วัน 232

วิธีฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 20:15-24
พันธสัญญาใหม่ 1 โครินธ์ 14:1-19
พันธสัญญาเดิม 2 พงศาวดาร 10:1-12:16

เกริ่นนำ

วิลล์ วิสบี เป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์หนุ่มผู้ประสบความสำเร็จ เขาสงสัยในความเชื่อคริสเตียนอย่างยิ่ง ในวันอาทิตย์หนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งเชิญเขามาที่คริสตจักรโฮลี่ ทรินิตี้ บรอมพ์ตัน ในระหว่างการนมัสการ บางคนมีของประทานคือ ‘ถ้อยคำแห่งความรู้' ได้กล่าวว่า ‘มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นี่ ผู้ซึ่งกำลังรอคอยรถสปอร์ตเปิดประทุนซึ่งจะส่งมาถึงในอีกสองวัน เขาทำงานหนักมาตลอดชีวิตเพื่อบรรลุความสำเร็จ รักทำงานเป็นชีวิตจิตใจ เขามีรถ มีบ้าน มีวิถีชีวิตที่ดี แต่เขาไม่มีความสุข พระเจ้าอยากให้เขารู้ว่า มีบางสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เขาจะต้องหันมาสนใจ’

ต่อมาภายหลัง วิลล์ได้เขียนว่า ‘ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ ผมเพิ่งซื้อรถคันใหม่ที่ดีที่สุด มันจะมาถึงภายในสองวัน และผมไม่ได้บอกใคร ผมหาเงินได้ปีละ 100k ปอนด์ (ประมาณ 4.4 ล้านบาท) งานคือชีวิตของผม คืนนั้น เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมได้อธิษฐานอย่างจริงจัง’

วิลล์สัมผัสกับพระเยซูคริสต์และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาพูดว่า ‘ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพระเยซูทรงมีอยู่จริง พระองค์ทรงรักผม และพระองค์ทรงอยู่กับผม’

พวกเราหลายคนดำเนินชีวิตในโลกที่อึกทึกและวุ่นวาย ในท่ามกลางทุกเสียงที่รบกวน และการพูดคุยสนทนาต่าง ๆ แล้วคุณจะได้ยินเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร?

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 20:15-24

15มีทองคำและมีทับทิมมากมาย
 แต่ปากที่มีความรู้ก็เป็นของล้ำค่ายิ่ง
16จงริบเสื้อผ้าของผู้ที่ค้ำประกันให้คนอื่น
 และจงยึดมันไว้ เมื่อเขาประกันให้คนต่างด้าว
17อาหารที่ได้มาด้วยการหลอกลวงมีรสหวานแก่ผู้ได้มา
 แต่ภายหลังปากของเขาจะเต็มไปด้วยกรวดทราย
18แผนงานดำรงอยู่ได้ด้วยคำแนะนำ
 จงทำสงครามโดยมีการชี้แนะ
19คนที่เที่ยวซุบซิบย่อมเผยความลับ
 ฉะนั้นอย่าเข้าสังคมกับคนปากบอน
20คนที่แช่งบิดาหรือมารดาของตน
 ประทีปของเขาจะดับมืดมิด
21มรดกที่ได้มาอย่างชิงสุกก่อนห่าม
 ที่สุดปลายก็ไม่เป็นมงคล
22อย่าพูดว่า “ข้าจะแก้แค้นความชั่ว”
 จงรอคอยพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงช่วยเจ้า
23ตุ้มน้ำหนักฉ้อฉลเป็นที่เกลียดชังต่อพระยาห์เวห์
 และตาชั่งขี้โกงก็ไม่ดี
24ย่างเท้าของมนุษย์นั้นพระยาห์เวห์ทรงกำหนด
 แล้วคนจะเข้าใจทางของเขาเองได้อย่างไร?
25การพูดพล่อยๆ ว่า “นี่เป็นของบริสุทธิ์” ก็เป็นบ่วงดักตนเอง
 แล้วจึงมาคิดได้หลังจากปฏิญาณไปแล้ว
26พระราชาที่มีปัญญาย่อมทรงฝัดร่อนคนอธรรม
 แล้วทรงขับล้อเกวียนทับพวกเขา
27มโนธรรมของมนุษย์เป็นประทีปของพระยาห์เวห์
 ส่องดูทุกส่วนภายในเขา
28ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์เฝ้ารักษาพระราชาไว้
 และพระราชาจะทรงค้ำชูพระที่นั่งไว้ด้วยความชอบธรรม
29ศักดิ์ศรีของคนหนุ่มคือกำลังของเขา
 แต่ความภูมิฐานของคนแก่คือผมหงอก
30การเฆี่ยนที่ให้เป็นบาดแผลก็ขจัดความชั่วเสีย
 การโบยตีชำระล้างส่วนลึกภายใน

อรรถาธิบาย

จบฟังปัญญาและความรอบรู้

หนึ่งในวิธีที่คุณสามารถได้ยินเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือผ่านทางคำแนะนำอันมีปัญญาของผู้อื่น ผู้คนที่มีสติปัญญาและความรอบรู้นั้นล้ำค่ามาก 'มี​ทอง​คำ​และ​มี​ทับ​ทิม​มาก​มาย แต่​ปาก​ที่​มี​ความ​รู้​ก็​เป็น​ของ​ล้ำ​ค่า​ยิ่ง’ (ข้อ 15) ‘การดื่มด่ำจากจอกแห่งความรู้ที่งดงามนั้นดียิ่งกว่า การประดับประดาตนเองด้วยทองคำและอัญมณีที่หายาก’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

แสวงหาความช่วยเหลือเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ‘แผน​งาน​ดำ​รง​อยู่​ได้​ด้วย​คำ​แนะ​นำ’ (ข้อ 18) คุณยังคงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของคุณ ‘สร้างจุดมุ่งหมายของคุณโดยขอคำแนะนำ จากนั้นดำเนินการโดยใช้ทุกความช่วยเหลือทั้งหมดที่คุณจะหาได้’ (ข้อ 18, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

ในพระธรรมสุภาษิตเต็มไปด้วยคำแนะนำที่ชาญฉลาด ซึ่งบอกคุณให้ระวังคนที่ชอบนินทาซึ่งทรยศความไว้วางใจและให้หลีกเลี่ยงคนที่พูดมากเกินไป ‘คนชอบนินทาเก็บความลับไว้ไม่ได้ ดังนั้นอย่าไว้ใจคนที่ปากพล่อย’ (ข้อ 19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) หนึ่งในคนชอบนินทาซึ่งรู้จักกันดี ได้ปักคติพจน์นี้ไว้บนหมอนอิงของเธอ: ‘ถ้าคุณไม่มีอะไรดี ๆ จะพูดถึงคนอื่น มานั่งนี่กับฉันซิ’

คำแนะนำอันชาญฉลาด ๆ อีกอย่างที่เป็นคำเตือนเรื่องการแก้แค้นคือ อย่าพูดเลยว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” จงรอคอยพระเจ้า พระองค์จะทรงชำระความแค้นให้’ (ข้อ 22, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

การฟังเสียงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึง การฟังพระวจนะของพระเจ้า ‘ย่างเท้าของมนุษย์นั้นพระยาห์เวห์ทรงกำหนดแล้วคนจะเข้า​ใจ​ทาง​ของ​เขา​เอง​ได้​อย่าง​ไร?’ (ข้อ 24) จงฟังเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่พระองค์ทรงตรัสกับคุณผ่านทางพระวจนะ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับข้าพระองค์ผ่านทางพระวจนะ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้ได้ยิน และเชื่อฟังเสียงของพระองค์
พันธสัญญาใหม่

