาเดียวกันนี้ในการเฝ้าระวังและตื่นตัว (มัทธิว 24:42; 25:13) อย่าหลับใหลฝ่ายวิญญาณ เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตื่นตัวและเฝ้าระวัง

4. มีสติ ไม่ใช่เมามาย เปาโลเขียนว่า ‘ให้เรามีสติ’ (1 เธสะโลนิกา 5:8) คำนี้มีความหมายตามตัวอักษรว่า ‘ไม่เมาเหล้าองุ่น’ เช่นเดียวกับคำอุปมาอื่น ๆ ที่กล่าวถึงทั้งสภาพร่างกายและความเป็นจริงทางจิตวิญญาณ ความมึนเมาเกิดจากการขาดการควบคุมตนเอง และการปล่อยวางความรู้สึกเพื่อหลีกหนีความเป็นจริง พยายามควบคุมตนเองในทุกด้านของชีวิต จงสวมความเชื่อ ความรัก และความหวัง (ข้อ 8)

วิถีการดำเนินชีวิตของคุณจะแตกต่างไปจากคนรอบข้างอย่างสิ้นเชิง คุณต้องให้เกียรติผู้นำของคุณ ‘เราขอให้คุณให้เกียรติผู้นำเหล่านั้นที่ทำงานอย่างหนักเพื่อคุณ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการกระตุ้นและแนะนำคุณในการเชื่อฟัง ให้ความเคารพและรักพวกเขา!’ (ข้อ 12–13ก, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คุณถูกเรียกสู่ชีวิตแห่งการให้เกียรติ (ข้อ 12) ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเคารพเสมอ จงอยู่อย่างสงบสุขอยู่เสมอ (ข้อ 13) ‘หนุนใจผู้พลัดหลง และช่วยเหลือคนที่หมดเรี่ยวแรง ดึงพวกเขาให้ยืนขึ้น อดทน ใส่ใจกับความต้องการของแต่ละคน และระมัดระวังเมื่อคุณกระทบกระทั่งกัน คุณจะไม่ตะคอกใส่กัน มองหาสิ่งที่ดีที่สุดจากกันและกัน และทำให้ดีที่สุดเสมอเพื่อนำมันออกมา’ (ข้อ 14–15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากคุณต้องการดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวผู้คนออกมา คุณต้องเห็นสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเขาก่อน

โอบอ้อมอารีกับทุกคน ความเมตตาควรเป็นลักษณะเด่นในชีวิตคุณ ‘จงหาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั่วไปด้วย’ (ข้อ 15) แม้แต่การแสดงความเมตตาเพียงเล็กน้อยก็มีพลังมากจนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกรอบตัวคุณได้

คุณเป็นพลเมืองของโลกที่แตกต่าง คุณต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ สิ่งที่เปาโลอธิบายในที่นี้คือไวยากรณ์ของภาษาใหม่ ‘จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี’ (ข้อ 16) การอธิษฐานควรเป็นเหมือนลมหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำอย่างต่อเนื่องและบ่อยครั้งโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะบ่นต่อว่าก็ให้ ‘ขอบคุณในทุกกรณี’ แสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าและผู้อื่น ทั้งในเรื่องเล็กน้อยและเรื่องใหญ่

‘อย่าขัดขวางพระวิญญาณ อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ จงพิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น จงเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง’ (ข้อ 19–22)

ทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนเป็นโอกาสที่น่ากลัวมาก แต่คุณไม่ได้อยู่คนเดียว เปาโลอธิษฐานว่า ‘ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด’ (ข้อ 23) และจบด้วยความหวังและการช่วยเหลือ ‘พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ’ (ข้อ 24)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้กล้าที่จะแตกต่าง ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้อยู่ร่วมกับพระองค์ (ข้อ 10) ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความชั่วทุกอย่าง (ข้อ 22) และดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความเมตตา ความปีติยินดี และสันติสุข
พันธสัญญาเดิม

