สิบหกลักษณะของความรัก
เกริ่นนำ
ผมพยายามทำตามแบบอย่างของมิชชันนารีที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินว่า แต่ละวันเธออ่านข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์สี่ข้อจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ในวันนี้ ซึ่งมีระบุสิบหกลักษณะของความรัก สำหรับคำว่า ‘ความรัก' เธอจะแทนด้วยชื่อของเธอเอง เมื่อเธออ่านไปถึงลักษณะที่เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น เธอก็จะหยุด เป้าหมายของเธอก็คือ วันหนึ่งเธอจะสามารถอ่านไปได้จนจบทุกรายการ
พระคริสตธรรมคัมภีร์สี่ข้อ (1 โครินธ์ 13:4–7) เริ่มต้นด้วย ‘ความรักนั้นก็อดทนนาน’ ดังนั้นผมจึงแทนด้วยชื่อของผมเอง และเริ่มต้นด้วย ‘นิคกี้นั้นก็อดทนนาน’ ผมไม่คิดว่าคนที่รู้จักผมดีจะแปลกใจหากผมหยุดอยู่ที่ข้อนี้!
ครั้งหนึ่งผู้ประกาศที่ยิ่งใหญ่ ดี.แอล.มูดดี้ เคยพำนักอยู่กับเพื่อนในประเทศอังกฤษ ในคืนหนึ่งพวกเขาขอให้ เฮนรี่ ดรัมมอนด์ อธิบายพระคริสตธรรมคัมภีร์ตอนหนึ่งให้ฟัง หลังจากที่ถูกเซ้าซี้สักพัก เฮนรี่ก็ดึงเอาพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เล่มเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋า เปิดไปที่ 1 โครินธ์ 13 และเริ่มต้นบรรยายถึงหัวข้อของความรัก ดี.แอล. มูดดี้ได้เขียนไว้ในการตอบสนองว่า:
‘สำหรับผม ดูเหมือนว่าผมไม่เคยได้ยินอะไรที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ความจำเป็นอันใหญ่หลวงในชีวิตคริสเตียนของเราคือ ความรัก โดยเฉพาะรักพระเจ้า และรักซึ่งกันและกัน เราจะถูกเคลื่อนเข้าสู่บริบทแห่งความรักของพระเจ้าและดำเนินชีวิตกับพระเจ้า’
เราเข้าใจแนวคิดที่ดรัมมอนด์ได้พูดออกมา คืนนั้นในหนังสือของเขา* สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (The Greatest Thing in the World)* เขาบรรยายไว้ว่า ‘อะไรคือ...ความดีขั้นสูงสุดหรือ? คุณมีชีวิตอยู่ตรงหน้าคุณ คุณใช้ชีวิตได้เพียงครั้งเดียว อะไรคือ ความปรารถนาอันประเสริฐที่สุดที่เป็นของประทานอันสูงสุดที่ควรใฝ่หา’ ใน 1 โครินธ์ 13 ‘เปาโลพาเราไปถึงแหล่งที่มาของความเป็นคริสเตียนและที่นั่นเราได้เห็น “ความรักนั้นใหญ่ที่สุด”’
พระเจ้าทรงเป็นความรัก ถือเป็นการหลอกลวงตัวเองหากเราคิดว่าเราสามารถรักพระเจ้าแต่ยังเกลียดชังคนอื่น ๆ (1 ยอห์น 4:20) ความรักควรเป็นอันดับหนึ่งในรายการความสำคัญฝ่ายจิตวิญญาณของคุณ ควรเป็นเรื่องหลักในชีวิตของคุณ มันเป็น อย่างที่เปาโลว่าไว้ว่านี่คือ ‘ทางที่ดีที่สุด‘ (1 โครินธ์ 12:31)
สดุดี 100:1-5
ให้ชาวโลกทั้งสิ้นสรรเสริญพระเจ้า
เพลงสดุดีสำหรับการขอบพระคุณ
1แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระยาห์เวห์
2จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยินดี
จงเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการร้องเพลง
3จงรู้เถิดว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า
คือพระองค์เองที่ทรงสร้างเราทั้งหลาย และเราก็เป็นของพระองค์
เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์
4จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ
และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ
จงขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์
5เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์
และความซื่อสัตย์ของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์
อรรถาธิบาย
ชื่นชมยินดีกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อคุณ
ผู้เขียนสดุดีแนะนำให้เรา ‘โห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระยาห์เวห์… จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยินดี จงเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการร้องเพลง’ (ข้อ 1–2) เขาบอกเราให้ ‘เข้าประตูของพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ’ (ข้อ 4) 'เข้าประตูด้วยรหัสผ่านคือการ “ขอบพระคุณ!”' (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘จงขอบพระคุณและกล่าวเช่นนั้นต่อพระองค์’ (ข้อ 4, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
เพราะเหตุใด? อะไรคือเหตุผลสำหรับความชื่นบาน การขอบพระคุณ และการสรรเสริญเช่นนั้น? ผู้เขียนสดุดีให้คำตอบไว้ในข้อ 5: ‘เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์และความซื่อสัตย์ของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์’
พระเจ้าทรงแสนดี และพระองค์ทรงรักคุณ นี่เหมือนเป็นการสรุปเนื้อหาของพระคริสตธรรมคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม เป็นเรื่องของความรักของพระองค์ ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความรักของเรา ‘เรารัก ก็เพราะว่าพระองค์ทรงรักเราก่อน’ (1 ยอห์น 4:19) ให้เราทำความเข้าใจ เชื่อและยอมรับว่า พระองค์ทรงรักคุณ และให้เราได้เพลิดเพลินกับความรักของพระองค์
คำอธิษฐาน
1 โครินธ์ 12:27-13:13
กายเดียวที่ประกอบด้วยหลายอวัยวะ
12เพราะว่า เหมือนกับร่างกายเดียวที่มีหลายๆ อวัยวะ และอวัยวะทั้งหมดของร่างกายนั้นแม้จะมีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างกายเดียว พระคริสต์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น 13เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ทาสหรือเสรีชน เราได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นเหมือนน้ำที่ประทานให้เราทุกคนได้ดื่ม
14เพราะว่าร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ 15ถ้าเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ได้เป็นมือ ฉันจึงไม่เป็นอวัยวะของร่างกาย” เท้าก็ไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนี้ย่อมไม่ได้ 16ถ้าหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ได้เป็นตา ฉันจึงไม่เป็นอวัยวะของร่างกาย” หูก็ไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนี้ย่อมไม่ได้ 17ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน? 18แต่พระเจ้าทรงตั้งอวัยวะแต่ละอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์ 19ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน? 20ความจริงมีอวัยวะหลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน 21และตาก็ไม่สามารถพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ” หรือศีรษะจะพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ” 22แต่หลายๆ อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าอ่อนแอกว่า ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น 23อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าไร้เกียรติ เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ควรปกปิด เราก็ทำด้วยความสุภาพเป็นพิเศษ 24เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าทรงจัดวางร่างกาย โดยการประทานเกียรติมากยิ่งขึ้นแก่อวัยวะที่ต่ำต้อย 25เพื่อไม่ให้มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะต่างๆ มีความห่วงใยแบบเดียวกันต่อกันและกัน 26ถ้าอวัยวะหนึ่งทุกข์ อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย
27ส่วนท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น 28พระเจ้าทรงตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง บรรดาอัครทูต สอง บรรดาผู้เผยพระวจนะ สาม บรรดาอาจารย์ ต่อจากนั้น ผู้ทำการด้วยฤทธานุภาพ ต่อจากนั้น ของประทานในการรักษาโรค พวกที่ให้ความช่วยเหลือ พวกผู้นำและพวกที่รู้ภาษาแปลกๆ 29ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการด้วยฤทธานุภาพหรือ? 30ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? 31แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า
ความรัก
และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย
1 โครินธ์ 13
1แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง 2แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟสำเนาโบราณบางฉบับว่า เอาตัวไปเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า
4ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ
8ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป 9เพราะว่าเรารู้เพียงบางส่วน และก็เผยพระวจนะเพียงบางส่วน 10แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ที่เป็นเพียงบางส่วนนั้นก็จะสูญไป 11เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก 12เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า 13และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้
อรรถาธิบาย
โอบกอดชีวิตแห่งความรัก
เฮนรี่ ดรัมมอนด์ ได้อธิบายว่า ในตอนต้นของบทนี้ เราจะพบกับความรักที่แตกต่างกันของพระเจ้าอันเป็นหัวใจสำคัญ เราจะพบความรักที่ลึกซึ้งจากพระเจ้า และในตอนท้ายเราได้รับความรักที่ถูกรักษาไว้ในฐานะที่เป็นของประทานสูงสุด ได้แก่
1. ความรักที่แตกต่างกัน
คำอธิบายของความรักใน 1 โครินธ์ 13 เป็นหนึ่งในพระธรรมที่งดงาม และเป็นที่รู้จักกันที่สุดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แม้คนที่ไม่เชื่อมากมายจดจำสิ่งนี้ได้ว่าเป็นตอนหนึ่งของพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ถูกใช้บ่อยครั้งในพิธีแต่งงาน เปาโลวางพระธรรมตอนนี้ไว้กลางคำสอนเรื่องของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระกายของพระคริสต์
เปาโลได้ระบุถึงของประทานทั้งเก้าอย่างในพระธรรม 1 โครินธ์ 12:27–30 เมื่อเริ่มต้นของบทที่ 12 เขาระบุของประทานไว้เก้าอย่าง มีห้าข้อที่ซ้ำกัน ดังนั้น จึงมีของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์รวมทั้งหมดไว้สิบสามอย่าง เปาโลได้อธิบายความสำคัญของของประทานเหล่านี้ว่ามีไว้เพื่อทำให้พระกายของพระคริสต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่
ท่านไม่ได้ลดทอนคุณค่าของของประทานอื่น ๆ ด้วยการพูดเรื่องความรัก กลับกันเขากำลังกล่าวว่า ‘ของประทานนั้นสำคัญมาก แต่ความรักสำคัญที่สุด’ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีของประทานต่าง ๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อที่จะใช้อย่างถูกต้องกับคริสตจักรในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตาม ในสมัยของเปาโล ความรักสำคัญที่สุดและเป็น ‘ทางที่ดีที่สุด’ (ข้อ 31)
ที่จริงเปาโลกล่าวว่า หากเรามีของประทานทุกอย่างรวมถึงแบ่งปันทุกสิ่งที่เรามีแก่คนยากจนและยอมสละชีวิตเพื่อความเชื่อ แต่กลับไม่มีความรัก ก็เท่ากับว่าเราไม่มีอะไรเลย (13:1–3) ท่านไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์การใช้ของประทาน เช่น การพูดภาษาแปลก ๆ หรือการเผยพระวจนะ (ข้อ 1–2) มากไปกว่าการวิพากษ์วิจารณ์คนใจกุศล หรือสละชีวิตเพื่อความเชื่อ (ข้อ 3) แต่ท่านแค่เน้นความสำคัญว่า ทุกสิ่งที่เราทำ เราควรทำด้วยความรัก
2. ความรักที่ลึกซึ้งของพระเจ้า
จากนั้นเปาโลก็ระบุสิบหกลักษณะของความรัก ทุกครั้งที่ผมอ่านรายการนี้ ผมรู้สึกถูกท้าทายอยู่ลึก ๆ ผมรู้ว่ายังบกพร่องอีกมากในคุณลักษณะเหล่านี้ ไม่ใช่แค่อันแรกเท่านั้น! ผมยังล้มเหลวอยู่บ่อย ๆ ผมรู้สึกเหมือนกับที่ฉบับ The Message แปลไว้ว่า:
‘ความรักไม่เคยยอมแพ้ (“ความรักย่อมอดทนนาน”, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
ความรักใส่ใจคนอี่น ๆ มากกว่าตัวเราเอง
ความรักไม่ได้อยากได้สิ่งที่เราไม่มี
ความรักไม่กร่าง
ไม่หยิ่งผยอง
ไม่ยัดเยียดตัวเองให้กับคนอื่น ๆ
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็น “ฉันก่อน” เสมอไป
ไม่เกรี้ยวกราด
ไม่คอยนับความผิดของคนอื่น ๆ
ไม่มีความสุขเมื่อคนอื่นคร่ำครวญ
ชื่นชมยินดีในการเบ่งบานของสัจธรรม
ทนได้ทุกอย่าง
วางใจพระเจ้าเสมอ
มองหาสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
ไม่มองย้อนไป
แต่ไปต่อจนถึงวาระสุดท้าย’ (ข้อ 4–7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ลองทำตามซักอันหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ‘วางใจพระเจ้าเสมอ’ บรรลุสิ่งนั้นและนั่นจะเปลี่ยนชีวิตไปเลย
3. ความรักที่ได้รับการรักษาไว้
ความรักเป็นสิ่งถาวร ทุกสิ่งที่เหลือล้วนเป็นเพียงชั่วคราว ของประทานทุกอย่างขององค์พระวิญญาณฯ วันหนึ่งจะไม่จำเป็นอีกต่อไป บางคนแย้งว่า สิ่งที่เปาโลกำลังพูดถึงอยู่ตรงนี้ คือ ของประทานฝ่ายวิญญาณ (เช่น การพูดภาษาแปลก ๆ ) จะยุติลงในจุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ ที่จริง mjkoกำลังกล่าวตรงข้ามกันอย่างยิ่งว่า ของประทานฝ่ายวิญญาณจะไม่ยุติลงจนกว่าเราจะได้เห็นพระเยซูแบบ ‘หน้าต่อหน้า' (ข้อ 12) ดังนั้น เรายังไม่ได้เห็นพระเยซูแบบ ‘หน้าต่อหน้า’ ด้วยเหตุนี้คือ ของประทานฝ่ายวิญญาณจึงยังไม่หมดไป เราจำเป็นต้องมีของประทานเหล่านี้อย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ ความรัก ความเชื่อ ความหวัง และความรักเป็นไตรภาคที่ยิ่งใหญ่ ‘แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้’ (ข้อ 13)
คำอธิษฐาน
เพลงซาโลมอน 5:1-8:14
เจ้าบ่าว
1น้องของฉันจ๊ะ เจ้าสาวของฉันจ๋า
ฉันเข้ามาในสวนของฉันแล้วนะ
ฉันมาเก็บเอามดยอบของฉันพร้อมกับเครื่องหอมของฉันแล้ว
ฉันรับประทานรวงผึ้งกับน้ำผึ้งของฉันแล้ว
ฉันดื่มเหล้าองุ่นกับน้ำนมของฉันแล้ว
เพื่อนๆ
โอ เพื่อนๆ เอ๋ย จงรับประทานและจงดื่มเถิด
จงดื่มให้หนำใจเถิด คู่รักเอ๋ย
เจ้าสาว
2ดิฉันหลับแล้ว แต่ใจของดิฉันยังตื่นอยู่
เสียงเคาะของที่รักของดิฉัน เขาพูดว่า
“น้องสาวจ๋า ที่รักของฉันจ๋า เปิดประตูให้ฉันหน่อยซิจ๊ะ
แม่นกพิราบของฉันจ๊ะ แม่คนงามหมดจดของฉันจ๋า
เพราะศีรษะของฉันก็เปียกโชกด้วยน้ำค้างชื้น
และปอยผมของฉันก็ชุ่มด้วยละอองน้ำแห่งราตรีกาล”
3ดิฉันเปลื้องเสื้อของดิฉันออกเสียแล้ว
ดิฉันจะสวมกลับเข้าไปอีกได้อย่างไร?
ดิฉันล้างเท้าของดิฉันแล้ว
จะให้เท้าของดิฉันเปื้อนอีกหรือ?
4ที่รักของดิฉันสอดมือของเขาเข้ามาทางช่องประตู
และใจของดิฉันปั่นป่วนเพราะเขา
5ดิฉันลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน
และมือของดิฉันมีหยดมดยอบ
และนิ้วของดิฉันทำให้มดยอบชุ่มที่จับสลักกลอน
6ดิฉันเปิดประตูให้ที่รักของดิฉัน
แต่ที่รักของดิฉันกลับไปเสียแล้ว
เมื่อเขากลับไป ดิฉันก็ตกตะลึง
ดิฉันแสวงหาเขา แต่ดิฉันหาเขาไม่พบ
ดิฉันร้องเรียกเขา แต่เขาไม่ขานตอบ
7พวกยามที่ลาดตระเวนในเมืองพบดิฉัน
พวกเขาตีดิฉัน ทำให้ดิฉันบาดเจ็บ
พวกยามรักษากำแพงเมือง
ฉกชิงเอาผ้าคลุมตัวจากดิฉันไป
8โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย ดิฉันขอให้พวกเธอสาบานว่า
ถ้าเธอคนใดได้พบที่รักของดิฉัน
เธอจะรับปากบอกเขาว่า
ดิฉันป่วยด้วยความรัก
เพื่อนๆ
9โอ ที่รักของเธอนั้นวิเศษกว่าที่รักของคนอื่นๆ หรือ?
แม่สาวงามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆ
ที่รักของเธอนั้นล้ำเลิศกว่าที่รักของคนอื่นหรือ?
เธอจึงได้มาให้พวกฉันสาบานเช่นนั้น
เจ้าสาว
10ที่รักของดิฉัน ผิวเปล่งปลั่งและมีเลือดฝาดดี
เขาโดดเด่นท่ามกลางคนนับหมื่น
11ศีรษะของเขาดังทองนพคุณ
ปอยผมของเขาหยิกและดำเหมือนขนกา
12ตาของเขาเปรียบเหมือนนกพิราบ
ที่ริมลำธารน้ำ
อาบน้ำนม
เกาะอยู่ที่ขอบสระมีน้ำเต็ม
13แก้มของเขาหอมเหมือนลานเครื่องหอม
หอมเหมือนกองพืชหอม
ริมฝีปากของเขาเหมือนดอกลิลลี่
ที่มีมดยอบไหลย้อย
14แขนของเขาดุจไม้เท้าทองคำ
ประดับด้วยเบริล
กายของเขาดุจเสางาช้าง
ประดับด้วยไพลิน
15ขาของเขาดุจเสาหินอ่อน
ตั้งบนฐานทองนพคุณ
รูปร่างของเขาเป็นสง่าดังเลบานอน
อย่างสนสีดาร์ที่ถูกคัดสรร
16ปากของเขาหวานฉ่ำที่สุด
ทั้งตัวของเขาช่างน่าปรารถนา
นี่คือที่รักของดิฉัน และเพื่อนยากของดิฉัน
โอ เหล่าบุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย
เพลงซาโลมอน 6
เพื่อนๆ
1อ้อ แม่สาวงามล้ำเลิศกว่าสาวอื่นใด
ที่รักของเธอไปไหนเสีย?
ที่รักของเธอกลับไปทางไหนเสียแล้วเล่า?
พวกเราจะไปช่วยเธอเสาะหาเขา
เจ้าสาว
2ที่รักของดิฉันลงไปยังสวนของเขา
เพื่อจะไปที่ลานเครื่องหอม
เพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์ในสวน
และเพื่อจะเก็บดอกลิลลี่
3ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน และที่รักของดิฉันก็เป็นของดิฉัน
เขาเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ท่ามกลางหมู่ต้นลิลลี่
เจ้าบ่าว
4ที่รักของฉันเอ๋ย เธอช่างสวยงามประหนึ่งกรุงทีรซาห์
และงามวิไลดังกรุงเยรูซาเล็ม
เธอน่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ
5ขอละสายตาของเธอไปจากฉันเถอะ
เพราะว่ามันทำให้ฉันตื่นเต้น
ผมของเธอดุจฝูงแพะ
ที่เคลื่อนลงมาตามเนินลาดภูเขากิเลอาด
6ฟันของเธอดังฝูงแกะตัวเมีย
เพิ่งขึ้นมาจากการชำระล้าง
มีลูกแฝดติดมาทุกตัว
ไม่มีตัวใดแท้งลูกเลย
7ขมับของเธอที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า
เหมือนผลทับทิมผ่าซีก
8มีมเหสี 60 องค์ และนางสนม 80 คน
และหญิงสาวอีกมากมายเหลือคณานับ
9แม่นกพิราบของฉัน แม่คนงามหมดจดของฉัน เป็นหนึ่งเดียว
เธอเป็นลูกรักของมารดา
เป็นคนโปรดของผู้ให้กำเนิด
หญิงสาวทั้งหลายเห็นเธอ และเรียกเธอว่า ผาสุก
ทั้งเหล่ามเหสีและเหล่านางสนม ก็เยินยอเธอว่า
10“แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอ? มองลงมาเหมือนรุ่งอรุณ
แจ่มจรัสดังจันทร์เพ็ญ กระจ่างจ้าปานตะวัน
น่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ”
เจ้าสาว
11ดิฉันลงไปในสวนวอลนัท
เพื่อจะดูหมู่ไม้เขียวตามหุบเขา
เพื่อดูว่าเถาองุ่นแตกหน่อหรือยัง
และเพื่อจะดูว่าต้นทับทิมมีดอกแล้วหรือยัง
12เมื่อดิฉันยังไม่ทันรู้ตัว ความปรารถนาของดิฉันทำให้ดิฉันเคลิ้มไป
ว่าได้อยู่ท่ามกลางรถรบของประชาชนของดิฉันที่เป็นของเจ้าชาย
เพื่อนๆ
13กลับมาเถอะ กลับมาเถิด แม่ชาวชูเลมจ๋า
กลับมาเถิด กลับมาเถอะจ๊ะ เพื่อพวกดิฉันจะได้เชยชมเธอ
เจ้าบ่าว
ทำไมเธอทั้งหลายจ้องมองแม่ชาวชูเลม
ดังดูการเต้นรำแห่งมาหะนาอิม?
เพลงซาโลมอน 7
1โอ แม่ธิดาของเจ้าชาย
เท้าที่สวมรองเท้าของเธอนั้นช่างเรียวงามนี่กระไร
เรียวขาที่กลึงเกลาของเธองดงามดุจอัญมณี
ที่ช่างผู้ชำนาญได้เจียระไนไว้
2สะดือของเธอดุจอ่างกลม
ที่มิได้ขาดเหล้าองุ่นประสม
ท้องของเธอดังกองข้าวสาลี
ที่มีดอกลิลลี่ปักไว้รอบ
3ถันทั้งสองของเธอดังลูกละมั่งสองตัว
ซึ่งเป็นละมั่งฝาแฝด
4ลำคอของเธอประหนึ่งหอคอยสร้างด้วยงาช้าง
ดวงตาทั้งสองของเธอดุจสระน้ำในเมืองเฮชโบน
ที่อยู่ริมประตูบัทรับบิม
จมูกของเธอเหมือนหอแห่งเลบานอน
ซึ่งมองไปยังเมืองดามัสกัส
5ศีรษะของเธอประดับเธอดุจดังภูเขาคารเมล
ผมของเธอดุจด้ายสีม่วง
กษัตริย์ก็ต้องมนต์เสน่ห์ด้วยมวยผมนั้น
6เออ เธอช่างงามนัก เธอช่างน่ารัก
ที่รักจ๋า เธอช่างสวยงามต้องตาเสียจริง
7ทรวดทรงของเธอดุจต้นอินทผลัม
และถันทั้งสองของเธอดังพวงอินทผลัม
8ฉันจึงคิดว่า ฉันจะปีนขึ้นต้นอินทผลัมนั้น
ฉันจะจับกิ่งก้านเหนี่ยวไว้
ขอให้ถันทั้งสองของเธองามดังพวงองุ่นเถอะ
และขอให้ลมหายใจของเธอหอมดังลูกท้อเถิด
9และขอให้เพดานปากของเธอเหมือนเหล้าองุ่นอย่างดียิ่ง
เจ้าสาว
ให้เหล้าองุ่นไหลรินไปยังที่รักของดิฉัน
ไหลไปตามริมฝีปากและฟัน
10ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของที่รักของดิฉัน
และความปรารถนาของเขาก็คือตัวดิฉัน
11ที่รักของดิฉันจ๋า มาเถอะจ๊ะ
ให้เราพากันออกไปในท้องทุ่ง
ให้เราพักแรมในหมู่บ้าน
12ให้เราตื่นแต่เช้าตรู่ไปยังสวนองุ่น
ให้เราดูว่าเถาองุ่นมีดอกตูมหรือยัง
หรือดอกของมันบานสะพรั่งหรือยัง
ให้เราดูว่าต้นทับทิมมีดอกบานหรือยัง
ณ ที่นั่นแหละดิฉันจะมอบความรักของดิฉันให้แก่เธอ
13ที่รักของดิฉันจ๋า ผลดูดาอิมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปแล้ว
ที่ประตูบ้านของพวกดิฉันมีผลไม้ทุกชนิดที่คัดสรรไว้
มีทั้งผลใหม่และผลเก่า
โอ ที่รักของดิฉัน ดิฉันได้เก็บรวบรวมไว้เพื่อเธอ
เพลงซาโลมอน 8
1แหม ถ้าเธอได้เป็นพี่ชายของดิฉัน
ผู้ได้ดูดนมจากอกแม่ของดิฉันก็จะดี
เพราะเมื่อดิฉันพบเธอนอกบ้าน ดิฉันจะจุมพิตเธอได้
แล้วคนทั้งหลายจะได้ไม่ดูหมิ่นดิฉัน
2แล้วดิฉันจะได้เดินนำเธอ
พาเธอเข้ามาในเรือนมารดาของดิฉัน
ผู้ที่ได้สอนดิฉัน
ดิฉันจะได้ให้เธอดื่มเหล้าองุ่นใส่เครื่องเทศ
และดื่มน้ำทับทิมของดิฉัน
3แล้วแขนซ้ายของเขาจะช้อนใต้ศีรษะของดิฉันไว้
และแขนขวาของเขาจะโอบกอดดิฉันไว้
4โอ เหล่าบุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย
ดิฉันขอให้เธอทั้งหลายสาบานต่อละมั่งหรือกวางตัวเมียในทุ่งว่า
พวกเธอจะไม่เร้าหรือจะไม่ปลุกความรักให้ตื่น
จนกว่าความรักจะจุใจแล้ว
เพื่อนๆ
5ใครกันหนอที่ขึ้นมาจากถิ่นทุรกันดาร
อิงแอบแนบชิดมากับที่รักของเธอ?
เจ้าสาว
ดิฉันได้ปลุกเธอเมื่อเธออยู่ใต้ต้นท้อ
ที่นั่นแหละที่มารดาของเธอได้เจ็บครรภ์เพราะเธอ
ที่ตรงนั้นแหละผู้ที่เจ็บครรภ์ได้คลอดเธอ
6จงให้ดิฉันเป็นตราประทับอยู่ที่ใจของเธอ
เป็นตราประทับบนแขนของเธอ
เพราะความรักนั้นรุนแรงอย่างความตาย
ความหวงแหนเหมือนแดนคนตาย
และเปลวเพลิงของความรักนั้นรุนแรงเหมือนประกายไฟ
7น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้
หรือแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้จมน้ำตายได้
แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สินในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น
เขาจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างรุนแรง
เพื่อนๆ
8พวกเรามีน้องสาวคนหนึ่ง
และเธอยังไม่เป็นสาว
พวกเราจะทำอย่างไรกับน้องสาวของเรา
เมื่อถึงวันที่เขามาสู่ขอน้องของเรา
9ถ้าหากน้องสาวนั้นเป็นกำแพง
พวกเราก็จะสร้างสันปราการเงินไว้
และถ้าหากน้องเป็นประตู
พวกเราจะเอากลอนไม้สนสีดาร์ขัดบานประตูเสีย
เจ้าสาว
10ดิฉันเป็นกำแพง
ถันทั้งสองของดิฉันเหมือนดังหอคอย
เพราะฉะนั้นในสายตาของเขา
ดิฉันเป็นดังผู้นำความพึงใจมาให้
11ซาโลมอนทรงมีสวนองุ่นอยู่ที่เมืองบาอัลฮาโมน
พระองค์ทรงมอบสวนองุ่นนั้นให้แก่ผู้รักษาสวนเช่า
ทุกคนต้องส่งเงินคนละ 1,000 แผ่นเป็นค่าผลไม้
12สวนองุ่นของดิฉันที่เป็นของดิฉัน อยู่ต่อหน้าดิฉัน
ข้าแต่ซาโลมอน เงิน 1,000 นั้นพระองค์เอาไปเถิด
และผู้ดูแลผลไม้ในสวนนั้นก็เอาไป 200 เถิด
เจ้าบ่าว
13โอ เธอ ผู้อยู่ในสวน
พวกเพื่อนๆ ของเธอคอยฟังเสียงของเธออยู่
ขอให้ฉันได้ยินเสียงเธอ
เจ้าสาว
14ที่รักของดิฉันจ๋า เร็วๆ เข้าเถอะจ๊ะ
ขอให้เธอเป็นดังละมั่ง
หรือกวางหนุ่ม
บนภูเขาที่เต็มด้วยเครื่องหอมเถิด
อรรถาธิบาย
มั่นใจว่า ความรักเป็นสิ่งสำคัญ
คำว่า ‘ความรัก’ หรือ ‘คู่รัก’ ปรากฎซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเพลงซาโลมอน นี่เป็นความรักโรแมนติกระหว่างเจ้าบ่าว กับเจ้าสาว พวกเขาถูกครอบครองด้วยความรักที่ลึกซึ้ง เขากล่าวกับคนรักว่า เธอ ‘ป่วยเป็นไข้ใจด้วยความรักที่มีต่อเขา’ (5:8, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
นี่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความรักทางกายและทางเพศ ทั้งคู่อธิบายความงดงามทางกายของคู่สมรส (5:10–16, 6:4–9) ดังที่ผู้บรรยายได้กล่าวไว้ว่า ‘บทเพลงซาโลมอนเป็นบทกวีที่ยาวเรื่องความรักทางเพศ และความปรารถนาทางเพศ เป็นบทกวีซึ่งร่างกายเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาและเป็นแหล่งแห่งความปีติยินดี และคู่รักมีส่วนร่วมในเกมการแสวงหาและการค้นหา...ความอิ่มเอมใจทางเพศอย่างต่อเนื่อง’
แต่ความรักของพวกเขาไปไกลเกินกว่าทางกายและทางเพศ เจ้าสาวกล่าวว่า ‘นี่คือที่รักของดิฉัน และเพื่อนยากของดิฉัน’ (5:16ค) ไม่มีอะไรดีไปกว่าชีวิตสมรสที่มีบางคนเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นคู่รักและเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ
พระธรรมเรื่องความรักของเมื่อวานนี้กล่าวว่า ‘ตัวเธอประดุจดังน้ำพุในอุทยาน ประดุจบ่อน้ำไหล’ (4:15) มนุษย์แต่ละคนมีแหล่งความงดงาม และน่าอัศจรรย์ใจที่ไหลรินอย่างไม่สิ้นสุด
ช่วงท้ายของบทเพลงซาโลมอน มีคำอธิบายที่งดงามของความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด ‘จงให้ดิฉันเป็นตราประทับอยู่ที่ใจของเธอ เป็นตราประทับบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นรุนแรงอย่างความตาย ความหวงแหนเหมือนแดนคนตาย’ (8:6) และบัดนี้ หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เราสามารถพูดว่า ความรักนั้นเข้มแข็งยิ่งกว่าความตาย: ‘ความรักไม่เคยเสื่อมสูญ’ (1 โครินธ์ 13:8)
อีกครั้ง ผมชอบของฉบับ The Message:
‘เพลิงแห่งรักไม่มีวันหยุดเผาผลาญ –
มันกวาดเอาทุกอย่างตรงหน้าไป
น้ำมากหลายไม่อาจทำให้ความรักจมลงได้
สายฝนกระหน่ำไม่อาจดับไฟรักให้มอดได้
ความรักไม่อาจซื้อหาได้ ความรักไม่อาจตีราคาได้ –
ไม่สามารถพบได้ในตลาด’ (8:6ค–7, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
1 โครินธ์ 13:1–7
ฉันจำเป็นต้องอ่านถ้อยคำเกี่ยวกับความรักที่งดงามและท้าทายนี้ต่อไปเรื่อย พระคำเหล่านั้นทั้งสละสลวยและทรงพลัง จึงจำเป็นต้องอ่านอย่างต่อเนื่องในบ้าน โรงเรียน ที่ทำงาน และทุก ๆ ที่ ที่สำคัญพระคำเหล่านั้นควรนำมาศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนตลอดเวลา
ข้อพระคำประจำวัน
1 โครินธ์ 13:4–5
‘ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)