อุทิศตนด้วยสุดหัวใจ
เกริ่นนำ
ผมยังจำมันได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ผมลุกขึ้นออกจากที่นั่งแล้วเดินไปข้างหน้า ผมพึ่งเป็นคริสเตียนได้เพียงไม่กี่เดือน ผมตอบสนองคำเทศนาด้วยการอุทิศทั้งชีวิตให้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้าและติดตามพระองค์ด้วยสุดหัวใจของผมไม่ว่าอยู่แห่งหนไหน
แน่นอนว่า ผมมีทั้งช่วงที่ดีและไม่ดี ผมมีช่วงเวลาที่พลาดพลั้ง พวกเรายังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ ผมยังคงทำสิ่งที่ผมไม่ปรารถนาทำแต่ผมยังตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดหัวใจและอุทิศทั้งชีวิตเพื่อพระองค์
การ ‘อุทิศทั้งชีวิต’ ด้วย ‘สุดหัวใจ’ หมายถึงการอุทิศทั้งหมด 100% นั่นคือการพยายามทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้คุณทำ และรวมถึงการกำจัดรากปัญหาของสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ คุณควรต้องทำลายบรรดารูปเคารพของคุณและละทิ้งพระอื่น ๆ ในชีวิต
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองหาผู้ที่ ‘จริงใจต่อพระองค์’ (2 พงศาวดาร 16:9) ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่า ‘ขอทรงรวมใจของข้าพระองค์เป็นใจเดียว’ (สดุดี 86:11) สำนวนที่ว่า ‘ด้วยสุดใจ’ ปรากฎอยู่หลายครั้งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องทำสิ่งต่อไปนี้ ‘ด้วยสุดใจของคุณ’ ได้แก่
- รักพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4-5, มัทธิว 22:36-38)
- วางใจพระเจ้า (สุภาษิต 3:5)
- เชื่อฟังพระเจ้า (สดุดี 119:34,69, 1 พงศาวดาร 29:19)
- สรรเสริญพระเจ้า (สดุดี 111:1, 138:1)
- ทำงานเพื่อถวายพระเจ้า (เนหะมีย์ 4:6, โคโลสี 3:23)
นี่คือวิธีที่จะชื่นชมยินดีกับชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10) เป็นชีวิตแห่งความรัก ความไว้วางใจ การขอบพระคุณ ความชื่นชมยินดี และการงานที่มีความหมาย ในข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์สำหรับวันนี้ เราจะเห็นเหตุผล และวิธีที่เราควรดำเนินชีวิตอย่างสุดใจ
สดุดี 102:1-11
คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระมหากษัตริย์นิรันดร์
คำอธิษฐานของผู้ถูกข่มเหง เมื่อเขาอ่อนระอาใจและระบายความทุกข์นั้นต่อพระยาห์เวห์
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
ขอให้เสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์
2ขออย่าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์
ในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก
ขอเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์
ขอทรงตอบโดยเร็ว เมื่อข้าพระองค์ร้องทูล
3เพราะวันเวลาของข้าพระองค์สลายไปอย่างควัน
และกระดูกของข้าพระองค์ไหม้อย่างเตาไฟ
4ใจของข้าพระองค์ถูกทำลายและเหี่ยวไปเหมือนหญ้า
ข้าพระองค์ไม่รู้สึกอยากอาหาร
5ด้วยเสียงร้องครางของข้าพระองค์
ข้าพระองค์ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
6ข้าพระองค์เป็นเหมือนนกฮูกแห่งถิ่นทุรกันดาร
ดุจนกเค้าแมวแห่งที่ร้างเปล่า
7ข้าพระองค์นอนไม่หลับ
ข้าพระองค์เหมือนนกโดดเดี่ยวบนหลังคาบ้าน
8ศัตรูเยาะหยันข้าพระองค์วันแล้ววันเล่า
ผู้ที่ดูถูกข้าพระองค์ใช้ชื่อข้าพระองค์แช่งคนอื่น
9 เพราะข้าพระองค์กินขี้เถ้าต่างอาหาร
และเจือน้ำตาเข้ากับเครื่องดื่ม
10เพราะความโกรธและโทสะของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นและทรงโยนข้าพระองค์ลง
11วันเวลาของข้าพระองค์เหมือนเงาเวลาเย็น
ข้าพระองค์เหี่ยวไปเหมือนหญ้า
อรรถาธิบาย
ชีวิตนั้นแสนสั้น
ผู้เขียนสดุดีรู้ว่าชีวิตนั้นสั้นเพียงใด 'เพราะวันเวลาของข้าพระองค์สลายไปอย่างควัน’ (ข้อ 3ก) ‘วันเวลาของข้าพระองค์เหมือนเงาเวลาเย็น ข้าพระองค์เหี่ยวไปเหมือนหญ้า’ (ข้อ 11) เขามีความรู้สึกว่าเวลากำลังจะหมดลง ชีวิตบนโลกนี้ช่างสั้นนัก ดังนั้นจงทำทุกวันให้ดีที่สุด
ผู้เขียนสดุดีกำลังเป็นทุกข์ เขาร้องว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอให้เสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ ขออย่าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์ ในยามที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ขอเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์ ขอทรงตอบโดยเร็ว เมื่อข้าพระองค์ร้องทูล’ (ข้อ, 1–2)
นี่เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการอุทิศตนด้วยสุดใจต่อพระเจ้าแม้ในยามทุกข์ยาก คือการเลือกที่จะหันไปหาพระเจ้า ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนื่องนิตย์ (ข้อ 12) และเขาสามารถวางใจพระองค์ได้
คำอธิษฐาน
1 โครินธ์ 15:1-34
การคืนพระชนม์ของพระเยซู
1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้คำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลายนั้น พวกท่านได้รับไว้และได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้นแล้ว 2และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่าท่านเชื่อแบบไร้ผล
3เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 5พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองคน 6ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว 7ต่อจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด 8หลังสุดพระองค์ทรงปรากฏต่อข้าพเจ้า ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด 9เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า 10แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่ประทานแก่ข้าพเจ้านั้น ก็ไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าตรากตรำมากกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำ 11เพราะฉะนั้นตัวข้าพเจ้าหรือพวกเขาก็ดี เราต่างก็ประกาศเช่นนี้ และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่อเช่นนี้
การที่คนตายเป็นขึ้นมา
12ถ้าเราประกาศว่าพระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ทำไมบางคนในพวกท่านจึงพูดว่าการเป็นขึ้นจากความตายไม่มี? 13ถ้าการเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา 14ถ้าพระคริสต์ไม่ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา การประกาศของเรานั้นก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไร้ประโยชน์ด้วย 15และคนก็จะเห็นว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมา 16เพราะว่าถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมา พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา 17และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน 18และถ้าอย่างนั้นคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย 19ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงแค่ในชีวิตนี้ เราก็เป็นพวกน่าเวทนาที่สุดของคนทั้งหมด
20แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป 21เพราะว่าในเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง การเป็นขึ้นจากความตายก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน 22เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ 23แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ คือพระคริสต์ทรงเป็นผลแรก ต่อจากนั้นก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา 24แล้วก็จะเป็นเวลาอวสานซึ่งพระคริสต์จะทรงมอบอาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดา และจะทรงทำลายภูตผีที่ครอบครองทั้งหมด ภูตผีที่มีสิทธิอำนาจและที่มีฤทธานุภาพ 25เพราะว่าพระคริสต์ทรงต้องครอบครองจนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งหมดให้อยู่ใต้พระบาทของพระคริสต์ 26ศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย 27เพราะว่า “พระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจภายใต้พระบาทของพระบุตร” แต่เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจนั้น ก็รู้ชัดกันอยู่แล้วว่า ยกเว้นพระเจ้าผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์ 28เมื่อทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์แล้ว เมื่อนั้นพระบุตรพระองค์เองก็จะทรงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า ผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจพระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงเป็นเอก
29มิฉะนั้น พวกที่ให้รับบัพติศมาเพื่อคนตายนั้นจะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมาเลย? และทำไมจึงมีการให้รับบัพติศมาเพื่อคนตาย? 30และทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา? 31พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าตายทุกวัน ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยความภูมิใจในพวกท่าน ที่ข้าพเจ้ามีในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัสด้วยความหวังแบบมนุษย์เท่านั้นด้วยความหวังแบบมนุษย์เท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมา
“ก็ให้เรากินและดื่มเถิด
เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย”
33อย่าหลงผิดเลย
“การคบคนชั่วย่อมทำลายนิสัยที่ดีงาม”
34จงมีสติขึ้นมาใหม่และอย่าทำบาปอีกเลย เพราะว่ามีบางคนไม่รู้จักพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกท่านละอายใจ
อรรถาธิบาย
ความแน่นอนของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู
เปาโลบอกเราถึงหัวใจของคำเทศนาของเขาและสาเหตุที่เขาติดตามพระเยซูอย่างสุดใจ ‘ข้าพเจ้าขอให้คำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลายนั้น พวกท่านได้รับไว้และได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้นแล้ว’ (ข้อ 1) นี่คือข่าวประเสริฐที่ทำพวกท่านรอด (ข้อ 2) จงยึดมั่นเอาไว้
1. ข้อความ
เป็นข้อความที่เรียบง่ายที่ว่า ‘ท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์’ (ข้อ 3–4)
การตายของพระองค์นั้นมีจุดประสงค์ที่ใหญ่ยิ่ง นั่นคือเพราะ ‘บาปของเรา' โทษของความบาปได้รับการชำระแล้ว อำนาจของบาปถูกทำลาย และวันหนึ่งความบาปถูกขจัดออกไปทั้งหมด
คุณมั่นใจได้เพราะการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือความหวังของคุณในอนาคต
พระเยซูสิ้นพระชนม์และถูกฝังไว้ วันหนึ่งคุณเองก็จะต้องตายและถูกฝัง พระเยซูทรงฟื้นจากความตาย วันหนึ่งคุณจะทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายสู่ชีวิตที่สมบูรณ์และเป็นนิรันดร์เช่นกัน
2. หลักฐาน
การเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นสัญญาณในโลกแห่งอนาคตที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ อาจารย์เปาโลพูดถึงอนาคตโดยพิจารณาถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ 'พระเจ้าทรงให้คนทั้งปวงมีความมั่นใจในเรื่องนี้โดยทรงให้บุคคลผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย’ (กิจการ 17:31) ความเชื่อมีพื้นฐานมาจากหลักฐานของการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู
เปาโลให้หลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู:
เขาเน้นว่าพระเยซูถูก ‘ฝัง’ และ ‘ถูกทำให้เป็นขึ้นมาตามพระคริสตธรรมคัมภีร์’ ชีวิต การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูมีบันทึกไว้ก่อนที่พระองค์จะประสูติ
เขาชี้ไปที่การปรากฎของพระเยซูคริสต์แก่เปโตร กับอัครสาวกสิบสองคนกับสาวกคนอื่น ๆ อีก 500 คน กับยากอบ กับอัครทูตทั้งหมด และสุดท้ายกับเปาโลเอง (1 โครินธ์ 15:6–8)
นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของการปรากฎตัว แต่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นได้ว่ามีหลักฐานยืนยันอย่างดี เขาแสดงให้เห็นว่าการฟื้นคืนพระชนม์มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ มีพื้นฐานมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์และได้รับการยืนยันจากประสบการณ์
3. ความสำคัญ
การเป็นขึ้นจากความตายมีความสำคัญจริง ๆ หากไม่มีการเป็นขึ้นจากความตาย ผลที่ตามมาก็เลวร้าย การเป็นขึ้นจากความตาย เป็นพื้นฐานของคำเทศนาของเปาโล หากปราศจากสิ่งนี้ ‘การประกาศของเรานั้นก็ไร้ประโยชน์...คนก็จะเห็นว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า’ (ข้อ 14ก–15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เนื่องจากสิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเขายึดมั่นในความเชื่อของพวกเขา หากปราศจากการเป็นขึ้นจากความตาย ‘และความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไร้ประโยชน์ด้วย’ และ ‘ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน’ (ข้อ 17) จะไม่มีความหวังสำหรับอนาคต ‘คนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย’ (ข้อ 18) อันที่จริง เปาโลสรุปว่าถ้าปราศจากพระคริสต์แล้วมันยิ่งเลวร้ายกว่าสิ่งทั้งปวง ‘ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงแค่ในชีวิตนี้ เราก็เป็นพวกน่าเวทนาที่สุดของคนทั้งหมด’ (ข้อ 19)
4. ผลลัพธ์ ‘แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ดังนั้นการเป็นขึ้นจากความตายจึงเป็นสิ่งที่แน่นอน วันหนึ่งทุกคนที่ ‘อยู่ในพระคริสต์’ จะฟื้นจากความตาย จากนั้นความตายจะถูกทำลาย (ข้อ 26) ‘อำนาจพระเจ้านั้นปกครองทุกสิ่ง ช่างเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบ!’ (ข้อ 28, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เนื่องจากการเป็นขึ้นจากความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน เปาโลเขียนว่า เราเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา (ข้อ 30) ‘ข้าพเจ้าตายทุกวัน’ (ข้อ 31) เปาโลอุทิศตนอย่างเต็มที่ต่อพระเจ้าอย่างสุดใจ 100% ทั้งยังต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส (ข้อ 32) ท่านเต็มใจเสี่ยงชีวิตเพราะความจริงแท้ของการเป็นขึ้นจากความตาย
นี่คือเหตุผลที่เปาโลเรียกร้องให้เรา ‘อย่าทำบาป' (ข้อ 34) อุบายของซาตานมักเริ่มด้วยความไม่เชื่อ ถ้ามันทำให้คุณสงสัย ต่อไปมันจะล่อลวงให้คุณทำบาป ซึ่งบาปทั้งหมดนั้นเกิดจากความไม่เชื่อ
การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นข่าวดี นี่คือข่าวประเสริฐ คุณต้องรับเอาไว้และเชื่อในข่าวประเสริฐ คุณต้องยืนหยัด คุณต้องจับมันให้แน่น เช่นเดียวกับเปาโล และส่งต่อให้ผู้อื่น
คำอธิษฐาน
2 พงศาวดาร 16:1-18:27
กษัตริย์อาสาทรงทำพันธไมตรีกับเบนฮาดัด
1ในปีที่สามสิบหกแห่งรัชกาลอาสา บาอาชาพระราชาของอิสราเอลทรงขึ้นมาต่อสู้กับยูดาห์ และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อไม่ให้ใครไปมาหาสู่กับไม่ให้ใคร...กับ ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ไม่ให้ใครเข้าไปยังหรือออกมาจากอาสาพระราชาของยูดาห์ 2และอาสาทรงนำเงินและทองคำจากคลังแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์และจากพระราชวัง และส่งไปให้เบนฮาดัดพระราชาแห่งซีเรีย ผู้ประทับในกรุงดามัสกัสว่า 3“ขอให้มีสนธิสัญญาระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน เหมือนดังที่มีอยู่ระหว่างพระราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่าน นี่แน่ะ ข้าพเจ้าส่งเงินและทองคำมายังท่าน ขอให้ท่านจงไปยกเลิกสนธิสัญญาของท่านที่มีกับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอล เพื่อเขาจะถอยทัพไปจากข้าพเจ้า” 4แล้วเบนฮาดัดทรงฟังกษัตริย์อาสา และส่งบรรดาผู้บัญชาการกองทัพของพระองค์ไปสู้กับเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และเขาทั้งหลายโจมตีเมืองอีโยน เมืองดาน เมืองอาเบลมาอิม และเมืองคลังหลวงทั้งหมดของนัฟทาลี 5และเมื่อบาอาชาทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงหยุดสร้างเมืองรามาห์ และทรงยุติงานของพระองค์ 6แล้วกษัตริย์อาสาทรงนำคนยูดาห์ทั้งหมด และเขาทั้งหลายขนหินของเมืองรามาห์และไม้ของเมืองนั้น ซึ่งบาอาชาใช้สร้างอยู่นั้น แล้วพระองค์ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาและเมืองมิสปาห์
7เวลานั้นฮานานีผู้ทำนายมาเฝ้าอาสาพระราชาของยูดาห์ และทูลพระองค์ว่า “เพราะฝ่าพระบาททรงพึ่งพระราชาของซีเรีย แต่ไม่พึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท เพราะฉะนั้นกองทัพของพระราชาซีเรียจึงหลุดจากพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทไป 8ชาวคูชและชาวลิเบียเป็นกองทัพมหึมาทั้งมีรถรบและทหารม้ามากมายไม่ใช่หรือ? แต่เพราะฝ่าพระบาททรงพึ่งพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท 9เพราะว่าพระเนตรของพระยาห์เวห์สอดส่องภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งหมด เพื่อให้กำลังกับคนเหล่านั้นที่จริงใจต่อพระองค์ แต่ฝ่าพระบาททรงทำอย่างโง่เขลาในเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่นี้ไปฝ่าพระบาทจะทรงมีศึกสงคราม” 10และอาสาก็กริ้วผู้ทำนายนั้น และทรงจับเขาขังคุก เพราะพระองค์ทรงเกรี้ยวกราดกับเขาในเรื่องนี้ และอาสายังข่มเหงประชาชนบางคนในเวลานั้นด้วย
11และนี่แน่ะ พระราชกิจของอาสา ตั้งแต่ต้นจนจบได้บันทึกไว้ในหนังสือของกษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลของพระองค์ อาสาทรงเป็นโรคที่พระบาท และโรคของพระองค์ก็ร้ายแรง แม้ทรงเป็นโรคอยู่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ แต่แสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์ 13อาสาทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์สิ้นพระชนม์ในปีที่สี่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลของพระองค์ 14เขาทั้งหลายฝังพระศพไว้ในอุโมงค์ ที่พระองค์ทรงสกัดไว้ให้พระองค์เองในนครดาวิด พวกเขาวางพระศพของพระองค์ไว้บนแท่นที่เต็มไปด้วยเครื่องหอมชนิดต่างๆ ซึ่งช่างปรุงเครื่องหอมได้ปรุงไว้ และเขาทั้งหลายก่อเพลิงใหญ่โตเพื่อเป็นเกียรติแด่พระองค์
2 พงศาวดาร 17
เยโฮชาฟัททรงสถาปนาราชอาณาจักร
1เยโฮชาฟัทพระราชโอรสของพระองค์ครองราชย์แทนพระองค์ และทรงเสริมกำลังพระองค์เองต่อสู้กับอิสราเอล 2พระองค์ทรงวางกำลังพลไว้ในเมืองป้อมทั้งหมดของยูดาห์ และทรงตั้งทหารรักษาการในแผ่นดินยูดาห์และในเมืองต่างๆ ของเอฟราอิม ที่อาสาพระราชบิดาของพระองค์ทรงยึดไว้ 3พระยาห์เวห์สถิตกับเยโฮชาฟัท เพราะพระองค์ทรงดำเนินในวิถีทางช่วงต้นๆ ของพระราชบิดา พระองค์ไม่ได้ทรงแสวงหาพระบาอัล 4แต่ทรงแสวงหาพระเจ้าของพระราชบิดาของพระองค์ และทรงดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า ไม่ได้ดำเนินตามการกระทำของอิสราเอล 5เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงสถาปนาราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทุกคนในยูดาห์ต่างนำบรรณาการมาถวายเยโฮชาฟัท พระองค์จึงทรงมีทรัพย์สมบัติและเกียรติยศเป็นอันมาก 6และพระทัยของพระองค์ก็เข้มแข็งขึ้นในพระมรรคาของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงรื้อปูชนียสถานสูงและบรรดาเสาอาเช-ราห์เสียจากยูดาห์
7ในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ทรงใช้พวกข้าราชการของพระองค์ คือ เบนฮาอิล โอบาดีห์ เศคาริยาห์ เนธันเอล และมีคายาห์ไปสั่งสอนในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ 8และมีคนเลวีไปกับพวกเขาด้วย คือ เชไมยาห์ เนธานิยาห์ เศบาดิยาห์ อาสาเฮล เชมิราโมท เยโฮนาธัน อาโดนียาห์ โทบียาห์ และโทอาโดนิยาห์คนเลวี ทั้งยังมีปุโรหิตที่ไปพร้อมกับพวกเขาด้วยคือ เอลีชามา และเยโฮรัม 9และเขาทั้งหลายสั่งสอนในยูดาห์ โดยมีหนังสือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ไปกับเขาด้วย พวกเขาเดินทางไปทั่วเมืองทั้งหมดของยูดาห์และสั่งสอนท่ามกลางประชาชน
10ความหวาดกลัวพระยาห์เวห์เกิดขึ้นกับบรรดาราชอาณาจักรที่อยู่รอบๆ ยูดาห์ และพวกเขาไม่ได้ทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 11คนฟีลิสเตียบางพวกนำของกำนัลมาถวายเยโฮชาฟัท และนำเงินมาเป็นบรรณาการ และพวกอาหรับนำแกะผู้ 7,700 ตัว และแพะผู้ 7,700 ตัวมาถวายพระองค์ด้วย 12และเยโฮชาฟัททรงเจริญยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ พระองค์ทรงสร้างเมืองป้อมและเมืองคลังหลวงต่างๆ ไว้ในยูดาห์ 13และพระองค์ทรงสะสมเสบียงแปลได้อีกว่า ทรงก่อสร้างไว้มากมายในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ พระองค์ทรงมีทหารเป็นนักรบกล้าหาญในกรุงเยรูซาเล็ม 14ต่อไปนี้เป็นจำนวนตามสกุลภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ตามครอบครัวบรรพบุรุษของพวกเขา คือของเผ่ายูดาห์ ผู้บังคับกองพันนั้นได้แก่ ผู้บัญชาการอัดนาห์ พร้อมกับนักรบกล้าหาญ 300,000 คน 15ต่อจากเขา คือ ผู้บัญชาการเยโฮฮานัน พร้อมกับทหาร 280,000 คน 16และต่อจากเขา คือ อามัสยาห์ บุตรศิครีพร้อมกับนักรบกล้าหาญ 200,000 คน เขาเป็นอาสาสมัครเพื่อการปรนนิบัติพระยาห์เวห์ 17ส่วนของเผ่าเบนยามิน คือ เอลียาดา เป็นนักรบกล้าหาญพร้อมกับทหาร 200,000 คนที่มีธนูและโล่ 18และต่อจากเขา คือ เยโฮซาบาด พร้อมกับทหารติดอาวุธ 180,000 คน 19คนเหล่านี้เป็นข้าราชการของพระราชา นอกเหนือจากพวกที่พระราชาทรงจัดวางไว้ในเมืองป้อมต่างๆ ทั่วยูดาห์
2 พงศาวดาร 18
มีคายาห์พยากรณ์ถึงการพ่ายแพ้
1ฝ่ายเยโฮชาฟัททรงมีทรัพย์สมบัติมากมายและมีเกียรติยศอย่างยิ่ง และพระองค์ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับอาหับ 2เมื่อผ่านไปหลายปี พระองค์เสด็จลงไปเฝ้าอาหับในสะมาเรีย และอาหับทรงฆ่าแกะและวัวมากมายสำหรับพระองค์ และสำหรับไพร่พลที่มากับพระองค์ แล้วทรงชักชวนพระองค์ให้ขึ้นไปต่อสู้กับราโมทกิเลอาด 3อาหับพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ว่า “ท่านจะไปราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือ?” เยโฮชาฟัทตรัสตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกัน ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นประชาชนของท่าน เราจะไปกับท่านในการสงคราม”
4และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน” 5แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา” 6แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือที่เราจะถามได้?” 7และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเราจะให้ทูลถามพระยาห์เวห์ได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่ข้าพเจ้าเองเกลียดเขา เพราะเขาพยากรณ์แต่เรื่องร้ายเสมอ ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ขอพระราชาอย่าตรัสอย่างนั้นเลย” 8แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งและตรัสสั่งว่า “จงไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ” 9พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าวตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ 10และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ จึงทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนพวกเขาย่อยยับ’ ” 11และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้น ทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และจะมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
12และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล” 13แต่มีคายาห์ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไรข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น” 14และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และท่านทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไป และมีชัยชนะ พวกเขาจะถูกมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” 15แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า “เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” 16และท่านทูลว่า “ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้พวกเขาต่างกลับไปยังบ้านเรือนของตนโดยสวัสดิภาพเถิด’ ” 17พระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะไม่พยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย มีแต่เรื่องร้ายต่างหาก” 18และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้นขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ 19และพระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ใครจะชักนำอาหับพระราชาแห่งอิสราเอลให้ขึ้นไปและล้มลงที่ราโมทกิเลอาด’ บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น 20แล้วมีวิญญาณหนึ่งออกมายืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะชักนำเขา’ และพระยาห์เวห์ตรัสกับมันว่า ‘จะทำอย่างไร?’ 21และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไปและจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปชักนำได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’ 22ฉะนั้น ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท”
23แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์เข้ามาใกล้และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าด้วยทางใด?” 24และมีคายาห์ตอบว่า “นี่แน่ะ เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อซ่อนตัว” 25และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงจับมีคายาห์ แล้วส่งเขากลับไปให้อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และโยอาชราชโอรส 26และบอกว่า ‘พระราชาตรัสดังนี้ว่า เอาคนนี้ไปจำคุกไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ’ ” 27และมีคายาห์ทูลว่า “ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพได้จริงๆ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระบาท” และท่านกล่าวว่า “ประชาชนทั้งสิ้นเอ๋ย ขอจงฟังเถิด”
อรรถาธิบาย
พระเนตรของพระเจ้า
‘พระเจ้าทรงทำการอยู่เสมอ คอยเฝ้ามองหาคนที่อุทิศตนเพื่อพระองค์อย่างหมดใจ’ (16:9, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ฮานานีผู้ทำนายมาเข้าเฝ้าอาสาพระราชาของยูดาห์และทูลว่า พระราชากำลังมีปัญหาเพราะอาสาเลิกพึ่งพาพระเจ้าอย่างหมดใจ (ข้อ 7–9) ‘เพราะว่าพระเนตรของพระยาห์เวห์สอดส่องอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งหมด เพื่อให้กำลังกับคนเหล่านั้นที่จริงใจต่อพระองค์’ (ข้อ 9)
พระเจ้าเห็นทุกสิ่งที่คุณทำ พระองค์กำลังมองหาผู้ที่มี ‘หัวใจ’ ที่ ‘จริงใจต่อพระองค์’ ให้กับพระองค์ ‘พระเนตรของพระยาห์เวห์’ กำลังมองเข้าไปในใจคุณ คุณมีชีวิตอยู่อย่างสุดใจเพื่อพระองค์หรือไม่?
อาสาทำสิ่งที่ดีมาเกือบทั้งชีวิต ในปีสุดท้าย ‘แม้ทรงเป็นโรคอยู่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ แต่แสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์’ (ข้อ 12) การขอความช่วยเหลือจากแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิด เขาไม่ได้ถูกตำหนิเพราะขอความช่วยเหลือจากแพทย์ แต่เขาถูกตำหนิเพราะว่าเขาไม่แสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ลูกชายของเขา เยโฮชาฟัท: ‘พระทัยของพระองค์ก็เข้มแข็งขึ้นในพระมรรคาของพระยาห์เวห์’ (17:6) นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาเริ่มต้นได้ดีมาก ‘พระองค์ไม่ได้โง่เขลา... แต่ทรงแสวงหาพระเจ้าของพระราชบิดาของพระองค์ และทรงดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า... พระทัยของพระองค์ก็เข้มแข็งขึ้นในพระมรรคาของพระยาห์เวห์พระองค์จึงทรงรื้อปูชนียสถานสูงและบรรดาเสาอาเช-ราห์เสียจากยูดาห์’ (ข้อ 3–6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เขาถูกทดสอบโดยผู้เผยพระวจนะ 400 คนทุกคนที่มี ‘วิญญาณมุสา‘ (18:21) มีเพียงมีคายาห์บุตรอิมลาห์เท่านั้นที่กล้าพูดความจริง มารเป็นผู้มุสา ในยุคที่เสียงของพระเจ้าดูเงียบไป เราต้องการสติปัญญาของพระเจ้าเพื่อไม่ให้หลงไปโดยการหลอกลวง แต่ให้ตั้งใจฟังเหมือนอย่างมีคายาห์ว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัสว่าอย่างไรข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น’ (ข้อ 13, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
2 พงศาวดาร 16:7
‘เพราะฝ่าพระบาททรงพึ่งพระราชาของซีเรีย แต่ไม่พึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท’
แม้แต่ผู้นำที่ใกล้ชิดพระเจ้าก็อาจพึ่งพาตนเอง หรืออาจพึ่งพาสิ่งผิด ๆ หรือคนผิด ๆ ได้ แม้จะยากเพียงใด เราต้องเปิดใจรับการแก้ไขและพึ่งพาพระเจ้าอยู่เสมอ
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 102:1-2
‘ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอให้เสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์ ขอทรงตอบโดยเร็ว เมื่อข้าพระองค์ร้องทูล’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)