วัน 28

ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยองค์พระผู้เป็นเจ้า

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 3:11-20
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 19:16-30
พันธสัญญาเดิม โยบ 8:1-10:22

เกริ่นนำ

‘เมื่อชีวิตให้มะนาวกับคุณ ทำน้ำมะนาวสิ’ นอร์แมน วินเซนต์พีล ผู้เขียนหนังสือ พลังแห่งการคิดบวก (The Power of Positive Thinking) ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักมาก ในปี 1952 หนังสือเล่มนี้อยู่ในรายชื่อหนังสือขายดีของ The New York Times เป็นเวลา 186 สัปดาห์ติดต่อกัน แน่นอนสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้มันดียอดเยี่ยม และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่พระวจนะของพระเยซูไปไกลกว่าพลังแห่งการคิดบวกเสียอีก

นอร์แมน วินเซนต์พีลกล่าวว่า ‘ทัศนคติเชิงบวกคือความเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ จะออกมาดี และคุณสามารถเอาชนะปัญหาหรือความยากลำบากได้’ พระเยซูตรัสว่า ‘สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’ (มัทธิว 19: 26) นี่เป็นมากกว่าพลังแห่งการคิดบวก มันเป็นพลังของพระเจ้าที่ทำให้สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้ (ลูกา 1:37)

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 3:11-20

11ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระยาห์เวห์
 และอย่าเบื่อหน่ายพระดำรัสเตือนของพระองค์
12เพราะพระยาห์เวห์ทรงตักเตือนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
 ดังบิดาตักเตือนบุตรที่เขาโปรดปราน

ทรัพย์สมบัติที่แท้จริง

13มนุษย์ผู้พบปัญญา
 และมนุษย์ผู้ได้ความเข้าใจ ก็เป็นสุขจริงหนอ
14เพราะผลที่ได้จากปัญญาย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงิน
 และผลิตผลของปัญญานั้นดีกว่าทองคำ
15ปัญญาล้ำค่ากว่าอัญมณี
 และทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาไม่อาจเปรียบกับปัญญาได้เลย
16ชีวิตยืนยาวอยู่ในมือขวาของปัญญา
 ส่วนในมือซ้ายมีความมั่งคั่งและเกียรติยศ
17ทางของปัญญาเป็นทางของความร่มรื่น
 และวิถีทั้งสิ้นของปัญญาคือความสงบสุข
18ปัญญาเป็นต้นไม้แห่งชีวิตแก่ผู้ที่ฉวยเธอไว้
 บรรดาผู้ที่ยึดเธอไว้แน่นจะสุขสบาย

พระปัญญาของพระเจ้าในการทรงสร้าง

19พระยาห์เวห์ทรงวางรากแผ่นดินโลกโดยพระปัญญา
 พระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์โดยความเข้าพระทัย
20โดยความรู้ของพระองค์ น้ำบาดาลก็พลุ่งออกมา
 และเมฆก็โปรยน้ำค้างลงมา

อรรถาธิบาย

สรรพสิ่งถูกสร้างโดยพระเยซู

ความจริงที่ว่า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้’ โดยพระเจ้า ได้รับการพิสูจน์โดยข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหมดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ‘พระยาห์เวห์ทรงวางรากแผ่นดินโลกโดยพระปัญญา พระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์ โดยความเข้าพระทัยโดยความรู้ของพระองค์ น้ำบาดาลก็พลุ่งออกมา และเมฆก็โปรยน้ำค้างลงมา’ (ข้อ 19–20)

ผู้เขียนหนังสือสุภาษิตมองว่าปัญญาเป็นบุคคล (ข้อ 13–18) โดยผ่านมุมมองของพันธสัญญาใหม่ เราจะเห็นว่าบุคคลที่ว่านั้นคือพระเยซู อาจารย์เปาโลบอกเราว่า ‘พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพ และพระปัญญาของพระเจ้า] (1 โครินธ์ 1:24)

ชีวิตดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย จนกว่าคุณได้มีความสัมพันธ์กับพระเยซู สรรพสิ่งทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยพระเยซู (ยอห์น 1:3) พระองค์รักคุณ และในความสัมพันธ์กับพระองค์ คุณจะพบสติปัญญาของพระเจ้าและอำนาจของพระเจ้า

เมื่อคุณพบพระเยซู คุณจะพบแหล่งแห่งสติปัญญาทั้งหมด สิ่งนี้คือพระพรที่คุณได้รับ (สุภาษิต 3:13ก) นอกจากนี้ยังได้รับความเข้าใจอีกด้วย (ข้อ 13ข) เพราะผลที่ได้นั้นย่อมดีกว่าผลที่ได้จากทรัพสินเงินทอง (ข้อ 14–15ก) อันที่จริงแล้วดั่งที่ (ข้อ 15ข) เขียนไว้ว่า ‘ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาไม่อาจเปรียบกับปัญญาได้เลย’

นี่คือหนทางสู่ชีวิตที่ยืนยาว (ข้อ 16 ซึ่งเป็น ‘ชีวิตนิรันดร์’ ในพันธสัญญาใหม่ ดูยอห์น 3:16) คุณจะพบกับ ‘ความมั่งคั่งและเกียรติยศ’ ที่แท้จริง (สุภาษิต 3:16) และพบทางแห่งสันติสุขที่เกินความเข้าใจ (ข้อ 17) รวมถึงพบกับ ‘ต้นไม้แห่งชีวิต’ (ข้อ 18)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์วันนี้ โปรดประทานสติปัญญา สันติสุข และพลังแก่ข้าพระองค์ในการดำเนินชีวิตในทางพระองค์
พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 19:16-30

เศรษฐีหนุ่ม

 16นี่แน่ะ มีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?” 17พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม? ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว ถ้าท่านต้องการจะเข้าสู่ชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” 18คนนั้นทูลถามว่า “คือพระบัญญัติข้อไหนบ้าง?” พระเยซูตรัสว่า “ห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ 19จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” 20ชายหนุ่มคนนั้นทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ารักษาข้อเหล่านั้นทุกข้ออยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?” 21พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา” 22เมื่อชายหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก
 23พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนร่ำรวยจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก 24เราบอกพวกท่านอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” 25เมื่อพวกสาวกได้ยินก็อัศจรรย์ใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” 26พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” 27แล้วเปโตรทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์สละสิ่งสารพัดตามพระองค์มา แล้วพวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง?” 28พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น พวกท่านที่ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า 29และทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา คนนั้นจะได้ผลร้อยเท่าและชีวิตนิรันดร์ด้วย 30แต่หลายคนที่เป็นคนแรก จะกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก

อรรถาธิบาย

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์แต่เป็นไปได้สำหรับพระเจ้า

คุณเคยพบว่าบางครั้งตัวเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้บ้างไหม มันอาจเป็นความสัมพันธ์ที่ดูจะพังทลายลงเกินแก้ไข หรือปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน หรืออย่างอื่นที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงได้ยากแล้ว อย่างไรก็ตามมีความหวังเสมอในองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูเลวร้ายเพียงใด ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้

บริบทของพระวจนะของพระเยซูที่ว่า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’ (ข้อ 26) คือเรื่องราวของชายหนุ่มที่ร่ำรวยซึ่งพระเยซูตรัสว่า ‘จงตามเรามา’ (ข้อ 21ข) พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า ‘ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน’ (ข้อ 21ก) แต่ทรัพย์สินนั้นมีมากเกินไป เขาจึงยอมแพ้และจากไปอย่าง ‘เป็นทุกข์’ (ข้อ 22) พระเยซูชี้ให้เห็นว่าคนมั่งมีจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้ยากเพียงใด (ข้อ 23–24) แต่โดยพระเจ้า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้’ (ข้อ 26)

พระเยซูตรัสไว้ว่า มนุษย์พูดกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้า (ข้อ 26) ความมั่งคั่งทางโลกก็ไม่ช่วยอะไร ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคเสียมากกว่า พระเยซูตรัสว่า ‘ตัวอูฐจะลอดรูเข็ม ก็ยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า’ (ข้อ 24)

บางคนได้ให้คำแนะนำว่า รูนี้เป็นการอ้างอิงถึงประตูในเยรูซาเล็มที่เรียกว่า ‘The Needle’s Eye’ (รูลอดกำแพง) อูฐต้องแบกสัมภาระไว้บนหลัง เพื่อที่จะผ่านรูนั้นไปได้ ขณะเดียวกันหลายคนตีความคำว่า ‘อูฐ’ หมายถึงเชือกชนิดหนึ่ง บางทีเขาอาจกำลังพูดถึงการพยายามเอาเกลียวเชือกผ่านเข้ารูเข็มนั่นเอง

เพื่อให้ไม่ผิดประเด็นของความหมายที่แท้จริงไป พระวจนะตอนนี้หมายถึง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของมนุษย์อย่างอูฐที่ผ่านเข้ารูเข็ม แต่เป็นไปได้ในพระเจ้า (ข้อ 26)

เพื่อตอบคำถามของสาวกที่ว่า ‘“ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?”’ พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า ‘ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง’” (ข้อ 25–26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในโลกใบนี้ คนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจและคนมีชื่อเสียงถูกยกให้เป็น ‘อันดับหนึ่ง’ แต่คนยากจนถูกมองอย่างดูถูกไม่แยแสและถูกมองว่าเป็นคนสุดท้าย แต่ในแผ่นดินสวรรค์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พระเยซูตรัสว่า ‘แต่หลายคนที่เป็นคนแรก จะกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก’ (ข้อ 30)

แผ่นดินพระเจ้าคือแผ่นดินที่กลับด้านกัน พระเยซูบอกให้ชายหนุ่มที่ร่ำรวยมอบทรัพท์สมบัติทั้งหมดที่มีให้กับคนยากจน เพราะพระองค์ต้องการให้ชายคนนั้นวางใจในตัวพระองค์ และเพราะคนยากจนก็เป็นที่ยกชูในแผ่นดินสวรรค์ รวมถึงเราและเด็กหลายพันคนที่เสียชีวิตในแต่ละวันด้วยความยากจนและความอดอยาก ผู้คนที่ถูกกดขี่จากนานาประเทศ คนจรจัดบนท้องถนน คนไร้เดียงสาและผู้อ่อนกำลัง

พระเยซูไม่ค่อยบอกให้ผู้คนยอมสละทิ้งทุกสิ่ง แต่ในกรณีนี้พระองค์ทรงทำ สำหรับเราทุกคนนั้นย่อมมีการจ่ายราคาสำหรับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการติดตามพระองค์ การโบกธงแห่งชัยชนะเหนือโลกอันโหดร้ายนี้หรือการจ่ายราคาในการหลุดออกจากสิ่งที่เรารู้ว่ามันเป็นความผิดบาป

ไม่ว่าจะมีการ ‘จ่ายราคา’ มากมายเพียงใด ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับการจ่ายราคาของพระเยซูเพื่อมอบ ‘ชีวิตนิรันดร์’ (ข้อ 29) ให้กับคุณและผม และไม่มีอะไรเทียบได้กับการไม่ติดตามพระเยซู ชายหนุ่มที่ร่ำรวยคนนั้นพลาดโอกาสมาก

นอกจากนี้ ไม่มีอะไรเทียบได้กับสิ่งที่คุณได้จะรับ 'และทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง บิดา มารดา บุตรหรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา คนนั้นจะได้ผลร้อยเท่าและชีวิตนิรันดร์ด้วย’ (ข้อ29) พระเยซูทรงสัญญาว่า ทุกสิ่งที่คุณยอมสละทิ้ง คุณจะได้รับกลับมาการทวีคูณมากขึ้นทั้งในชีวิตนี้ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือในชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระเยซู

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยให้ข้าพระองค์ยอมสละทุกสิ่งที่มี เพื่อเห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้า ขอบคุณที่ความมั่งคั่งและยั่งยืนที่สุดมาจากการติดตามพระเยซู
พันธสัญญาเดิม

โยบ 8:1-10:22

บิลดัดว่าโยบควรกลับใจ

1แล้วบิลดัดชาวชูอาห์ตอบว่า
2“ท่านหมายถึง โยบจะพูดอย่างนี้อยู่นานเท่าใด?
 และคำจากปากของท่านจะเป็นพายุอีกนานเท่าใด?
3พระเจ้าทรงบิดเบือนความยุติธรรมหรือ?
 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงบิดเบือนความชอบธรรมหรือ?
4ถ้าลูกของท่านได้ทำบาปต่อพระองค์
 พระองค์ก็ทรงมอบพวกเขาไว้ในอำนาจการละเมิดของเขา
5ถ้าท่านเองจะแสวงหาพระเจ้า
 และวิงวอนองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
6ถ้าท่านบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม
 แน่ละ พระองค์จะทรงเฝ้าระวังท่าน
 และจะทรงบูรณะที่อาศัยอันชอบธรรมของท่าน
7แม้เบื้องต้นของท่านจะเล็กน้อย
 แต่ต่อไปเบื้องปลายของท่านจะใหญ่โตอย่างยิ่ง
8“ขอท่านจงถามคนรุ่นก่อน
 และพิเคราะห์สิ่งที่บรรพบุรุษค้นพบ
9เพราะชีวิตเราสั้นเหมือนวันวาน จะรู้อะไรก็หาไม่
 เพราะวันคืนของเราบนโลกเหมือนเงา
10พวกเขาจะไม่สอนท่านและบอกท่าน
 และกล่าวคำจากความเข้าใจของเขาหรือ?
11“ต้นกกจะงอกขึ้นในที่ที่ไม่มีตมได้หรือ?
 ต้นอ้อจะงอกงามในที่ที่ไม่มีน้ำได้หรือ?
12ขณะยังเขียวและไม่ได้ถูกตัด
 มันก็เหี่ยวแห้งไปก่อนต้นไม้อื่น
13ทางของทุกคนที่ลืมพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ
 ความหวังของคนที่ไม่นับถือพระเจ้าจะพินาศไปโดยไร้ความหวัง
14สิ่งที่เขาไว้ใจจะหักสะบั้น
 และสิ่งที่เขาวางใจจะบอบบางอย่างใยแมงมุม
15เขาพิงเรือนของเขา แต่มันทานไม่ไหว
 เขายึดมันไว้ แต่มันก็ไม่คงทน
16คนอธรรมเขียวสดอยู่ต่อหน้าดวงอาทิตย์  และแขนงของเขาก็แผ่ออกเหนือสวนของเขา
17รากของเขาพันรอบกองหิน
 และซอกซอนลงไปในหิน
18ถ้าเขาถูกทำลายไปจากที่ของเขา
 แล้วที่นั้นจะปฏิเสธเขาว่า ‘ข้าไม่เคยเห็นเจ้า’
19ดูเถิด นี่เป็นทางอันชื่นบานของเขา
 และผู้อื่นจะงอกขึ้นจากดินแทนที่เขา
20“ดูเถิด พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งคนดีพร้อม
 และจะไม่ทรงค้ำจุนผู้ทำชั่ว
21พระองค์ยังจะทรงให้ปากของท่านเต็มด้วยการหัวเราะ
 และริมฝีปากของท่านเต็มด้วยการโห่ร้องยินดี
22คนเหล่านั้นที่เกลียดชังท่านจะห่มความอับอาย
 และเต็นท์ของคนอธรรมจะไม่มีอีกต่อไป”

โยบ 9

โยบตอบว่า ไม่มีคนกลางระหว่างท่านกับพระเจ้า

1แล้วโยบตอบว่า
2“จริงทีเดียว ข้าทราบว่าเป็นอย่างนั้น
 แต่มนุษย์จะชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร?
3ถ้าคนหนึ่งคนใดปรารถนาจะสู้คดีกับพระองค์
 ในพันครั้งผู้นั้นก็ตอบพระองค์ไม่ได้สักครั้งเดียว
4พระองค์ทรงไว้ซึ่งพระปัญญาและพลานุภาพ
 ผู้ใดแข็งข้อต่อพระองค์และชนะได้เล่า?
5พระองค์ผู้ทรงเคลื่อนภูเขา และมันก็ไม่รู้
 เมื่อทรงคว่ำมันด้วยพระพิโรธ
6ผู้ทรงทำให้แผ่นดินไหวจากที่ของมัน
 และเสาของมันก็สั่นสะเทือน
7ผู้ทรงบัญชาดวงตะวัน และมันก็ไม่ขึ้น
 ผู้ทรงผนึกเก็บดวงดาวทั้งหลายไว้
8ผู้ทรงกางฟ้าสวรรค์ออกแต่พระองค์เดียว
 และทรงย่ำคลื่นทะเล
9ผู้ทรงสร้างดาวจระเข้และดาวไถ
 ดาวลูกไก่ และหมู่ดาวทิศใต้
10ผู้ทรงทำการใหญ่เหลือที่จะเข้าใจได้
 และการอัศจรรย์นับไม่ถ้วน
11ดูเถิด พระองค์ทรงผ่านข้าไป และข้าหาเห็นพระองค์ไม่
 พระองค์ทรงเลยไป และข้าหาได้สังเกตไม่
12ถ้าพระองค์ทรงฉวยไป ผู้ใดจะห้ามพระองค์ได้?
 ผู้ใดเล่าจะทูลพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงทำอะไร?’
13“พระเจ้าจะไม่ทรงยับยั้งพระพิโรธ
 เหล่าสมุนของราหับต้องสยบใต้พระองค์
14แล้วข้าจะตอบพระองค์ได้อย่างไร?
 จะเลือกถ้อยคำอะไรมาโต้ตอบพระองค์?
15แม้ข้าเป็นฝ่ายชอบธรรม ข้าก็ตอบพระองค์ไม่ได้
 ข้าจะต้องวิงวอนองค์ตุลาการของข้า
16ถ้าข้าร้องทูล และพระองค์ทรงตอบข้า
 ข้าก็ไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงฟังเสียงของข้า
17เพราะพระองค์ทรงขยี้ข้าด้วยพายุ
 และทรงเพิ่มบาดแผลแก่ข้าโดยไม่มีเหตุ
18พระองค์จะไม่ทรงให้ข้าได้พักหายใจบ้าง
 แต่ทรงให้ข้าเต็มด้วยความขมขื่น
19ถ้าเป็นการประลองกำลัง พระองค์ก็แข็งแกร่ง
 ถ้าเป็นเรื่องการพิพากษา ผู้ใดจะเรียกพระองค์ขึ้นศาลได้?
20แม้ข้าเป็นฝ่ายชอบธรรม ปากของข้าจะกล่าวโทษข้า
 แม้ข้าดีพร้อม พระองค์ก็จะทรงพิสูจน์ว่าข้าผิด
21ข้าดีพร้อม ข้าไม่ไยดีในตัวเอง
 ข้าเกลียดชีวิตของข้า
22เพราะฉะนั้นข้าจึงว่า ก็เหมือนกันหมด
 พระองค์ทรงทำลายทั้งคนดีพร้อมและคนอธรรม
23เมื่อภัยพิบัตินำความตายมาฉับพลัน
 พระองค์ทรงเยาะเย้ยความวิบัติของผู้ไร้ผิด
24พระองค์ทรงมอบแผ่นดินโลกไว้ในมือคนอธรรม
 พระองค์ทรงปิดตาบรรดาผู้พิพากษาของโลก
 ถ้าไม่ใช่พระองค์ แล้วผู้ใดเล่า?
25“วันคืนของข้าพระองค์เร็วกว่านักวิ่ง
 มันหนีไป มันไม่เห็นสิ่งดีอะไร
26มันผ่านไปเร็วอย่างกับเรือที่ทำจากต้นอ้อ
 ดังนกอินทรีโฉบลงบนเหยื่อ
27ถ้าข้าพระองค์ว่า ‘ข้าจะลืมคำร้องทุกข์ของข้า
 ข้าจะทิ้งหน้าเศร้าของข้าเสียและเบิกบาน’
28ข้าพระองค์ก็กลัวบรรดาความทุกข์ของข้าพระองค์
 เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์จะไม่ทรงถือว่าข้าพระองค์ไร้ผิด
29ข้าพระองค์จะถูกกล่าวโทษ
 แล้วข้าพระองค์จะดิ้นรนให้เหนื่อยเปล่า ทำไม?
30ถ้าข้าพระองค์ชำระตัวด้วยสบู่
 และล้างมือด้วยน้ำด่าง
31พระองค์ก็จะทรงจุ่มข้าพระองค์ลงในบ่อโสโครก
 แม้เสื้อผ้าของข้าพระองค์ก็จะรังเกียจข้าพระองค์
32พระองค์มิใช่มนุษย์อย่างข้า ที่ข้าจะตอบพระองค์
 ที่เราจะมาสู้คดีกัน
33ไม่มีหรือ อยากให้มีคนกลางระหว่างเรา
 ผู้ซึ่งจะตัดสินให้เราทั้งสองได้
34ขอพระองค์ทรงนำไม้เรียวไปจากข้าเสียที
 และขออย่าให้ความน่าครั่นคร้ามจากพระองค์ทำให้ข้ากลัว
35แล้วข้าจะพูดโดยไม่กลัวพระองค์
 เพราะตัวข้าไม่เป็นอย่างนั้น

โยบ 10

โยบว่า “ข้าเบื่อชีวิตของข้า”

1“ข้าเบื่อชีวิตของข้า ข้าจะร้องทุกข์อย่างไม่ยับยั้ง
 ข้าจะพูดด้วยใจขมขื่น
2ข้าจะทูลพระเจ้าว่า ขออย่าทรงกล่าวโทษข้าพระองค์
 ขอให้ข้าพระองค์ทราบว่า ไฉนพระองค์ทรงสู้คดีกับข้าพระองค์
3พระองค์ทรงเห็นดีหรือ ที่จะบีบบังคับ
 ที่จะดูหมิ่นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์
 และโปรดแผนการของคนอธรรม?
4พระองค์ทรงมีพระเนตรอย่างคนหรือ?
 พระองค์ทรงเห็นอย่างมนุษย์เห็นหรือ?
5วันของพระองค์เหมือนของมนุษย์หรือ?
 ปีของพระองค์เหมือนของคนเราหรือ?
6พระองค์จึงทรงคอยจับผิดข้าพระองค์
 และค้นหาบาปของข้าพระองค์
7แม้พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์มิได้เป็นคนอธรรม
 และไม่มีผู้ใดช่วยกู้ออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้
8พระหัตถ์ของพระองค์ปั้นและสร้างข้าพระองค์
 และบัดนี้พระองค์ทรงหันมาทำลายข้าพระองค์
9ขอทรงระลึกว่าพระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์จากดิน
 แล้วจะทรงนำข้าพระองค์กลับเป็นผงคลีดินอีกหรือ?
10พระองค์ทรงเทข้าพระองค์ออกอย่างน้ำนม
 และทำข้าพระองค์ให้แข็งเหมือนเนยแข็งมิใช่หรือ?
11พระองค์ทรงห่มข้าพระองค์ด้วยหนังและเนื้อ
 ทรงสานข้าพระองค์ด้วยกระดูกและเส้นเอ็น
12พระองค์ประทานชีวิตและความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
 และทรงเฝ้าระวังชีวิตข้าพระองค์ไว้
13แต่สิ่งต่อไปนี้พระองค์ทรงซ่อนไว้ในพระทัยของพระองค์
 ข้าพระองค์ทราบว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระองค์
14ถ้าข้าพระองค์ทำบาป พระองค์ทรงเฝ้าดูข้าพระองค์อยู่
 และไม่ทรงปล่อยข้าพระองค์ให้พ้นความผิดของข้าพระองค์
15ถ้าข้าพระองค์ชั่วร้าย วิบัติแก่ข้าพระองค์
 ถ้าข้าพระองค์ชอบธรรม ข้าพระองค์ก็ยังผงกศีรษะขึ้นไม่ได้
เพราะข้าพระองค์เต็มด้วยความอดสู
 และมองดูความทุกข์ใจของข้าพระองค์
16และถ้าข้าพระองค์จะยกตัวขึ้น พระองค์จะทรงล่าข้าพระองค์อย่างสิงโต
 และทรงทำการอัศจรรย์สู้ข้าพระองค์อีก
17พระองค์ทรงให้เหล่าพยานของพระองค์ปรักปรำข้าพระองค์อีก
 และทรงทวีความกริ้วของพระองค์ต่อข้าพระองค์
 พระองค์ทรงนำกองทัพใหม่ๆ มาสู้ข้าพระองค์
18“ไฉนพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์
 มิฉะนั้นข้าพระองค์คงตายก่อนผู้ใดได้เห็นข้าพระองค์
19ประหนึ่งว่าข้าพระองค์มิได้เกิดมา
 ข้าพระองค์คงถูกนำจากครรภ์ไปถึงหลุมศพแล้ว
20วันคืนของข้าพระองค์ก็น้อยมิใช่หรือ?
 ขอให้ข้าพระองค์อยู่ลำพัง เพื่อข้าพระองค์จะได้ชื่นใจสักหน่อย
21ก่อนที่ข้าพระองค์จะไปยังที่ซึ่งข้าพระองค์ไม่ได้กลับ
 ถึงแผ่นดินแห่งความมืดและเงามัจจุราช
22แผ่นดินแห่งความมืดทึบดังตัวความมืดเอง
 เป็นแผ่นดินแห่งเงามัจจุราชและไร้ระเบียบ
 ที่ซึ่งความสว่างเป็นเหมือนความมืด”

อรรถาธิบาย

ในชีวิตของคุณ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า

บางครั้งเวลาที่เราเห็นคนอื่นประสบกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่ล่อลวงเราให้มีความคิดเห็นที่ผิดเพี้ยน ในคำแนะนำของบิลดัด ผู้เป็นเพื่อนของโยบเราจะได้เห็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาของความจริง ความจริงเพียงครึ่งเดียว และความเท็จ (8:1-22)

ในบทสนทนาตอนที่โยบตอบนั้น เขากล่าวว่า ‘จริงทีเดียว ข้าทราบว่าเป็นอย่างนั้น แต่…’ (9:2) หรืออีกมุมหนึ่ง เขากำลังชี้ให้เราเห็นว่าสิ่งที่บิลดัดได้พูดไว้นั้นเป็นความจริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด โยบปฏิเสธความคิดเห็นที่ฉาบฉวย ของเพื่อนคนนี้ถึงสาเหตุว่าทำไมเขาจึงต้องทุกข์ทรมาน

สิ่งที่โยบได้พูดนั้นดูจะเป็นข้อเท็จจริงมากกว่า และกลั่นออกมาจากใจ เขาคร่ำครวญต่อพระเจ้าว่า ‘แม้ข้าเป็นฝ่ายชอบธรรม ข้าก็ตอบพระองค์ไม่ได้ ข้าจะต้องวิงวอนองค์ตุลาการของข้า’ (ข้อ 15) โยบกระทั่งหวังว่า เขาไม่น่าจะมาเกิดเลย (10:18-19) เขายอมรับความอ่อนแอ และสับสนของตัวเอง แม้กระทั่งความโกรธเคือง ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เขากล่าวว่า ‘ข้าเบื่อชีวิตของข้า ข้าจะร้องทุกข์อย่างไม่ยับยั้ง ข้าจะพูดด้วยใจขมขื่น’ (ข้อ1)

แต่ทันใดนั้น ท่ามกลางความสิ้นหวัง โยบก็เริ่มที่จะจำได้ว่า สำหรับพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เขากล่าวว่า ‘พระองค์ประกอบด้วย พระปัญญาสูงสุดและทรงฤทธิ์ ใหญ่ยิ่ง..พระองค์ทรงยก ภูเขา ให้เคลื่อนที่ ไปมันก็ไม่รู้ตัว พระองค์ทรงคว่ำมันเสียได้ด้วยพระพิโรธของพระองค์ผู้ทรงทำการใหญ่เหลือที่จะเข้าใจได้ และการอัศจรรย์นับไม่ถ้วน’ (9:4–5,10, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พระองค์ประทานชีวิต และความรักเมตตาแก่ข้าฯ พระองค์ก็ทรงเฝ้าดูและปกป้องข้าพระองค์ไว้ทุกลมหายใจ’ (10:12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ณ จุดนี้เราจะเห็นส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาระหว่าง ความทุรนทุรายโดยแท้จริง และความเชื่อของโยบ โยบไม่ได้พยายามที่จะเสแสร้ง ว่าสถานการณ์ทุกอย่างนั้นโอเค หรือแม้แต่จะบอกว่าเขาเข้าใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยายามที่จะยึดเหนี่ยวกับทุกสิ่งเท่าที่เขารู้เกี่ยวกับพระเจ้า

พระเจ้าทรงสามารถที่จะทำบางสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยกำลังของมนุษย์ ให้กับชีวิตของโยบ พระองค์ทรงฟื้นฟูทรัพย์สมบัติของเขา และ’ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน’ (42:12)

อย่างไรก็ตามอุปสรรคที่คุณกำลังเผชิญในขณะนี้ ไม่ว่ามันจะดูยากแค่ไหน หรือสถานการณ์จะดูเป็นไปไม่ได้ขนาดไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมว่า พระเจ้ารักคุณ และเชื่อเถอะว่า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’ (มัทธิว19:26)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์สำหรับตัวอย่างจากชีวิตของโยบ ความสัตย์ซื่อและความวางใจของเขาในพระองค์ แม้กระทั้งในเวลาที่ยากลำบากในชีวิต ของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และในการจัดการของพระองค์ ขอบพระคุณสำหรับความรักอันอัศจรรย์ ขอบคุณที่โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

มัทธิว 19:16–26

หลักสูตรอัลฟ่าเพิ่งเริ่มต้นอีกครั้งที่คริสตจักรของเรา และเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นผู้คนหลายร้อยคน หันกลับมา เพราะพวกเขาต้องการค้นหาความหมายของชีวิต ในมัทธิว 19:26 กล่าวไว้ว่า ‘ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’ ฉันแทบอดใจรอไม่ไหว ที่จะเห็นว่าพระเจ้ากำลังจะนำคำนี้ไปใช้ในชีวิตคนเหล่านั้นอย่างไรในหลักสูตรอัลฟ่านี้

ข้อพระคำประจำวัน

มัทธิว 19:26

‘ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม