ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?
เกริ่นนำ
เคยมีซักครั้งในชีวิตไหมที่คุณสงสัยว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?’ อีกนานแค่ไหน การต่อสู้และความผิดหวังเหล่านี้จะหมดไป? เราต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินไปอีกนานเท่าใด? ปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าจะยังคงมีอยู่นานแค่ไหน? ความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากนี้จะอยู่กับเรานานไหม? ฉันต้องปล้ำสู้กับการเสพติดนี้อีกนานเท่าใด เมื่อไหร่ที่การล่อลวงเหล่านี้จะจบลง? เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะผ่านพ้นความสูญเสียนี้ไปได้?
ครั้งหนึ่งพิพพาและผมได้ไปเยี่ยมที่คริสตจักรเซนต์ปีเตอร์ ในเมืองไบรตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในคริสตจักรที่เราก่อตั้งขึ้น ในตอนท้ายของรายการนมัสการ มีสุภาพสตรีคนหนึ่งเดินมาหาเรา และเล่าให้เราฟังว่าเธอได้อธิษฐานมาเป็นเวลาสามสิบเจ็ดปี เพื่อขอให้สามีมาเชื่อในพระคริสต์ แน่นอนตลอดระยะเวลาสามสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาเธอได้ร้องทูลว่า 'ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?’ (สดุดี 13:1)
ตอนที่คริสตจักรเซนต์ปีเตอร์เปิดใหม่อีกครั้งในปี 2009 สามีของเธอตัดสินใจว่าเขาอยากจะมาโบสถ์กับเธอ ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในโบสถ์ เขารู้สึกเหมือนว่าได้กลับบ้านและได้ ‘บังเกิดใหม่’ ตอนนี้เขารักคริสตจักรและมาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตลอดการสนทนาเธอยังคงเล่าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับความสุขเต็มล้นบนใบหน้า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?' พระเจ้าทรงสดับ ในที่สุดคำอธิษฐานของเธอก็ได้รับคำตอบ
สี่ครั้งติดต่อกันที่ดาวิดร้องทูลว่า ‘อีกนานแค่ไหน’ (ข้อ 1–2)
มีบางวาระที่ดูเหมือนพระเจ้าทรงลืมเรา (ข้อ 1ก) ดูเหมือนพระองค์ซ่อนพระพักตร์จากเรา (ข้อ 1ข) ด้วยเหตุผลที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เราไม่รับรู้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ ทุก ๆ วันดูเหมือนจะเป็นการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับความคิดตนเอง (ข้อ 2ก) ทุกๆวันนำมาซึ่งความเศร้าโศก (ข้อ 2ข) เหมือนว่าเราจะแพ้ในการรบ และดูเหมือนว่าศัตรูจะมีชัยเหนือเรา (ข้อ 2ค)
คุณควรตอบสนองอย่างไรในช่วงเวลาเช่นนี้?
สดุดี 13:1-6
คำอธิษฐานขอทรงช่วยให้พ้นจากศัตรู
ถึงหัวหน้านักร้อง เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด? พระองค์จะทรงลืมข้าพระองค์เป็นนิตย์หรือ?
พระองค์จะซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์นานเท่าใด?
2ข้าพระองค์จะต้องตรึกตรองในจิต
และมีความทุกข์โศกอยู่ในใจตลอดวันนานเท่าใด?
ศัตรูข้าพระองค์จะอยู่เหนือข้าพระองค์นานเท่าใด?
3ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงพิจารณา
และตอบข้าพระองค์เถิด
ขอประทานความสว่างแก่ดวงตาข้าพระองค์ เกรงว่า
ข้าพระองค์จะหลับอยู่ในความตาย
4เกรงว่าศัตรูข้าพระองค์จะกล่าวว่า “ข้าชนะเขาแล้ว”
เกรงว่าคู่อริข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ เพราะข้าพระองค์กำลังหวั่นไหว
5แต่ข้าพระองค์ได้วางใจในความรักมั่นคงของพระองค์
ใจของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์
6ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์
เพราะพระองค์ทรงดีต่อข้าพเจ้า
อรรถาธิบาย
ก้าวต่อไป
ตัวอย่างของดาวิดชี้ให้เห็นสี่สิ่งที่คุณควรทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
1.\tอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง
ดาวิดร้องทูลต่อพระเจ้าต่อไปว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงพิจารณา และตอบข้าพระองค์เถิด ขอประทานความสว่างแก่ดวงตาข้าพระองค์’ (ข้อ 3) เขาเทหมดทั้งหัวใจให้พระเจ้า ดังนั้นอย่ายอมแพ้ในการอธิษฐานแม้ว่าพระเจ้าจะดูเหมือนอยู่ห่างไกล
2. มั่นคงในความเชื่อ
‘แต่ข้าพระองค์ได้วางใจในความรักมั่นคงของพระองค์’ (ข้อ 5ก) ‘ข้าพระองค์ทิ้งตัวลงไว้ในอ้อมแขนพระองค์’ (ข้อ 5ก คัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) เป็นเรื่องง่ายที่จะมีความเชื่อเมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่การทดสอบความเชื่อเกิดขึ้นเมื่อสิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่เป็นไปด้วยดี
3. จงชื่นชมยินดี
เขาไม่ปีติยินนี้ในการทดลองนัก แต่เห็นแก่ความรอดในพระเจ้า เขากล่าวว่า ‘ใจของข้าพระองค์จะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์’ (ข้อ 5ข) ‘ข้าพระองค์เริงร่าในการช่วยกู้ของพระองค์’ (ข้อ 5ข, ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
4. นมัสการพระเจ้าตลอดเวลา
แม้ว่าดาวิดได้ผจญทุกสิ่งมาแล้ว แต่เขายังคงใคร่ครวญถึงความดีงามของพระเจ้า ‘ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์’ (ข้อ 6) เขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อเขาได้เสมอ
เมื่อคุณเริ่มสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า นั่นจะเป็นการเปิดการมุมมองทัศนคติต่อปัญหาของคุณ บางครั้งผมพบว่าการมองย้อนกลับไปในอดีตมันเป็นประโยชน์อย่างมาก ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำให้ผมมีประสบการณ์ส่วนตัวมากมายผ่านการต่อสู้ ความผิดหวังและความสูญเสีย และเพื่อได้ระลึกอยู่เสมอว่า ‘พระองค์ทรงดีต่อข้าพเจ้า’ ผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างไร (ข้อ 6)
คำอธิษฐาน
มัทธิว 15:10-39
สิ่งที่เป็นมลทิน
10แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนและตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด 11ไม่ใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 12ขณะนั้นบรรดาสาวกมาทูลพระองค์ว่า “พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้นเขาทั้งหลายไม่พอใจมาก?” 13พระองค์จึงตรัสตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้น ซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ไม่ได้ทรงปลูกไว้จะต้องถูกถอนออกเสีย 14ช่างเถิด เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด [ของคนตาบอด] ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” 15เปโตรทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายอุปมานั้นให้พวกข้าพระองค์ทราบ” 16พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ? 17ท่านทั้งหลายไม่เห็นหรือ? ว่าสิ่งใดๆ ซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป 18แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ 20สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่การรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
ความเชื่อของหญิงชาวคานาอัน
21แล้วพระเยซูเสด็จจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่ เป็นทุกข์ลำบากอย่างยิ่ง” 23พระองค์ไม่ทรงตอบนางสักคำเดียว และสาวกทั้งหลายของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า “ไล่นางไปเสียเถิด เพราะนางร้องตามเรามา” 24พระองค์ตรัสตอบว่า “เราไม่ได้รับใช้มาหาใคร เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล” 25หญิงนั้นก็มากราบและทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด” 26พระองค์จึงตรัสตอบว่า “การเอาอาหารของลูกโยนให้กับสุนัขก็ไม่สมควร” 27ผู้หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเศษที่ตกจากโต๊ะนายของมัน” 28แล้วพระเยซูตรัสตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของท่านก็มาก ให้เป็นไปตามความต้องการของท่านเถิด” แล้วลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่เวลานั้น
การทรงรักษาคนจำนวนมาก
29พระเยซูจึงเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลสาบกาลิลี แล้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับที่นั่น 30มหาชนมาเฝ้าพระองค์ และพาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆ หลายๆ คน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย 31ฝูงชนก็ประหลาดใจ เมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนแขนขาพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับเห็น แล้วพวกเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล
การทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
32พระเยซูทรงเรียกสาวกทั้งหลายของพระองค์มา ตรัสว่า “เราสงสารฝูงชนนี้ เพราะเขาทั้งหลายค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน เราไม่ต้องการส่งพวกเขาไปเมื่อยังอดโซอยู่ กลัวว่าพวกเขาจะสิ้นแรงลงตามทาง” 33พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “ในถิ่นทุรกันดารนี้เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงฝูงชนมากเท่านี้ให้อิ่มได้?” 34พระเยซูจึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆ สองสามตัว” 35พระองค์จึงมีรับสั่งให้ฝูงชนนั่งลงบนพื้น 36แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อน และปลาเหล่านั้นมา เมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงหักและทรงส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ฝูงชน 37และทุกคนได้รับประทานจนอิ่ม อาหารที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บได้เจ็ดกระบุงเต็ม 38พวกที่รับประทานอาหารนั้น มีผู้ชายสี่พันคนไม่รวมผู้หญิงและเด็ก 39เมื่อทรงส่งฝูงชนไปแล้ว ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมากาดาน
อรรถาธิบาย
ติดตามพระเยซู
ความล่าช้าไม่ได้ทำให้พระสัญญาของพระเจ้าเป็นโมฆะ พระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเราในทันทีทันใดเสมอไป ความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมานจะไม่ถูกทำลายจนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา ทุกเรื่องราวมากมาย ประสบการณ์ปาฏิหาริย์และการเยียวยารักษาที่เกิดกับเรา เป็นการคาดเดาล้วงหน้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ความดีของพระเจ้าสำแดงออกมาอย่างยิ่งใหญ่ในองค์พระเยซูคริสต์ อีกครั้งในพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นความดีงามของพระเยซูและวิธีจัดการกับบาป ความเจ็บป่วย และความทุกข์ทรมานของพระองค์
1. ฟื้นฟูจิตใจใหม่
พระเยซูตรัสว่าปัญหาของเราไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เป็นเปลือกนอก เช่นสิ่งที่เรากินเข้าไป (ข้อ 11) อาหารเข้าและออกจากร่างกายของคุณ (ข้อ 17) สิ่งที่ทำร้ายคุณนั้นมาจากภายในต่างหาก ‘สิ่งที่ออกจากปาก เริ่มต้นขึ้นในใจ' (ข้อ 17, ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) แท้จริงแล้วนั่นคือบาปในใจของเรานั่นเอง ‘ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่การรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ (ข้อ 19–20ก)
ความท้าทายของพระวจนะของพระเยซูคือแม้ว่าเราอาจไม่ได้ฆ่าคนตายหรือล่วงประเวณี แต่เราทุกคนก็ตกอยู่ในหลุมด่านแรก คุณลักษณะแรกที่พระเยซูกล่าวถึงคือ ‘ความคิดชั่วร้าย’ การแก้ปัญหาบาปของเราไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรมภายนอกอย่างที่พวกฟาริสีชี้นำ แต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจของผมได้ ผมจึงต้องการความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ในการเปลี่ยนแปลงและทำให้ชีวิตบริสุทธิ์
2. อธิษฐานขอการเยียวยารักษา
มีไม่กี่อย่างที่เจ็บปวดกว่าการเห็นลูกๆของเราเองทุกข์ทรมาน ลูกสาวของหญิงชาวคานาอันคนหนึ่ง ‘เป็นทุกข์ลำบากอย่างยิ่ง' (ข้อ 22) มารดาคนนี้ร้องไห้ในจิตใจมาตลอดว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?’ แต่กระนั้นนางยังคงร้องทูลขอการรักษาต่อไปและปฏิเสธที่จะท้อใจกับความจริงที่ว่าพระเยซูไม่ได้ตอบรับคำขอของนาง หญิงนั้นก็มากราบและทูลพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด’ (ข้อ 25 , ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้จาก Amplified Bible โดยผู้แปล)
พระเยซูทรงเห็นว่าหญิงนั้นมี ‘ความเชื่อมาก’ จึงทรงรักษาลูกสาวของนาง (ข้อ 28) หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้รักษา 'คนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆ หลายๆ คน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาพวกเขาให้หาย’ ด้วยเช่นกัน (ข้อ 30)
3. เป็นตัวแทนของผู้หิวโหย
พระเยซูไม่เพียงจัดการกับปัญหาความเจ็บป่วย (ข้อ 22 เป็นต้นไป) พระองค์ยังทรงห่วงใยอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานที่เกิดจากความหิวโหยด้วยเช่นกัน ทรงตรัวว่า ‘เราสงสารฝูงชนนี้ เพราะเขาทั้งหลายค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน เราไม่ต้องการส่งพวกเขาไปเมื่อยังอดโซอยู่ กลัวว่าพวกเขาจะสิ้นแรงลงตามทาง’ (ข้อ 32)
พระเยซูสามารถทำอะไรได้มากมายกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ มีเพียงอาหารจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่พระองค์ได้รับมา แต่พระองค์ทรงสามารถเลี้ยงฝูงชนได้ทั้งหมด หากคุณให้ชีวิตและทรัพยากรทั้งหมดที่มีแก่พระองค์ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด พระองค์ก็สามารถทวีคูณและใช้ให้เกิดประโยชน์มากมายได้เช่นกัน
หากพระเยซูทรงใส่ใจกับความหิวโหยของฝูงชนเหล่านั้น พระองค์จะต้องทรงห่วงใยผู้คนอีกหลายร้อยล้านคนในโลกปัจจุบันที่ทุกข์ทรมานจากความอดอยากขาดแคลนมากอย่างแน่นอน ในฐานะผู้ติดตามของพระเยซูเราถูกเรียกให้เป็นตัวแทนของพวกเขา
แน่นอนว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับพระเยซู แต่เหล่าฟาริสีไม่พอใจมาก (ข้อ 12) เมื่อได้ยินคำตรัส หากแม้แต่พระเยซูทรงทำให้ผู้คนขุ่นเคืองจากสิ่งที่พระองค์ตรัส อย่าแปลกใจถ้าบางคนไม่พอใจสิ่งที่คุณพูดในนามของพระองค์
คำอธิษฐาน
ปฐมกาล 43:1-44:34
พวกพี่ชายกลับมาอียิปต์กับเบนยามิน
1การกันดารอาหารในแผ่นดินร้ายแรงยิ่งนัก 2อยู่มาเมื่อครอบครัวยาโคบกินข้าวที่นำมาจากอียิปต์หมดแล้ว บิดาจึงบอกบุตรชายว่า “กลับไปซื้ออาหารมาอีกหน่อยให้พวกเรา” 3แต่ยูดาห์ตอบบิดาว่า “ท่านกำชับพวกเราอย่างเด็ดขาดว่า ‘ถ้าไม่ได้น้องชายมาด้วย พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ 4ถ้าพ่อใช้ให้น้องลงไปกับพวกลูก ลูกจะลงไปซื้ออาหารให้พ่อ 5แต่ถ้าหากพ่อไม่ให้น้องลงไป พวกลูกจะไม่ไป เพราะเจ้านายท่านบัญชาพวกลูกว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีกถ้าน้องไม่ได้มาด้วย’ ” 6อิสราเอลจึงว่า “ทำไมพวกเจ้าทำสิ่งเลวร้ายต่อพ่อที่ไปบอกท่านว่าพวกเจ้ามีน้องชายอีกคนหนึ่ง?” 7พวกเขาจึงตอบว่า “เจ้านายท่านซักไซ้ไต่ถามถึงพวกลูก และญาติพี่น้องของพวกลูกว่า ‘บิดาเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ? เจ้ามีน้องอีกคนหนึ่งหรือเปล่า?’ พวกลูกก็ตอบตามคำถามเหล่านั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะสั่งว่า ‘พาน้องของพวกเจ้าลงมา’ ” 8ยูดาห์จึงพูดกับอิสราเอลบิดาของเขาว่า “ขอพ่อให้เด็กนั้นไปกับลูก เราจะได้ออกเดินทางไปเพื่อจะได้มีชีวิตต่อไปและไม่ตาย ทั้งพวกลูกและพ่อกับเด็กๆ ของเราด้วย 9ลูกจะเป็นตัวประกันแทนน้องคนนี้ พ่อให้ลูกรับผิดชอบได้ ถ้าลูกไม่นำเขากลับมาหาพ่อ และส่งเขาต่อหน้าพ่อ ก็ขอให้ลูกรับผิดต่อพ่อตลอดชีวิต 10ถ้าพวกลูกไม่ล่าช้าอยู่เช่นนี้ ก็คงจะได้กลับมาสองครั้งแล้ว”
11ฝ่ายอิสราเอลบิดาจึงบอกบุตรชายทั้งหลายว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ทำดังนี้คือ เอาผลิตผลอย่างดีที่มีในดินแดนนี้คือ พิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และเปลือกไม้ชะมด ถั่วพิสทาชิโอ และอัลมอนด์ ใส่ภาชนะและลงไปให้เป็นของกำนัลแก่ท่าน 12เอาเงินไปสองเท่า คือเงินที่ติดมาในปากกระสอบนั้น ก็ให้เอากลับไปคืนด้วย เพราะบางทีเขาผิดพลาดไป 13ลุกขึ้นและพาน้องชายของเจ้ากลับไปหาเจ้านายท่าน 14ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงให้เจ้านายท่านกรุณาแก่พวกเจ้า และปล่อยพี่ชายกับเบนยามินกลับมา ถ้าพ่อจะต้องโศกเศร้าเพราะต้องเสียลูก ก็ต้องเป็นตามนั้น” 15คนเหล่านั้นก็เอาของกำนัลและเงินสองเท่าติดมือไปพร้อมกับเบนยามิน แล้วลุกขึ้นลงไปยังอียิปต์ และยืนอยู่ต่อหน้าโยเซฟ
16เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินมากับพวกเขา จึงสั่งผู้ดูแลบ้านของท่านว่า “จงพาคนเหล่านี้เข้าไปในบ้าน ให้ฆ่าสัตว์และจัดโต๊ะไว้ เพราะคนเหล่านี้จะมารับประทานด้วยกันกับเราในเวลาเที่ยง” 17ชายคนนั้นก็ทำตามที่โยเซฟสั่ง และพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านโยเซฟ 18คนเหล่านั้นก็กลัวเพราะเขาพาเข้าไปในบ้านโยเซฟ จึงพูดกันว่า “คงเป็นเพราะเงินที่ติดมาในกระสอบครั้งก่อน เขาจึงพาพวกเรามาที่นี่ เพื่อเจ้านายท่านจะหาเหตุใส่ความจับกุมเรา จับเราเป็นทาส ทั้งจะริบเอาลาด้วย” 19พวกเขาเข้าไปหาผู้ดูแลบ้านของโยเซฟ และพูดกับเขาที่ประตูบ้าน 20เขากล่าวว่า “นาย ข้าพเจ้าทั้งหลายลงมาครั้งก่อนเพื่อซื้ออาหาร 21เมื่อข้าพเจ้าทั้งหลายไปถึงที่พัก เปิดกระสอบออก ก็เห็นเงินของแต่ละคนอยู่ในปากกระสอบของตน เงินนั้นยังอยู่ครบน้ำหนัก ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้นำเงินนั้นติดมือกลับมาให้ 22ข้าพเจ้าทั้งหลายนำเงินอีกส่วนหนึ่งติดมือลงมาเพื่อจะซื้ออาหารอีก เงินที่อยู่ในกระสอบนั้นใครใส่ไว้ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเลย” 23ผู้ดูแลจึงตอบว่า “ทำใจให้สบาย อย่ากลัวเลย พระเจ้าของท่านและพระเจ้าของบิดาท่านทรงให้มีทรัพย์อยู่ในกระสอบของท่าน เงินของท่านนั้น เราได้รับแล้ว” ผู้ดูแลก็พาสิเมโอนออกมาหาพวกเขา 24เมื่อผู้ดูแลพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟแล้ว ก็เอาน้ำให้พวกเขาล้างเท้า และให้ลาของพวกเขากินฟาง 25พวกพี่ชายก็จัดเตรียมของกำนัลไว้คอยโยเซฟซึ่งจะมาในเวลาเที่ยง เพราะได้ยินว่าพวกเขาจะรับประทานอาหารกันที่นั่น
26เมื่อโยเซฟกลับมาบ้าน พวกเขาก็เอาของกำนัลที่ติดมือมานั้น ให้โยเซฟในบ้าน แล้วโน้มตัวถึงดินคำนับท่าน 27โยเซฟถามถึงทุกข์สุขของเขาและกล่าวว่า “บิดาผู้ชราที่พวกเจ้ากล่าวถึงครั้งก่อนนั้นสบายดีหรือ? ยังมีชีวิตอยู่หรือ?” 28พวกเขาตอบว่า “บิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านอยู่สบายดี ยังมีชีวิตอยู่” แล้วพวกเขาก็ก้มตัวลงคำนับอีก 29โยเซฟมองดูเบนยามินน้องชายมารดาเดียวกัน แล้วถามว่า “คนนี้เป็นน้องสุดท้องที่พวกเจ้าบอกแก่เราครั้งก่อนหรือ?” โยเซฟกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงเมตตาแก่เจ้า” 30แล้วโยเซฟรีบออกไป เพราะเต็มด้วยความรู้สึกสงสารน้อง ท่านเข้าไปในห้อง ร้องไห้อยู่ที่นั่น 31โยเซฟล้างหน้าแล้วกลับออกมา แข็งใจกลั้นน้ำตาสั่งว่า “ยกอาหารมาเถิด” 32พวกคนใช้ก็ยกส่วนของโยเซฟมาตั้งไว้เฉพาะของท่าน ส่วนของพี่น้องก็เฉพาะของพี่น้อง ส่วนของคนอียิปต์ที่มารับประทานด้วยนั้นก็เฉพาะของพวกเขา เพราะคนอียิปต์จะไม่รับประทานร่วมกับคนฮีบรู เพราะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับคนอียิปต์ 33พวกพี่น้องก็นั่งตรงหน้าโยเซฟ เรียงตั้งแต่คนที่หนึ่งคือ ผู้มีสิทธิบุตรหัวปีลงมาจนถึงน้องสุดท้องตามวัย พี่น้องทั้งหลายมองดูกันด้วยความประหลาดใจ 34แล้วอาหารส่วนที่อยู่หน้าโยเซฟก็ถูกส่งไปให้พี่น้องเหล่านั้น แต่ของที่ให้เบนยามินนั้น มากกว่าของพวกพี่ชายถึงห้าเท่า พวกเขาก็กินดื่มกับโยเซฟ
โยเซฟกักตัวเบนยามินไว้
1โยเซฟสั่งผู้ดูแลบ้านของท่านว่า “จัดอาหารใส่กระสอบของคนเหล่านี้ให้เต็มตามที่จะขนไปได้ และเอาเงินของแต่ละคนใส่ไว้ในปากกระสอบของเขา 2ใส่จอกของเรา คือจอกเงินนั้นไว้ในปากกระสอบของคนสุดท้องกับเงินค่าข้าวของเขาด้วย” ผู้ดูแลก็ทำตามที่โยเซฟสั่ง 3เมื่อเวลารุ่งเช้าผู้ดูแลก็ให้คนเหล่านั้นออกเดินทางไปพร้อมกับลาของพวกเขา 4เมื่อพี่น้องออกไปจากเมืองไม่ไกลนัก โยเซฟสั่งผู้ดูแลว่า “ลุกขึ้นไล่ตามคนเหล่านั้น เมื่อไปทันแล้วให้ถามว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงทำความชั่วตอบแทนความดีเล่า?ฉบับกรีกว่า ทำไมจึงขโมยจอกเงินของเรามา? 5จอกนั้นเป็นจอกที่เจ้านายของข้าใช้ดื่ม และใช้ทำนายไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าทำเช่นนี้ผิดมาก’ ”
6ผู้ดูแลตามไปทัน แล้วกล่าวแก่พี่น้องตามที่โยเซฟบอก 7คนเหล่านั้นจึงตอบว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าจึงพูดถ้อยคำอย่างนี้? ไม่มีทางที่พวกผู้รับใช้ของท่านจะทำสิ่งนี้ได้ 8นี่แน่ะ เงินที่ข้าพเจ้าทั้งหลายพบในปากกระสอบนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายยังนำกลับมาจากดินแดนคานาอันคืนแก่ท่าน แล้วข้าพเจ้าทั้งหลายจะขโมยเงินหรือทองไปจากบ้านเจ้านายของท่านทำไมเล่า? 9หากท่านพบของนั้นที่ใครในพวกข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ก็ให้ผู้นั้นตาย ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยอมเป็นทาสเจ้านายของข้าพเจ้าด้วย” 10ผู้ดูแลจึงว่า “ให้เป็นไปตามถ้อยคำของเจ้าว่า ใครที่มีของนั้นอยู่ ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสของข้า ส่วนพวกเจ้าไม่มีความผิด” 11พวกเขาทุกคนจึงรีบยกกระสอบของตนวางลงบนดินและเปิดกระสอบออก 12ผู้ดูแลค้นดูตั้งแต่คนหัวปีจนถึงคนสุดท้อง ก็พบจอกนั้นในกระสอบของเบนยามิน 13พวกพี่ก็ฉีกเสื้อผ้า และทุกคนบรรทุกของขึ้นหลังลาเพื่อกลับมายังเมือง
14ส่วนยูดาห์กับพวกพี่น้องก็มาบ้านโยเซฟ ท่านยังอยู่ที่นั่น พวกเขาก้มลงถึงดินคำนับต่อหน้าท่าน 15โยเซฟจึงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าทำอะไรนี่? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนอย่างเราทำนายได้จริงๆ?” 16ยูดาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะตอบอย่างไรกับนาย ข้าพเจ้าจะพูดอย่างไร หรือจะแก้ตัวอย่างไรได้ พระเจ้าทรงพบบาปผิดของพวกผู้รับใช้ของท่านแล้ว นี่แน่ะ พวกข้าพเจ้ายอมเป็นทาสของท่าน ทั้งข้าพเจ้าทั้งหลายกับคนที่เขาพบจอกอยู่ในมือนั้นด้วย” 17แต่โยเซฟตอบว่า “ข้าจะไม่ทำดังนั้น เฉพาะคนที่เขาพบจอกในมือนั้นจะเป็นทาสของเรา ส่วนพวกเจ้าจงกลับไปหาบิดาของพวกเจ้าโดยสันติ”
ยูดาห์วิงวอนขอให้ปล่อยเบนยามิน
18ยูดาห์จึงเข้าไปใกล้โยเซฟ เรียนว่า “นายขอรับ ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ขอกราบเรียนท่านสักคำหนึ่ง ขอท่านอย่าได้ถือโกรธข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเลย เพราะท่านก็เป็นเหมือนฟาโรห์ 19ท่านถามข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านว่า ‘พวกเจ้ายังมีบิดาหรือน้องชายอยู่หรือ?’ 20พวกข้าพเจ้าตอบนายว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายมีบิดาที่ชราแล้ว มีบุตรคนหนึ่งเกิดเมื่อบิดาชรา เป็นน้องเล็ก พี่ชายของเด็กนั้นก็ตายเสียแล้ว บุตรของมารดานั้นยังอยู่แต่คนนี้คนเดียว บิดารักเด็กคนนี้มาก’ 21แล้วท่านสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านว่า ‘พาน้องคนนั้นมาที่นี่ให้เราดู’ 22ข้าพเจ้าทั้งหลายเรียนนายว่า ‘เด็กหนุ่มคนนี้จะพรากจากบิดาไม่ได้ ถ้าจากบิดาไป บิดาจะตาย’ 23ท่านบอกข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านว่า ‘ถ้าเจ้าทั้งหลายไม่พาน้องสุดท้องมาด้วยกัน จะไม่เห็นหน้าเราอีกเลย’ 24เมื่อข้าพเจ้าไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่านแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายก็นำถ้อยคำของนายท่านไปเล่าให้บิดาฟัง 25ต่อมาบิดาสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายว่า ‘พวกเจ้าจงกลับไปซื้ออาหารสักหน่อยมาให้พวกเรา’ 26ข้าพเจ้าทั้งหลายว่า ‘เราลงไปไม่ได้ ถ้าน้องสุดท้องไปด้วย เราจึงจะลงไป เพราะเราจะเห็นหน้าท่านนั้นไม่ได้ เว้นแต่น้องสุดท้องอยู่กับเรา’ 27บิดาผู้รับใช้ของท่านจึงบอกข้าพเจ้าทั้งหลายว่า ‘พวกเจ้ารู้ว่าภรรยาของเราให้บุตรเราสองคน 28บุตรคนหนึ่งก็จากเราไปแล้ว เราแน่ใจว่าสัตว์ร้ายฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เราไม่ได้เห็นบุตรนั้นจนบัดนี้ 29ถ้าพวกเจ้าเอาเด็กคนนี้ไปจากเราด้วย และเขาเป็นอันตรายขึ้นมา พวกเจ้าก็จะทำให้เราซึ่งมีผมหงอกลงสู่แดนคนตายด้วยความโศกเศร้า’ 30ดังนั้นถ้าข้าพเจ้ากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน และเด็กหนุ่มนั้นไม่อยู่กับพวกเรา 31เมื่อบิดาเห็นเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกข้าพเจ้า บิดาก็จะตาย เพราะชีวิตของท่านติดอยู่กับชีวิตของเด็ก ผู้รับใช้ของท่านจะเป็นเหตุให้บิดาผู้รับใช้ของท่าน ผู้มีผมหงอกลงสู่แดนคนตายด้วยความโศกเศร้า 32ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน รับประกันน้องไว้ต่อบิดาว่า ‘ถ้าข้าพเจ้าไม่พาน้องกลับมา ข้าพเจ้าจะรับผิดต่อบิดาตลอดชีวิต’ 33เพราะฉะนั้น ขอโปรดให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านอยู่แทนน้อง โดยเป็นทาสของนายของข้าพเจ้า และให้น้องกลับขึ้นไปกับพวกพี่เถิด 34ถ้าน้องไม่ได้อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับไปหาบิดาได้อย่างไร? น่ากลัวว่าจะเห็นเหตุร้ายเกิดขึ้นแก่บิดาของข้าพเจ้า”
อรรถาธิบาย
มีความหวังใจอยู่เสมอ
ยาโคบอาจคร่ำครวญออกมาเหมือนดาวิดว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด?’ (สดุดี 13:1ก) ความทุกข์ทรมานของเขาดูเหมือนจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เขาเสียใจกับบุตรชายที่หายไปมากว่ายี่สิบปี และตอนนี้ก็เกิดการกันดารอาหารร้ายแรง (ปฐมกาล 43:1) และเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียเบนยามินบุตรที่เขารักมากอีก เขาได้กล่าวว่า ‘ทำไมพวกเจ้าทำสิ่งเลวร้ายต่อพ่อ...' (ข้อ 6) และกล่าวด้วยความอาลัยว่า ‘ถ้าพ่อจะต้องโศกเศร้าเพราะต้องเสียลูก ก็ต้องเป็นตามนั้น’ (ข้อ 14)
ในที่สุดยาโคบก็ได้วางใจในพระเจ้า และปล่อยเบนยามินบุตรชายของเขาไป เมื่อเขาทำเช่นนั้น สิ่งต่าง ๆ ก็ออกมาดี บ่อยครั้งที่เราไม่ยอมปล่อยมือให้พระองค์จัดการทุกสิ่ง และมอบสถานการณ์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ อาจจะเป็นเพราะเรากลัวในผลลัพธ์ที่มาออกเลวร้ายก็ได้
ผู้ประพันธ์พระธรรมตอนนี้ในหนังสือปฐมกาลเป็นนักเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม เขาได้ดึงเอาความเจ็บปวดออกมา ยูดาห์รู้ดีว่าบิดาของเขาต้องตรอมใจหากหากสูญเสียเบนจามินเช่นเดียวกับโยเซฟ เขากล่าวว่า ‘น่ากลัวว่าจะเห็นเหตุร้ายเกิดขึ้นแก่บิดาของข้าพเจ้า’ (44:34) ตลอดช่วงเวลาที่อ่านพระธรรมตอนนี้เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าจริง ๆ แล้วโยเซฟยังมีชีวิตอยู่และความฝันทั้งหมดของเขากำลังจะเป็นจริง (43:26–28) โยเซฟรู้สึก ‘สงสาร’ จนต้องมองหาที่เพื่อที่จะ 'ร้องไห้' ออกมา (ข้อ 30)
โยเซฟได้ทำการทดสอบพวกพี่ชายของเขา ยูดาห์เป็นคนที่เปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้เขาขายน้องชายของตนให้เป็นทาสอย่างเลือดเย็น (37:26–27) แต่ตอนนี้เขาเต็มใจที่จะสละชีวิตตนเองเพื่อช่วยน้องชาย 'ขอโปรดให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านอยู่แทนน้อง โดยเป็นทาสของนายของข้าพเจ้า’ (44:33)
ท่ามกลางสถาณการณ์ที่พลิกผันอย่างเหลือเชื่อนี้ พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำงานในชีวิตคุณอยู่เสมอเพื่อวันหนึ่งคุณสามารถมองย้อนกลับไปและพูดว่า ‘พระองค์ทรงดีต่อข้าพเจ้า’ (สดุดี 13: 6)
ยาโคบต้องมอบเบนยามินบุตรชาย ‘คนเดียว’ ของเขา (‘เหลือแต่เขาคนเดียว’ ปฐมกาล 42:38) เพื่อช่วยทั้งครอบครัว เมื่อเราอ่านสิ่งนี้ผ่านมุมมองของพันธสัญญาใหม่ เราจะได้รับการย้ำเตือนว่าพระเจ้าก็ส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาช่วยเราให้รอดเช่นกัน
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ปฐมกาล 43:1–44:34
พระธรรมตอนนี้มีหลากหลายอารมณ์ และทำให้เราลุ้นเหมือนแขวนเราไว้บนหน้าผา มีทั้งความเจ็บปวดมาก ความอิจฉา การหลอกลวงและความเลือดเย็น โยเซฟทดสอบพวกพี่ชายเพื่อดูสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาว่าได้เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่ พวกเขาเสียใจในสิ่งที่ทำไหม เมื่อโยเซฟเห็นพี่ชายก้มคำนับลง เขาคงอยากพูดเหลือเกินว่า 'จำความฝันเหล่านั้นได้ไหม?... ฉันบอกพวกพี่แล้ว?…’ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดไป เป็นดีกว่าที่ไม่ได้ตอบกลับไปแบบนั้น บางอย่างถูกเปิดเผยออกมาก็เพื่อหนุนจิตชูใจของเราเองหรือเพื่อให้เราได้อธิษฐาน
ข้อพระคำประจำวัน
สดุดี 13:5
‘แต่ข้าพระองค์ได้วางใจในความรักมั่นคงของพระองค์…’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)