วัน 233

วิธีค้นพบและรักษาสันติสุข

ปัญญานิพนธ์ สดุดี 101:1-8
พันธสัญญาใหม่ 1 โครินธ์ 14:20-40
พันธสัญญาเดิม 2 พงศาวดาร 13:1-15:19

เกริ่นนำ

ในปี 1555 นิโคลัส ริดลีย์ อดีตบิชอฟแห่งลอนดอน ถูกเผาที่เสาเข็มในเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ด เพราะความเชื่อของเขา ในคืนก่อนการประหารชีวิตของริดลีย์ พี่ชายของเขาอาสาที่จะอยู่กับเขาในห้องขังเพื่อคอยช่วยเหลือและปลอบโยนเขา นิโคลัสปฏิเสธและตอบว่าเขาตั้งใจจะเข้านอนและนอนหลับอย่างสงบเหมือนอย่างที่เคยทำในชีวิต เพราะเขารู้จักสันติสุขของพระเจ้า เขาจึงสามารถพักผ่อนในอ้อมแขนนิรันดร์ของพระเจ้านี่คือความต้องการของเขา

สันติสุขคือพระพรอันยิ่งใหญ่ ‘สันติสุข’ เป็นคำที่มีความสำคัญอย่างมากในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คำภาษาฮีบรูของสันติสุข คือ ชาโลม (Shalom) แปลเป็นคำภาษากรีกว่า เอเรเน (eirene) มีความหมายมากกว่าการไม่มีสงครามหรือการไม่มีศัตรู ไม่ใช่แค่การไร้ซึ่งสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แต่เป็นการทรงสถิตของพระเจ้าและการครอบครองพระองค์ ซึ่งหมายถึงความบริบูรณ์ ความเต็มเปี่ยม ความผาสุก ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า นั่นคือพระพรและความดีทุกประการ

เพื่อนำสันติสุขมาสู่ผู้อื่น เราต้องค้นหาและยึดมั่นในสันติสุขภายในตัวของเราก่อน

ปัญญานิพนธ์

สดุดี 101:1-8

คำปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์และยุติธรรม

เพลงสดุดีของดาวิด

1ข้าพระองค์จะร้องเพลงเรื่องความจงรักภักดีและความยุติธรรม
 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระองค์
2ข้าพระองค์จะเอาใจใส่ในทางที่ดีพร้อม
 เมื่อไรพระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์?
ข้าพระองค์จะดำเนินด้วยใจซื่อสัตย์
 ภายในเรือนของข้าพระองค์
3ข้าพระองค์จะไม่ตั้งสิ่งใดๆ ที่ชั่วช้า
 ไว้ต่อหน้าต่อตาข้าพระองค์
ข้าพระองค์เกลียดกิจการของคนที่ละทิ้งพระเจ้า
 กิจการนั้นจะไม่เกาะติดข้าพระองค์
4ข้าพระองค์จะอยู่ห่างไกลจากคนใจคด
 ข้าพระองค์จะไม่ข้องเกี่ยวกับความชั่วร้ายเลย
5บุคคลผู้ใส่ร้ายเพื่อนบ้านลับๆ นั้น
 ข้าพระองค์จะทำลายเสีย
คนยโสและมีใจจองหอง
 ข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
6ข้าพระองค์จะมองหาคนซื่อตรงในแผ่นดิน
 เพื่อเขาจะอาศัยอยู่กับข้าพระองค์
ผู้ใดดำเนินอยู่ในทางที่ดีพร้อม
 ผู้นั้นจะปรนนิบัติข้าพระองค์
7ผู้ที่ทำการล่อลวง
 จะไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนของข้าพระองค์
คนใดที่อ้าปากพูดเท็จ
 จะไม่ยั่งยืนอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์
8ทุกๆ เช้า ข้าพระองค์จะทำลาย
 คนอธรรมทั้งสิ้นในแผ่นดิน
จะตัดผู้ทำความชั่วทุกคน
 ออกจากนครของพระยาห์เวห์

อรรถาธิบาย

สันติสุขในพระเจ้า

‘สันติสุข’ และ ‘ความเงียบสงบ’ มีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน สดุดีบทนี้พูดถึงบุคคลผู้ใส่ร้ายและคนอธรรมถูก ‘ทำลายเสีย' (ข้อ 5–8)

ดาวิดร้องเพลงเกี่ยวกับ ‘ความจงรักภักดีและความยุติธรรม’ ของพระเจ้า (ข้อ 1ก) เราพูดกันมากมายเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า แต่ด้านความยุติธรรมของพระองค์ เรากลับไม่ได้พูดถึงมากเท่า ซึ่งที่จริงแล้วสำคัญพอ ๆ กัน ความรักที่ไม่คำนึงถึงความยุติธรรมไม่ใช่ความรักที่แท้จริง เพราะความรักนั้นเรียกร้องความยุติธรรม

เฉพาะผู้ที่ ‘ดีพร้อม’ (ข้อ 2,6) เท่านั้นที่สามารถ ‘อาศัยอยู่’ กับดาวิดได้ (ข้อ 6ข) ‘ปรนนิบัติ’ เขา (ข้อ 6ค) และ ‘ยั่งยืน’ อยู่ ‘ต่อหน้า’ (ข้อ 7) การใส่ร้าย (ข้อ 5ก) ความยโสและจองหอง (ข้อ 5ข) และ ‘ล่อลวง’ (ข้อ 7) เป็นบาปของคำพูด จิตใจ และการกระทำ บาปเหล่านี้ทำให้เราอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับไม้กางเขนที่ ‘ความรัก’ และ ‘ความยุติธรรม’ อยู่ด้วยกัน คือที่ที่ความจริงและความเมตตามาบรรจบกัน นี่คือที่ที่พระเจ้าเป็นทั้ง ‘ความยุติธรรม’ และทรงทำให้ผู้ที่เชื่อในพระองค์เป็นคนชอบธรรม (โรม 3:23–26) หากไม่มีไม้กางเขน เราจะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า (สดุดี 101:8)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ โดยทางพระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อและมีสันติสุขเฉพาะพระพักตร์พระองค์ (โรม 5:1) ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์นำถ้อยคำแห่งความรัก ความยุติธรรม และสันติสุขมาสู่โลกใบนี้ด้วย
พันธสัญญาใหม่

1 โครินธ์ 14:20-40

 20พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นเหมือนเด็กในด้านความคิด แต่ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก และในด้านความคิดจงเป็นเหมือนผู้ใหญ่ 21ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

 ‘ด้วยภาษาอื่นๆ
  และด้วยริมฝีปากของคนต่างภาษา
 เราจะพูดกับชนชาตินี้
  ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะไม่ฟังเรา’”

 22ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญสำหรับพวกที่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้น ไม่ใช่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่เชื่อแล้ว 23เพราะฉะนั้นถ้าทั้งคริสตจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนต่างก็พูดภาษาแปลกๆ และมีคนที่ไม่รู้ หรือคนที่ไม่เชื่อเข้ามา พวกเขาก็จะพูดว่าท่านทั้งหลายเป็นบ้าไม่ใช่หรือ? 24แต่ถ้าทุกคนเผยพระวจนะ คนที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่รู้เข้ามา เขาก็จะถูกตักเตือนและได้รับการวินิจฉัยโดยทุกคน 25ความลับในใจของเขาจะถูกทำให้ปรากฏ เขาก็จะทรุดตัวลงซบหน้านมัสการพระเจ้ากล่าวว่า พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน ทำทุกสิ่งอย่างมีระเบียบ
 26เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายจะว่าอย่างไร? เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนก็มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำวิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลกๆ มีการแปลภาษาแปลกๆ จงทำทุกสิ่งเพื่อให้เขาเจริญขึ้น 27ถ้าใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุดก็สามคน และให้พูดทีละคน แล้วให้อีกคนหนึ่งแปล 28แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ก็ให้เขาอยู่เงียบๆ ในที่ประชุม และให้พูดกับตัวเอง และทูลต่อพระเจ้า 29ให้พวกผู้เผยพระวจนะพูดได้สองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด 30ถ้ามีการทรงสำแดงแก่คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยกัน ให้คนแรกนั้นเงียบไว้ก่อน 31เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดสามารถเผยพระวจนะได้ทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ และได้รับการหนุนใจ 32จิตวิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ 33เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ
 ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน 34จงให้บรรดาผู้หญิงอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ให้มีความนอบน้อมเหมือนที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้ 35ถ้าพวกเขาต้องการจะเรียนรู้สิ่งใด ก็ให้ถามสามีของตนที่บ้าน เพราะว่าการที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักรนั้นก็เป็นเรื่องน่าอาย 36พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?
 37ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะ หรืออยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็จงยอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงพวกท่านนี้ เป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า 38และถ้าใครไม่เอาใจใส่ข้อความนี้ คนนั้นก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่ 39ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงขวนขวายการเผยพระวจนะ ส่วนการพูดภาษาแปลกๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย 40แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด

อรรถาธิบาย

สันติสุขในคริสตจักร

‘พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข’ (ข้อ 33) อัครสาวกเปาโลบอกชัดเจนว่าธรรมชาติและการงานของประทานแห่งพระวิญญาณนั้น ไม่ได้สร้างความวุ่นวายในการประชุมของคริสตจักร ‘เมื่อเรานมัสการอย่างถูกต้อง พระเจ้าจะไม่กวนใจเราให้สับสน พระองค์ทรงนำเราเข้าสู่ความปรองดองกัน’ (ข้อ 33 ,พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เปาโลบรรยายถึงวิธีการประชุมที่สงบสุข สามัคคี และเป็นระเบียบเรียบร้อยในคริสตจักร ‘แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด’ (ข้อ 40) อาจหมายถึงการอยู่เงียบ ๆ (ข้อ 28) เพื่อให้ผู้อื่นได้พูด

สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าการประชุมของคริสตจักรเป็นอย่างไรในคริสตจักรยุคแรก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคาดหวังว่าของประทานของพระวิญญาณจะถูกใช้สม่ำเสมอ ‘เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนก็มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำวิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลกๆ มีการแปลภาษาแปลกๆ’ (ข้อ 26)

ของประทานต้องบริหารการใช้อย่างมีระเบียบ ไม่ควรที่จะมีอะไรแปลกหรือน่าตื่นตาเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ นี่อาจทำให้บางคนแปลกใจที่นักร้อง เคที เพอร์รี เคยกล่าวไว้ว่า ‘การพูดภาษาแปลก ๆ เป็นเรื่องปกติสำหรับฉันเหมือนกับการที่คนอื่น “หยิบเกลือมาให้” มันเป็นความลับ เป็นภาษาการอธิษฐานที่ส่งตรงถึงพระเจ้า’

ความเห็นของเปาโลเกี่ยวกับการเผยพระวจนะและการใช้ภาษาแปลก ๆ เป็น ‘หมายสำคัญ’ มักทำให้เกิดความสับสน ดูเหมือนท่านจะพูดอย่างหนึ่งในข้อ 22 (ภาษาแปลก ๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญสำหรับพวกที่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้นสำหรับพวกที่เชื่อแล้ว) และในทางกลับกันในข้อ 23! ไม่น่าเป็นไปได้ที่เปาโลจะพูดขัดแย้งกับตัวเอง

สำหรับผม ดูเหมือนว่าเปาโลกำลังบอกว่าทั้งของประทานของการพูดภาษาแปลก ๆ และของประทานการเผยพระวจนะควรใช้อย่างเหมาะสมเท่านั้น ตลอดพระธรรมบทนี้ เปาโลได้ให้คำแนะนำในการใช้ภาษาแปลก ๆ และการเผยพระวจนะอย่างเป็นระเบียบในคริสตจักร เมื่อใช้อย่างไม่เหมาะสม ทั้งสองสิ่งอาจเป็นที่มาของความสับสนวุ่นวาย (ข้อ 6–12 และข้อ 29–33) ซึ่งผู้ไม่เชื่อจะคิดว่าเราเสียสติไปแล้ว

หากใช้อย่างเหมาะสมในบริบทของการประชุมคริสตจักร ทั้งภาษาแปลก ๆ และการเผยพระวจนะอาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า (ข้อ 22-25) การเผยพระวจนะอาจเป็น ‘หมายสำคัญ’ ที่ทรงพลังสำหรับผู้ไม่เชื่อว่า ‘พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน!’ (ข้อ 25) เรามักจะเห็นกรณีนี้กันบ่อยๆ

ในขณะที่มีการพูดภาษาแปลก ๆ เป็นหมู่คณะ การพูดภาษาแปลก ๆ เป็นการกระทำส่วนตัวจำเป็นต้องมีการตีความ ดังนั้น ที่ประชุมจึง ‘จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุดก็สามคน และให้พูดทีละคน แล้วให้อีกคนหนึ่งแปล แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ก็ให้เขาอยู่เงียบๆ ในที่ประชุมและให้พูดกับตัวเองและทูลต่อพระเจ้า’ (ข้อ 27–28)

ในทำนองเดียวกัน การเผยพระวจนะไม่ได้จำกัดอยู่กับจำนวนของคำเผยพระวจนะ ผู้พูดสามารถที่จะควบคุมตนเองได้: ‘จิตวิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ’ (ข้อ 32) ในโลกของมาร ‘จิตวิญญาณ’ เข้าครอบงำบุคคลและพวกเขาสูญเสียการบังคับตน แต่ไม่ใช่เช่นนั้นกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่พูดภาษาแปลก ๆ หรือเผยพระวจนะนั้นมีสติและสามารถควบคุมได้เต็มที่ พวกเขาสามารถเลือกที่จะพูดและพวกเขาสามารถเลือกที่จะหยุดได้ ‘เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติ’ (ข้อ 33)

มีคำอธิบายมากมายสำหรับคำแนะนำของอาจารย์เปาโลว่าผู้หญิงควรอยู่เงียบ ๆ ในคริสตจักร (ข้อ 34) สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าจุดเน้นของอาจารย์เปาโลที่นี่ไม่ได้อยู่ที่บทบาททางเพศแต่อยู่ที่ระเบียบการนมัสการในที่สาธารณะ อาจารย์เปาโลกำลังพูดถึงปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ เขาได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาได้คาดหวังให้ผู้หญิงพูดในที่ประชุม เขาเขียนว่า ‘แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะ...’ (11:5)

สิ่งที่ชัดเจนคือผู้คนทั้งชายและหญิงไม่ได้มาเพียงในฐานะผู้รับแต่ในฐานะผู้ให้ คำถามที่เราควรถามไม่ใช่ว่า ‘ฉันได้อะไรจากคริสตจักร’ แต่ ‘ฉันกำลังให้อะไรกับคริสตจักร’ พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพื่อรับแต่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วย 'เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกันเพื่อนมัสการ แต่ละคนก็เตรียมสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน’ (14:26, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หากเราทุกคนมาคริสตจักรด้วยท่าทีของการเป็นผู้ให้ สิ่งนี้จะเปลี่ยนการนมัสการของเราโดยสิ้นเชิง

คำอธิษฐาน

พระองค์เจ้าข้า โปรดทรงช่วยเราในการรับใช้และการประชุมในคริสตจักรเพื่อใช้ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเสริมสร้างกันและกัน เมื่อผู้คนเข้ามาในคริสตจักรพวกเขาจะ ‘ทรุดตัวลงซบหน้านมัสการพระเจ้ากล่าวว่า พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน’ (ข้อ 25)
พันธสัญญาเดิม

2 พงศาวดาร 13:1-15:19

รัชกาลอาบียาห์

 1ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเยโรโบอัม อาบียาห์ขึ้นครองราชย์เหนืออาณาจักรยูดาห์ 2พระองค์ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 ปี พระชนนีของพระองค์มีพระนามว่ามีคายาห์ บุตรหญิงของอุรีเอลแห่งกิเบอาห์ และมีสงครามระหว่างอาบียาห์และเยโรโบอัม 3อาบียาห์เสด็จออกรบ มีกองทัพเป็นนักรบกล้าหาญที่คัดเลือกแล้ว 400,000 คน ส่วนเยโรโบอัมตั้งแนวรบสู้กับพระองค์ด้วยนักรบกล้าหาญที่คัดเลือกแล้ว 800,000 คน 4อาบียาห์ทรงไปยืนอยู่บนภูเขาเศมาราอิมที่อยู่ในเทือกเขาเอฟราอิม และตรัสว่า “เยโรโบอัม และอิสราเอลทั้งสิ้น จงฟังเรา 5พวกท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แก่ดาวิด และบุตรหลานของพระองค์โดยพันธสัญญาเกลือ? 6ถึงกระนั้นเยโรโบอัมบุตรเนบัท ข้าราชการของซาโลมอนพระราชโอรสของดาวิด ได้กบฏต่อเจ้านายของตน 7และคนอันธพาลบางคนร่วมกับเขาในการต่อสู้กับเรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอน ตอนที่เรโหโบอัมยังอายุน้อยและใจอ่อนแอทั้งไม่สามารถต่อต้านได้
 8“บัดนี้ท่านทั้งหลายคิดจะต่อต้านอาณาจักรของพระยาห์เวห์ ที่อยู่ในมือของบุตรหลานของดาวิด เพราะพวกท่านมีจำนวนคนมากมาย และมีรูปลูกวัวทองคำที่เยโรโบอัมสร้างให้เป็นพระแก่พวกท่าน 9ท่านทั้งหลายขับไล่บรรดาปุโรหิตของพระยาห์เวห์ ลูกหลานของอาโรน และพวกคนเลวีออกไป แล้วแต่งตั้งปุโรหิตให้ตัวเองเหมือนอย่างชนชาติทั้งหลายในดินแดนต่างๆ ไม่ใช่หรือ? ใครที่นำโคหนุ่มและแกะผู้เจ็ดตัวมาชำระตัวให้บริสุทธิ์ก็จะได้เป็นปุโรหิตของสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า 10แต่สำหรับพวกเรา พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเรา และพวกเราไม่ได้ละทิ้งพระองค์ เรามีปุโรหิตที่เป็นลูกหลานของอาโรนเป็นผู้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ และมีคนเลวีในการทำหน้าที่ 11เขาทั้งหลายถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ทุกเช้าทุกเย็น และถวายเครื่องหอม ตั้งขนมปังเฉพาะพระพักตร์บนโต๊ะบริสุทธิ์ ทั้งดูแลคันประทีปทองคำพร้อมทั้งตะเกียงให้ลุกอยู่ทุกๆ เย็น เพราะพวกเรารักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา แต่พวกท่านได้ละทิ้งพระองค์ 12นี่แน่ะ พระเจ้าทรงอยู่กับเราและนำหน้าเรา และปุโรหิตของพระองค์พร้อมกับแตรศึกพร้อมที่จะเป่าเรียกทำสงครามต่อสู้กับพวกท่าน ลูกหลานทั้งหลายของอิสราเอล อย่าต่อสู้กับพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน เพราะพวกท่านจะทำไม่สำเร็จ”
 13เยโรโบอัมทรงให้กองซุ่มอ้อมมาหายูดาห์ทางด้านหลัง ดังนั้นกองทหารของพระองค์จึงอยู่ข้างหน้ายูดาห์ ส่วนกองซุ่มนั้นอยู่ข้างหลังพวกเขา 14และเมื่อยูดาห์หันไปมองดู นี่แน่ะ มีการรบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เขาทั้งหลายก็ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพวกปุโรหิตก็เป่าแตร 15แล้วคนของยูดาห์ก็โห่ร้องทำนองศึกและเมื่อคนยูดาห์โห่ร้อง พระเจ้าทรงโจมตีเยโรโบอัมและอิสราเอลทั้งหมดต่อหน้าอาบียาห์และยูดาห์ 16คนอิสราเอลหลบหนีต่อหน้ายูดาห์ และพระเจ้าทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของยูดาห์ 17อาบียาห์และประชาชนของพระองค์ก็ชนะด้วยการเข่นฆ่าอย่างมากมาย คนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วล้มตายลง 500,000 คน 18แล้วคนอิสราเอลก็ถูกปราบลงในครั้งนั้น และคนยูดาห์ก็ชนะ เพราะพวกเขาพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา 19และอาบียาห์ไล่ตามเยโรโบอัม และยึดเมืองต่างๆ จากพระองค์ คือเมืองเบธเอลกับชนบทของเมืองนั้น และเมืองเยชานาห์กับชนบทของเมืองนั้น และเมืองเอโฟรนกับชนบทของเมืองนั้น 20เยโรโบอัมไม่สามารถฟื้นกำลังของพระองค์ได้อีกในรัชสมัยของอาบียาห์ และพระยาห์เวห์ทรงประหารพระองค์ แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ 21แต่อาบียาห์มีอำนาจยิ่งขึ้น และมีมเหสี 14 องค์ มีพระราชโอรส 22 องค์ และพระราชธิดา 16 องค์ 22พระราชกิจอื่นๆ ของอาบียาห์ วิถีชีวิตและพระดำรัสของพระองค์บันทึกอยู่ในหนังสือคำสอนของผู้เผยพระวจนะอิดโด

2 พงศาวดาร 14

รัชกาลอาสา

 1อาบียาห์จึงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาทั้งหลายก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด และอาสาพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน ในรัชกาลของอาสา แผ่นดินสงบอยู่สิบปี 2อาสาทรงทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายพระเนตรพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ 3พระองค์ทรงรื้อแท่นบูชาพระต่างด้าวและปูชนียสถานสูงทั้งหลาย พังเสาศักดิ์สิทธิ์ และโค่นบรรดาเสาอาเช-ราห์ 4และทรงบัญชาให้ยูดาห์แสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของตนและให้รักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ 5พระองค์ทรงรื้อปูชนียสถานสูงและแท่นเครื่องหอมจากเมืองทั้งหมดของยูดาห์ และอาณาจักรก็มีความสงบสุขภายใต้พระองค์ 6พระองค์ทรงสร้างเมืองป้อมในยูดาห์ เพราะแผ่นดินมีความสงบสุข พระองค์ไม่ต้องทำสงครามในปีเหล่านั้น เพราะพระยาห์เวห์ประทานการหยุดพักแก่พระองค์ 7และพระองค์ตรัสกับยูดาห์ว่า “ให้พวกเราสร้างเมืองเหล่านี้ และล้อมด้วยกำแพง หอคอยประตูและดาลประตู แผ่นดินยังเป็นของพวกเรา เพราะพวกเราแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา พวกเราแสวงหาพระองค์ และพระองค์ประทานการหยุดพักแก่เราทุกด้าน” เขาทั้งหลายจึงสร้างและเจริญขึ้น 8และอาสาทรงมีกองทัพจากยูดาห์ 300,000 คนที่มีโล่ใหญ่และหอก และ 280,000 คนจากเบนยามินที่มีโล่และธนู ทุกคนล้วนเป็นนักรบผู้กล้าหาญ
 9เศ-ราห์ชาวคูชออกมาต่อสู้กับพวกเขาด้วยทหารหนึ่งล้านคน และรถรบ 300 คันและมาถึงเมืองมาเรชาห์ 10และอาสาทรงออกไปปะทะกับเขา และเขาทั้งหลายก็ตั้งแนวรบในหุบเขาเศฟาธาห์ที่มาเรชาห์ 11และอาสาร้องทูลต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ไม่มีใครช่วยได้เหมือนพระองค์ ในการสู้รบกันระหว่างพวกมีกำลังกับพวกไม่มีกำลังแปลได้อีกว่า ไม่มีความแตกต่างสำหรับพระองค์ในการช่วยเหลือพวกที่มีกำลังน้อยหรือมาก ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โปรดช่วยพวกข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายพึ่งพระองค์ พวกข้าพระองค์มาต่อสู้กับชนหมู่ใหญ่นี้ในพระนามของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออย่าทรงให้มนุษย์ชนะพระองค์” 12พระเจ้าจึงทรงโจมตีชาวคูชต่อหน้าอาสาและยูดาห์ แล้วชาวคูชก็หลบหนี 13อาสาและคนที่อยู่กับพระองค์ก็ไล่ตามพวกเขาไปถึงเมืองเก-ราร์ และชาวคูชล้มตายจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาแตกพ่ายเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และกองทัพของพระองค์ คนยูดาห์จึงเก็บของริบได้มากมาย 14และพวกเขาเข้าตีเมืองต่างๆ รอบๆ เมืองเก-ราร์ เพราะว่าความหวาดกลัวพระยาห์เวห์นั้นมีขึ้นกับชาวเมืองทั้งหลายภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า ความกลัวพระยาห์เวห์นั้นมาเหนือเขาทั้งหลาย พวกเขายึดเมืองทั้งหมด เพราะมีของที่จะริบได้มากในเมืองเหล่านั้น 15และเขายังเข้าตีเต็นท์ของพวกที่มีฝูงปศุสัตว์แล้วยึดแกะและอูฐไปมากมาย และพวกเขาก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม

2 พงศาวดาร 15

อาสาทรงปฏิรูปงานด้านศาสนา

 1พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับอาซาริยาห์บุตรโอเดด 2และท่านออกไปเฝ้าอาสาและทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อาสาและยูดาห์กับเบนยามินทั้งหมด ขอจงฟังข้าพเจ้า พระยาห์เวห์สถิตกับท่านทั้งหลาย ต่อเมื่อท่านอยู่กับพระองค์ ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ ท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงละทิ้งพวกท่าน 3อิสราเอลอยู่อย่างปราศจากพระเจ้าเที่ยงแท้เป็นเวลานาน และไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน และไม่มีธรรมบัญญัติ 4แต่เมื่อพวกเขาทุกข์ยาก เขาทั้งหลายหันมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลและแสวงหาพระองค์ เขาทั้งหลายก็พบพระองค์ 5ในสมัยนั้น ผู้ที่ออกไปหรือผู้ที่เข้ามาล้วนไม่มีความสงบสุข เพราะเกิดความวุ่นวายมากมายกับคนที่อาศัยบนแผ่นดินนั้น 6เขาทั้งหลายแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ ประชาชาติต่อประชาชาติและเมืองต่อเมือง เพราะพระเจ้าทรงรังควานพวกเขาด้วยความทุกข์ยากทุกอย่าง 7แต่ท่านทั้งหลายจงกล้าหาญ อย่าให้มือของท่านอ่อนลง เพราะว่าพวกท่านจะได้รับบำเหน็จในกิจการของท่าน”
 8เมื่ออาสาทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้ คือคำเผยพระวจนะของอาซาริยาห์บุตรโอเดด ผู้เผยพระวจนะก็ทรงมีพระทัยกล้าหาญขึ้น พระองค์ทรงขจัดสิ่งน่าสะอิดสะเอียนจากแผ่นดินยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด และจากเมืองต่างๆ ที่พระองค์ทรงยึดมาในบริเวณเทือกเขาเอฟราอิม และพระองค์ทรงซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่อยู่หน้ามุขพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 9และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด รวมทั้งคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และสิเมโอน ผู้มาอาศัยกับพวกเขา เพราะคนเป็นอันมากหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเห็นว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์ 10เขาทั้งหลายมารวมกันที่กรุงเยรูซาเล็มในเดือนที่สามของปีที่สิบห้าในรัชกาลของอาสา 11ในวันนั้น เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์จากข้าวของที่พวกเขาริบมาได้ คือวัวผู้ 700 ตัวและแกะ 7,000 ตัว 12และเขาทั้งหลายทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ด้วยสุดจิตสุดใจของพวกเขา 13หากใครไม่แสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลจะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง 14เขาทั้งหลายสาบานต่อพระยาห์เวห์ด้วยเสียงดัง ด้วยการโห่ร้อง และด้วยเสียงแตรและเขาสัตว์ 15และยูดาห์ทั้งหมดก็เปรมปรีดิ์เพราะคำสาบานนั้น เพราะเขาทั้งหลายสาบานด้วยสุดใจของเขา และแสวงหาพระองค์ด้วยสุดความปรารถนาของเขา และเขาทั้งหลายก็พบพระองค์ และพระยาห์เวห์ประทานการหยุดพักให้พวกเขาในทุกด้าน
 16แม้ว่ามาอาคาห์พระอัยกีคำราชาศัพท์หมายถึง ย่า ภาษาฮีบรูว่า มารดาของพระองค์ กษัตริย์อาสาก็ทรงถอดเสียจากตำแหน่ง เพราะพระนางทรงทำรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังเพื่อพระอาเช-ราห์ อาสาทรงฟันรูปเคารพของพระนางลง ทรงบด และเผาเสียที่หุบเขาขิดโรน 17แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ ยังไม่ได้ถูกรื้อออกจากอิสราเอล ถึงอย่างนั้นพระทัยของอาสาก็ซื่อตรงตลอดรัชสมัยของพระองค์ 18และพระองค์ทรงนำของที่พระราชบิดาของพระองค์ และของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย ได้แก่เงิน ทองคำ และเครื่องใช้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า 19และไม่มีสงครามอีกจนถึงปีที่สามสิบห้าในรัชกาลของอาสา

อรรถาธิบาย

สันติสุขในประเทศชาติ

สงคราม ได้ทำลายประเทศต่าง ๆ (15:5,6) มันนำมาซึ่งความตาย ความพินาศ และความยากจน ในทางกลับกัน สันติภาพช่วยให้ประเทศชาติถูกสร้างและเจริญขึ้น (14:7)

เมื่ออาสาขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ ‘แผ่นดินสงบอยู่สิบปี' (ข้อ 1) สันติสุขนี้เป็นของประทานจากพระเจ้า ‘พระเจ้าประทานสันติสุข’ (ข้อ 6, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

สันติสุขและการหยุดพักนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผู้เขียนพงศาวดารได้ตอบคำถามนี้ไว้สามสิ่ง:

1. แสวงหาพระเจ้าอย่างสุดใจ
เมื่อพวกเขา ‘ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์’ (13:14, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ว่าพระเจ้า ‘ทรงมอบพวกเขา’ ไว้ (ข้อ 16) กษัตริย์อาสา ‘บัญชาให้ยูดาห์แสวงหาพระยาห์เวห์’ (14:4) และกล่าวกับประชาชนว่า ‘เรามีแผ่นดินอันสงบสุขนี้เพราะเราแสวงหาพระเจ้า พระองค์ประทานการหยุดพักแก่เราทุกด้าน’ (ข้อ 7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ผู้เผยพระวจนะอาซาริยาห์กล่าวว่า ‘ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ ท่านก็จะพบพระองค์’ (15:2) ‘แต่เมื่อพวกเขาทุกข์ยาก เขาทั้งหลายหันมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลและแสวงหาพระองค์ เขาทั้งหลายก็พบพระองค์’ (ข้อ 4) ‘และเขาทั้งหลายทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ด้วยสุดจิตสุดใจของพวกเขา’ (ข้อ 12)

พวกเขาแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจและ ‘พระเจ้าประทานสันติสุขแก่พวกเขาทั้งภายในและภายนอก –ช่างเป็นอาณาจักรที่สงบสุขที่สุด!’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

2. เชื่อฟังพระเจ้าอย่างเต็มที่
เมื่ออาสาได้ยินคำเผยพระวจนะ ‘ก็ทรงมีพระทัยกล้าหาญขึ้น’ (ข้อ 8) อาสาพูดกับยูดาห์ว่า ‘ให้รักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ [ของพระเจ้า]’ (14:4) ผู้เผยพระวจนะอาซาริยาห์กล่าวว่า ‘ถ้าท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงละทิ้งพวกท่าน’ (15:2) เนื้อหาตอนนี้เป็นตัวอย่างของความสัตย์ซื่อที่พระเจ้ามีต่อเราเมื่อเราเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่

3. พึ่งพาพระเจ้าทุกเรื่อง
‘คนยูดาห์ก็ชนะเพราะพวกเขาพึ่งพาพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา’ (13:18) ‘พวกเขาวางใจในพระเจ้า’ (ข้อ 18 พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อาสาร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาและตรัสว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ไม่มีใครช่วยได้เหมือนพระองค์ ในการสู้รบกันระหว่างพวกมีกำลังกับพวกไม่มีกำลัง ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย โปรดช่วยพวกข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายพึ่งพระองค์’ (14:11)

นี่คือสิ่งที่หมายถึงการ ‘อุทิศตัวอย่างเต็มที่เพื่อพระเจ้า’ (15:17) ผลที่ได้คือกิจการของอาสาได้รับบำเหน็จ (ข้อ 7) และพระเจ้าของเขาอยู่กับเขา (ข้อ 9) มีสันติสุขและได้หยุดพัก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการแสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ เชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่และพึ่งพาพระองค์ในทุกเรื่อง ข้าพระองค์อธิษฐานเผื่อสำหรับการหยุดพักและสันติสุขในชีวิต ในคริสตจักร ในประเทศของเรา และระหว่างประเทศต่าง ๆ

เพิ่มเติมโดยพิพพา

2 พงศาวดาร 15:5

‘ใน​สมัย​นั้น ผู้ที่​ออก​ไป​หรือ​ผู้​ที่​เข้า​มา​ล้วน​ไม่​มี​ความ​สงบ​สุข เพราะ​เกิด​ความ​วุ่น​วาย​มาก​มาย​กับ​คน​ที่​อาศัย​บน​แผ่น​ดิน​นั้น’

เราได้รับการอวยพรที่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่การเดินทางทั่วสหราชอาณาจักรนั้นปลอดภัยเสียส่วนใหญ่ ทุกวันนี้มีหลายสถานที่ในโลกที่มี ‘ความวุ่นวายอย่างมาก’ ผู้คนหลบหนีจากการกดขี่ข่มเหง สงคราม และระบอบการปกครองที่โหดร้าย เราต้องอธิษฐานและสนับสนุนผู้ที่ทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลงต่อไป

ข้อพระคำประจำวัน

2 พงศาวดาร 15:7

‘... แต่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​กล้า​หาญ อย่า​ให้​มือ​ของ​ท่าน​อ่อน​ลง เพราะ​ว่า​พวก​ท่าน​จะ​ได้​รับ​บำ​เหน็จ​ใน​กิจ​การ​ของ​ท่าน’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม