สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า
เกริ่นนำ
หลังจากการอภิปราย ถกเถียง และการวิจัยมากมาย คำศัพท์ของพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดประจำปี 2016 คำว่า ‘ความรู้สึกอยู่เหนือความจริง’ มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 2,000% ในระหว่างปี ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีสหรัฐและการอภิปรายเบร็กซิต (การถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป โดยผู้แปล) ในยุค ‘ความรู้สึกอยู่เหนือความจริง’ วัตถุประสงค์ข้อเท็จจริงกลับมีอิทธิพลน้อยกว่าความรู้สึก การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาทุจริตคอรัปชั่นและการปฏิเสธความจริงอย่างสิ้นเชิง การโกหกอย่างโจ่งแจ้งกลายเป็นกิจวัตร
ถ้าคุณซื้อรถ คุณย่อมอยากรู้ข้อมูลความจริงเกี่ยวกับรถคันนั้น ในความสัมพันธ์ก็เช่นกัน คุณย่อมต้องการรู้ความจริงของทุก ๆ ความสัมพันธ์ คนเรากระหายหาความซื่อสัตย์และความจริง
เราเห็นข้อพระคัมภีร์วันนี้ว่าพระเจ้าเกลียดการโกหกและการหลอกลวง ดาวิดกล่าวว่า ‘พวกเขากล่าวคำมุสาแก่กันและกัน เขากล่าวด้วยริมฝีปากที่ป้อยอและด้วยใจที่หลอกลวง’ (สดุดี 12:2) พระเยซูกล่าวจากพระธรรมอิสยาห์ว่า ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา’ (มัทธิว 15:8) แม้ว่าพวกพี่ชายของโยเซฟหลอกลวงพ่อของพวกเขาเรื่องชะตากรรมของโยเซฟ (ปฐมกาล 37:31–35) พวกเขารู้อยู่ในใจว่าพวกเขาไม่สามารถหลอกลวงพระเจ้าได้ ‘สมควรแล้วที่เรามีความผิดเรื่องน้องของเรา’ (42:21)
พระเจ้าต้องการให้คุณซื่อสัตย์กับพระองค์ พระองค์ชอบความจริงใจ พระองค์อยากได้ยินสิ่งที่อยู่ในใจคุณวันนี้
สดุดี 12:1-8
คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือในเหตุการณ์ร้าย
ถึงหัวหน้านักร้อง ตามทำนองเชมินิท เพลงสดุดีของดาวิด
1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยด้วยเถิด เพราะผู้จงรักภักดีไม่มีอีกแล้ว
เพราะคนซื่อสัตย์ได้อันตรธานไปจากมนุษย์ทั้งหลาย
2พวกเขากล่าวคำมุสาแก่กันและกัน
เขากล่าวด้วยริมฝีปากที่ป้อยอและด้วยใจที่หลอกลวง
3ขอพระยาห์เวห์ทรงตัดทุกริมฝีปากที่ป้อยอออกเสีย
และขอทรงตัดลิ้นที่อวดอ้างการใหญ่นั้น
4คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “เราจะชนะด้วยลิ้นของเรา
ริมฝีปากของเราเป็นของเรา ใครจะเป็นนายเรา?”
5พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้
เพราะคนยากจนถูกข่มเหงและคนขัดสนคร่ำครวญ
เราจะจัดให้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยซึ่งเขาปรารถนาไปอยู่”
6พระดำรัสของพระยาห์เวห์เป็นพระดำรัสบริสุทธิ์
ประดุจเงินที่หลอมให้บริสุทธิ์ในเตาไฟบนแผ่นดิน
ถลุงถึงเจ็ดครั้ง
7ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงป้องกันเขาทั้งหลาย
ขอทรงปกป้องเขาให้พ้นจากคนยุคนี้ตลอดไป
8คนอธรรมก็เพ่นพ่านไปมาอยู่รอบด้าน
ขณะเมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากันยกย่องความชั่วช้า
อรรถาธิบาย
ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
เสียงร้องจากใจของดาวิดคือ 'ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยด้วยเถิด’ (ข้อ 1) เขาคร่ำครวญถึงสภาพสังคมในสมัยของเขา ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากสังคมของเราในปัจจุบัน เขาอธิบายถึงการโกหกหลอกลวง ความเย่อหยิ่ง ความโลภ และความเห็นแก่ตัว
‘ทุกคนพูดภาษาโกหก
คำโกหกไหลลื่นออกจากริมฝีปากมัน
พวกเขาพูดสองครั้งด้วยลิ้นที่ถูกคีบ’ (ข้อ 2, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
พระเจ้าไม่ทรงประทับใจคนที่ฉลาดด้วยคำพูด เสียงร้องขอความช่วยเหลือของดาวิดได้รับคำตอบเมื่อพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงช่วยเหลือผู้อ่อนแอและคนขัดสน ‘เราจะลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เราจะจัดให้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยซึ่งเขาปรารถนาไปอยู่’ (ข้อ 5)
จากนั้นดาวิดก็เปรียบเทียบความน่าไว้วางใจของพระเจ้ากับความว่างเปล่าของคำโกหกของคนรอบข้าง ‘คำพูดและพระสัญญาของพระเจ้าเป็นคำพูดที่บริสุทธิ์ เหมือนเงินที่ถลุงในเตาดินซึ่งทำให้บริสุทธิ์เจ็ดครั้ง’ (ข้อ 6, ข้อพระคัมภีร์จาก Amplified Bible โดยผู้แปล) สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจว่าพระเจ้าจะคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยและปกป้องเขาแม้จะมีการหลอกลวงรอบด้านก็ตาม ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงป้องกันเขาทั้งหลาย ขอทรงปกป้องเขาให้พ้นจากคนยุคนี้ตลอดไป’ (ข้อ 7)
‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงช่วยด้วยเถิด’ เป็นคำอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นของทุกวัน เมื่อคุณขอให้พระเจ้าทรงนำทางคุณในทุกเรื่องของคุณ
คำอธิษฐาน
มัทธิว 14:22-15:9
พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล
22แล้วพระองค์ตรัสสั่งให้บรรดาสาวกลงเรือทันที และข้ามฟากไปก่อน ในขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชนกลับบ้าน 23และเมื่อทรงให้ฝูงชนไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกมาก พระองค์ยังประทับที่นั่นแต่ลำพัง 24ในขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นซัดเพราะทวนลมอยู่ 25เมื่อเวลาใกล้รุ่งเช้าภาษากรีกแปลตรงตัวว่า ยามที่สี่ พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลไปยังพวกสาวก 26เมื่อสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเล เขาทั้งหลายก็แตกตื่นพูดกันว่าต้องเป็นผี และร้องด้วยความกลัว 27พระเยซูตรัสกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 28เปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอตรัสให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” 29พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระเยซู 30แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” 31พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ทันที แล้วตรัสว่า “ช่างมีความเชื่อน้อย ท่านสงสัยทำไม?” 32เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็สงบลง 33พวกที่อยู่ในเรือ จึงมากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว”
การทรงรักษาคนป่วยในเยนเนซาเรท
34เมื่อข้ามฟากไปแล้วก็มาขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรท 35คนที่นั่นจำพระองค์ได้ ก็ส่งข่าวไปทั่วแคว้น และต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมาเฝ้าพระองค์ 36พวกเขาทูลขอพระองค์โปรดให้พวกเขาได้แตะต้องเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และใครได้แตะต้องก็หายป่วยทุกคน
มัทธิว 15
คำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
1เวลานั้นพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซูว่า 2“ทำไมสาวกของท่านจึงละเมิดคำสอนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ? เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร” 3พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “เพราะเหตุใดท่านทั้งหลายจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน? 4เพราะว่าพระเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของตน’ และ ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ 5แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ใครกล่าวกับบิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นของที่ถวายแด่พระเจ้าแล้ว” 6คนนั้นก็ไม่ต้องให้เกียรติบิดาของตน’ อย่างนั้นแหละ พวกท่านทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไป เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน 7พวกหน้าซื่อใจคด อิสยาห์พยากรณ์ถึงท่านทั้งหลายถูกแล้วว่า
8 ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก
ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
9 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์
เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’
อรรถาธิบาย
พูดกับพระเจ้าท่ามกลางพายุ
พระเยซูชอบที่จะออกไปอธิษฐานด้วยตัวเอง ‘พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน' (14:23) เมื่อคุณอยู่กับพระเจ้าโดยสมบูรณ์คุณสามารถพูดกับพระองค์อย่างตรงไปตรงมาและจากส่วนลึกในหัวใจของคุณ
นี่คือความใกล้ชิดกับพระเจ้าที่ทำให้พระเยซูสามารถเดินบนน้ำได้ พระเยซูสนับสนุนให้เปโตรทำเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเปโตรเห็น ‘ลมพัดแรง’ (ข้อ 30) เขาก็เริ่มตกใจ เขาสัมผัสความรู้สึกนั้นอย่างแน่นอน บางครั้งเมื่อสิ่งต่าง ๆ เริ่มผิดพลาด ผมก็ละสายตาจากพระเยซู เมื่อผมมุ่งเน้นไปที่สถานการณ์รอบตัว ผมก็เริ่ม ‘จม’ ในตอนกลางของเรื่องนี้เปโตรสวดอ้อนวอนด้วยความตื่นตระหนกว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย’ (ข้อ 30)
แม้ว่าจะเป็นการอธิษฐานอย่างเสียขวัญ แต่ก็เป็นการร้องจากใจเช่นกัน ‘พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ทันที' (ข้อ 31) เมื่อผมมองย้อนกลับไปในคำอธิษฐานที่ตื่นตระหนกที่ผมได้วิงวอน มันวิเศษมากที่ได้เห็นวิธีที่บางคนได้รับคำตอบ
เมื่อพระเยซูและเปโตรปีนกลับเข้าไปในเรือ ลมก็สงบ แล้วคนที่อยู่ในเรือก็นมัสการ (พระเยซู) ตรัสว่า ‘“พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว”’ (ข้อ 33)
เหตุการณ์จบลงด้วยการที่สาวกทุกคนส่งเสียงร้องนมัสการจากหัวใจ เรื่องนี้ค่อนข้างพิเศษ ชาวยิวที่มีความเชื่อเดียวกันนี้จะรู้จักพระบัญญัติว่าพวกเขาควรนมัสการพระเจ้าเพียงผู้เดียว การนมัสการพระเจ้าแสดงถึงการยอมรับว่าพระเยซูเป็น ‘พระบุตรของพระเจ้า'
อันที่จริง คำพูดแรกของพระเยซูที่ตรัสกับเหล่าสาวกขณะที่พระองค์กำลังดำเนินบนน้ำคือ ‘ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย’ (ข้อ 27) ‘เราเอง’ เป็นพระนามของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม (อพยพ 3:14) พระเยซูกำลังบอกเหล่าสาวกและพวกเราว่าพระองค์คือ ‘เราเอง’ ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใดในปัจจุบัน นี่เป็นความมั่นใจอย่างมากว่า พระเยซูทรงควบคุมอยู่
คุณอาจไม่สบายใจที่จะทำความเข้าใจว่า พระเยซูกำลังทำอะไร หรือทำไมพระองค์จึงปล่อยให้ชีวิตเป็นอย่างที่เป็นอยู่ แต่คุณสบายใจเมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่
พวกเขาพาทุกคนที่ป่วยมาหาพระเยซูและร้องให้พระองค์ทรงรักษา พวกเขา ‘พวกเขาทูลขอพระองค์โปรดให้พวกเขาได้แตะต้องเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และใครได้แตะต้องก็หายป่วยทุกคน’ (มัทธิว 14:36)
ในหัวข้อถัดไป (15:1–9) พระเยซูทรงท้าทายพวกฟาริสีเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘จิตใจของพวกเขา’ (ข้อ 8) เริ่มจากพวกเขาท้าทายพระเยซูเกี่ยวกับการที่สาวกทำลายประเพณี แต่พระเยซูทรงเปลี่ยนสถานการณ์ของพวกเขาเอง
พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า เราควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลครอบครัวของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ของเรา พวกฟาริสีได้คิดหาเหตุผลที่น่าสงสัยว่า ทำไมเงินที่จะใช้เพื่อช่วยพวกเขาจึงถูกมอบให้กับพระเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เพื่อตอบแทนและช่วยเหลือพ่อแม่ของพวกเขาเองได้ (ข้อ 5)
พระเยซูกล่าวหาพวกเขาว่าคนหน้าซื่อใจคด คำว่า ‘คนหน้าซื่อใจคด’ หมายถึง ‘คนที่สวมหน้ากากเข้าหาคนอื่น’ หน้ากากของพวกเขากำลังถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยริมฝีปากของพวกเขา แต่ในความเป็นจริง ‘ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา (พระเจ้า)’ (ข้อ 8) พระเจ้าสนพระทัยหัวใจของคุณมากกว่าริมฝีปากของคุณ
คำอธิษฐาน
ปฐมกาล 41:41-42:38
41ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟอีกว่า “เราให้ท่านอยู่เหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด” 42ฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราออกจากพระหัตถ์ ทรงสวมให้ที่มือโยเซฟ กับให้สวมเสื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และทรงสวมสร้อยทองคำให้ที่คอ 43ให้โยเซฟใช้ราชรถคันที่สองที่เป็นของพระองค์ มีคนร้องประกาศข้างหน้าว่า “คุกเข่าลง” ดังนี้แหละ พระองค์ทรงตั้งท่านให้อยู่เหนือดินแดนอียิปต์ทั้งหมด 44ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟอีกว่า “เราคือฟาโรห์ เราจะไม่ให้คนทั่วแผ่นดินอียิปต์ยกมือยกเท้าได้ เว้นแต่เจ้าจะอนุญาต” 45ฟาโรห์ประทานนามโยเซฟว่า ศาเฟนาทปาเนอาห์ และประทานอาเสนัทบุตรีโปทิเฟราปุโรหิตเมืองโอนให้เป็นภรรยา โยเซฟก็ออกไปทั่วดินแดนอียิปต์
46เมื่อโยเซฟเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์นั้น ท่านอายุได้ 30 ปี แล้วท่านก็ออกจากพระพักตร์ฟาโรห์ไปทั่วดินแดนอียิปต์ 47ในเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น แผ่นดินก็เกิดผลมากมาย 48โยเซฟสะสมอาหารของทั้งเจ็ดปีซึ่งมีอยู่ในดินแดนอียิปต์ไว้หมด เก็บอาหารไว้ในเมืองต่างๆ อาหารที่เกิดขึ้นในที่ดินรอบเมืองใดก็เก็บไว้ในเมืองนั้น 49โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเล มากมายจนต้องหยุดนับเพราะนับไม่ถ้วน
50ก่อนถึงปีกันดารอาหาร โยเซฟมีบุตรชายสองคน ซึ่งนางอาเสนัทบุตรีโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอนมีให้ท่าน 51โยเซฟเรียกลูกหัวปีว่า มนัสเสห์ “เพราะว่าพระเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้าลืมความยากลำบากทั้งปวง และพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของบิดาเสีย” 52บุตรที่สองท่านเรียกชื่อว่า เอฟราอิม “เพราะว่าพระเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้ามีพงศ์พันธุ์ทวีขึ้นในดินแดนที่ข้าพเจ้าได้รับความทุกข์ใจ”
53เจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์ในดินแดนอียิปต์ก็ล่วงไป 54จึงเริ่มเกิดการกันดารอาหารเจ็ดปี ดังที่โยเซฟทำนายไว้ การกันดารอาหารนั้นเกิดทั่วแคว้นทั้งหลาย แต่ทั่วดินแดนอียิปต์ยังมีอาหารอยู่ 55เมื่อชาวอียิปต์อดอยาก ประชาชนก็ร้องทูลขออาหารต่อฟาโรห์ ฟาโรห์มีรับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งหลายว่า “ไปหาโยเซฟ ท่านบอกอะไร ก็จงทำตาม” 56การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์ เพราะการกันดารอาหารในแผ่นดินอียิปต์รุนแรงมาก 57ยิ่งกว่านั้นทั้งโลกก็มาหาโยเซฟที่อียิปต์เพื่อซื้อข้าว เพราะการกันดารอาหารร้ายแรงไปทั่วโลก
ปฐมกาล 42
พวกพี่ของโยเซฟไปอียิปต์
1เมื่อยาโคบรู้ว่ามีข้าวในอียิปต์ จึงพูดกับพวกลูกชายของเขาว่า “มานั่งมองดูกันอยู่ทำไมเล่า?” 2ยาโคบพูดต่อไปว่า “นี่แน่ะ พ่อได้ยินว่ามีข้าวในอียิปต์ พวกเจ้าจงลงไปที่นั่น ซื้อข้าวมาให้พวกเรา เพื่อพวกเราจะได้มีชีวิตต่อไปและไม่ตาย” 3พวกพี่ชายของโยเซฟทั้งสิบคนก็ไปซื้อข้าวที่อียิปต์ 4แต่เบนยามินน้องชายของโยเซฟนั้นยาโคบไม่ให้ไปกับพวกพี่ชาย เพราะเขากล่าวว่า “เกรงว่าจะเกิดอันตรายแก่เขา” 5ดังนั้นบรรดาบุตรชายของอิสราเอลก็ไปซื้อข้าวพร้อมกับคนอื่นๆ ที่เดินทางไป เพราะการกันดารอาหารที่เกิดในดินแดนคานาอัน
6โยเซฟเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านเป็นผู้ขายข้าวให้แก่ประชาชนทุกคนในแผ่นดิน พวกพี่ชายของโยเซฟก็มาโน้มตัวลงซบหน้าถึงดินคำนับท่าน 7เมื่อโยเซฟเห็นพวกพี่ชายของท่านก็จำได้ แต่ทำเป็นไม่รู้จัก และพูดจาดุดันกับพวกเขา ท่านถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “มาจากดินแดนคานาอันเพื่อซื้ออาหาร” 8โยเซฟจำพวกพี่ชายได้ แต่พวกพี่ชายจำท่านไม่ได้ 9โยเซฟระลึกถึงความฝันที่เคยฝันถึงพวกเขา ท่านกล่าวแก่พวกพี่ชายว่า “พวกเจ้าเป็นสายลับ แอบมาดูความอ่อนแอของแผ่นดิน” 10พวกเขาจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ไม่ใช่อย่างนั้น พวกผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร 11ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน เป็นคนซื่อสัตย์ พวกผู้รับใช้ของท่านไม่ใช่สายลับ” 12โยเซฟบอกเขาอีกว่า “ไม่จริง พวกเจ้ามาดูความอ่อนแอของดินแดนนี้” 13พวกเขาจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านเป็นพี่น้องสิบสองคน เป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน อยู่ในดินแดนคานาอัน ตอนนี้น้องสุดท้องยังอยู่กับบิดา แต่น้องอีกคนหนึ่งเสียชีวิตแล้ว” 14โยเซฟตอบพวกเขาว่า “ที่ข้าว่าพวกเจ้าเป็นสายลับนั้นจริงแน่ๆ 15ข้าจะทดลองพวกเจ้าดังนี้ โดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าจะไปจากที่นี่ไม่ได้ เว้นแต่น้องสุดท้องมาที่นี่ 16พวกเจ้าต้องอยู่ในคุกก่อน ให้คนหนึ่งในพวกเจ้าไปพาน้องมา เพื่อพิสูจน์ถ้อยคำของเจ้าว่า เจ้าพูดจริงหรือไม่ มิฉะนั้นโดยพระชนม์ฟาโรห์ พวกเจ้าเป็นสายลับแน่” 17แล้วโยเซฟก็ขังพวกพี่ชายไว้ด้วยกันในคุกสามวัน
18ในวันที่สามโยเซฟบอกพวกเขาว่า “ทำดังนี้แล้วจะรอดชีวิต เพราะข้ายำเกรงพระเจ้า 19ถ้าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกขังอยู่ในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของพวกเจ้า 20แล้วพาน้องสุดท้องมาหาเรา ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าพวกเจ้าพูดจริง แล้วพวกเจ้าจะไม่ตาย” พวกพี่ชายก็ทำตาม 21พวกพี่ชายจึงพูดกันว่า “สมควรแล้วที่เรามีความผิดเรื่องน้องของเรา เพราะเราได้เห็นความทุกข์ใจของน้องเมื่อเขาอ้อนวอนเรา แต่เราไม่ฟัง เพราะฉะนั้นความทุกข์ใจครั้งนี้จึงเกิดแก่เรา” 22ฝ่ายรูเบนพูดกับน้องทั้งหลายว่า “ข้าบอกพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ว่าอย่าทำบาปต่อเด็กนั้น? แต่พวกเจ้าไม่ฟัง เพราะฉะนั้นการตอบแทนเรื่องโลหิตของน้องจึงมาถึง” 23พวกพี่ชายไม่รู้ว่าโยเซฟฟังออก เพราะว่าเมื่อพูดกันมีคนเป็นล่าม 24โยเซฟก็ออกไปร้องไห้ แล้วกลับมาพูดกับเขาอีก ท่านเอาสิเมโอนออกมามัดไว้ต่อหน้าพวกเขา 25โยเซฟบัญชาให้ใส่ข้าวในถุงของพี่ชายให้เต็ม และคืนเงินของแต่ละคนใส่ไว้ในกระสอบของทุกคนด้วย และให้อาหารไปกินกลางทาง คนใช้ก็ทำตาม
พวกพี่ชายของโยเซฟกลับไปคานาอัน
26เมื่อพวกเขาบรรทุกข้าวใส่หลังลาเสร็จแล้ว ก็ออกเดินทางไป 27เมื่อคนหนึ่งเปิดกระสอบออกจะเอาข้าวให้ลากิน ณ ที่หยุดพัก ก็เห็นเงินของเขาอยู่ที่ปากกระสอบนั้น 28เขาจึงบอกกับพี่น้องของเขาว่า “นี่แน่ะ เงินของฉันกลับคืนมาอยู่ที่ปากกระสอบของฉัน” พี่น้องตกใจ ตัวสั่น หันหน้าเข้าหากันพูดกันว่า “พระเจ้าทรงทำอะไรอย่างนี้แก่เรา?”
29เมื่อพวกเขากลับไปพบยาโคบบิดาของเขาในดินแดนคานาอัน พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่พวกเขาให้บิดาฟังว่า 30“ท่านผู้เป็นเจ้านายของดินแดนนั้นพูดจาดุดันกับพวกเรา เหมาเอาว่าพวกเราเป็นสายลับดูดินแดนนั้น 31พวกเราเรียนว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ได้เป็นสายลับ 32ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน มีพี่น้องสิบสองคนแต่น้องคนหนึ่งเสียชีวิตแล้ว ตอนนี้น้องสุดท้องอยู่กับบิดาในดินแดนคานาอัน’ 33แล้วท่านผู้เป็นเจ้านายของดินแดนนั้นตอบว่า ‘นี่เป็นสิ่งที่ข้าจะรู้ได้ว่าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ คือให้คนหนึ่งในพวกพี่น้องอยู่กับข้า จงเอาข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า แล้วออกไปได้ 34จงพาน้องสุดท้องมาหาข้า ข้าจึงจะรู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นสายลับ แต่เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วข้าจะปล่อยพี่ชายไป พวกเจ้ายังจะได้ค้าขายในดินแดนนี้’ ”
35เมื่อพวกเขาแก้กระสอบข้าวออก ก็เห็นห่อเงินของแต่ละคนอยู่ในกระสอบของเขา เมื่อเวลาพวกเขากับบิดาเห็นห่อเงินดังนั้น ก็ทุกข์ใจ 36ยาโคบบิดาจึงพูดว่า “พวกเจ้าทำให้พ่อพลัดพรากจากลูกของพ่อ โยเซฟก็เสียไปแล้ว สิเมโอนก็เสียไปแล้ว แล้วยังจะเอาเบนยามินไปอีกคน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์สำหรับพ่อ” 37รูเบนจึงบอกบิดาว่า “ถ้าลูกไม่พาเบนยามินกลับมาให้พ่อ พ่อจงเอาลูกชายทั้งสองคนของลูกฆ่าเสีย จงมอบเบนยามินไว้ในความดูแลของลูก ลูกจะนำกลับมาหาพ่ออีก” 38ยาโคบบอกว่า “พ่อไม่ยอมให้ลูกของพ่อไปกับพวกเจ้า เพราะพี่ชายเขาก็ตายแล้ว เหลือแต่เขาคนเดียว ถ้าเกิดอันตรายแก่ลูกของพ่อในเวลาเดินทางไปกับเจ้า เจ้าจะพาผมหงอกของพ่อลงสู่แดนคนตายอย่างเศร้าสลด”
อรรถาธิบาย
พูดกับพระเจ้าจากส่วนลึกของคุณ
โยเซฟทำได้ดี แต่เขาเริ่มต้นได้ไม่ดี เขาอยู่ใน ‘บ่อ' (37:24) และใน ‘คุก’ (39:20) แต่สุดท้ายเขาลงเอยที่ ‘ราชวัง’ (45:16)
เช่นเดียวกับผู้คนมากมายในพระคัมภีร์ (พระเยซู ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เอเสเคียล ปุโรหิต และคนเลวีที่รับใช้ในพระวิหาร ดูในกันดารวิถี 4) โยเซฟเริ่มงานในชีวิตเมื่ออายุสามสิบ (41:46) จนถึงเวลานั้นโยเซฟอยู่ในการฝึกอบรม ตอนนี้เขาได้รับมอบหมายให้โยเซฟ ‘อยู่เหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด' (ข้อ 41)
พระเจ้าทรงทอดพระเนตรจิตใจของโยเซฟท่ามกลางความทุกข์ยากทั้งหมดของเขา ตลอดสิบสามปีระหว่างอายุ 17–30 ปี โยเซฟต้องประหลาดใจว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร เขาถูกปฏิเสธ ความทุกข์ทรมาน ความอยุติธรรม การถูกจำคุก ความผิดหวังและการทดลองอื่น ๆ มากมาย แต่ทั้งหมดนั้นพระเจ้าทรงจัดเตรียมเขาให้มีหน้าที่รับผิดชอบ ‘แผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด’ (ข้อ 41)
พระเจ้ารู้ว่าเขาเป็นคนที่ไว้วางใจได้ เพราะหัวใจของเขาชอบธรรม เขาอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าตลอดการทดลองทั้งหมด นี่คือสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงเวลาของการต่อสู้หรือช่วงเวลาแห่งการอวยพร คุณอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าและพูดคุยกับพระองค์จากใจหรือไม่
โยเซฟตั้งชื่อลูกสองคนของเขาว่ามนัสเสห์ ‘เพราะว่าพระเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้าลืมความยากลำบากทั้งปวง' (ข้อ 51) และเอฟราอิมเพราะว่า ‘พระเจ้าโปรดให้ข้าพเจ้ามีพงศ์พันธุ์ทวีขึ้น’ (ข้อ 52) หัวข้อทั่วไปในสองชื่อนี้คือวลีสี่คำว่า ‘พระเจ้า ทรง โปรดให้ ข้าพเจ้า’ ทั้งในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน (มนัสเสห์) และช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ (เอฟราอิม) โยเซฟยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่
อย่าปล่อยให้ใจของคุณขมขื่นในยามทุกข์หรือโอ้อวดในช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ จงยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจเหนือชีวิตและสถานการณ์ของคุณ
ตรงกันข้ามกับโยเซฟ พี่น้องของเขาต้องจมอยู่กับการหลอกลวงและความรู้สึกผิด (42:21 เป็นต้นไป) ‘ตอนนี้เรากำลังชดใช้ในสิ่งที่เราทำกับน้องชายของเรา และตอนนี้พวกเรากำลังมีปัญหา’ (ข้อ 21, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ‘พี่น้องตกใจ ตัวสั่น’ (ข้อ 28) แต่พวกเขาพูดด้วยริมฝีปากว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคนซื่อสัตย์’ (ข้อ 31)
ในความฝันดั้งเดิมของโยเซฟทั้งหมดนี้กำลังจะเป็นจริง แม้โยเซฟจะผ่านมาทั้งหมดแต่เขายังคงไว้วางใจพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อพระองค์ มันเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีแต่ก็จบลงด้วยดี
อย่ายอมทิ้งความฝันที่พระเจ้ามอบให้ แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นด้วย ‘ในบ่อ’ หรือ ‘คุก’ เช่นโยเซฟคุณก็อาจจะอยู่ใน ‘ราชวัง’ ดังที่ จอยซ์ ไมเออร์ เขียนว่า ‘ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นที่ไหนคุณก็สามารถมีจุดจบที่ยอดเยี่ยมได้ แม้ว่าวันนี้คุณจะอยู่ในบ่อ แต่พระเจ้าก็ยังคงเลี้ยงดูคุณและทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวคุณและผ่านตัวคุณได้’
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
โยเซฟเปลี่ยนจากการเป็นนักโทษที่ถูกลืมไปเป็นผู้ปกครองประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนั้น
(เปโตรเปลี่ยนจากการแสดงความเชื่ออย่างกล้าหาญ เดินบนน้ำ ไปสู่ความกลัว)
นี่เป็นความเชื่อที่สูงสุดและต่ำสุด
โยเซฟพร้อมสำหรับการขึ้นสู่อำนาจอย่างรวดเร็ว เขาช่วยชีวิตคนหลายพันคนให้รอดพ้นจากความอดอยากและเศรษฐกิจที่ล้มละลาย เราต้องการคนมากกว่านี้ที่จะลุกขึ้นอย่างโยเซฟผู้ยำเกรงพระเจ้า ได้รับการเปิดเผยคำพยากรณ์และเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่มีทักษะในการช่วยเหลือ
ข้อพระคำประจำวัน
มัทธิว 14:27
‘ทำใจดีดีเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)