เยเรมีย์ 25:15-26:24

ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

 15พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงเอาถ้วยเหล้าองุ่นแห่งความโกรธนี้ไปจากมือเรา และบังคับบรรดาประชาชาติซึ่งเราส่งเจ้าไปหานั้นให้ดื่มจากถ้วยนั้น 16เขาจะดื่มและเดินโซเซและบ้าคลั่งไปเนื่องด้วยดาบซึ่งเราส่งไปท่ามกลางเขาทั้งหลาย”
 17ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรับถ้วยมาจากพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ และบังคับประชาชาติทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าไปหานั้นดื่ม 18คือกรุงเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ทั้งบรรดากษัตริย์และเจ้านายของเมืองนั้น ทำให้ถูกทิ้งร้างและที่ร้างเปล่า เป็นที่เยาะเย้ยและแช่งสาปอย่างทุกวันนี้ 19ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์กับบรรดาข้าราชการ และเจ้านายและประชาชนของพระองค์นั้น 20และบรรดาชนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเขา บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินอูส และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินฟีลิสเตีย (คือเมืองอัชเคโลน กาซา เอโครน และเมืองอัชโดดที่เหลืออยู่) 21เอโดม โมอับและคนอัมโมน 22บรรดากษัตริย์แห่งเมืองไทระ บรรดากษัตริย์เมืองไซดอนและบรรดากษัตริย์แห่งเมืองชายทะเลฟากโน้น 23เมืองเดดาน เทมา บุส และบรรดาคนที่โกนผมจอนหู 24บรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและบรรดากษัตริย์แห่งเผ่าที่ปะปนกันอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 25บรรดากษัตริย์แห่งศิมรี และบรรดากษัตริย์แห่งเอลาม และบรรดากษัตริย์แห่งมีเดีย 26บรรดากษัตริย์แห่งเมืองทิศเหนือ ทั้งไกลและใกล้ทีละองค์ และบรรดาราชอาณาจักรแห่งโลกซึ่งอยู่บนพื้นพิภพ และกษัตริย์แห่งเชชัก จะดื่มภายหลังกษัตริย์เหล่านี้
 27“แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย’
 28“และถ้าเขาปฏิเสธไม่รับถ้วยจากมือของเจ้าดื่ม เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า เจ้าต้องดื่ม 29เพราะนี่แน่ะ เราได้เริ่มลงโทษเมืองซึ่งเรียกตามชื่อของเราแล้ว และเจ้าจะลอยนวลไปได้โดยไม่ต้องโทษหรือ? พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เจ้าจะลอยนวลไปไม่ได้ เพราะเรากำลังเรียกดาบเล่มหนึ่งมาเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น
30“เพราะฉะนั้น เจ้าจงเผยพระวจนะเหล่านี้ทั้งสิ้นสู้เขาทั้งหลาย และกล่าวแก่เขาว่า
 ‘พระยาห์เวห์จะเปล่งพระสุรเสียงจากที่สูง
และจากที่พำนักบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะตรัส
 พระองค์จะเปล่งพระสุรเสียงดังสนั่นต่อฝูงแกะของพระองค์
และทรงโห่ร้องอย่างกับคนย่ำองุ่นโห่ร้อง
 ต่อชาวพิภพทั้งสิ้น
31เสียงกัมปนาทจะก้องไปทั่วปลายพิภพ
 เพราะพระยาห์เวห์ทรงมีคดีกับบรรดาประชาชาติ
พระองค์ทรงเข้าพิพากษาเนื้อหนังทั้งสิ้น
 ส่วนคนอธรรมนั้น
พระองค์จะทรงฟันเสียด้วยดาบ’ ”
 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
32พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า
 “นี่แน่ะ เหตุร้ายจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น
และพายุใหญ่จะก่อตัวขึ้นมา
 จากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด”
 33และบรรดาผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงประหารในวันนั้น จะมีจากปลายโลกข้างนี้ถึงปลายโลกข้างโน้น เขาเหล่านั้นจะไม่มีใครคร่ำครวญให้ หรือรวบรวมหรือฝังไว้ แต่จะเป็นเหมือนมูลสัตว์อยู่บนพื้นดิน
34ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายเอ๋ย จงคร่ำครวญและร้องเถิด
 ท่านเจ้าของฝูงแกะ จงกลิ้งเกลือกในขี้เถ้า
เพราะวันเวลาแห่งการสังหารท่านและวันเวลาที่ท่านต้องกระจัดกระจาย มาถึงแล้ว
 และพวกท่านจะล้มลงเหมือนภาชนะล้ำค่า
35ผู้เลี้ยงแกะจะไม่มีทางหนี
 เจ้าของฝูงแกะไม่มีทางรอด
36จงฟังเสียงร้องของผู้เลี้ยงแกะ
 และเสียงคร่ำครวญของเจ้าของฝูงแกะ
 เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงทำลายลานหญ้าของเขาทั้งหลายเสีย
37และที่อาศัยอันสงบสุขก็ถูกผลาญเสียแล้ว  เนื่องด้วยความกริ้วอันแรงกล้าของพระยาห์เวห์
38พระองค์ทรงออกจากที่ซุ่มของพระองค์อย่างสิงห์หนุ่ม
 เพราะว่าแผ่นดินของเขาทั้งหลายเป็นที่ร้างเปล่า
เนื่องด้วยความกริ้วของผู้กดขี่
 และเนื่องด้วยความกริ้วอันแรงกล้าของพระองค์

เยเรมีย์ 26

คำพยากรณ์ของเยเรมีย์ในพระวิหาร

 1ในต้นรัชกาลของเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ พระวจนะนี้มาจากพระยาห์เวห์ว่า 2พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงยืนอยู่ในลานพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ และจงพูดกับเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ ซึ่งมานมัสการในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ คือพูดถ้อยคำที่เราสั่งเจ้าให้พูดกับพวกเขา อย่าเว้นสักคำเดียว 3บางทีพวกเขาจะฟัง และทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วร้ายของเขา และเราจะกลับใจไม่ทำการร้ายซึ่งเราเจตนาจะทำต่อพวกเขา เนื่องด้วยการกระทำชั่วร้ายของเขา 4เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังเรา ที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติที่เราได้วางไว้ต่อหน้าเจ้า 5และฟังถ้อยคำของบรรดาผู้รับใช้ของเรา คือบรรดาผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเราได้ส่งไปหาเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าไม่ฟังนั้น 6แล้วเราจะทำให้พระนิเวศนี้เหมือนอย่างชิโลห์ และเราจะทำให้เมืองนี้เป็นคำสาปแก่บรรดาประชาชาติทั่วโลก”
 7บรรดาปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งสิ้นได้ยินเยเรมีย์พูดถ้อยคำเหล่านี้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 8และเมื่อเยเรมีย์ได้จบคำพูดทั้งสิ้น ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านให้พูดแก่ประชาชนนั้น บรรดาปุโรหิตผู้เผยพระวจนะและประชาชนทั้งสิ้นได้จับเยเรมีย์กล่าวว่า “เจ้าจะต้องตาย 9ทำไมเจ้าจึงเผยพระวจนะในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า ‘พระนิเวศนี้จะเหมือนชิโลห์และเมืองนี้จะร้างเปล่า ไม่มีชาวเมืองอยู่’ ” และประชาชนทั้งสิ้นก็กลุ้มรุมกันมาล้อมเยเรมีย์ที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์
 10เมื่อบรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์ได้ยินสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็ขึ้นมาจากพระราชวังถึงพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และมานั่งในทางเข้าประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 11แล้วบรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะจึงบอกเจ้านายและประชาชนทั้งปวงว่า “ชายคนนี้ควรได้รับโทษถึงตาย เพราะเขาเผยพระวจนะกล่าวโทษเมืองนี้ ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินกับหูของท่านเองแล้ว”
 12เยเรมีย์จึงบอกเจ้านายทั้งสิ้นและประชาชนทั้งปวงว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเผยพระวจนะต่อพระนิเวศและเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมา 13เพราะฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายจงแก้ไขทางและการกระทำของท่านและเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และพระยาห์เวห์จะกลับพระทัยจากเหตุร้ายซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดให้ท่าน 14แต่ส่วนตัวข้าพเจ้า นี่แน่ะ ข้าพเจ้าอยู่ในมือของพวกท่าน ท่านจงทำต่อข้าพเจ้าตามที่ท่านเห็นดีเห็นชอบเถิด 15ขอแต่เพียงให้ทราบแน่ว่า ถ้าท่านประหารข้าพเจ้า ท่านจะนำโลหิตไร้ความผิดมาตกบนตัวท่านเองและเมืองนี้และชาวเมืองนี้ เพราะความจริงพระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาพูดถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นให้เข้าหูของท่าน”
 16แล้วเจ้านายและประชาชนทั้งสิ้นได้พูดกับบรรดาปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะว่า “ชายผู้นี้ไม่สมควรต้องโทษประหาร เพราะเขาได้พูดกับเราในพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา” 17และผู้ใหญ่บางคนแห่งแผ่นดินนั้นก็ลุกขึ้นพูดกับประชาชนทั้งสิ้นที่ชุมนุมกันอยู่ว่า 18“มีคาห์ชาวเมืองโมเรเชทได้เผยพระวจนะในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า

“เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนไถนา
 กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง
 และภูเขาที่ตั้งของนิเวศนั้นจะเป็นที่สูงแห่งป่าไม้” ’

 19เฮเซคียาห์กษัตริย์ยูดาห์ และคนยูดาห์ทั้งสิ้นได้ฆ่าท่านเสียหรือ? ท่านยำเกรงพระยาห์เวห์และทูลวิงวอนขอพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้กลับพระทัยต่อเหตุร้ายซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เขาเหล่านั้นไม่ใช่หรือ? แต่เรากำลังจะนำเหตุร้ายยิ่งใหญ่มาสู่ตัวเราเอง”
 20ยังมีชายอีกคนหนึ่งผู้เผยพระวจนะในพระนามของพระยาห์เวห์ ชื่ออุรียาห์ บุตรเชไมยาห์ ชาวคีริยาทเยอาริม ท่านได้เผยพระวจนะกล่าวโทษเมืองนี้ และแผ่นดินนี้เป็นถ้อยคำคล้ายคลึงกับของเยเรมีย์ 21และเมื่อกษัตริย์เยโฮยาคิม พร้อมกับบรรดานักรบและบรรดาเจ้านายได้ยินถ้อยคำนี้ พระราชาก็ทรงแสวงหาทางจะสังหารท่านเสีย และเมื่ออุรียาห์ได้ทราบเรื่อง ท่านก็กลัวจึงหนีไปยังอียิปต์ 22แล้วกษัตริย์เยโฮยาคิมก็ส่งชายบางคน คือเอลนาธันบุตรอัคโบร์และคนอื่นอีกไปยังอียิปต์ 23และพวกเขาจับอุรียาห์มาจากอียิปต์ และนำท่านมาถวายกษัตริย์เยโฮยาคิม พระองค์ทรงประหารท่านเสียด้วยดาบ และโยนศพเข้าไปในที่ฝังศพของคนสามัญ
 24แต่อาหิคัมบุตรชาฟานได้ช่วยเหลือเยเรมีย์ ฉะนั้นเยเรมีย์จึงไม่ได้ถูกมอบให้ประชาชนประหารชีวิต

อรรถาธิบาย

พูดอย่างแตกต่าง

ผู้คนไม่ต้องการฟังทัศนะของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา จึงต้องใช้ความกล้าหาญในการกล่าวพระวจนะของพระเจ้ากับสังคมที่มีมุมมองของตนเองซึ่งอาจแตกต่างอย่างมากกับของพระเจ้า

พันธกิจของเยเรมีย์จำเป็นต้องมีความกล้าหาญอย่างมาก เขาต้องกล้าที่จะแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะรอบ ๆ พวกเขาทั้งหมดพยากรณ์ถึงสันติสุข แต่เยเรมีย์รู้ว่าการถูกเนรเทศกำลังจะมาถึง เขากำลังเตือนประชาชนเกี่ยวกับภัยพิบัติที่จะมาถึง

พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘พูดถ้อยคำที่เราสั่งเจ้าให้พูดกับพวกเขา อย่าเว้นสักคำเดียว บางทีพวกเขาจะฟัง และทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วร้ายของเขา’ (26:2–3)

อย่างไรก็ตาม ‘เมื่อเยเรมีย์ได้จบคำพูดทั้งสิ้น ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านให้พูดแก่ประชาชนนั้น บรรดาปุโรหิตผู้เผยพระวจนะและประชาชนทั้งสิ้นได้จับเยเรมีย์กล่าวว่า “เจ้าจะต้องตาย!”’ (ข้อ 8)

เป็นอีกครั้งที่คำตอบของเยเรมีย์นั้นกล้าหาญมาก เขากล่าวว่า ‘จงเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกท่าน เปลี่ยนพฤติกรรมของพวกท่าน ฟังพระวจนะของพระเจ้าอย่างเชื่อฟัง บางทีพระเจ้าอาจพิจารณาความหายนะที่เขาคุกคามอีกครั้ง... ถ้าพวกท่านฆ่าข้าพเจ้า พวกท่านก็กำลังฆ่าคนบริสุทธิ์... พระเจ้าส่งข้าพเจ้ามาและบอกข้าพเจ้าว่าจะพูดอะไร พวกท่านได้ฟังพระเจ้าตรัส ไม่ใช่เยเรมีย์’ (ข้อ 13–15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

อันที่จริงก็เช่นเดียวกับดาร์คานี ยูเซฟ เยเรมีย์รอดพ้นจากโทษประหารชีวิต แต่บุรุษทั้งสองนี้ยินดีจ่ายราคาสูงสุดเพื่อยืนหยัดในความซื่อตรงต่อพระเจ้า เราอาจไม่ได้เผชิญแรงกดดันแบบเดียวกัน แต่โลกรอบตัวเรามักจะไม่ชอบให้เราแตกต่าง อย่าแปลกใจหรือท้อแท้กับการต่อต้านเช่นนี้ ดังที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ‘ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด! เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว’ (ยอห์น 16:33)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณสำหรับตัวอย่างของศิษยาภิบาลนาดาร์คานี เยเรมีย์ เปาโล และสุดท้ายคือพระเยซูเอง ผู้ซึ่งเต็มใจและกล้าที่จะแตกต่างไปจากคนรอบข้าง กระทั่งถูกพิพากษาประหารชีวิต ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์กล้าที่จะแตกต่าง และกล่าวถ้อยคำที่พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพระองค์พูด

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 เธสะโลนิกา 5:10

‘ผู้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์’

นี่เป็นเหมือนถ้อยคำปลอบโยนที่ทำให้รู้ว่าเราอยู่กับพระเยซูเสมอ ต่อเนื่องทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า อย่างที่เรารู้ว่าชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้จะถึงจุดจบ แต่ชีวิตที่เราอยู่กับพระคริสต์จะดำเนินต่อไปตลอดกาล

ข้อพระคำประจำวัน

1 เธสะโลนิกา 5:16-18

'จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เปลี่ยนภาษา

พระคัมภีร์ในหนึ่งปีมีให้บริการในภาษาต่อไปนี้:

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม