เจ็ดวิธีที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัย
เกริ่นนำ
คุณสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากเมื่อคุณได้ลองจินตนาการเกี่ยวกับมัน: มนุษย์สามารทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ทั้งที่เราต่างดูไม่มีนัยสำคัญอะไรนักเมื่อเทียบกับขนาดและพื้นที่ของสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง และยังเป็นไปได้อีกด้วยที่เราสามารถ ‘สร้างความไม่พอพระทัย' แก่พระองค์ (อิสยาห์ 66:4ค) อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า ‘ค้นดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (เอเฟซัส 5:10) หรือตามที่พระคัมภีร์ใน The Message ระบุไว้ว่า ‘ค้นหาว่าอะไรจะทำให้พระคริสต์พอพระทัย แล้วจึงทำ’
สดุดี 113:1-9
พระเจ้าผู้ทรงอุปถัมภ์คนขัดสน
1สรรเสริญพระยาห์เวห์
บรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์เอ๋ย จงสรรเสริญเถิด
จงสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์
2ขอให้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นที่สรรเสริญ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเป็นนิตย์
3ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก
พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่สรรเสริญ
4พระยาห์เวห์ประทับอยู่สูงเหนือประชาชาติทั้งสิ้น
และพระสิริของพระองค์สูงเหนือฟ้าสวรรค์
5ผู้ใดเป็นเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
ผู้ประทับบนที่สูง
6ผู้โน้มพระองค์ลงทอดพระเนตร
ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก?
7พระองค์ทรงยกคนจนขึ้นมาจากผงคลี
และทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขี้เถ้า
8เพื่อให้เขานั่งกับบรรดาเจ้านาย
กับบรรดาเจ้านายแห่งชนชาติของพระองค์
9พระองค์โปรดให้หญิงหมันมีบ้านอยู่
เป็นแม่ที่ชื่นบานมีบุตร
สรรเสริญพระยาห์เวห์
อรรถาธิบาย
1. สรรเสริญพระเจ้า
การสรรเสริญเป็นการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพระเจ้า พระองค์มีค่าควรแก่การสรรเสริญทั้งหมดของคุณ เราสอนลูก ๆ ของเราให้ขอบพระคุณ ไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อพวกเขาเอง เรายินดีเมื่อพวกเขาขอบพระคุณ พระเจ้าสอนให้คุณสรรเสริญพระองค์เพราะเป็นการตอบสนองที่ถูกต้องสำหรับพระองค์ และเพราะเป็นการดีสำหรับคุณ วันขอบคุณพระเจ้าเป็นการตอบสนองต่อพระเมตตาที่มีต่อมนุษย์ที่เหมาะสม การสรรเสริญอย่างต่อเนื่องคือการตอบสนองที่เหมาะสมต่อพระเมตตาของพระเจ้า
ผู้เขียนสดุดีพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคุณควร ‘สรรเสริญพระยาห์เวห์’ (ข้อ 1) จงสรรเสริญพระองค์ตลอดวัน ‘ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก’ (ข้อ 3) สรรเสริญพระองค์ตลอดชีวิตของคุณ ‘ตอนนี้และพรุ่งนี้และตลอดไป’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) สรรเสริญพระองค์เป็นพิเศษสำหรับความรักที่พระองค์มีต่อคนชายขอบ ทั้งคนยากจน คนขัดสน และคนเป็นหมัน (ข้อ 7–9)
คำอธิษฐาน
เอเฟซัส 5:8-33
8เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง 9(เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง) 10จงค้นดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11และอย่ามีส่วนในกิจการของความมืดที่ไร้ผล แต่จงเปิดเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า 12เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาทำอย่างลับๆ ก็ยังเป็นเรื่องน่าละอาย 13แต่ทุกๆ สิ่งที่ได้รับการเปิดเผยโดยความสว่างก็ปรากฏให้เห็น 14เพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นความสว่าง ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า
คนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น
และจงเป็นขึ้นจากตาย
แล้วพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน
15เพราะฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา 16จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย 17เพราะเหตุนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าอะไรคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า 18และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ 19จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า 20จงขอบพระคุณพระเจ้าคือพระบิดาอยู่เสมอสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
บรรดาภรรยาและสามี
21จงยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยความยำเกรงพระคริสต์ 22ส่วนภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีของตน เหมือนยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า 23เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ โดยพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด 24คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีทุกประการอย่างนั้น 25ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร 26เพื่อจะทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระด้วยน้ำและพระวจนะ 27เพื่อพระองค์จะได้คริสตจักรที่มีศักดิ์ศรี ไม่มีด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใดๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ 28ในทำนองเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตัวเอง คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย 29เพราะว่าไม่มีใครเกลียดชังกายภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร 30เพราะว่าเราเป็นอวัยวะของพระกายของพระองค์ 31“เพราะเหตุนี้เอง ผู้ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน” 32ความล้ำลึกในเรื่องนี้สำคัญ และข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสต์และคริสตจักร 33อย่างไรก็ดี พวกท่านแต่ละคนจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง และภรรยาก็จงยำเกรงสามี
อรรถาธิบาย
2. จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง (เอเฟซัส 5:8-14)
ในฐานะคริสเตียน เราถูกเรียกให้เป็นชุมชนที่มีส่องสว่างเป็นดั่งเครื่องเตือนใจผู้อื่น ที่จะส่องทางที่พระเจ้าประสงค์ให้ชีวิตเราเป็น
เปาโลเขียนว่าเราเป็น ‘ความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า’ (ข้อ 8) ดังนั้น คุณควรดำเนินชีวิตเป็น ‘คนของความสว่าง’ (ข้อ 8) ความสว่างก่อให้เกิดผลดี: ความดี (ความใจกว้างต่อผู้อื่น) ความชอบธรรม (การทำสิ่งที่ถูกต้องในความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษยชาติ) และความจริง เหล่านี้เป็นวิธีที่คุณสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ (ข้อ 10)
ความสว่างเผยให้เห็นความชั่วร้าย วิธีที่ดีที่สุดในการขจัดความชั่วร้ายคือการลากความชั่วร้ายนั้นเข้าไปในแสงสว่าง ความชั่วร้ายเติบโตในความมืด แต่ทันทีที่คุณนำมันเข้าสู่ความสว่าง พลังของมันก็มือบอดไป
ทูลขอพระเจ้าทรงส่องสว่างแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในหัวใจของคุณ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดโปงด้านมืด จงจัดการกับมันผ่านการสารภาพผิดและการกลับใจ ทันทีที่คุณทำเช่นนั้น พลังแห่งความชั่วร้ายจะถูกทำลาย
3. จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ (เอเฟซัส 5:15–17)
เวลาคือสมบัติล้ำค่าที่สุดของคุณ คุณสามารถมีเงินที่มากขึ้น แต่คุณไม่สามารถมีเวลามากขึ้นได้
เปาโลเขียนว่า 'จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย’ (ข้อ 15-16) อย่าทิ้งชีวิตของคุณเหมือนคนโง่ ชีวิตนั้นสั้น อยู่กับปัจจุบันและทำทุกวันให้ดีที่สุด
4. จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 5:18–20)
เปาโลเปรียบเทียบการหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด (การ ‘เมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน’) กับการ ‘เต็มเปี่ยม’ (ข้อ 18) ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ‘จงดื่มพระวิญญาณของพระเจ้า ร่างใหญ่ของพระองค์’ (18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ในข้อเหล่านี้ อาจารย์เปาโลใช้การ ‘เต็มเปี่ยม’ ในกาลต่อเนื่องในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นให้เราดำเนินชีวิตต่อไปและเต็มไปด้วยพระวิญญาณ
การเติมเปี่ยมด้วยพระวิญญาณนำไปสู่การร้องเพลงสรรเสริญ 'เพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ’ (ข้อ 19) แทนที่จะเป็น ‘เพลงของคนเมาเหล้า’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) การร้องเพลงนำคุณไปสู่การนมัสการองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในหัวใจของคุณและขอบพระคุณพระเจ้า ตรงกันข้ามกับการบ่นว่าและโอดครวญ การร้องเพลงเช่นนี้เป็นลักษณะของชุมชนที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณที่จะขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง ในทุกสถานที่และทุกเวลา นอกจากนี้ยังนำไปสู่การยอมจำนนต่อกันดังที่เราเห็นในหัวข้อถัดไป
5. จงยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยความรักและความยำเกรง (เอเฟซัส 5:21–33)
จอห์น พอล เก็ตตี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชายที่มั่งคั่งที่สุดในโลก ซึ่งแต่งงานมาแล้วสามครั้ง กล่าวว่า ‘ผมยินดีมอบเงินจำนวนนับล้านทั้งหมดเพื่อความสำเร็จในชีวิตสมรสเพียงครั้งเดียว’ การเคารพซึ่งกันและกันเป็นกุญแจสู่การแต่งงานที่มีความสุข คำสำคัญในข้อ 21–33 คือ* ‘ความยำเกรง’ ‘ความรัก’* และ ‘การยอมเชื่อฟัง’ หัวข้อโดยรวมของสิ่งที่พูดถึงนี้คือ ‘ด้วยความเคารพในพระคริสต์’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เราต้อง ‘ยอมเชื่อฟังกันและกัน’ (ข้อ 21)
คำที่ใช้สำหรับการยอมเชื่อฟังแตกต่างจากคำที่ใช้สำหรับ ‘เชื่อฟัง’ (6:1) การยอมเชื่อฟังคือการยอมจำนนในความรัก เป็นลักษณะเฉพาะที่สวยงามและชัดเจนจากหัวข้อโดยรวม ‘ยอมเชื่อฟังกันและกัน’ (5:21) ที่อาจารย์เปาโลคาดหวังการยอมจำนนร่วมกัน คำสอนนี้เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในศตวรรษแรกเป็นอย่างมาก
ความยำเกรงเป็นกุญแจสู่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพศ เราไม่ได้อยู่ในสงคราม ดังที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์กล่าวไว้ว่า ‘ในพระคริสต์ การแข่งขัน ความเกลียดชัง และความรุนแรงสามารถเอาชนะได้และเอาชนะได้แล้ว ด้วยการยำเกรงซึ่งกันและกันตลอดการสมรสด้วยการยกอีกฝ่ายหนึ่งและให้ศักดิ์ศรีแก่พวกเขา และเพิ่มความมั่นใจและคุณค่าในตนเองของพวกเขา’
เนื้อหาโดยรวมเน้นเรื่องความรัก แม้ว่าจะมีการชี้นำเฉพาะเจาะจงไปที่ตัวสามี แต่คงจะเป็นเรื่องเหลวไหลที่จะแนะนำว่าความรักไม่ใช่การร่วมมือกัน อาจารย์เปาโลบอกว่าทั้งความรักและการยอมจำนนล้วนอยู่ร่วมกัน ความรักคือการเสียสละตนเอง นี่เป็นวิธีที่สามียอมเชื่อฟัง
ความรักดังที่กล่าวมานี้เป็นการชำระให้บริสุทธิ์ (ข้อ 26–27) ทำให้เราบริสุทธิ์ ทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซู มีความละเอียดอ่อน (ข้อ 28–30) และถูกผนึกไว้ในการแต่งงานโดยการมีเพศสัมพันธ์ (ข้อ 31)
และนี่คือบริบทของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ว่าด้วยการมีเพศสัมพันธ์ เป็นมุมมองทางเพศและการแต่งงานที่สวยงามและโรแมนติกที่สุด ดังที่ โรเบิร์ต สเปแมนน์ กล่าวไว้ว่า ‘แก่นแท้ของการแต่งงานคือสองชีวิต สองชีวประวัติ เชื่อมโยงเข้าด้วยกันจนกลายเป็นประวัติศาสตร์เดียว’
ยิ่งกว่านั้น พระคำช่วงนี้เป็นดั่งอัญมณีล้ำค่าที่ควรค่าอันเป็นดั่งขุมทรัพย์ เพราะพระคำเหล่านั้นแนะนำเกี่ยวกับงานฉลองสมรสที่ใกล้จะมาถึงของพระเมษโปดก และความสมบูรณ์ของสหภาพระหว่างพระคริสต์กับคริสตจักรของเขา
คำอธิษฐาน
อิสยาห์ 65:17-66:24
ความรุ่งโรจน์ของฟ้าสวรรค์และโลกใหม่
17“เพราะดูสิ เราสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่
และสร้างแผ่นดินโลกใหม่
เพราะสิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่ถูกจดจำ
และไม่นึกขึ้นในใจอีก
18แต่จงชื่นบานและเปรมปรีดิ์เป็นนิตย์
ในสิ่งที่เราสร้างขึ้น
เพราะดูสิ เราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นที่เปรมปรีดิ์
และประชากรของเมืองนั้นให้เป็นความชื่นบาน
19เราจะเปรมปรีดิ์เพราะเยรูซาเล็ม
และชื่นบานเพราะประชากรของเรา
จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ในเมืองนั้นอีก
ทั้งไม่มีเสียงครวญคราง
20ในที่นั้นจะไม่มี
ทารกซึ่งมีชีวิตเพียงสองสามวัน
หรือคนแก่ที่มีอายุไม่ครบกำหนด
เพราะคนตายเมื่ออายุร้อยปีจะถือว่าอ่อนวัย
ส่วนคนอายุน้อยกว่าร้อยปีจะถือว่าถูกแช่งสาป
21พวกเขาจะสร้างบ้านและเข้าอยู่ในนั้น
เขาจะปลูกสวนองุ่นและกินผลของมัน
22พวกเขาจะไม่สร้างบ้านแล้วคนอื่นได้เข้าอยู่
เขาจะไม่ปลูกสวนแล้วคนอื่นได้กิน
เพราะว่าอายุชนชาติของเราจะเป็นเหมือนอายุต้นไม้
และผู้เลือกสรรของเราจะใช้ผลงานจากมือของเขาไปนาน
23เขาทั้งหลายจะไม่ทำงานโดยเปล่าประโยชน์
หรือคลอดลูกเพื่อความสยดสยอง
เพราะเขาเป็นเชื้อสายของพวกได้รับพรจากพระยาห์เวห์
พร้อมกับบรรดาลูกหลานของพวกเขาด้วย
24และจะเป็นดังนี้ คือก่อนที่พวกเขาร้องเรียก เราเองจะตอบ
ขณะที่เขาทั้งหลายยังพูดอยู่ เราเองจะฟัง
25สุนัขป่าและลูกแกะจะหากินเหมือนพวกเดียวกัน
สิงโตจะกินฟางเหมือนวัว
และงูกินผงคลีเป็นอาหาร
พวกมันจะไม่ทำอันตรายหรือทำลายกัน
ทั่วภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
อิสยาห์ 66
การนมัสการที่พระเจ้าทรงเรียกร้อง
1พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “สวรรค์เป็นพระที่นั่งของเรา
และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา
พวกเจ้าสามารถสร้างนิเวศให้แก่เรา ณ สถานที่ใด?
และที่พำนักของเรานั้นจะอยู่ที่ไหน?
2มือของเราสร้างสิ่งทั้งหมดนี้
และสิ่งทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้น” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้
“แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง
คือผู้ถ่อมใจและสำนึกผิดในวิญญาณจิต
และตัวสั่นเพราะถ้อยคำของเรา
3“ส่วนผู้ฆ่าวัวเหมือนกับผู้ฆ่าคน
ผู้ฆ่าลูกแกะถวายเหมือนกับผู้หักคอสุนัข
ผู้นำธัญบูชามาเหมือนกับผู้ถวายเลือดหมู
ผู้ถวายอนุสรณ์บูชาด้วยกำยานเหมือนกับผู้บูชารูปเคารพ
คนพวกนี้ต่างก็เลือกทางเดินของเขาเอง
และจิตใจของพวกเขายินดีในสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา
4เราเองก็จะเลือกความทุกข์ใจให้พวกเขาด้วย
และเราจะนำสิ่งที่พวกเขากลัวนั้นมายังเขา
เพราะว่าเมื่อเราร้องเรียก ไม่มีใครตอบ
เมื่อเราพูด เขาทั้งหลายไม่ฟัง
แต่พวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเรา
และเลือกสิ่งที่เราไม่ปีติยินดี”
พระเจ้าทรงแก้ต่างให้ศิโยน
5จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์
พวกเจ้าที่ตัวสั่นเพราะพระวจนะของพระองค์
“พี่น้องของพวกเจ้าที่เกลียดชังเจ้า
และเหวี่ยงเจ้าออกไปเพราะเหตุนามของเรา
ได้พูดว่า ‘ขอพระยาห์เวห์ทรงได้รับเกียรติ
เพื่อเราจะได้เห็นความชื่นบานของพวกเจ้า’
แต่เขาเหล่านั้นแหละจะได้รับความอับอาย”
6เสียงอึงคะนึงจากในเมือง
เสียงจากพระวิหาร
พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์
กำลังให้การตอบแทนต่อศัตรูของพระองค์
7“ก่อนที่จะปวดครรภ์
นางก็คลอดบุตร
ก่อนที่ความเจ็บปวดจะมาถึงนาง
นางก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
8ใครเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้?
ใครเคยได้เห็นสิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งนี้?
แผ่นดินจะเกิดขึ้นในวันเดียวหรือ?
ประชาชาติจะคลอดออกมาในครู่เดียวหรือ?
แต่พอศิโยนเริ่มปวดครรภ์
เธอก็คลอดบุตรทั้งหลายของเธอ
9เรานำมาถึงกำหนดคลอด และยังจะไม่ให้คลอดหรือ? ”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้
“และตัวเราผู้ทำให้คลอด จะปิดครรภ์ไว้หรือ? ”
พระเจ้าของท่านตรัสดังนี้
10จงเปรมปรีดิ์กับเยรูซาเล็มและยินดีกับเธอ
นะบรรดาผู้รักเธอ
จงเปรมปรีดิ์กับเธอด้วยความชื่นบาน
นะบรรดาผู้ไว้ทุกข์เพื่อเธอ
11เพื่อพวกท่านจะได้รับการเลี้ยงดูและอิ่มใจ
ด้วยหน้าอกที่ปลอบโยนของเธอ
เพื่อท่านจะได้ดื่มอย่างเต็มที่ด้วยความยินดี
จากอกอันอุดมของเธอ
12เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“นี่แน่ะ เราจะนำสวัสดิภาพมาถึงเธอเหมือนแม่น้ำ
และนำทรัพย์สมบัติของบรรดาประชาชาติมาเหมือนลำน้ำที่ไหลล้น
และพวกเจ้าจะได้รับการเลี้ยงดูจากเธอ จะถูกอุ้มไว้ที่สะเอวเธอ
และเขย่าขึ้นลงบนเข่าเธอ
13เหมือนผู้ที่มารดาของเขาปลอบโยน
เราเองจะปลอบโยนพวกเจ้าเช่นนั้น
และเจ้าจะได้รับการปลอบโยนในเยรูซาเล็ม”
การครอบครองและพระพิโรธของพระเจ้า
14พวกท่านจะได้เห็น แล้วใจของท่านจะเปรมปรีดิ์
กระดูกของท่านจะกระชุ่มกระชวยเหมือนหญ้าอ่อน
และคนจะรู้กันว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์อยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์
และพระองค์กริ้วต่อศัตรูของพระองค์
15เพราะดูสิ พระยาห์เวห์จะเสด็จมาด้วยไฟ
และรถรบของพระองค์เหมือนลมพายุ
เพื่อสำแดงพระพิโรธของพระองค์อย่างเกรี้ยวกราด
และสำแดงการกำราบของพระองค์ด้วยไฟ
16เพราะว่าพระยาห์เวห์จะทรงพิพากษาด้วยไฟ
ทั้งด้วยพระแสงของพระองค์เหนือมนุษย์ทั้งหมด
และผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงสังหารจะมีมากมาย
17“พวกชำระตัวเองและล้างตัวเพื่อเข้าไปในสวน แล้วตามผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางพวกกินเนื้อหมูและกินสิ่งน่าเกลียดน่าชัง ทั้งกินหนูนั้น จะถึงที่สิ้นสุดด้วยกัน” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
18“เพราะเรารู้การกระทำของพวกเขาและความคิดของเขา และเราจะมาเพื่อรวบรวมทุกประชาชาติและทุกภาษา และเขาทั้งหลายจะมาและเห็นสง่าราศีของเรา 19และเราจะตั้งหมายสำคัญไว้ท่ามกลางพวกเขา และเราจะส่งผู้รอดตายจากพวกเขาไปยังบรรดาประชาชาติคือไปยังทารชิช พูตและลูด(ผู้เก่งด้านธนู) ไปยังทูบัลและยาวาน ทั้งแผ่นดินชายทะเลที่ไกลออกไป ที่ซึ่งยังไม่ได้ยินชื่อเสียงของเราหรือเห็นสง่าราศีของเรา แล้วพวกเขาจะประกาศสง่าราศีของเราในบรรดาประชาชาติ 20และเขาทั้งหลายจะนำพี่น้องทั้งหมดของพวกเจ้าจากทุกประชาชาติมาเป็นธัญบูชาแด่พระยาห์เวห์ โดยม้า โดยรถม้า โดยเกวียนประทุน โดยล่อและโดยอูฐโหนกเดียว นำมายังเยรูซาเล็มภูเขาบริสุทธิ์ของเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ “เหมือนอย่างที่คนอิสราเอลนำธัญบูชาใส่ภาชนะสะอาดมายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 21และเราจะเอาบางคนจากพวกเขามาเป็นปุโรหิตและเป็นเลวีด้วย”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
22“เพราะว่าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่
ซึ่งเราจะสร้างขึ้นนั้น
จะดำรงอยู่ต่อหน้าเราอย่างไร
เชื้อสายของพวกเจ้าและชื่อของพวกเจ้าจะดำรงอยู่อย่างนั้น”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
23“จากวันขึ้นค่ำถึงอีกวันขึ้นค่ำ
และจากวันสะบาโตถึงอีกวันสะบาโต
มนุษย์ทั้งหมดจะมานมัสการต่อหน้าเรา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
24“และพวกเขาจะออกไปมองดูซากศพของพวกคนที่กบฏต่อเรา เพราะว่าหนอนที่กัดคนเหล่านี้จะไม่ตายไป ไฟที่เผาพวกเขาจะไม่ดับ และเขาทั้งหลายจะเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนของมนุษย์ทั้งหมด”
อรรถาธิบาย
6. จงถ่อมตน (อิสยาห์ 66:2ข)
องค์พระผู้เป็นเจ้าเองตรัสว่า 'แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง คือผู้ถ่อมใจและสำนึกผิดในวิญญาณจิต และตัวสั่นเพราะถ้อยคำของเรา’ (ข้อ 2ข) ‘แต่มีบางอย่างที่เรากำลังมองหา คนที่เรียบง่ายและธรรมดา ตอบสนองต่อสิ่งที่เราพูดด้วยความยำเกรง' (ข้อ 2ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยผ่านการศึกษาและยอมจำนนต่อพระวจนะของพระองค์อย่างต่อเนื่อง พระเจ้าทำให้เราถ่อมตนและสำนึกผิด เป็นเรื่องง่ายที่จะหยิ่งผยองจนกว่าเราจะคุกเข่าต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและพระวจนะของพระองค์ และมองตนเองในความสว่างแห่งความจริงของพระองค์
7. ตั้งตารอโลกซึ่งทุกสิ่งเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า (อิสยาห์ 65:17 – 66:24)
อิสยาห์หนุนใจให้ผู้คน ‘จงชื่นบานและเปรมปรีดิ์เป็นนิตย์ ในสิ่งที่เราสร้างขึ้น’ (65:18) พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงสร้าง ‘ฟ้าสวรรค์ใหม่ และสร้างแผ่นดินโลกใหม่’ (ข้อ 17)
ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่นี้จะเป็นที่ซึ่งทุกสิ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ที่ซึ่งพระองค์สามารถ ‘ชื่นบานเพราะประชากร [ของพระองค์]’ (ข้อ 19) ในบทสุดท้ายนี้ อิสยาห์ได้ร่างภาพนิมิตอันรุ่งโรจน์ว่าการทรงสร้างใหม่นี้จะเป็นอย่างไร
เนื้อหาตอนนี้ยังเตือนถึงการพิพากษาที่จะมาถึง เนื่องจากทุกสิ่งที่ทำให้พระเจ้าไม่พอใจไม่ถูกนำมารวมในการทรงสร้างใหม่นี้ (66:4ข)
จินตภาพของการทรงสร้างใหม่ ซึ่งบทเหล่านี้ให้ไว้แก่เรานั้นเป็นภาพของความชื่นบานและเปรมปรีดิ์ (65:18–19ก) ที่ซึ่งไม่มีความทุกข์ยากอีกต่อไปและ ‘จะไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ในเมืองนั้นอีก ทั้งไม่มีเสียงครวญคราง’ (ข้อ 19ข, ดู วิวรณ์ 21:4)
อิสยาห์สัญญาว่าทุกคนจะใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ (อิสยาห์ 65:20) แต่พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ไปไกลกว่านั้น โดยพระเยซูทรงสัญญาถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องมีงานศพ สัปเหร่อ หรือสุสาน คนของพระเจ้าจะได้รับความเป็นอมตะ (1 โครินธ์ 15:53)
อิสยาห์รอคอยเวลาที่ทุกกิจกรรมจะถือเป็นพระพร (อิสยาห์ 65:21–23ก) งานต่าง ๆ จะไม่สูญเปล่าอีกต่อไป จะไม่มีการใช้แรงงานหรือการตราตรำอีกต่อไป แต่จะมีการฟื้นฟูแห่งการครอบครองเหนือการทรงสร้างซึ่งเราเคยได้รับมอบหมายไว้แล้วในตอนแรก (ดู ปฐมกาล 1:26; วิวรณ์ 22:5)
จะมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้า (อิสยาห์ 65:23ข–24) โดยไม่มีคำอธิษฐานที่ติดขัดหรือดูเหมือนไม่ได้รับคำตอบอีกต่อไป คุณจะมีนิมิตที่ไม่บกพร่องของพระเจ้าและของพระเยซู
จะมีความสามัคคีและความสงบสุข (ข้อ 25) ความสัมพันธ์ทั้งหมดจะกลับคืนมา แม้กระทั่งสัตว์โลก จะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความใกล้ชิดในทุกความสัมพันธ์ ธรรมชาติจะได้รับการฟื้นฟูให้เป็นสถานที่แห่งความมั่นคง ความปลอดภัย และความสงบสุข แผ่นดินของพระเจ้าจะได้รับการสถาปนาอย่างสมบูรณ์ มาร์ติน ลูเทอร์เขียนว่า 'ผมจะไม่ละทิ้งช่วงเวลาแห่งสวรรค์เพียงชั่วขณะ เพื่อความสุขและความมั่งคั่งของโลกนี้ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะคงอยู่เป็นเวลาหลายต่อหลายพันปีก็ตาม'
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
เอเฟซัส 5:15-16
‘จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย’
วันนี้ฉันใช้ทุก ๆ โอกาสอย่างเต็มที่หรือยัง? ฉันชักจะไม่แน่ใจ!
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 113:3
‘ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก พระนามของพระยาห์เวห์จะเป็นที่สรรเสริญ’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)