มากขึ้น
เกริ่นนำ
ขออีกหน่อย (More Please) เป็นชื่อเรื่องของอัตชีวประวัติของนักแสดงท่านหนึ่ง คือ แบร์รี่ ฮัมฟรีส์ (ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างดีจากการเล่นในบทบาท Dame Edna Everage) เขาเขียนว่าคำสองคำนี้ ‘ขออีกหน่อย’ เป็นคำพูดที่สอดคล้องกัน
เขาพูดต่อไปว่า ‘ผมต้องการมากขึ้นเสมอ ผมไม่เคยพอไม่ว่าจะเครื่องดื่ม เงิน ถุงเท้า เซ็กซ์ วันหยุด รุ่นแรก ความเหงา แผ่นเสียง อาหารฟรี เพื่อนแท้ ความสุขที่ปราศจากความผิด เนคไท เสียงปรบมือ ความรักที่ไร้ข้อกังขา หรือลูกพลับ แน่นอนว่าสิ่งที่ผมมีแล้วนั้นมันมากกว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่กลับทำให้ผมรู้สึกไม่เติมเต็ม และสงสัยว่า ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ที่ไหน?’
การแสวงหาความสุขให้ตัวเองมักจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าไม่ถูกเติมเต็ม ในข้อพระคัมภีร์สำหรับวันนี้ คุณจะเห็นว่าอะไรที่จะสนองความหิวกระหายทางฝ่ายวิญญาณของคุณได้อย่างแท้จริง และสิ่งที่คุณควรจะแสวงหามากขึ้นเรื่อย ๆ เปาโลเน้นย้ำสองสิ่งเป็นพิเศษ ดำเนินชีวิตเพื่อ ‘จะเป็นที่พระเจ้าพอพระทัย’ (1 เธสะโลนิกา 4:1) และ ‘รักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ’ (ข้อ 9–10)
สุภาษิต 24:23-34
คำกล่าวเพิ่มเติมของคนมีปัญญา
23ข้อความเหล่านี้เป็นคำกล่าวของคนมีปัญญาด้วย
การลำเอียงในการตัดสินนั้นไม่ดีเลย
24ผู้ที่กล่าวแก่คนอธรรมว่า “เจ้าไร้ความผิด”
จะถูกประชาชนแช่งและประชาชาติรังเกียจ
25แต่ผู้ที่ประณามคนอธรรมจะปีติยินดี
และพรอันดีจะมายังพวกเขา
26คนที่เป็นเพื่อนแท้
คือคนที่ตอบตรงไปตรงมา
27จงเตรียมงานของเจ้าที่ข้างนอก
จงทำมันให้พร้อมสำหรับเจ้าที่ในนา
และหลังจากนั้นก็จงสร้างบ้านของเจ้า
28อย่าเป็นพยานปรักปรำเพื่อนบ้านของเจ้าอย่างไม่มีเหตุ
และอย่าล่อลวงด้วยปากของเจ้า
29อย่ากล่าวว่า “ข้าจะทำแก่เขาอย่างที่เขาได้ทำแล้วแก่ข้า
ข้าจะทำตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา”
30ข้าผ่านไปที่ไร่นาของคนเกียจคร้าน
ข้างสวนองุ่นของคนไม่มีสามัญสำนึก
31และนี่แน่ะ มีหนามงอกเต็มไปหมด
หน้าดินก็ปกคลุมด้วยต้นเหงือกหนาม
และกำแพงหินของมันก็พังลง
32เมื่อข้ามองดูและได้พิเคราะห์
ข้าเห็นและได้รับคติสอนใจ
33“หลับนิด เคลิ้มหน่อย
กอดมือพักนิดหน่อย”
34แล้วความจนจะมาหาเจ้าอย่างขโมย
และความขัดสนอย่างคนถืออาวุธ
อรรถาธิบาย
สติปัญญาที่มากขึ้นจากพระเจ้า
‘สติปัญญา’ มาจากพระเจ้าและใช้ได้จริงอย่างมาก ‘คำกล่าวของคนมีปัญญา’ (ข้อ 23) ครอบคลุมแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต ยกตัวอย่างเช่น
1. ตัดสินอย่างยุติธรรม
‘การลำเอียงในการตัดสินนั้นไม่ดีเลย’ (ข้อ 23ข) สำหรับผู้ที่ตัดสินอย่างยุติธรรม ‘พรอันดีจะมายังพวกเขา’ (ข้อ 25)
2. พูดอย่างตรงไปตรงมา
‘คนที่เป็นเพื่อนแท้คือคนที่ตอบตรงไปตรงมา’ (ข้อ 26) บางครั้งมันก็ยากที่จะพูดความจริงด้วยความรัก แต่เราต้องซื่อสัตย์ต่อกัน คำตอบที่ดีที่สุดที่คุณสามารถมอบให้กับคำถาม (เช่น โดยแขกรับเชิญในหลักสูตรอัลฟ่า) คือคำตอบที่ตรงไปตรงมา!
3. จงรักภักดี
‘อย่าพูดถึงเพื่อนบ้านของท่านลับหลัง ได้โปรดอย่าใส่ร้ายหรือนินทา’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ทุกคนสามารถซื่อสัตย์เมื่ออยู่ต่อหน้าของคุณได้ แต่คนที่ยังซื่อสัตย์เมื่ออยู่ลับหลังคุณต่างหากที่สำคัญจริง ๆ
4. แสดงความยับยั้งชั่งใจ
การล่อลวงเพื่อตอบแทนคนที่ทำร้ายเรานั้นเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรก็ตามผู้เขียนสุภาษิตเตือนว่าอย่าแก้แค้น ‘อย่ากล่าวว่า “ข้าจะทำแก่เขาอย่างที่เขาได้ทำแล้วแก่ข้า ข้าจะทำตอบแทนเขาตามการกระทำของเขา”’ (ข้อ 29)
5. ทำงานหนัก
พระธรรมสุภาษิตมักเตือนไม่ให้เกียจคร้าน ‘หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักนิดหน่อย แล้วความจนจะมาหาเจ้าอย่างขโมย และความขัดสนอย่างคนถืออาวุธ’ (ข้อ 33–34)
คำอธิษฐาน
1 เธสะโลนิกา 4:1-18
ชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้า
1พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ เนื่องจากเราได้สอนท่านถึงวิธีดำเนินชีวิตซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และท่านดำเนินอย่างนั้นอยู่แล้ว เราจึงขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงดำเนินให้ดียิ่งขึ้นอีก 2เพราะพวกท่านทราบคำแนะนำซึ่งเราได้ให้ไว้กับท่านในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว 3พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างนี้คือ ให้พวกท่านเป็นคนบริสุทธิ์ คือให้เว้นจากการล่วงประเวณี 4ให้ท่านทุกคนรู้จักบังคับร่างกายของตนแปลได้อีกว่า มีภรรยาของตนในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ 5ไม่ใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า 6อย่าล่วงเกินและทำผิดต่อพี่น้องในเรื่องนี้เลย เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ทรงลงโทษคนที่ทำผิดอย่างนั้น เหมือนอย่างที่เราได้เตือนสอนและบอกไว้ก่อนแล้ว 7เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้เป็นคนลามก แต่ทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ 8เหตุฉะนั้นคนที่ปฏิเสธคำสอนนี้ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์เท่านั้น แต่ได้ปฏิเสธพระเจ้า ผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้แก่ท่าน
9ส่วนเรื่องการรักพี่น้องนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ใครเขียนถึงพวกท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนท่านเองให้รักกันอยู่แล้ว 10ความจริงท่านได้ประพฤติต่อพี่น้องทุกคนทั่วแคว้นมาซิโดเนียเช่นนั้นอยู่ แต่พี่น้องทั้งหลาย ขอให้ท่านทำอย่างนี้มากขึ้นอีก 11และจงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตน และทำงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว 12เพื่อพวกท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และไม่ต้องรบกวนใครภาษากรีกแปลตรงตัวว่า และจะไม่ขัดสนสิ่งใดเลย
การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
13พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความเข้าใจเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง 14เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ 15ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกพวกท่านข้อนี้ว่า เราที่ยังมีชีวิตอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ล่วงหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว 16คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
17หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ 18เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
อรรถาธิบาย
ทำให้พระเจ้าพอพระทัยมากขึ้น
แทนที่จะแค่ ‘มองหาที่หนึ่ง’ เราถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยมากขึ้นเรื่อย ๆ (ข้อ 1) แทนที่จะ ‘ร้องขอมากขึ้น’ เราควรดำเนินชีวิตให้เป็นที่ ‘พอพระทัย’ ต่อพระเจ้ามากขึ้น คุณถูกเรียกให้รักพระเจ้า ‘มากขึ้นและมากขึ้น’ และให้รักผู้อื่น ‘มากขึ้นอีก’ (ข้อ 10) คุณทำสิ่งนี้ได้อย่างไร?
1. ให้เกียรติกับร่างกายของคุณ
พระเจ้าห่วงใยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของคุณ ‘เรียนรู้ที่จะชื่นชมและให้เกียรติร่างกายของคุณ’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เปาโลเขียนว่า ‘พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างนี้คือ ให้พวกท่านเป็นคนบริสุทธิ์ คือให้เว้นจากการล่วงประเวณี ให้ท่านทุกคนรู้จักบังคับร่างกายของตน ในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ ไม่ใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า’ (ข้อ 3–5)
2. ใช้ชีวิตอย่างงดงาม
‘เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้เป็นคนลามก แต่ทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์’ (ข้อ 7) ‘บริสุทธิ์และงดงาม งดงามทั้งภายในและภายนอก’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความงามที่แท้จริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ แต่มันอยู่ที่ว่าภายในของคุณเป็นอย่างไร การทำให้บริสุทธิ์เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นผ่านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้า ‘ผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้แก่ท่าน’ (ข้อ 8) เพื่อวัตถุประสงค์นี้
3. รักกันและกัน
เปาโลเขียนว่า ‘ส่วนเรื่องการรักพี่น้องนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ใครเขียนถึงพวกท่านอีก เพราะพระเจ้าทรงสอนท่านเองให้รักกันอยู่แล้ว’ (ข้อ 9) ‘ทำให้ดียิ่งขึ้น’ (ข้อ 10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
4. ทำกิจธุระส่วนของตน
เปาโลเขียนว่าเราไม่ได้แค่มีความทะเยอทะยานเท่านั้น แต่เราต้องมีความปรารถนาในการใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความอุตสาหะ เมื่ออ่านแล้วก็น่าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสิ่งยิ่งใหญ่ที่เปาโลทำเพื่อพระเจ้า แต่ดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญอย่างลึกซึ้งในสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิต เปาโลเขียนว่า ‘ทำกิจธุระส่วนของตน’ (ข้อ 11) เมื่อคุณกำลังแบ่งปันข้อมูล โดยที่คุณเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา หรือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหานั่นก็หมายความว่าคุณกำลังเข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวาย แต่แน่นอนว่าจะมีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องมีส่วนร่วมและช่วยเหลือผู้อื่น แต่เราจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายในกิจธุระของผู้อื่น
5, หางานทำ ถ้าคุณสามารถทำได้
เปาโลเขียนว่า ‘… ทำงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว เพื่อพวกท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และไม่ต้องรบกวนใครเลย’ (ข้อ 11–12) สำหรับบางคน เช่น พ่อแม่ที่อยู่บ้าน งานของพวกเขาคือที่บ้าน บางคนทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว กฎทั่วไปคือเราควรพยายามหางานทำถ้าทำได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นสำหรับการสนับสนุน บางคนอาจต้องพึ่งพาพระกายของพระคริสต์เพื่อรับการสนับสนุน เช่น ผู้ที่อยู่ในพันธกิจเต็มเวลาบางประเภทที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่นี่เป็นข้อยกเว้นมากกว่ากฎ
6. เพลิดเพลินกับความหวังที่ไม่รู้จบ
ความตายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณถูกเรียกให้มีท่าทีที่ต่างไปจากเดิม แน่นอนว่าเราเสียใจเมื่อมีคนเสียชีวิต แต่เปาโลบอกว่าเราไม่ควร ‘เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความหวัง’ (ข้อ 13) เพราะ ‘ในเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์และหลุดพ้นจากหลุมมรณา พระเจ้าจะทรงนำผู้ที่ตายในพระเยซูกลับมามีชีวิตอีกครั้ง’ (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ความตายไม่ใช่จุดจบ เปาโลกำลังบอกว่าขณะที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ ในทำนองเดียวกันเราเชื่อว่าในการฟื้นคืนพระชนม์พระเจ้าจะทรงนำทุกคนที่ล่วงหลับไปพร้อมกับพระองค์ เปาโลใช้อีกคำหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ คุณจะไม่มีวันตาย คุณเพียง ‘ล่วงหลับไป’ (ข้อ 13, 15)
คุณจะได้ผูกพันกับพระเยซูอีกครั้งเพื่อ ‘พบองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 17ก) และเราจะกลับมารวมกันอีกครั้ง ‘พร้อมกับคนเหล่านั้น’ (ข้อ 17ก) ‘การรวมตัวครั้งใหญ่ของครอบครัว’ (พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ไม่เพียงแต่คุณเท่านั้นที่จะได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป (ข้อ 17ข) แต่คุณยังจะได้อยู่กับทุกคนที่ ‘ล่วงหลับไปแล้ว’ (ข้อ 14) หลายคนมองเห็นเพียงจุดจบที่สิ้นหวัง แต่คุณมีความหวังไม่รู้จบ ย้ำเตือนและ ‘จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้’ (ข้อ 18)
คำอธิษฐาน
เยเรมีย์ 23:9-25:14
ประณามผู้เผยพระวจนะเท็จ
9เกี่ยวกับเรื่องบรรดาผู้เผยพระวจนะนั้น
ใจข้าเป็นทุกข์อยู่ภายในข้า
และกระดูกทั้งสิ้นของข้าก็สั่น
ข้าเป็นเหมือนคนเมา
ข้าเป็นเหมือนคนไร้สติเพราะเหล้าองุ่น
เนื่องด้วยพระยาห์เวห์
และพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์
10เพราะว่า แผ่นดินนั้นเต็มด้วยคนล่วงประเวณี
ด้วยเหตุคำสาปแช่ง แผ่นดินนั้นก็ไว้ทุกข์
และลานหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็แห้งไป
วิถีของเขาทั้งหลายก็ชั่วช้า
และอำนาจของเขาก็ไม่เป็นธรรม
11“ทั้งผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็อธรรม
แม้ในนิเวศของเรา เราก็ได้เห็นความชั่วของเขา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
12“เพราะฉะนั้น หนทางของเขาทั้งหลาย
จะเป็นเหมือนทางลื่นในความมืดแก่เขา
เขาจะถูกขับไล่เข้าไปและล้มลงในนั้น
เพราะเราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขา
ในปีแห่งการลงโทษเขา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
13“ในบรรดาผู้เผยพระวจนะแห่งสะมาเรีย
เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เหมาะอย่างยิ่ง
พวกเขาได้เผยพระวจนะในนามของพระบาอัล
และได้ให้อิสราเอลประชากรของเราหลงไป
14แต่ในบรรดาผู้เผยพระวจนะแห่งเยรูซาเล็ม
เราได้เห็นสิ่งน่าหวาดหวั่น
พวกเขาล่วงประเวณีและดำเนินอยู่ในความมุสา
เขาหนุนกำลังมือของผู้ทำความชั่ว
จึงไม่มีใครหันจากความอธรรมของเขา
ทุกคนกลายเป็นเหมือนโสโดม แก่เรา
และชาวเมืองนั้นก็เหมือนเมืองโกโมราห์”
15เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จอมทัพจึงตรัสเกี่ยวกับผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นว่า
“นี่แน่ะ เราจะเลี้ยงเขาด้วยบอระเพ็ด
และให้น้ำมีพิษเขาดื่ม
เพราะว่าความอธรรมได้ออกไปทั่วแผ่นดินนี้
จากผู้เผยพระวจนะแห่งเยรูซาเล็ม”
16พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยให้ท่านฟัง ทำให้ท่านเต็มด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ เขากล่าวถึงนิมิตในใจของเขาเอง ไม่ใช่จากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ 17เขาพูดกับคนที่ดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์เสมอว่า ‘ท่านจะสุขสบาย’ และแก่ทุกคนที่ดื้อตามใจของตนเอง เขากล่าวว่า ‘จะไม่มีเหตุร้ายมาถึงเจ้า’ ”
18เพราะว่าใครเล่าที่ได้ยืนอยู่ในที่ประชุมของพระยาห์เวห์
ที่จะพิเคราะห์เห็นและฟังพระวจนะของพระองค์?
หรือใครที่ใส่ใจในพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟัง?
19นี่แน่ะ พายุของพระยาห์เวห์
คือพระพิโรธได้ออกไปแล้ว
เป็นพายุหมุนรุนแรง
มันจะวนเหนือศีรษะของคนอธรรม
20ความกริ้วของพระยาห์เวห์จะไม่หันกลับ
จนกว่าพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ
ตามพระเจตนาในพระทัยของพระองค์
ภายหลังพวกเจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
21“เราไม่ได้ส่งผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นไป
แต่พวกเขายังวิ่งไป
เราไม่ได้พูดกับเขา
แต่เขายังเผยพระวจนะ
22แต่ถ้าเขาทั้งหลายได้ยืนอยู่ในที่ประชุมของเรา
เขาก็คงจะได้ป่าวร้องถ้อยคำของเราต่อประชากรของเรา
และคงจะได้ให้พวกเขาหันกลับจากทางชั่วของเขา
และหันกลับจากการกระทำชั่วช้าของเขาแล้ว”
23พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เราเป็นพระเจ้าที่อยู่ใกล้ ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยหรือ?” 24พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ใครจะซ่อนตัวจากเราไปอยู่ในที่ลี้ลับเพื่อเราจะไม่เห็นเขาได้หรือ? เราไม่ได้อยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลกหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 25“เราได้ยินผู้เผยพระวจนะผู้ซึ่งเผยพระวจนะเท็จในนามของเราได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าฝันไป ข้าพเจ้าฝันไป’ 26จะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานสักเท่าใด? พวกผู้เผยพระวจนะคิดได้อย่างนี้หรือ? คือผู้เผยพระวจนะเท็จตามการหลอกลวงในใจของตน 27ผู้มุ่งหมายจะทำให้ประชากรของเราลืมชื่อเรา โดยความฝันของพวกเขาซึ่งเล่าสู่กันฟัง อย่างกับบรรพบุรุษของเขาที่ลืมชื่อเรา ไปติดตามพระบาอัล 28จงให้ผู้เผยพระวจนะที่ฝันเล่าความฝัน แต่ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำของเราอย่างสุจริต เพราะฟางข้าวจะเปรียบอะไรกับข้าวได้?” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 29พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ถ้อยคำของเราเหมือนไฟและเหมือนค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่หรือ?” 30พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราต่อสู้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ ผู้ขโมยถ้อยคำของเราจากกันและกัน” 31พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “นี่แน่ะ เราต่อสู้กับพวกผู้เผยพระวจนะ ผู้ใช้ลิ้นของเขากล่าวว่า ‘องค์เจ้านายตรัสว่า’ 32นี่แน่ะ เราต่อสู้คนเหล่านั้นที่เผยความฝันเท็จ” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ “และผู้ซึ่งบอกและนำประชากรของเราให้หลงไป โดยคำมุสาอย่างไม่ยั้งคิดของเขา เมื่อเราไม่ได้ใช้เขาหรือสั่งเขา เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่เป็นประโยชน์แก่ชนชาตินี้อย่างใดเลย” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
33“เมื่อมีประชาชนคนหนึ่งคนใด หรือผู้เผยพระวจนะคนใด หรือปุโรหิตคนใด ถามเจ้าว่า ‘อะไรเป็นครุวาท ของพระยาห์เวห์?’ เจ้าจงตอบเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่า พวกเจ้านั่นแหละเป็นภาระ และเราจะโยนเจ้าไปเสีย’ 34และส่วนผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต หรือประชาชนผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งพูดว่า ‘ครุวาทของพระยาห์เวห์’ เราจะลงโทษผู้นั้นและครอบครัวของเขา 35พวกเจ้าจงพูดดังนี้ คือทุกคนพูดกับเพื่อนบ้านของตน หรือทุกคนพูดกับพี่น้องของตนว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงตอบว่าอะไร?’ หรือ ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่าอะไร?’ 36แต่อย่าเอ่ยว่า ‘ครุวาทของพระยาห์เวห์’ อีกเลย เพราะว่าครุวาทนั้นเป็นคำของแต่ละคน และเจ้าได้ผันแปรพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่คือพระยาห์เวห์จอมทัพพระเจ้าของพวกเรา 37เจ้าจงกล่าวกับผู้เผยพระวจนะดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงตอบท่านว่าอะไร?’ หรือ ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่าอะไร?’ 38แต่ถ้าพวกเจ้าพูดว่า ‘ครุวาทของพระยาห์เวห์’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เพราะพวกเจ้าได้กล่าวคำเหล่านี้ว่า ‘ครุวาทของพระยาห์เวห์’ เมื่อเราใช้ไปหาเจ้าว่า เจ้าอย่าพูดว่า ‘ครุวาทของพระยาห์เวห์’ 39เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราจะยกเจ้าทั้งหลายขึ้นแน่ และโยนเจ้าไปเสียจากหน้าเรา ทั้งเจ้าและเมืองซึ่งเราได้ให้แก่เจ้าและแก่บรรพบุรุษของเจ้า 40และเราจะนำการตำหนิเป็นนิตย์และความอายเป็นนิตย์มาเหนือเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะไม่ลืมเลย”
เยเรมีย์ 24
มะเดื่อดีและเลว
1หลังจากเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับเยโคนิยาห์คนเดียวกับโคนิยาห์ หรือเยโฮยาคีนโอรสของเยโฮยาคิมกษัตริย์ยูดาห์ไปเป็นเชลยจากเยรูซาเล็ม พร้อมกับเจ้านายแห่งยูดาห์ ทั้งพวกช่างและช่างเหล็ก และนำเขามายังกรุงบาบิโลนแล้ว พระยาห์เวห์ก็ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าดังนี้ นี่แน่ะ มีกระจาดสองใบใส่มะเดื่อวางไว้หน้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ 2กระจาดใบหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดียอดเยี่ยมเหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกใบหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้ 3และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร?” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “เห็นมะเดื่อที่ดีก็ดีมากและที่เลวก็เลวมาก เลวจนรับประทานไม่ได้ พระเจ้าข้า”
4แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า 5“พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ก็เหมือนอย่างมะเดื่อที่ดีเหล่านี้แหละ เราจะถือว่าพวกเหล่านั้นที่ถูกกวาดไปจากยูดาห์ยังดีอยู่ คือผู้ที่เราได้ส่งไปจากสถานที่นี้ไปสู่แผ่นดินของคนเคลเดีย 6เราจะตั้งตาดูเขาเพื่อจะทำความดี และเราจะพาเขาทั้งหลายกลับมายังแผ่นดินนี้อีก เราจะสร้างเขาขึ้นและจะไม่รื้อลง เราจะปลูกฝังเขาและไม่ถอนเขาเสีย 7เราจะให้จิตใจแก่เขาที่จะรู้จักว่าเราคือพระยาห์เวห์ และเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา เพราะเขาจะกลับมาหาเราด้วยความเต็มใจ
8“แต่พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เหมือนอย่างมะเดื่อที่เลวซึ่งเลวมากจนรับประทานไม่ได้นั้น เราจะทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทั้งเจ้านายของเขา และชาวเยรูซาเล็มที่เหลืออยู่ผู้ซึ่งยังค้างอยู่ในแผ่นดินนี้ และผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในอียิปต์ 9เราจะทำให้เขาเป็นที่หวาดกลัว เป็นสิ่งร้ายแก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นในโลก ให้เป็นที่ถูกตำหนิ เป็นภาษิต เป็นคำเยาะเย้ย และเป็นคำแช่งทั่วไปทุกแห่งซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น 10และเราจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมายังเขา จนเขาถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขาและแก่บรรพบุรุษของเขา”
เยเรมีย์ 25
คำพยากรณ์ถึงการเป็นเชลยในบาบิโลน
1มีถ้อยคำมาถึงเยเรมีย์เกี่ยวด้วยเรื่องชนชาติยูดาห์ทั้งสิ้น ในปีที่ 4 แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ (ปีนั้นเป็นปีต้นรัชกาลของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน) 2ซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวแก่ประชาชนยูดาห์ และแก่ชาวเยรูซาเล็มทั้งสิ้นว่า 3“ตั้งแต่ปีที่ 13 ในสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์ โอรสของอาโมนกษัตริย์ยูดาห์ จนถึงวันนี้เป็นเวลา 23 ปี พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้บอกแก่ท่านทั้งหลายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ท่านก็ไม่ฟัง 4ท่านไม่ฟังหรือเอียงหูของท่านฟัง แม้ว่าพระยาห์เวห์ทรงส่งบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์มาครั้งแล้วครั้งเล่า 5กล่าวว่า ‘บัดนี้ทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตนและจากการกระทำผิดของตน เพื่อจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์ประทานแก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าตั้งแต่โบราณและต่อไปเป็นนิตย์ 6อย่าไปติดตามพระอื่นๆ เพื่อจะปรนนิบัติและนมัสการพระเหล่านั้น หรือยั่วเย้าเราให้โกรธด้วยผลงานแห่งมือของเจ้า แล้วเราจะไม่ทำอันตรายแก่เจ้า’ 7พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘แม้กระนั้นพวกเจ้าก็ไม่ฟังเรา และเจ้าจึงได้ยั่วเย้าเราให้กริ้วด้วยผลงานจากมือของเจ้า ซึ่งเป็นผลร้ายแก่เจ้าเอง’ 8“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จอมทัพจึงตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา’ 9พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เราจะเรียกชนเผ่าทั้งสิ้นของทิศเหนือและเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนผู้รับใช้ของเรา และเราจะนำเขาทั้งหลายมาต่อสู้แผ่นดินนี้และชาวเมืองนี้และบรรดาประชาชาติเหล่านี้ซึ่งอยู่ล้อมรอบ เราจะทำลายเขาทั้งหลายให้สิ้น และเราจะทำให้เขาเป็นที่หวาดหวั่นและเป็นที่เยาะเย้ยและเป็นที่ทิ้งร้างเป็นนิตย์ 10ยิ่งกว่านั้นอีก เราจะกำจัดเสียงบันเทิงและเสียงร่าเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว เสียงหินโม่และแสงตะเกียงเสียจากเจ้า 11แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะถูกทิ้งร้างและเป็นที่ร้างเปล่า และบรรดาประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลนอยู่ 70 ปี 12พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เมื่อครบ 70 ปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาตินั้น คือแผ่นดินของคนเคลเดียเพราะความผิดบาปของเขาทั้งหลาย เราจะทำให้แผ่นดินนั้นถูกทิ้งร้างอยู่เป็นนิตย์ 13เราจะนำให้ถ้อยคำทั้งสิ้นสำเร็จที่แผ่นดินนั้น คือถ้อยคำที่เราได้กล่าวสู้เมืองนั้น คือทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ ซึ่งเยเรมีย์ได้เผยพระวจนะแก่ประชาชาติทั้งสิ้น 14เพราะว่าหลายประชาชาติและบรรดามหากษัตริย์จะทำให้เขาเหล่านั้นเป็นทาสด้วย และเราจะตอบแทนเขาทั้งหลายตามการกระทำและผลงานจากมือของเขา’ ”
อรรถาธิบาย
ฟังพระเจ้ามากขึ้น
พระเจ้าตรัส คุณและผมสามารถฟังพระวจนะของพระเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้พระคัมภีร์นั้นมีพลังมาก ‘“ถ้อยคำของเราเหมือนไฟ” “และเหมือนค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่ใช่หรือ?”’ (23:29)
เยเรมีย์กล่าว ‘พระวจนะบริสุทธิ์’ (ข้อ 9) แก่ประชากรของพระเจ้าและตำหนิผู้นำของพวกเขาที่ล้มเหลวในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ ‘แผ่นดินนั้นเต็มด้วยคนล่วงประเวณี’ และผู้นำที่ ‘อำนาจของเขาก็ไม่เป็นธรรม’ (ข้อ 10) เยเรมีย์ตำหนิว่าพวกเขาถูกขับเคลื่อนด้วยเรื่องเพศและใช้ชีวิตอย่างโกหก (ข้อ 14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เยเรมีย์เรียกพวกเขาให้กลับใจ (25:5–6)
รากของปัญหาคือความล้มเหลวในการฟังพระเจ้า ‘พวกเจ้าปฏิเสธที่จะฟัง’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าตรัสถามผ่านเยเรมีย์ว่า ‘เพราะว่าใครเล่าที่ได้ยืนอยู่ในที่ประชุมของพระยาห์เวห์ที่จะพิเคราะห์เห็นและฟังพระวจนะของพระองค์? หรือใครที่ใส่ใจในพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟัง?’ (23:18) ‘เราไม่เคยส่งผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ แต่พวกเขาก็วิ่งไป เราไม่เคยพูดกับพวกเขา แต่พวกเขาก็เทศนาออกไป ถ้าพวกเขาสนใจที่จะนั่งลงและพบกับเรา พวกเขาจะได้เทศนาข่าวสารของเราแก่ผู้คนของเรา…’ (ข้อ 21–22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
หากคุณได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและพูดออกมา พวกเขาจะมีผลกระทบอย่างมาก ‘แต่ผู้เผยพระวจนะที่มีถ้อยคำจากเรา กล่าวตามความจริงและซื่อสัตย์...ถ้อยคำของเราไม่เหมือนไฟหรือ? ... มันไม่เหมือนกับค้อนที่ทุบก้อนหินหรือ?’ (ข้อ 28-29, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ถ้อยคำในพระคัมภีร์นั้นมีพลังมากเหมือนไฟและเหมือนค้อนที่ทุบหินให้เป็นเสี่ยง ๆ ยิ่งผมศึกษามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้หินแห่งใจของผมนั้นแตกสลายและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงทำงานในกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงและการชำระให้บริสุทธิ์
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 เธสะโลนิกา 4:11
‘และจงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตน และทำงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว’
มันเป็นเรื่องที่ยากมากในแต่ละวันที่จะ ‘อยู่อย่างสงบ’ แต่ฉันจะทำให้ดีที่สุด!
ข้อพระคำประจำวัน
สุภาษิต 24:26
‘คนที่เป็นเพื่อนแท้คือคนที่ตอบตรงไปตรงมา’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)