1 โครินธ์ 14:1-19

ภาษาแปลกๆ และการเผยพระวจนะ

 1จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ 2เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ 3แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ 4คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น 5ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่เผยพระวจนะนั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นอกจากว่ามีคนแปลได้ เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญ
 6แต่ว่าพี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่านและพูดภาษาแปลกๆ จะเป็นประโยชน์อะไรต่อพวกท่าน หากข้าพเจ้าไม่พูดกับพวกท่านด้วยคำวิวรณ์ คำที่ให้ความรู้ คำเผยพระวจนะ หรือคำสั่งสอน? 7แม้แต่สิ่งไม่มีชีวิตที่ทำเสียงได้ เช่นปี่และพิณ ถ้าไม่ให้เสียงสูงต่ำที่แตกต่างกัน คนจะรู้ทำนองที่เป่าหรือดีดได้อย่างไร? 8ถ้าแตรให้เสียงไม่ชัดเจน ใครจะเตรียมตัวเข้าทำศึกสงคราม? 9ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น คือในการพูดภาษาแปลกๆ ถ้าท่านไม่ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจได้ คนจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไร? สิ่งที่ท่านพูดนั้นจะหายไปกับสายลม 10แน่นอน ในโลกนี้มีภาษามากมาย และไม่มีภาษาใดที่ปราศจากความหมาย 11เพราะฉะนั้น ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของภาษานั้นๆ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นคนต่างภาษากับคนที่พูด และคนที่พูดนั้นจะเป็นคนต่างภาษากับข้าพเจ้าด้วย 12ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อท่านกำลังขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ ก็จงพยายามเพิ่มพูนสิ่งที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น
 13ฉะนั้นคนที่พูดภาษาแปลกๆ ก็ควรอธิษฐานขอให้แปลได้ด้วย 14เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์ 15เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด และจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด 16มิฉะนั้นถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ คนที่อยู่ในกลุ่มที่ไม่เข้าใจจะว่า “อาเมน” กับคำขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? 17เพราะว่าแม้ท่านจะขอบพระคุณอย่างไพเราะ แต่คนอื่นก็ไม่เจริญขึ้น 18ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก 19แต่ว่าในคริสตจักรข้าพเจ้าต้องการที่จะพูดสักห้าคำด้วยความคิด เพื่อสอนคนอื่นดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ

อรรถาธิบาย

จงฟังผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

จงยกย่องความรัก และอย่าทำอะไรเพื่อลดคุณค่าความสำคัญแห่งของประทานแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลเน้นทั้งสองสิ่ง: ‘จง​มุ่ง​หา​ความ​รัก และขวน​ขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​การ​เผย​พระ​วจนะ’ (ข้อ 1) บางคนกล่าวว่า เราควร ‘ปรารถนาในตัวผู้ให้ ไม่ใช่ตัวของประทาน’ แต่ผู้ให้สั่งเราให้ปรารถนาของประทาน

การเผยพระวจนะเป็นหนึ่งในของประทานแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตรัสกับคริสตจักร เปาโลเน้นความสำคัญว่าของประทานมีไว้เพื่อคริสตจักร ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการพูดภาษาแปลก ๆ ‘ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทุก​คน​พูด​ภา​ษา​แปลก ๆ แต่​ยิ่ง​กว่า​นั้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเผยพระวจนะ’ (ข้อ 5ก)

แม้ว่าเปาโลกำลังพูดในสถานการณ์ที่ของประทานเรื่องภาษาแปลก ๆ นั้นอันตรายหากใช้ในทางที่ผิด เขายังคงคิดบวกอย่างน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องของประทานชนิดนี้ อาจารย์เปาโลกล่าวว่า ผู้ที่อธิษฐานในภาษาแปลก ๆ ก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น (ข้อ 4) นี่เป็นของประทานที่ดีสำหรับทุกคน (ข้อ 5) ของประทานภาษาแปลก ๆ เป็นวิธีหนึ่งในการอธิษฐานในพระวิญญาณ (ข้อ 14) และนี่เป็นการขอบพระคุณ และการสรรเสริญเป็นหลัก (ข้อ 16–17) เขาเป็นพยานเรื่องการใช้ของประทานนี้เอง ‘ข้าพเจ้าขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า ข้าพเจ้าพูด​ภา​ษา​แปลก ๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก’ (ข้อ 18)

เปาโลสร้างความแตกต่างระหว่างการใช้ของประทานเป็นการส่วนตัว (ซึ่งท่านหนุนใจโดยทั่วไป) และการใช้ของประทานนี้ในที่สาธารณะในคริสตจักร ถ้าคนหนึ่งพูดภาษาแปลก ๆ ในคริสตจักร ก็จำเป็นต้องมีการแปล (ข้อ 5,18–19) เมื่อถูกใช้ร่วมกับของประทานในการแปล ก็เท่ากับเป็นการเผยพระวจนะ (ข้อ 5ข)

ของประทานในการแปลทำให้คริสตจักรเจริญขึ้นหลังจากที่ภาษาแปลก ๆ ถูกพูดในที่สาธารณะ (ข้อ 5) ทุกคนที่มีของประทานภาษาแปลก ๆ ควรอธิษฐานสำหรับของประทานนี้เช่นกัน เพื่อคริสตจักรสามารถจำเริญขึ้น

การเผยพระวจนะเป็นความสามารถในการฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส และส่งต่อให้กับคนอื่น ๆ นี่เป็นของประทานทางฝ่ายวิญญาณที่มีความสำคัญมากในคริสตจักร และควรขวนขวายหา (ข้อ 1) นี่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องการพยากรณ์อนาคต แต่กลับกันนี่เป็นการบอกล่วงหน้าถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสในสถานการณ์ปัจจุบัน

คริสเตียนในยุคแรกมาถึงจุดที่มองเห็นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่าเป็นการเผยพระวจนะ (2 เปโตร 1:20) พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมผู้เผยพระวจนะเป็นพยานเรื่องพระเยซู พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่อัครสาวกเป็นพยานถึงพระเยซู ปัจจุบันไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าในแง่ของสิทธิอำนาจ

ถ้อยคำเรื่องการเผยพระวจนะในปัจจุบันไม่ได้มีสิทธิอำนาจเทียบเท่ากับผู้เผยพระวจนะและอัครทูต พระคริสตธรรมคัมภีร์สำหรับคริสเตียนทุกคนในทุกที่ทุกเวลา ถ้อยคำเผยพระวจนะนั้นเป็นถ้อยคำเฉพาะเจาะจง ที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า ให้กับบางคนหรือหลายคนอย่างเฉพาะเจาะจง ในช่วงเวลาที่เจาะจง เพื่อวัตถุประสงค์ที่เจาะจง นี่คือการเผยพระวจนะโดยมนุษย์ถึงบางสิ่งซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลความคิดและจิตใจและบางครั้งก็กระทำผิดพลาดไปบ้าง

แต่ถึงอย่างไรเปาโลให้คุณค่าสูงกับของประทานในการเผยพระวจนะ (1 โครินธ์ 14:1) เพราะว่านี่เป็นของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร (ข้อ 4) และยังสามารถส่งผลกระทบต่อ ‘คนที่ไม่เชื่อ' ‘แต่ถ้าทุกคนเผยพระวจนะ คน​ที่​ไม่​เชื่อ​หรือ​คน​ที่​ไม่​รู้​เข้า​มา...ความลับในใจของเขาจะถูกทำให้ปรากฎ เขา​ก็​จะ​ทรุด​ตัว​ลง​ซบ​หน้า​นมัส​การพระเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าสถิต​อยู่​ท่าม​กลาง​พวก​ท่าน​อย่าง​แน่​นอน!”’ (ข้อ 24–25) นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับวิลล์ วิสบี

การเผยพระวจนะจำเป็นต้องถูกวินิจฉัย: 'ให้​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​พูด​ได้สอง​หรือ​สาม​คน และให้คนอื่น ๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด’ (ข้อ 29)

1. นี่ตรงกับพระคัมภีร์ไหม?
พระเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดแย้งกับพระองค์เอง

2. อะไรคือลักษณะนิสัยของผู้ที่เผยพระวจนะ?
พวกเขาเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยความรักไหม? (ข้อ 1)

3. ผลกระทบของการเผยพระวจนะคืออะไร?
เปาโลเขียนว่า '… แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ’ (ข้อ 3) ถ้อยคำเผยพระวจนะที่แท้จริงจะเป็นบวกเสมอในแง่ของการทำให้จำเริญขึ้น ชูใจ และปลอบใจคนอื่น ๆ

โดยรวม ถ้อยคำเผยพระวจนะนั้นยืนยันสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ใส่ไว้ในหัวใจเราเรียบร้อยแล้ว หากคุณไม่แน่ใจเรื่องถ้อยคำการเผยพระวจนะ อย่าเร่งรีบ แต่จงทำในสิ่งที่มารีย์มารดาของพระเยซูทรงทำ คือรอคอยและไตร่ตรองถึงสิ่งเหล่านั้นในใจของคุณ (ลูกา 2:19)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ในฐานะคริสตจักรที่จะสร้างบรรยากาศแห่งการคาดหวังที่จะได้ยินเสียงขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะตรัสกับพวกเรา และเมื่อเราได้ฟัง ขอที่พวกเราจะติดตามวิถีแห่งความรักของพระองค์และขวนขวายของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พันธสัญญาเดิม

2 พงศาวดาร 10:1-12:16

การกบฏต่อเรโหโบอัม

 1เรโหโบอัมได้ไปยังเมืองเชเคม เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นได้มายังเชเคมเพื่อจะตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ 2เมื่อเยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่องนี้แล้ว ท่านจึงกลับจากอียิปต์ (ที่เยโรโบอัมต้องอาศัยอยู่ในอียิปต์เพราะท่านหนีจากพระพักตร์พระราชาซาโลมอน) 3เขาทั้งหลายก็ใช้คนไปเรียกท่าน และเยโรโบอัมกับอิสราเอลทั้งหมดได้มาทูลเรโหโบอัมว่า 4“พระราชบิดาของฝ่าพระบาททำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนักนัก เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอทรงลดภาระหนักจากพระราชบิดาของฝ่าพระบาท และทำให้แอกหนักที่พระองค์วางอยู่เหนือพวกข้าพระบาทเบาลงเสีย แล้วพวกข้าพระบาทจะปรนนิบัติฝ่าพระบาท” 5พระองค์ตรัสกับเขาว่า “อีกสามวันจงกลับมาหาเรา” ประชาชนจึงกลับไป
 6แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงปรึกษากับบรรดาผู้อาวุโส ผู้ได้ปรนนิบัติซาโลมอนพระราชบิดาของพระองค์เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ว่า “ท่านทั้งหลายจะแนะนำเราให้ตอบประชาชนนี้อย่างไร?” 7เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “ถ้าฝ่าพระบาททรงเมตตาต่อประชาชนนี้และให้พวกเขาพอใจ และตรัสตอบคำดีแก่พวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นนิตย์” 8แต่พระองค์ทรงปฏิเสธคำปรึกษาที่บรรดาผู้อาวุโสถวายนั้น และไปปรึกษากับพวกคนหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ และอยู่ปรนนิบัติพระองค์ 9และพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านจะแนะนำเราอย่างไร เพื่อพวกเราจะตอบประชาชนนี้ผู้ที่ทูลเราว่า ‘ขอทรงทำให้แอกซึ่งพระราชบิดาของพระองค์วางอยู่เหนือพวกข้าพระบาทเบาลง’? ” 10และคนหนุ่มเหล่านั้นผู้ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ขอฝ่าพระบาทตรัสดังนี้แก่ประชาชนนี้ ผู้ทูลพระองค์ว่า ‘พระราชบิดาของฝ่าพระบาทได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนัก แต่ขอฝ่าพระบาททรงทำให้เบาลง’ นั้น ขอฝ่าพระบาทตรัสแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า ‘นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระราชบิดาเรา 11พระราชบิดาของเราได้วางแอกหนักบนท่านทั้งหลาย ส่วนเราก็จะเพิ่มภาระบนแอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้ แต่เราจะตีสอนท่านด้วยแมงป่อง’ ”
 12เยโรโบอัมกับประชาชนทั้งหมดจึงเข้ามาเฝ้าเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่พระราชารับสั่งว่า “จงกลับมาหาเราในวันที่สาม” 13และพระราชาตรัสตอบเขาทั้งหลายอย่างดุดัน พระองค์ทรงปฏิเสธคำปรึกษาของบรรดาผู้อาวุโส 14และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่มว่า “พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มภาระบนแอกนั้น พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้ แต่เราจะตีสอนท่านด้วยแมงป่อง” 15พระราชาจึงไม่ทรงฟังประชาชน เพราะเหตุการณ์นี้เป็นมาจากพระเจ้า เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำให้พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระองค์ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรเนบัท

16และเมื่ออิสราเอลทั้งสิ้นเห็นว่าพระราชาไม่ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบพระราชาว่า

“พวกข้าพระบาทมีส่วนอะไรในดาวิด
 พวกข้าพระบาทไม่มีมรดกในบุตรเจสซี
โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปบ้านเรือนของท่านแต่ละคนเถิด
 ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด”

อิสราเอลทั้งสิ้นจึงไปยังบ้านเรือนพวกเขา 17แต่ประชาชนอิสราเอลผู้อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์นั้น เรโหโบอัมยังทรงปกครองเหนือพวกเขา 18แล้วพระราชาเรโหโบอัมทรงใช้ฮาโดรัมผู้ดูแลคนงานโยธาไป และคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างท่านถึงตาย แล้วพระราชาเรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถรบหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 19อิสราเอลจึงกบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดจนถึงทุกวันนี้

2 พงศาวดาร 11

 1เมื่อเรโหโบอัมทรงมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ก็ทรงระดมพลจากพงศ์พันธุ์ยูดาห์และเบนยามิน ซึ่งเป็นนักรบที่คัดเลือกแล้ว 180,000 คน เพื่อจะสู้รบกับอิสราเอล เพื่อจะเอาราชอาณาจักรคืนมาให้แก่เรโหโบอัม 2แต่พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเชไมยาห์ คนของพระเจ้าว่า 3“จงไปทูลเรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนพระราชาแห่งยูดาห์ และบอกกับคนอิสราเอลทั้งหมดในยูดาห์และเบนยามินว่า 4‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับพี่น้องของเจ้า จงกลับบ้านของตนทุกคนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’ ” แล้วพวกเขาจึงเชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และกลับไปโดยไม่ได้สู้รบกับเยโรโบอัม 5เรโหโบอัมประทับในกรุงเยรูซาเล็ม และพระองค์ทรงเสริมเมืองเป็นปราการเพื่อการป้องกันในยูดาห์ 6พระองค์ทรงเสริมเบธเลเฮม เอตาม เทโคอา 7เบธซูร์ โสโค อดุลลัม 8กัท มาเรชาห์ และศีฟ 9อาโดราอิม ลาคีช และอาเซคาห์ 10โศราห์ อัยยาโลน และเฮโบรน คือบรรดาเมืองป้อมที่อยู่ในยูดาห์และในเบนยามิน 11พระองค์ทรงเสริมป้อมปราการให้แข็งแรง และตั้งผู้บังคับบัญชาในป้อมเหล่านั้น และทรงสะสมอาหาร น้ำมัน และเหล้าองุ่น 12พระองค์ทรงเก็บโล่และหอกไว้ในเมืองทุกแห่ง และทรงทำให้เมืองพวกนั้นแข็งแรงอย่างยิ่ง ยูดาห์และเบนยามินจึงเป็นของพระองค์

บรรดาปุโรหิตและคนเลวีสนับสนุนเรโหโบอัม

 13บรรดาปุโรหิตกับคนเลวีที่อยู่ในอิสราเอลทั้งหมดมาหาพระองค์จากดินแดนทุกแห่งที่พวกเขาอยู่ 14เพราะพวกคนเลวีละทิ้งทุ่งหญ้าและที่นาของเขาและมายังยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเยโรโบอัมและบรรดาพระราชโอรสของพระองค์ทรงขับไล่เขาทั้งหลายออกจากตำแหน่งปุโรหิตของพระยาห์เวห์ 15และเยโรโบอัมทรงแต่งตั้งปุโรหิตของพระองค์ขึ้นสำหรับปูชนียสถานสูงทั้งหลาย สำหรับปีศาจแพะ และสำหรับรูปลูกวัวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น 16และบรรดาผู้ที่ตั้งใจแสวงพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลจากทุกเผ่าของอิสราเอล ก็ติดตามพวกเขามายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อถวายสัตวบูชาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา 17เขาทั้งหลายได้เสริมกำลังให้อาณาจักรยูดาห์ และทำให้เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนเข้มแข็งอยู่ 3 ปี เพราะพวกเขาดำเนินอยู่ในวิถีทางของดาวิดและซาโลมอนเป็นเวลา 3 ปี
 18เรโหโบอัมทรงรับนางมาหะลัทพระธิดาของเยรีโมทพระราชโอรสของดาวิดเป็นมเหสี และมารดาของนางคืออาบีฮาอิลบุตรีของเอลีอับบุตรเจสซี 19และพระนางก็ประสูติพระราชโอรสให้พระองค์ คือ เยอูช เชมาริยาห์ และศาฮัม 20ต่อมาพระองค์ก็ทรงรับมาอาคาห์พระธิดาของอับซาโลม ผู้ซึ่งประสูติ อาบียาห์ อัททัย ศีศา และชโลมีธให้พระองค์ 21เรโหโบอัมทรงรักมาอาคาห์พระธิดาของอับซาโลมมากกว่าบรรดาพระชายา และพวกนางสนมของพระองค์ทั้งหมด (พระองค์ทรงมีพระชายา 18 องค์และนางสนม 60 คนและมีพระราชโอรส 28 องค์และพระราชธิดา 60 องค์) 22และเรโหโบอัมทรงแต่งตั้งอาบียาห์โอรสของมาอาคาห์ให้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพวกพี่น้องของตน เพราะจะทรงให้เป็นกษัตริย์ 23พระองค์ทรงจัดการอย่างฉลาด โดยส่งพระราชโอรสทั้งหลายของพระองค์ไปทั่วแผ่นดินของยูดาห์และเบนยามิน ให้อยู่ในเมืองป้อมทุกแห่ง และประทานเสบียงอาหารให้อย่างบริบูรณ์รวมทั้งทรงหามเหสีหลายๆ องค์ให้พระราชโอรสแต่ละองค์

2 พงศาวดาร 12

ชิชักบุกยูดาห์

 1เมื่อราชอาณาจักรของเรโหโบอัมตั้งมั่นคงและแข็งแรงแล้ว พระองค์ทรงละทิ้งธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ และอิสราเอลทั้งหมดก็ละทิ้งร่วมกับพระองค์ด้วย 2ต่อมาในปีที่ห้าของกษัตริย์เรโหโบอัม เพราะเขาทั้งหลายไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยาห์เวห์ ชิชักกษัตริย์อียิปต์เสด็จขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม 3มีรถรบ 1,200 คันและทหารม้า 60,000 คน และพลไพร่ผู้มากับพระองค์จากอียิปต์อีกจำนวนนับไม่ถ้วนได้แก่ คนลิเบีย คนสุคีอิม และคนคูช 4พระองค์ทรงยึดบรรดาเมืองป้อมของยูดาห์และมายังกรุงเยรูซาเล็ม 5แล้วเชไมยาห์ผู้เผยพระวจนะมาเฝ้าเรโหโบอัมและพวกเจ้านายของยูดาห์ ซึ่งมาประชุมกันอยู่ที่เยรูซาเล็มเกี่ยวกับเรื่องชิชัก และท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งเรา เราจึงละทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ในมือของชิชัก’ ” 6แล้วเจ้านายแห่งอิสราเอลและพระราชาถ่อมตนลงและกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงชอบธรรมแล้ว” 7เมื่อพระยาห์เวห์ทรงเห็นว่า เขาทั้งหลายถ่อมตัวลง พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงเชไมยาห์ว่า “เขาทั้งหลายได้ถ่อมตัวลงแล้ว เราจะไม่ทำลายเขา แต่เราจะให้การช่วยกู้แก่พวกเขาบ้าง และพระพิโรธของเราจะไม่เทลงมาเหนือเยรูซาเล็มโดยมือของชิชัก 8อย่างไรก็ดีเขาทั้งหลายต้องเป็นผู้รับใช้ของชิชัก เพื่อพวกเขาจะทราบความแตกต่างระหว่างการรับใช้เรา และการรับใช้บรรดาราชอาณาจักรในดินแดนต่างๆ”
 9ชิชักกษัตริย์อียิปต์เสด็จขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงเอาทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์และทรัพย์สมบัติแห่งพระราชวังไป พระองค์ทรงเอาไปทุกอย่าง และทรงเอาโล่ทองคำ ที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้นไปด้วย 10และกษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบไว้ในมือของทหารรักษาพระองค์ ผู้เฝ้าประตูพระราชวัง 11เมื่อพระราชาเสด็จเข้าไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทหารรักษาพระองค์ก็ถือโล่ออกมา แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม 12เมื่อพระองค์ทรงถ่อมตัวลง พระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็ไปจากพระองค์ ไม่ได้ทรงทำลายพระองค์อย่างสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นในยูดาห์ก็ยังมีสิ่งดีอยู่
 13กษัตริย์เรโหโบอัมจึงทรงทำให้พระองค์เข้มแข็งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มและครองราชย์ เมื่อเรโหโบอัมทรงเป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุ 41 พรรษา และครองราชย์ 17 ปีในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล เพื่อจะตั้งพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่านาอามาห์คนอัมโมน 14และพระองค์ทรงทำความชั่วร้าย เพราะพระองค์ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์
 15ส่วนพระราชกิจของเรโหโบอัมตั้งแต่ต้นจนจบ ได้บันทึกไว้ในหนังสือบันทึกของเชไมยาห์ผู้เผยพระวจนะ และของอิดโดผู้ทำนายตามแบบลำดับวงศ์ตระกูลไม่ใช่หรือ? มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมตลอดรัชสมัย 16และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และทรงถูกฝังไว้ในนครดาวิด และอาบียาห์พระราชโอรสก็ขึ้นครองราชย์แทน

อรรถาธิบาย

จงฟังคำแนะนำที่ดีและถ้อยคำเผยพระวจนะ

เรโหโบอัมทำพลาดครั้งใหญ่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับเขาผ่านทางผู้อาวุโส พวกเขากล่าวว่า 'ถ้า​ฝ่า​พระ​บาท​ทรงรับใช้​ต่อ​ประ​ชา​ชน​นี้ และทรงพิจารณาถึงความต้องการของพวกเขา และตอบสนองด้วยความเมตตา แก้ปัญหากับพวกเขา เขา​ทั้ง​หลาย​จะ​ทำทุกสิ่งเพื่อของ​ฝ่า​พระ​บาท​เป็น​นิตย์’ (10:7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เรโหโบอัมทำพลาดโดยปฏิเสธคำแนะนำของผู้อาวุโส (ข้อ 8) แต่กลับไปฟังคำแนะนำอันเลวร้ายของคนหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกันแทน (ข้อ 10–11) เรโหโบอัมบอกกับประชาชนว่า ‘พระ​ราช​บิดา​ของ​เรา​ฟาด​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ด้วย​แส้ แต่​เรา​จะ​เฆี่ยนท่าน​ด้วย​โซ่!’ (ข้อ 11ข, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

เรโหโบอัม ‘ไม่​ทรง​ฟัง​ประ​ชา​ชน’ (ข้อ 15) เมื่ออิสราเอลทั้งหมดเห็นว่า ‘พระ​ราชา​ไม่​ทรง​ฟัง​เขา​ทั้ง​หลาย’ (ข้อ 16) พวกเขาจึงกบฏ

แต่พระเจ้าไม่ได้ล้มเลิกที่จะตรัสกับเรโหโบอัม ‘พระ​วจนะ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​มา​ยัง​เช​ไม​อาห์ คน​ของ​พระ​เจ้า​‘ และเขาถูกบอกให้ไปและ​ทูล​เร​โห​โบ​อัม​ 'พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า...’ (11:2–4ก)

นี่เป็นช่วงเวลาที่พระราชาและประชาชนไม่เป็นหนึ่งเดียวกันในการฟังเสียงพระเจ้า ‘แล้ว​พวก​เขา​จึง​เชื่อ​ฟัง​พระ​วจนะ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์ และ​กลับ​ไป​โดย​ไม่​ได้​สู้​รบ​กับ​เย​โร​โบ​อัม’ (ข้อ 4ข)

ภายหลัง พระเจ้าตรัสอีกครั้งผ่านทางผู้เผยพระวจนะ เชไมอาห์ ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “พวก​เจ้า​ได้​ละ​ทิ้ง​เรา เรา​จึง​ละ​ทิ้ง​พวก​เจ้า​”’ (12:5, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) อีกครั้งที่พวกเขาฟัง พวกเขา ‘ถ่อม​ตัวลง​และ​กล่าว​ว่า “พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​ชอบ​ธรรม​แล้ว”’ (ข้อ 6) ผลก็คือ ‘เมื่อ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​เห็น​ว่า เขา​ทั้ง​หลาย​ถ่อม​ตัว​ลง พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า​ได้​มา​ถึง​เช​ไม​อาห์​ว่า “เขา​ทั้ง​หลาย​ได้​ถ่อม​ตัว​ลง​แล้ว เรา​จะ​ไม่​ทำ​ลาย​เขา แต่​เรา​จะ​ให้​การ​ช่วย​กู้​แก่​พวก​เขา​บ้าง…”’ (ข้อ 7)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ในการได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้เรียนรู้ที่จะฟังเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพิ่มเติมโดยพิพพา

1 โครินธ์ 14:4

‘คน​ที่​พูด​ภา​ษา​แปลก ๆ นั้น​ก็​ทำ​ให้​ตัว​เอง​เจริญ​ขึ้น’

เมื่อเพื่อนคนหนึ่งของฉันถูกถามเมื่อหลายปีก่อนว่า เธออยากจะมีของประทานภาษาแปลก ๆ ไหม เธอตอบว่า ‘ถ้ามันช่วยนะ’ ฉันต้องการทุกความช่วยเหลือเท่าที่ฉันจะหาได้ ฉันขอบพระคุณพระเจ้าอย่างยิ่งสำหรับของประทานนี้ในหลายต่อหลายครั้ง เมื่อฉันไม่สามารถออกเสียงสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ ฉันใช้ของประทานนี้เพื่อเทสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

ข้อพระคำประจำวัน

สุภาษิต 20:19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล

คนชอบนินทาเก็บความลับไว้ไม่ได้
 ดังนั้นอย่าไว้ใจคนที่ปากพล่อย

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม