เสื้อผ้าใหม่
เกริ่นนำ
ผมมีแนวโน้มว่าจะสวมเสื้อผ้าคล้าย ๆ กันในทุก ๆ วัน ผมอ้างไม่ได้เลยว่า ผม ‘รู้จักแต่งตัว’ มากนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่า ก่อนพิพพาและผมจะแต่งงานกัน มันแย่กว่านั้นอีก
เมื่อผมแต่งงาน กางเกงขาบานของผม เสื้อสเวตเตอร์มีรูตัวยืดย้วย เสื้อกล้ามตาข่าย เน็กไท (มรดกตกทอดจากคุณลุง) และกางเกงขาดโทรมถูกโละไป ผมเกลียดการทิ้งสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าที่ผมยังชอบที่จะใส่มันอยู่ พวกมันเหมือนเพื่อนเก่า แต่อนิจจาถึงเวลาที่จะสวมเสื้อผ้าใหม่แล้ว
เช่นเดียวกับเสื้อผ้าภายนอก หัวใจและความคิดของเราเองก็ต้องสวมเสื้อผ้าภายในเช่นเดียวกัน เมื่อคุณเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซู เสื้อผ้าเก่าก็ต้องโละทิ้งไป และคุณจำเป็นต้องมีเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับความคิด และจิตใจของคุณ
สุภาษิต 24:15-22
15อย่าซุ่มทำร้ายที่อาศัยของคนชอบธรรมอย่างที่คนอธรรมทำ
อย่าทำลายที่พักของเขา
16เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก
แต่คนอธรรมจะสะดุดล้มลงในความยากลำบาก
17อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม
และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด
18เกรงว่าพระยาห์เวห์จะทอดพระเนตรและไม่พอพระทัย
และทรงหันความกริ้วจากเขาเสีย
19อย่าฉุนเฉียวเพราะคนทำบาป
และอย่าอิจฉาคนอธรรม
20เพราะคนชั่วไม่มีอนาคต
ประทีปของคนอธรรมจะถูกดับเสีย
21ลูกเอ๋ย จงยำเกรงพระยาห์เวห์และพระราชา
อย่าคบค้ากับพวกกบฏ
22เพราะภัยพิบัติของพวกเขาจะอุบัติขึ้นโดยพลัน
และใครจะทราบถึงความพินาศที่จะมาจากพระองค์ทั้งสองเล่า?
อรรถาธิบาย
ควบคุมจิตใจและความคิดของคุณเรื่องคนอื่น ๆ
คุณเคยทำผิดหรือถูกทำร้ายโดยใครบางคน แล้วพบว่าต่อมาพวกเขาได้ประสบปัญหาหรือไม่?
พระธรรมตอนนี้เตือนเราว่าอย่า คิดว่า พวกเขากำลังได้รับสิ่งที่สมควรได้รับแล้ว และชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาประสบปัญหา: ‘อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด เกรงว่าพระเจ้าจะทอดพระเนตรและไม่พอพระทัย’ (ข้อ 17–18ก)
เป็นเรื่องง่ายที่จะเปรมปรีดิ์เมื่อคนที่เป็นต้นเหตุในการก่อปัญหาสร้างความยุ่งยากใจและต่อต้านเรา ทำสิ่งที่ผิดพลาดและล้มลง เป็นอะไรที่สะใจหากเราจะรู้สึกเพลิดเพลินกับช่วงเวลานั้น แต่นี่เป็นการตอบสนองที่ไม่ถูกต้อง จงเฝ้าระวัง หัวใจของคุณ และต่อต้าน ความคิด เหล่านี้
ตามที่ จอยซ์ ไมเยอร์ เขียนไว้ว่า ‘ต้องใช้ “การทำงานในจิตใจ” เป็นอย่างมากสำหรับตัวเราเอง อย่างน้อยที่สุดที่จะไม่ แอบดีใจนิด ๆ เมื่อเห็นคนที่ได้รับสิ่งที่เกิดขึ้น [กับพวกเขา]... เราควรจำไว้เสมอว่า “คนที่บาดเจ็บ ทำร้ายคนอื่น” คนที่ทำร้ายเรามักจะบาดเจ็บอยู่ภายใน และความเจ็บปวดของพวกเขาอาจแรงกล้ามากจนพวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า พวกเขากำลังทำร้ายเรา’
คำอธิษฐาน
โคโลสี 3:1-4:1
1เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงทำให้พวกท่านเป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งที่อยู่เบื้องบนในที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ คือประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า 2จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลก 3เพราะว่าท่านตายแล้ว และชีวิตของพวกท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านทั้งหลายทรงปรากฏ ในเวลานั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย
5เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ประหารอวัยวะบนแผ่นดินโลกในตัวท่าน คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ (ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ) 6สิ่งเหล่านี้ เป็นเหตุให้พระพิโรธของพระเจ้ามาถึง [คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟัง]สำเนาโบราณบางฉบับไม่มีข้อความนี้ 7เมื่อก่อนพวกท่านก็เคยดำเนินชีวิตแบบนี้ คือมีชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ 8แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือความโกรธ ความฉุนเฉียว การคิดร้าย การใส่ร้าย และคำพูดหยาบโลนที่ออกจากปากของท่าน 9อย่าพูดโกหกต่อกันและกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับพฤติกรรมของมนุษย์นั้นแล้ว 10และสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ ที่กำลังได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้าง เพื่อให้รู้จักพระเจ้า 11การนี้ไม่มีกรีกหรือยิว คนที่เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต อนารยชนและคนป่าเถื่อน ไม่มีทาสหรือเสรีชน แต่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่ง และทรงอยู่ในทุกสิ่ง
12เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นพวกที่พระเจ้าทรงเลือก พวกที่บริสุทธิ์ และพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจกรุณา ใจถ่อม ใจสุภาพอ่อนโยน ใจอดทน 13จงอดทนต่อกันและกัน และถ้าใครมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงให้อภัยกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านอย่างไร ท่านก็จงทำอย่างนั้นด้วย 14แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์ 15และจงให้สันติสุขของพระคริสต์นำพาจิตใจภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เป็นผู้ตัดสินในจิตใจของท่านทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มาเป็นกายเดียวกันก็เพื่อสันติสุขนี้ และจงมีใจขอบพระคุณ 16จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน 17และเมื่อท่านทั้งหลายทำสิ่งใดไม่ว่าจะด้วยวาจาหรือด้วยการประพฤติ จงทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา โดยทางพระองค์
หน้าที่ทางสังคมของชีวิตใหม่
18ภรรยาทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังสามีของตน ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า 19สามีทั้งหลายจงรักภรรยาของตน และอย่าทำรุนแรงต่อพวกนาง 20บุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนในทุกเรื่อง เพราะสิ่งนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21บิดาทั้งหลายก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ท้อใจ 22ทาสทั้งหลายจงเชื่อฟังนายของตนในโลกนี้ทุกอย่าง ไม่เฉพาะแต่เมื่ออยู่ในสายตาเหมือนอย่างพวกประจบสอพลอ แต่ทำด้วยจริงใจโดยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า 23ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์ 24ท่านทั้งหลายก็รู้ว่า ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ เพราะท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ 25ส่วนคนที่ทำความผิดก็จะได้รับผลตามความผิดที่เขาได้ทำ และจะไม่มีการเห็นแก่หน้าใครเลย
โคโลสี 4
1นายทั้งหลายจงทำต่อทาสของตนอย่างยุติธรรมและเท่าเทียมกัน เพราะท่านทั้งหลายก็รู้ว่าท่านมีเจ้านายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย
อรรถาธิบาย
สวมหัวใจและจิตใจของคุณด้วยความรัก
ในฐานะคริสเตียน คุณอยู่ ‘ในพระคริสต์’ คุณเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ดังนั้นเปาโลได้เขียนไว้ว่า ‘ท่านได้ตายแล้ว’ (3:3) และยังเขียนอีกด้วยว่า ‘เมื่อท่านเป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว… ชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า’ (ข้อ 1,3) ในอนาคต ‘เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านทั้งหลายทรงปรากฏ ในเวลานั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย’ (ข้อ 4)
เพราะทุกสิ่งที่พระเยซูทรงทำเพื่อคุณและทำให้เป็นไปได้นั้น คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดและจิตใจใหม่
1. พระองค์เปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณคิด (ข้อ 1–12)
การกระทำที่ถูกต้องเริ่มต้นด้วยความคิดที่ถูกต้อง บัดนี้คุณสามารถดำเนินชีวิตที่เป็นขึ้นจากความตาย เป็นไปได้โดยพระเยซู เปาโลเขียนว่า: ‘จง เอาใจใส่ สิ่งที่อยู่เบื้องบน...จงให้ ความคิด จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 1–2)
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่าคุณแวดล้อมไปด้วย ‘สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลก’ (ข้อ 2) และการทดลองต่าง ๆ จงลงมือทำอย่างเต็มที่ เปาโลเขียนว่า ‘นี่หมายถึงการประหารทุกสิ่งที่เชื่อมต่อกับทางแห่งความตายนั้น: ความสำส่อนทางเพศ การโสโครก ราคะตัณหา การทำอย่างที่อยากจะทำตามใจตัวเอง และหยิบฉวยอะไรก็ตามที่ตอบสนองต่อจินตนาการของคุณ’ (ข้อ 5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) นี่เป็นสิ่งที่เราเคยทำ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน
‘ปลดเปลื้อง’ เสื้อผ้าเก่าออกเสีย (ข้อ 9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) คุณต้อง ‘เปลื้องวิสัยมนุษย์เก่า’ (ข้อ 8) จากสารพัดสิ่งเลวร้าย: ‘ความโกรธ ความฉุนเฉียว การคิดร้าย การใส่ร้าย คำพูดหยาบโลน อย่าพูดโกหกต่อกันและกัน เพราะว่าท่านได้ ปลดวิสัยมนุษย์เก่า กับการพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเสียแล้ว และได้สวม [‘ปกคลุมตัวเองด้วย’, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล] วิสัยมนุษย์ใหม่ ที่กำลังได้รับการสร้างขึ้นใหม่ตามพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้าง เพื่อให้รู้จักพระเจ้า’ (ข้อ 8–10)
การสวมวิสัยมนุษย์ใหม่ คุณเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ ดังนั้น คุณจึงถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตตามอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ นั่นหมายถึง การเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วในจุดยืนของคุณบนโลกนี้ อย่าเป็นฝ่ายตั้งรับ; ให้เป็นฝ่ายรุก แทนที่จะทำสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ คุณถูกเรียกให้สวมตัวเองด้วย ‘ใจเมตตา ใจกรุณา ใจถ่อม ใจสุภาพอ่อนโยน ใจอดทน’ (ข้อ 12)
2. เปลี่ยนแปลงการตอบสนองของคุณต่อคนอื่น ๆ (ข้อ 13–15)
พระเยซูทรงประทับอยู่ในคริสเตียนทุกคนโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง ในพระคริสต์ไม่มีสิ่งขวางกั้นทางเชื้อชาติ (‘ไม่มีพวกกรีก หรือพวกยิว’) ไม่มีสิ่งกีดกั้นทางศาสนา (‘เข้าสุหนัต หรือไม่เข้าสุหนัต) ชนชาติ (‘คนต่างชาติ หรือชาวสิเธีย’) และทางชนชั้น (‘เป็นทาสหรือเป็นไท’) แต่ ‘พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่ง และทรงอยู่ในทุกสิ่ง’ (ข้อ 11)
เปาโลว่าต่อไป ‘จงผ่อนหนักผ่อนเบาต่อกันและกัน’ (ข้อ 13) ในโลกนี้ หากบางคนทำให้คุณผิดหวัง บ่อยครั้งเรามักจะจบความสัมพันธ์ลง แต่คุณจง ‘ยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้อภัยพวกท่านอย่างไร ท่านก็จงทำอย่างนั้นด้วย’ (ข้อ 13)
การยกโทษในลักษณะนี้ เป็นคุณธรรมของคริสเตียนที่ไม่เหมือนใคร คนทั่วไปอาจยกโทษให้กันได้ แต่มีเพียงคริสเตียนเท่านั้นที่มีพื้นฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งสำหรับการให้อภัย ตามที่ ซี.เอส. ลูอิส กล่าวไว้ว่า ‘การเป็นคริสเตียนหมายถึง การยกโทษคนที่ให้อภัยไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงยกโทษให้กับสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ในตัวคุณ’
หนึ่งคำที่สรุปได้สำหรับ ชุดเสื้อผ้าใหม่ของคุณ: ‘ความรัก’ เปาโลเขียนไว้ว่า ‘จงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์’ (ข้อ 14) ความรักไม่ใช่แค่อารมณ์; เป็นการลงมือทำ เป็นบางสิ่งที่คุณ ‘สวมไว้’ เหมือนเมื่อคุณสวมใส่เสื้อผ้าทางกายภาพ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องสวมความรักไว้
นี่เป็นความงดงามของชุมชนคริสเตียน คือพระคริสต์ทรงนำการเปลี่ยนแปลงสุดขั้วเข้ามาในความสัมพันธ์ของคุณ วิถีที่คริสเตียนเชื่อมโยงกันนั้นแตกต่างจากโลกอย่างยิ่ง และควรจะเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง
นี่เป็นไปได้อย่างไร? คุณควรกำหนดจิตใจและความคิดไว้ในจุดที่ถูกต้อง และเปาโลเขียนต่อไปว่า ‘จงให้สันติสุขของพระคริสต์นำพา จิตใจของท่านทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มาเป็นกายเดียวกัน ก็เพื่อสันติสุขนี้’ (ข้อ 15)
สันติสุขของพระเจ้าจะทำหน้าที่เหมือนผู้ตัดสินในหัวใจของคุณ บอกคุณว่าอะไรควรทำ และไม่ควรทำ หนึ่งในคำถามที่คุณควรถามเรื่องการตัดสินใจใด ๆ ก็ตามคือ: ‘ฉันรู้สึกไหมถึงสันติสุขของพระเจ้าในสิ่งที่ฉันกำลังจะทำ?’
3. เปลี่ยนแปลงท่าทีของคุณต่อพระเยซู (ข้อ 16–17)
จงรับการทรงนำอย่างต่อเนื่องโดย ‘พระวจนะของพระคริสต์’ (ข้อ 16) เปาโลกล่าวว่า ‘ให้พระวจนะของพระคริสต์ – สาระ – ไหลเวียนอยู่ในครัวเรือน ให้ครอบครองพื้นที่มากมายในชีวิตของท่าน จงสั่งสอนและเตือนสติกันและกันด้วยการใช้สามัญสำนึกที่ดี และจงร้องเพลง ร้องออกจากใจของท่านถึงพระเจ้า!’ (ข้อ 16, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ชุมชนประเภทนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า และฟังพระวจนะของพระคริสต์ในพระคัมภีร์ จะเป็นชุมชนแห่งความรัก ‘ทำด้วยจริงใจ โดยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 22)
ยังคงเป็นหนึ่งในงานหนัก ไม่ว่าคุณจะเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง คุณกำลังรับใช้พระคริสต์ ทำงานของคุณให้ดี และด้วยท่าทีที่ดีในหัวใจและความคิดของคุณ: ‘ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วย ความเต็มใจ เหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า...ท่านปรนนิบัติพระคริสต์เจ้าอยู่’ (ข้อ 23–24)
คำอธิษฐาน
เยเรมีย์ 14:1-15:21
ความแห้งแล้งอย่างยิ่ง
1พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเยเรมีย์ เกี่ยวกับความแห้งแล้งว่า
2“ยูดาห์ไว้ทุกข์
และประตูเมืองทั้งหลายของเธอก็อ่อนกำลังลง
ประชาชนของเธอก็คร่ำครวญอยู่บนแผ่นดิน
และเสียงร้องของเยรูซาเล็มก็ดังขึ้น
3พวกเจ้านายของเธอสั่งคนใช้ให้ไปตักน้ำ
พวกเขาไปยังที่ขังน้ำ
เห็นว่าไม่มีน้ำ
เขาก็กลับไปด้วยภาชนะเปล่า
เขาอับอายและขายหน้า
จึงคลุมศีรษะเสีย
4เพราะเรื่องแผ่นดินที่แตกระแหง
เนื่องจากไม่มีฝนตกบนแผ่นดิน
พวกชาวนาก็อับอาย
จึงคลุมศีรษะเสีย
5แม้กวางตัวเมียที่อยู่ในท้องทุ่งก็ละทิ้งลูกที่ตกใหม่เสีย
เพราะว่าไม่มีหญ้า
6ลาป่ายืนอยู่บนที่สูงโล่ง
มันหอบเหมือนกับหมาป่า
ตาของมันก็มืดมัว
เพราะว่าไม่มีพืชผัก”
7“แม้ว่าความผิดบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำข้าพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงโปรดเถิด เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์
บรรดาความไม่ซื่อสัตย์ของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มากมาย
ข้าพระองค์ทั้งหลายทำบาปต่อพระองค์
8ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังแห่งอิสราเอล
เป็นพระผู้ช่วยของเขาในยามลำบาก
ทำไมพระองค์จึงทรงเป็นเหมือนแขกเมืองในแผ่นดิน
หรือเหมือนคนเดินทางแวะอาศัยเพียงคืนเดียว?
9ทำไมพระองค์จึงทรงเป็นเหมือนชายที่งุนงง
หรือเหมือนชายฉกรรจ์แต่ช่วยใครไม่ได้?
ข้าแต่พระยาห์เวห์ แม้กระนั้นก็ดีพระองค์สถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย
คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์
ขออย่าทรงละทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลาย”
10พระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับชนชาตินี้ว่า
“ด้วยเหตุที่พวกเขารักจะพเนจรไป
ไม่ยับยั้งเท้าของตนไว้
ฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงไม่ทรงโปรดปรานเขา
พระองค์จะทรงระลึกถึงความผิดบาปของเขา
และลงโทษบาปของเขา”
11พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าอธิษฐานเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชนชาตินี้เลย 12แม้ว่าเขาอดอาหารเราก็จะไม่ฟังเสียงร้องของเขา แม้เขาถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชาเราก็จะไม่ยอมรับ แต่เราจะผลาญเขาเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด”
ประณามผู้เผยพระวจนะเท็จ
13แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย นี่แน่ะ พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่เขาว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เห็นดาบหรือการกันดารอาหาร แต่เราจะให้สันติภาพที่แน่นอนแก่เจ้าในสถานที่นี้’ ” 14และพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเผยพระวจนะเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ใช้พวกเขา และเราไม่ได้บัญชาเขาหรือพูดกับเขา เขาเผยนิมิตเท็จแก่พวกเจ้าเป็นการทำนายที่ไร้ค่า เป็นการล่อลวงของจิตใจเขาเอง 15ฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับพวกผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะในนามของเราแม้ว่าเราไม่ได้ใช้พวกเขาและผู้กล่าวว่า ‘ดาบและการกันดารอาหารจะไม่มาถึงแผ่นดินนี้’ พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นจะถูกผลาญเสียด้วยดาบและการกันดารอาหาร 16และประชาชนผู้ซึ่งเขาเผยพระวจนะให้ฟังนั้น จะถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเหยื่อของการกันดารอาหารและดาบ จะไม่มีใครฝังเขา คือทั้งตัวเขา ภรรยาของเขา บุตรชายและบุตรหญิงของเขา เพราะเราจะเทความชั่วร้ายของเขาสนองตอบเขา
17“เจ้าจงกล่าวถ้อยคำนี้แก่เขาว่า
‘ขอให้ตาของเรามีน้ำตาไหลทั้งกลางคืนและกลางวัน
อย่าให้หยุดยั้ง
เพราะประชากรของเราต้องเจ็บปวดด้วยบาดแผลฉกรรจ์
ด้วยถูกตีอย่างหนักมาก
18ถ้าเราออกไปตามท้องทุ่ง
ก็เห็นคนที่ถูกฆ่าด้วยดาบ
ถ้าเราเข้าไปในเมือง
ก็เห็นคนเจ็บป่วยเนื่องจากการกันดารอาหาร
เพราะว่าทั้งพวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิต
ต่างก็ไปยังดินแดนที่ตนไม่รู้จัก’ ”
ประชาชนทูลขอพระเมตตา
19พระองค์ทรงปฏิเสธไม่รับยูดาห์อย่างสิ้นเชิงแล้วหรือ?
พระทัยของพระองค์เกลียดศิโยนเสียแล้วหรือ?
ทำไมพระองค์ทรงเฆี่ยนตีข้าพระองค์ทั้งหลาย
จนเกินกว่าที่จะรักษาข้าพระองค์ให้หายได้?
ข้าพระองค์ทั้งหลายมองหาสวัสดิภาพ แต่ไม่พบสิ่งดีใดๆ เลย
ข้าพระองค์มองหาเวลาเยียวยา แต่ดูสิ มีแต่ความสยดสยอง
20ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ขอสารภาพความอธรรมของพวกข้าพระองค์
และความผิดบาปของบรรพบุรุษของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์
21เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงเกลียดพวกข้าพระองค์
ขออย่าให้พระที่นั่งรุ่งเรืองของพระองค์ต้องเสื่อมเสีย
ขอทรงระลึกถึงและอย่าทรงหักพันธสัญญาของพระองค์ซึ่งมีไว้กับข้าพระองค์
22ในบรรดารูปเคารพแห่งประชาชาติมีพระองค์ใดเล่าที่บันดาลให้เกิดฝนได้?
หรือท้องฟ้าเทฝนลงมาเองได้หรือ?
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
พระองค์คือพระเจ้าที่ทรงทำอย่างนั้นได้ไม่ใช่หรือ?
พวกข้าพระองค์หวังในพระองค์
เพราะพระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น
เยเรมีย์ 15
การลงโทษที่ไม่อาจหลีกหนีได้
1พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “แม้ว่าโมเสสและซามูเอลจะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสายตาของเรา แล้วให้เขาไป 2และเมื่อเขาถามเจ้าว่า ‘เราจะไปที่ไหน?’ เจ้าจงพูดกับเขาว่า พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
คนเหล่านั้นที่ถูกกำหนดให้แก่โรคระบาดจะไปเป็นโรค
ระบาด
คนที่ถูกกำหนดให้แก่ดาบจะโดนดาบ
คนที่ถูกกำหนดให้แก่การกันดารอาหาร จะพบการกันดารอาหาร
คนที่ถูกกำหนดให้แก่การเป็นเชลยจะเป็นเชลย”
3พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะกำหนดสี่อย่างไว้เหนือเขาคือ ดาบสังหาร สุนัขลากไป นกในอากาศ และสัตว์บนแผ่นดินโลกกัดกินและทำลาย 4และเราจะทำให้เขาเป็นความหวาดกลัวแก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก เนื่องจากการกระทำซึ่งมนัสเสห์โอรสเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงกระทำในเยรูซาเล็ม
5เยรูซาเล็มเอ๋ย ใครจะสงสารเจ้า
หรือใครจะเสียใจกับเจ้า
ใครจะแวะมาถามทุกข์สุขของเจ้า?
6เจ้าได้ปฏิเสธเรา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
“เจ้าถอยหลังเรื่อยไป
เราจึงได้เหยียดมือออกไปต่อสู้เจ้าและทำลายเจ้า
เราเอือมต่อการผ่อนผันแล้ว
7เราฝัดพวกเขาด้วยส้อมฝัดข้าว
ที่ประตูทั้งหลายของเมืองนั้น
เราทำให้ลูกของเขาตาย เราทำลายประชากรของเรา
เขาทั้งหลายไม่ได้หันกลับจากทางของเขา
8จำนวนหญิงม่ายของเขาจะมาก
ยิ่งกว่าทรายชายทะเล
ณ เวลาเที่ยงวัน เรานำผู้ทำลาย
มายังบรรดาแม่ของคนหนุ่มทั้งหลาย
เราทำให้ความระทมเหลือแสนและความสยดสยอง
ตกเหนือเธอโดยฉับพลัน
9เธอผู้มีบุตรเจ็ดคนก็อ่อนกำลัง
เธอสลบไปแล้ว
ดวงอาทิตย์ของเธอตกเมื่อยังวันอยู่
เธอต้องอับอายและขายหน้า
เราจะมอบผู้ที่เหลืออยู่ให้แก่ดาบ
ต่อหน้าศัตรูของเขา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
เยเรมีย์ร้องทุกข์อีกและได้รับการย้ำให้แน่ใจ
10แม่จ๋า วิบัติแก่ฉัน ที่แม่คลอดฉันมา เป็นคนที่ทำให้เกิดการแก่งแย่งและการชิงดีทั่วทั้งแผ่นดิน ฉันไม่ได้ให้ยืม หรือฉันก็ไม่ได้ยืมเขา แต่ทุกคนแช่งฉัน 11พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราไม่ได้ปลดปล่อยเจ้าเพราะประสงค์ดีหรือ? เราไม่ได้ให้ศัตรูมาอ้อนวอนต่อเจ้าในเวลาลำบากและในเวลาทุกข์ใจหรือ? 12มีใครสามารถหักเหล็กได้หรือ คือเหล็กจากทิศเหนือและทองสัมฤทธิ์?
13“ความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติของเจ้า เราจะมอบให้เป็นของริบโดยไม่คิดค่าเพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้า ตลอดทั่วดินแดนของเจ้า 14เราจะทำให้เจ้าต้องปรนนิบัติศัตรูของเจ้าในแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่รู้จักเพราะความโกรธของเรา ไฟจึงถูกจุดขึ้น ซึ่งจะไหม้อยู่เป็นนิตย์”
15ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงทราบ
ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และเยี่ยมเยียนข้าพระองค์
ขอทรงแก้แค้นผู้ข่มเหงข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์
โดยการอดกลั้นพระทัยของพระองค์นั้น ขออย่าทรงนำข้าพระองค์ไปเสีย
ขอทรงตระหนักว่าข้าพระองค์ทนการติเตียนด้วยเห็นแก่พระองค์
16เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย
พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์
และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมทัพ
เพราะว่าเขาเรียกข้าพระองค์ตามพระนามของพระองค์
17ข้าพระองค์ไม่ได้นั่งอยู่ในหมู่คนที่สนุกสนานกัน
ทั้งข้าพระองค์ก็ไม่ได้เปรมปรีดิ์
ข้าพระองค์นั่งอยู่คนเดียว เพราะว่าพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์
เพราะพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เต็มด้วยความเกรี้ยวกราด
18ทำไมความเจ็บของข้าพระองค์จึงไม่หยุดยั้ง
บาดแผลของข้าพระองค์ก็รักษาไม่หาย
มันไม่ยอมหาย?
พระองค์ทรงเป็นเหมือนลำธารที่พึ่งไม่ได้แก่ข้าพระองค์หรือ?
หรืออย่างน้ำที่เหือดแห้ง?
19เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า
“ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี
และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา
ถ้าเจ้าออกปากพูดแต่สิ่งประเสริฐและไม่พูดสิ่งเลวทราม
เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา
เขาทั้งหลายจะหันกลับมาหาเจ้า
แต่เจ้าอย่าหันไปหาเขา
20เราจะทำให้เจ้าเป็นกำแพงป้อมทองสัมฤทธิ์แก่ชนชาตินี้
เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับเจ้า
แต่เขาจะไม่ชนะเจ้า
เพราะเราอยู่กับเจ้า
จะช่วยเจ้าให้รอดและช่วยกู้เจ้า”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
21“เราจะช่วยกู้เจ้าจากมือของคนอธรรม
และไถ่เจ้าจากเงื้อมมือของคนโหดร้าย”
อรรถาธิบาย
เปลี่ยนทิศทางของหัวใจและความคิดคุณไปในทางพระเจ้า
พระธรรมเยเรมีย์เป็นการทรงเรียกให้กลับใจ ซึ่งเริ่มด้วยหัวใจของตัวเยเรมีย์เอง: ‘เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า ‘ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา; ถ้าเจ้าออกปากพูดแต่สิ่งประเสริฐและไม่พูดสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา…”’ (15:19) การกลับใจหมายถึง การเปลี่ยนแปลงหัวใจและความคิดของคุณ และหันกลับไปหาพระเจ้า
เยเรมีย์เป็นตัวแทนของพระเจ้า เขาหันจิตใจและความคิดไปสู่การฟังถ้อยคำของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับผู้เผยพระวจนะเท็จในสมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าตรัสถึงพวกเขาว่า ‘พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเป็นคนโกหก และพวกเขาใช้นามของเราเพื่อปกปิดคำมุสาของพวกเขา เรามิได้ใช้เขาทั้งหลาย เรามิได้บัญชาเขาหรือพูดกับเขา สิ่งที่พวกเขาเทศนาออกไปเป็นภาพลวงตาอย่างแท้จริง เป็นการโกหก เป็นการผิวปากในความมืด’ (14:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ในทางกลับกันหัวใจและความคิดของเยเรมีย์ยึดมั่นในการฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า: ‘พระวจนะของพระเจ้าซึ่งมาถึงเยเรมีย์’ (ข้อ 1); ‘ฝ่ายพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า …’ (15:1) เขารู้ว่าน่าอัศจรรย์เพียงใดที่ได้ยินถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้า: ‘เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์’ (ข้อ 16) ท้ายที่สุด นี่คือสิ่งเดียวที่สามารถทำให้การรอคอยในส่วนลึกที่สุดของหัวใจและความคิดของคุณได้อิ่มเอม
จงตกลงใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อไปในทุก ๆ วันและใคร่ครวญด้วยหัวใจและความคิดของคุณ เมื่อคุณได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า ส่งต่อเรื่องราวชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนี้ออกไป: ‘ให้ถ้อยคำของเจ้าเปลี่ยนพวกเขา อย่าปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเจ้าเพื่อให้เหมาะกับพวกเขา’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
โคโลสี 3:12–17
เรามีถ้อยคำที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้อ่านในงานแต่งงานของเรา ถ้อยคำเหล่านั้นแนะนำว่า เราควร ‘ผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์’ หากเรา ‘สวม’ ใจเมตตา ใจกรุณา ใจถ่อม ใจสุภาพอ่อนโยน ใจอดทน และการให้อภัยไว้อย่างมากมาย และสวมทับทั้งหมดนั้นด้วยความรัก มันช่างคุ้มค่าที่จะทำตาม!
ข้อพระคำประจำวัน
โคโลสี 3:13
‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยท่านอย่างไร ท่านก็จงทำอย่างนั้นด้วย’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)