วัน 20

วิธีการนำทางชีวิต

ปัญญานิพนธ์ สุภาษิต 2:12-22
พันธสัญญาใหม่ มัทธิว 14:1-21
พันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 40:1-41:40

เกริ่นนำ

รถคันล่าสุดของเรามีรอยขีดข่วนมากมายทั้งสองด้าน ผมสงสัยว่าเป็นฝีมือผมซะส่วนใหญ่ (แม้ว่าความทรงจำของผมจะคลุมเครือเกี่ยวกับเรื่องนี้) รอยพวกนั้นมาจากความยากลำบากในการบังคับเลี้ยวผ่านทางเข้าที่แคบมากบริเวณโบสถ์ของเรา

สติปัญญาได้รับการนิยามว่าเป็น ‘ศิลปะแห่งการหมุนพวงมาลัย’ ในขณะที่คุณดำเนินชีวิตคุณจะต้องสำรวจสถานการณ์ที่คับขันมากมายซึ่งต้องใช้สติปัญญาอันยิ่งใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายตัวเองหรือผู้อื่น

ปัญญานิพนธ์

สุภาษิต 2:12-22

12เพื่อช่วยเจ้าให้พ้นจากทางของคนชั่ว
 จากคนที่พูดตลบตะแลง
13ผู้ทอดทิ้งบรรดาวิถีแห่งความเที่ยงธรรม
 เพื่อเดินในทางแห่งความมืด
14ผู้ยินดีในการทำชั่ว
 และเปรมปรีดิ์ในการกลับดีเป็นชั่ว
15คือคนที่วิถีของเขาคด
 และหนทางของเขาไม่ตรง
16เพื่อช่วยเจ้าให้พ้นจากหญิงแพศยา
 พ้นจากหญิงสำส่อนที่พูดจาพะเน้าพะนอ
17ผู้ทอดทิ้งคู่ชีวิตที่นางได้เมื่อยังสาว
 และลืมพันธสัญญาแห่งพระเจ้าของนาง
18เพราะบ้านของนางดิ่งลงสู่ความมรณา
 และหนทางของนางนำไปสู่ชาวเมืองผี
19ทุกคนที่เข้าหานางก็ไม่ได้กลับมา
 และไม่ได้มาถึงวิถีแห่งชีวิต
20ดังนั้น เจ้าควรจะเดินในทางของคนดี
 และรักษาวิถีของคนชอบธรรม
21เพราะว่าคนเที่ยงธรรมจะได้อยู่ในแผ่นดิน
 และคนดีพร้อมจะดำรงอยู่ในนั้น
22แต่คนอธรรมจะถูกตัดออกจากแผ่นดิน
 และคนทรยศจะถูกถอนรากออกไป

อรรถาธิบาย

หลีกเลี่ยงการเลี้ยวผิดทาง

การไม่สัตย์ซื่อ (ข้อ16–18) เป็นตัวอย่างของการเลี้ยวที่ผิด สติปัญญาจะ ‘ป้องกันไม่ให้คุณเลี้ยวผิดหรือทำตามทิศทางที่ไม่ดี’ (ข้อ 12, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความฉลาดจะหยุดคุณให้หันเหออกนอกเส้นทาง มันจะหยุดคุณ ‘เดินทางอย่างไร้จุดหมาย หลงไปในทางวกวนและทางตัน’ (ข้อ 15, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) ความชั่วร้ายอาจดูน่าดึงดูด แต่มันวิปริตและนำไปสู่ความมืด

การแต่งงานเป็น ‘พันธสัญญา...ซึ่งทำต่อหน้าพระเจ้า’ (ข้อ 17) ‘พันธสัญญา’ ในพันธสัญญาเดิมเป็นคำสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์ของอิสราเอลกับพระเจ้าและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ภายใต้พันธสัญญาใหม่ พันธสัญญา คือ ข้อตกลงที่ผูกมัดโดยที่มิอาจทำลายได้

การมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์เชิงชู้สาวถือเป็นเรื่องผิดสำหรับทั้งสองฝ่าย ในกรณีนี้กล่าวถึงผู้หญิงที่ ‘ทอดทิ้งคู่ชีวิตที่นางได้เมื่อยังสาว’ และด้วยเหตุนี้นางจึง ‘ลืมพันธสัญญาแห่งพระเจ้าของนาง’ (ข้อ 17) ชายที่ล่วงประเวณีกับนางได้ตกอยู่ในการล่อลวงให้ออกนอกเส้นทางที่ถูกต้องไปสู่เส้นทางที่ ‘นำไปสู่ชาวเมืองผี’ ในที่สุด (ข้อ 18)

สติปัญญาจะช่วยให้คุณขับเคลื่อนไปในเส้นทางที่ถูกต้อง (ข้อ 16ก) มันจะทำให้ ‘เท้าของคุณก้าวไปในทางที่พิสูจน์แล้วว่าดี’ (ข้อ 20, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) และจะทำให้คุณเดินไปพร้อมกับ ‘คนเที่ยงธรรม’ (ข้อ 21, ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าโปรดประทานสติปัญญาแก่ข้าพระองค์ โปรดทรงนำชีวิตข้าพระองค์ไปบนเส้นทางที่ตรงไปสู่ชีวิต
พันธสัญญาใหม่

มัทธิว 14:1-21

การตายของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

 1เวลานั้นเฮโรดเจ้าเมืองทรงได้ยินกิตติศัพท์ของพระเยซู 2จึงตรัสกับพวกบริวารว่า “คนนี้แหละคือยอห์นผู้ให้บัพติศมา ท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพราะเหตุนี้ท่านจึงทำการอัศจรรย์ได้” 3เพราะว่าเฮโรดทรงจับยอห์นล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ชายา ของฟีลิปพระอนุชาของพระองค์ 4เพราะยอห์นเคยทูลพระองค์ว่า “พระองค์ไม่มีสิทธิ์รับนางนั้นมาเป็นพระชายา” 5ถึงเฮโรดมีพระประสงค์จะฆ่ายอห์นก็ทรงกลัวฝูงชน เพราะว่าพวกเขานับถือยอห์นว่าเป็นผู้เผยพระวจนะ 6แต่เมื่องานฉลองวันประสูติของเฮโรดมาถึง บุตรีนางเฮโรเดียสมาเต้นรำต่อหน้าพวกแขก ทำให้เฮโรดโปรด 7เฮโรดจึงทรงสัญญาโดยปฏิญาณว่า “เธอจะขอสิ่งใดๆ ก็จะให้สิ่งนั้น” 8เธอก็ทูลตามที่มารดาแนะนำไว้ว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เพคะ” 9กษัตริย์เฮโรดก็ทรงเป็นทุกข์ แต่เพราะเหตุที่ทรงปฏิญาณไว้ และเพราะทรงเห็นแก่หน้าแขกจึงมีรับสั่งอนุญาตให้ 10แล้วก็ทรงใช้คนไปตัดศีรษะยอห์นในคุก 11เขาจึงเอาศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้มารดา 12บรรดาสาวกของยอห์นก็มารับเอาศพไปฝังไว้ แล้วก็มาทูลพระเยซูให้ทรงทราบ

การทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

 13เมื่อพระเยซูทรงทราบแล้ว จึงทรงลงเรือเสด็จไปจากที่นั่น ไปยังที่สงบตามลำพัง เมื่อฝูงชนทราบ เขาทั้งหลายก็ออกจากเมืองต่างๆ เดินตามพระองค์ไป 14เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทอดพระเนตรเห็นมหาชน พระองค์ทรงสงสารเขาทั้งหลาย จึงทรงรักษาคนป่วยของพวกเขาให้หาย 15เมื่อเวลาเย็นแล้ว บรรดาสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์โปรดให้ฝูงชนไปเสียเถิด เพื่อพวกเขาจะไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน” 16พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” 17พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์มีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวอยู่ที่นี่” 18พระองค์จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด” 19แล้วพระองค์มีรับสั่งให้ฝูงชนนั่งลงบนหญ้า เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ และขอพระพร แล้วทรงหักขนมปังส่งให้พวกสาวก พวกสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง 20พวกเขาได้กินอิ่มกันทุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม 21คนทั้งหลายที่รับประทานอาหารนั้น มีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก

อรรถาธิบาย

เลือกทางที่ดี

ช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของคุณอาจทำให้คุณเดินในเส้นทางที่ผิด แต่ถ้าคุณอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องมันจะนำไปสู่ความเมตตาและสติปัญญามากขึ้น

หนังสือสุภาษิตให้เราเลือกระหว่างทางแห่งปัญญาและทางแห่งความชั่วร้าย ที่นี่เราจะได้เห็นว่าทั้งสองเส้นทางนี้มีลักษณะอย่างไรในทางปฏิบัติของพระเยซูและเฮโรด

1. เส้นทางแห่งความชั่วร้าย

เฮโรดเจ้าเมืองหรือที่เรียกว่าอันติปาส (21 ปีกคศ.-ค.ศ. 39) คือผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูต่อหน้าพระองค์ (เมื่อปีลาตส่งพระเยซูไปหาเฮโรด) ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ (ลูกา 23:8–12)

เฮโรดได้ทำสิ่งที่ผู้เขียนสุภาษิตเตือนไว้ เขาได้คบชู้กับเฮโรเดียสภรรยาของพี่ชาย เมื่อถูกจับได้จากการกระทำของเขา เขาได้จับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ‘ล่ามโซ่ขังคุกไว้’ (มัทธิว 14:3) เนื่องจากกลัวความผิดของตน

ดูเหมือนชีวิตของเฮโรดจะวนเวียนอยู่กับความพึงพอใจในตัวเอง เขาทิ้งภรรยาคนหนึ่งและได้มาอีกคน เขามุ่งความสนใจไปที่ความสุขส่วนตัวมากกว่าความทุกข์ยากของผู้คนอื่นที่ถูกเขากระทำ นั่นคือฟิลิปน้องชายของเขาเอง ระมัดระวังเมื่อความสุขของคุณมีความสำคัญมากกว่าความต้องการของผู้อื่น

ความกลัวการถูกปฏิเสธอาจทำให้เราลำบากได้เช่นกัน เฮโรด ‘กลัวฝูงชน’ (ข้อ 5) เขาประสงค์จะฆ่ายอห์น แต่ก็ยังกลัวถูกปฏิเสธจากแขกในงานเลี้ยงฉลอง ด้วยเหตุนี้ลูกสาวของเฮโรเดียสจึงขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาจากเฮโรด (ข้อ 8–10) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ยอมให้ความคิดคนอื่นมีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่ถูกต้อง

เพราะยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้เตือนเฮโรดอย่างกล้าหาญ เฮโรดจึงต้องการฆ่าเขา (ข้อ 4) ในความเป็นจริงความชั่วร้ายดูเหมือนจะเกิดขึ้นในครอบครัว หลานสาวของเฮโรดลูกสาวของเฮโรเดียสวางแผนกับแม่ของเธอว่าจะต้องตัดศีรษะยอห์น (ข้อ 6–10) พวกเขาแข็งกระด้างต่อความชั่วร้ายจนไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อยเมื่อเห็นศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบนถาด (ข้อ 11)

2. เส้นทางแห่งความดี

เห็นได้ชัดว่าพระเยซูทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างมากกับข่าวการเสียชีวิตของลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ (ข้อ 12) การตอบสนองต่อข่าวร้ายของพระองค์คือการปลีกตัวออกมา ‘ไปยังที่สงบ’ ตามลำพัง (ข้อ 13) พระองค์ต้องการอยู่กับพระเจ้าเพียงลำพัง

แต่เมื่อแผนการของพระองค์ถูกขัดขวาง พระเยซูก็ไม่ฉุนเฉียว (เหมือนที่ผมทำบ่อย ๆ) เป็นการดีที่จะวางแผน และยอมให้พระเจ้าเข้ามาขัดขวางแผนการของคุณ เนื่องด้วยความสงสารของพระเยซู (ข้อ 14) พระองค์ทรงมีสติปัญญาไม่เพียงแต่จะ ‘ปรับตัวตามสถานการณ์’ แต่ยังตอบสนองอย่างเข้มแข็งด้วย พระองค์ ‘ทรงรักษาคนป่วยของพวกเขาให้หาย’ (ข้อ 14) แม้หลังจากนั้นพระองค์ไม่ได้หาโอกาสหลีกหนีจากฝูงชน แต่ทรงรวบรวมและทรงเลี้ยงดูพวกเขา และทรงสอนสาวกถึงวิธีการเลี้ยงดูฝูงชนอย่างอัศจรรย์ (ข้อ 16:19–20)

พระองค์ทรงนำทางให้เราเห็นถึงสติปัญญาของพระองค์ในวันนี้ ซึ่งเริ่มต้นอย่างเลวร้ายมาก แต่พระเยซูทรงสามารถรักษาคนป่วยจำนวนมากและให้เลี้ยงดูคน ‘ห้าพันคน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก’ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ (ข้อ 21) วันนั้นได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์และทรงมีอิทธิพลต่อชีวิตนับล้าน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของข้าพระองค์ ไม่ได้นำข้าพระองค์ออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ขอนำให้ข้าพระองค์ไปสู่ความเมตตาและสติปัญญาที่มากขึ้น
พันธสัญญาเดิม

ปฐมกาล 40:1-41:40

ความฝันของนักโทษสองคน

 1ต่อมาพนักงานเชิญถ้วยเสวยของกษัตริย์แห่งอียิปต์ และพนักงานขนมของพระองค์ทำผิดต่อเจ้านาย คือกษัตริย์แห่งอียิปต์ 2ฟาโรห์กริ้วข้าราชการทั้งสองนั้น คือหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวย และหัวหน้าพนักงานขนม 3จึงให้จำคุกไว้ในบ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ในคุกที่โยเซฟถูกขังอยู่นั้น 4ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์สั่งโยเซฟให้ดูแลสองคนนั้น ท่านก็ปรนนิบัติพวกเขา พนักงานทั้งสองติดคุกอยู่หลายวัน 5คืนหนึ่งพวกเขาทั้งสองฝันไป คือพนักงานเชิญถ้วยเสวยและพนักงานขนมของกษัตริย์อียิปต์ที่ถูกขังอยู่ในคุกนั้น ต่างคนต่างฝันคนละเรื่อง ความฝันของแต่ละคนก็มีความหมายต่างกัน 6เมื่อเวลาเช้าโยเซฟเข้ามาหา เห็นพวกเขามีหน้าโศกเศร้า 7จึงถามข้าราชการทั้งสองของฟาโรห์ที่อยู่กับท่านในคุกที่บ้านนายของท่านว่า “ทำไมวันนี้พวกท่านจึงหน้าเศร้า?” 8พวกเขาตอบว่า “เราทั้งสองฝันและไม่มีใครอธิบายได้” โยเซฟบอกเขาว่า “พระเจ้าทรงอธิบายได้ไม่ใช่หรือ? ขอท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”
 9หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยก็เล่าความฝันของเขาให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันเห็นเถาองุ่นอยู่ตรงหน้าเรา 10เถาองุ่นนั้นมีสามกิ่ง ขณะงอกใบอ่อนดอกตูม ก็มีดอกบานออกมา และช่อก็กลายเป็นลูกองุ่นสุก 11ถ้วยของฟาโรห์อยู่ในมือเรา แล้วเราเก็บลูกองุ่นนั้นบีบให้น้ำลงในถ้วยของฟาโรห์ และวางถ้วยน้ำองุ่นนั้นในพระหัตถ์ของฟาโรห์” 12โยเซฟบอกข้าราชการคนนั้นว่า “ความหมายของความฝันคือ กิ่งสามกิ่งคือสามวัน 13ภายในสามวันฟาโรห์จะทรงยกศีรษะของท่านขึ้น และจะทรงคืนตำแหน่งของท่าน ท่านจะได้ถวายถ้วยของฟาโรห์ในพระหัตถ์ของพระองค์อีก ดังที่ได้ทำมาแต่ก่อนเมื่อเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวย 14เมื่อท่านมีความสุขแล้ว ขอให้ระลึกถึงข้าพเจ้าและแสดงความเมตตาปรานีต่อข้าพเจ้า ช่วยทูลฟาโรห์ให้ข้าพเจ้าได้ออกจากคุกนี้ 15เพราะข้าพเจ้าถูกลักพามาจริงๆ จากดินแดนฮีบรู และที่นี่ก็เหมือนกัน ข้าพเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรที่เขาเอาข้าพเจ้ามาไว้ในคุกใต้ดินนี้”
 16เมื่อหัวหน้าพนักงานขนมเห็นว่า คำอธิบายความฝันนั้นดี จึงเล่าให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันด้วย เห็นมีกระจาดขนมสามใบ ตั้งอยู่บนศีรษะเรา 17ในกระจาดบนสุดนั้นมีขนมสารพัดที่พนักงานขนมทำสำหรับฟาโรห์ แล้วมีนกมากินของในกระจาดที่ตั้งอยู่บนศีรษะเรา” 18โยเซฟตอบว่า “คำอธิบายความฝันคือ กระจาดสามใบคือสามวัน 19ภายในสามวันฟาโรห์จะทรงยกศีรษะของท่านขึ้นให้พ้นตัว และแขวนท่านไว้ที่เสา ฝูงนกจะมากินเนื้อท่าน”
 20เมื่อถึงวันที่สามเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของฟาโรห์ พระองค์จึงทรงจัดเลี้ยงข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ แล้วทรงปล่อยหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวย และหัวหน้าพนักงานขนมเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกข้าราชการ 21พระองค์ทรงคืนตำแหน่งหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวย เขาก็วางถ้วยในพระหัตถ์ของฟาโรห์ 22ส่วนหัวหน้าพนักงานขนมนั้นให้แขวนคอเสีย ดังที่โยเซฟอธิบายแก่พวกเขา 23แต่หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยนั้นไม่ได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย

ปฐมกาล 41

โยเซฟอธิบายพระสุบินของฟาโรห์

 1อยู่มาอีกสองปีเต็ม ฟาโรห์ทรงสุบินว่าทรงยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 2ทันใดนั้นมีโคเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์นั้น กินใบอ้ออยู่ 3แล้วนี่แน่ะ มีโคอีกเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียด ตามขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ มายืนข้างโคอ้วนพีที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 4โคที่ซูบผอมน่าเกลียดได้กินโคอ้วนพีงามน่าดูทั้งเจ็ดตัวนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ตื่นบรรทม 5พระองค์บรรทมหลับไปอีก ทรงสุบินครั้งที่สองว่า นี่แน่ะ มีต้นข้าวต้นเดียวออกรวงเจ็ดรวง เป็นข้าวเมล็ดเต่งงามดี 6แล้วมีรวงข้าวเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลัง เป็นข้าวลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออก 7รวงข้าวลีบเจ็ดรวงนั้นได้กลืนกินรวงข้าวงามดีเจ็ดรวงนั้นเสีย แล้วฟาโรห์ตื่นบรรทม และทรงทราบว่าเป็นพระสุบิน 8เมื่อรุ่งเช้า พระองค์รุ่มร้อนพระทัย จึงรับสั่งให้เรียกโหรและพวกนักปราชญ์ทั้งปวงของอียิปต์มาเข้าเฝ้า แล้วฟาโรห์ทรงเล่าพระสุบินให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครทูลอธิบายพระสุบินนั้นแด่ฟาโรห์ได้
 9ขณะนั้นหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยจึงทูลฟาโรห์ว่า “วันนี้ข้าพระบาทระลึกถึงความผิดของข้าพระบาท 10คือฟาโรห์ทรงพระพิโรธแก่เหล่าข้าราชการ ทรงขังข้าพระบาทไว้ในคุกที่บ้านผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ด้วยกันกับหัวหน้าพนักงานขนม 11ข้าพระบาททั้งสองฝันในคืนเดียวกัน ทั้งข้าพระบาทและเขา ความฝันของแต่ละคนมีความหมายต่างกัน 12มีชายหนุ่มชาวฮีบรูคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เป็นคนใช้ของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เมื่อข้าพระบาททั้งสองเล่าความฝันให้เขาฟัง ชายนั้นก็อธิบายความฝันของแต่ละคนให้ข้าพระบาททั้งสองฟัง 13เขาอธิบายความฝันให้ข้าพระบาททั้งสองอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้น คือฟาโรห์ทรงตั้งข้าพระบาทไว้ในตำแหน่งเดิม แต่อีกคนนั้นถูกแขวนคอ”
 14ฟาโรห์จึงรับสั่งให้เรียกโยเซฟมา เขาก็รีบไปนำท่านออกมาจากคุกใต้ดิน เมื่อท่านโกนศีรษะผลัดเสื้อผ้าแล้วก็เข้าเฝ้าฟาโรห์ 15ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “เราฝันไป ไม่มีใครอธิบายความฝันได้ เราได้ยินว่า เมื่อเจ้าได้ฟังความฝัน เจ้าก็อธิบายความฝันได้” 16โยเซฟจึงทูลตอบฟาโรห์ว่า “ไม่ใช่ข้าพระบาท พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันควรแก่ฟาโรห์” 17ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “ในความฝันของเรานั้น นี่แน่ะ เรายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำไนล์ 18โคเจ็ดตัวอ้วนพีงามน่าดูขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ กินใบอ้ออยู่ 19แล้วโคอีกเจ็ดตัวตามขึ้นมา ไม่งามแต่น่าเกลียดมากและซูบผอม เราไม่เคยเห็นมีโคน่าเกลียดอย่างนี้ทั่วแผ่นดินอียิปต์เลย 20โคที่ซูบผอมน่าเกลียดนั้นกินโคอ้วนพีเจ็ดตัวแรกนั้นเสีย 21เมื่อกินหมดแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ามันกินเข้าไป เพราะยังน่าเกลียดอยู่เหมือนเดิม แล้วเราก็ตื่นขึ้น 22ในความฝันของเราอีกครั้ง เรายังเห็นต้นข้าวต้นหนึ่ง มีรวงเจ็ดรวงงอกขึ้นมา เป็นข้าวเมล็ดเต่งและงามดี 23กับเห็นข้าวอีกเจ็ดรวงงอกขึ้นมาภายหลังเป็นข้าวเหี่ยวลีบ และเกรียมเพราะลมตะวันออก 24รวงข้าวลีบนั้นกลืนกินรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้นเสีย เราเล่าความฝันนี้ให้โหรฟัง แต่ไม่มีใครอธิบายได้”
 25โยเซฟจึงทูลฟาโรห์ว่า “พระสุบินของฟาโรห์มีความหมายอย่างเดียวกัน พระเจ้าทรงสำแดงให้ฟาโรห์ทราบสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ 26โคอ้วนพีเจ็ดตัวนั้นคือเจ็ดปี และรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้นก็คือเจ็ดปี เป็นความฝันเดียวกัน 27โคเจ็ดตัวซูบผอมน่าเกลียดที่ขึ้นมาภายหลังคือเจ็ดปี กับรวงข้าวเจ็ดรวงลีบและเกรียมเพราะลมตะวันออกนั้น คือเจ็ดปีที่กันดารอาหารด้วย 28เป็นจริงอย่างที่ข้าพระบาททูลฟาโรห์ คือพระเจ้าทรงสำแดงให้ฟาโรห์ทรงทราบสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ 29นี่แหละ จะมีอาหารบริบูรณ์ทั่วแผ่นดินอียิปต์ถึงเจ็ดปี 30หลังจากนั้นจะเกิดการกันดารอาหารอีกเจ็ดปี จนประชาชนจะลืมความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินอียิปต์เสีย การกันดารอาหารจะล้างผลาญแผ่นดิน 31เพราะการกันดารอาหารที่เกิดขึ้นตามมานี้ ประชาชนจึงจำความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินไม่ได้ ด้วยว่าการกันดารอาหารนั้นรุนแรงยิ่งนัก 32ที่ฟาโรห์ทรงสุบินสองครั้ง ก็หมายความว่าสิ่งนั้นพระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้ว และพระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จในเร็วๆ นี้ 33เพราะฉะนั้นขอฟาโรห์ทรงเลือกคนที่มีความคิดดี มีปัญญา ตั้งให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ 34ขอฟาโรห์ทรงทำดังนี้คือทรงจัดพนักงานไว้ทั่วแผ่นดิน และเก็บผลหนึ่งในห้าส่วนของดินแดนอียิปต์ไว้ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น 35ให้พวกเขาเก็บอาหารในปีที่อุดมสมบูรณ์เหล่านั้นซึ่งจะมาถึงไว้ และสะสมข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ไว้เป็นอาหารในเมืองต่างๆ และให้พวกเขาเฝ้าดูแลไว้ 36อาหารนี้จะได้เป็นเสบียงสำรองให้แก่แผ่นดินระหว่างเจ็ดปีที่กันดารอาหาร ซึ่งจะเกิดขึ้นในดินแดนอียิปต์ ดังนี้แผ่นดินจะไม่พินาศไปเพราะการกันดารอาหาร”

โยเซฟได้เป็นใหญ่

 37ฝ่ายฟาโรห์และข้าราชการทั้งปวงต่างเห็นชอบในข้อเสนอนี้ 38ฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการว่า “พวกเราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ?” 39ฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องทั้งสิ้นนี้แก่เจ้า จึงไม่มีใครที่มีความเข้าใจและมีปัญญาเหมือนเจ้า 40เจ้าจะเป็นผู้ดูแลราชสำนักของเรา และให้ประชาชนทั้งหมดของเราทำตามคำของเจ้า เว้นแต่พระที่นั่งเท่านั้นที่เราจะเป็นใหญ่กว่าเจ้า”

อรรถาธิบาย

การทรงนำผ่านความท้าทายในชีวิต

คุณเคยถูกปฏิเสธ ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ถูกเพื่อนทอดทิ้งหรือพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหงุดหงิดอื่น ๆ บ้างไหม?

‘ความเชื่ออันยิ่งใหญ่เป็นผลมาจากการต่อสู้ที่ใหญ่ยิ่ง คำพยานที่ยิ่งใหญ่คือผลลัพธ์ของบททดสอบอันหนักหน่วง ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นได้จากการทดลองที่ใหญ่ยิ่งเท่านั้น’ กล่าวโดย สมิธ วิกเกิลส์เวิร์ธ แต่เราเห็นสิ่งนี้เป็นจริงในชีวิตของโยเซฟ

โยเซฟอายุได้สามสิบ (41:46) เมื่อเมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลทั่วทั้งอียิปต์ ฟาโรห์กำลังมองหาคนที่ฉลาดและมากด้วยประสบการณ์และเขาตระหนักว่าไม่มีใครมีคุณสมบัติเท่าโยเซฟอีกแล้ว (ข้อ 33,39)

ก่อนหน้านั้นโยเซฟต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน เขาถูกพี่ชายปฏิเสธและปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมรวมถึงถูกจับเข้าคุก แต่ความทุกข์ทรมานของเขาก็ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้

พระเจ้าประทานความสามารถแก่โยเซฟในการทำนายความฝันให้หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยและหัวหน้าพนักงานขนมเพื่อนนักโทษของเขา เขาได้รับของประทานในการทำนายความฝันที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำ ซึ่งหัวหน้าพนักงานขนมนั้นถูกประหารชีวิต แต่หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยได้รับการปล่อยตัวและกลับคืนสู่หน้าที่ สิ่งที่โยเซฟขอร้องต่อหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยคือเมื่อได้รับการปล่อยตัว ช่วยทูลฟาโรห์ให้เขาได้ออกจากคุก (40:14)

อย่างไรก็ตามหัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยลืมทุกอย่างเกี่ยวกับโยเซฟ (ข้อ 23) สิ่งนี้คงเป็นเรื่องยากและน่าท้อใจสำหรับเขา มันไม่ง่ายเลยเมื่อเพื่อน ๆ ทำให้คุณผิดหวัง ในกรณีของโยเซฟมันหมายถึงอีกสองปีที่เขาต้องอิดโรยในคุกใต้ดิน (41:1)

คุก เป็นสถานที่ที่น่าอึดอัดเป็นพิเศษสำหรับชายที่มากด้วยของประทานอย่างโยเซฟ เขาเพิ่งผ่านพ้นวัยยี่สิบปีแรกของชีวิต และไม่รู้ว่าตนเองจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่ ผมไม่ใช่คนที่อดทนมาก ถ้าเป็นผมคงเสียสติไปแล้ว

อันที่จริงแล้วพระเจ้ากำลังเตรียมโยเซฟสำหรับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก มันอาจจะไม่รู้สึกเช่นนั้นในเวลานั้น โดยการดูแลนักโทษทั้งหมดในเรือนจำนั้น พระเจ้าทรงเตรียมโยเซฟให้สามารถเลี้ยงดูประชาชนทั้งหมดได้

ในที่สุด ฟาโรห์ได้ฝัน แต่ไม่สามารถตีความความฝันได้ หัวหน้าพนักงานเชิญถ้วยเสวยจึงกล่าวว่า ‘วันนี้ข้าพระบาทระลึกถึงความผิดของข้าพระบาท’ (ข้อ 9) และโยเซฟก็ถูกเรียกให้มาบอกความหมายของความฝันของฟาโรห์

โยเซฟกล่าวว่า ‘ไม่ใช่ข้าพระบาท พระเจ้าต่างหากจะประทานคำตอบอันควรแก่ฟาโรห์’ (ข้อ 16) เราจะเห็นว่าโยเซฟเติบโตขึ้นในด้านสติปัญญามากเพียงไร ความมั่นใจในตนเองและความหยิ่งผยองในวัยเยาว์ของเขาถูกแทนที่ด้วยการพึ่งพาพระเจ้า เขามีส่วนผสมที่พิเศษของความถ่อมตนและความมั่นใจ (คุณสมบัติสองประการที่ไม่ได้ไปด้วยกันได้บ่อย ๆ) นี่คือความถ่อมตนและความมั่นใจที่เราต้องการเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิต ‘ไม่ใช่ข้าพระบาท...พระเจ้าต่างหาก’

โยเซฟตีความความฝันของฟาโรห์ (ข้อ 25–32) และบอกว่าควรตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร (ข้อ 33–36) แม้แต่ฟาโรห์ก็ยังตระหนักถึงสติปัญญาอันหลักแหลมที่เติบโตขึ้นในโยเซฟ ฟาโรห์ถามเหล่าข้าราชการว่า ‘พวกเราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ’ (ข้อ 38) เพราะตระหนักว่าไม่มีใครที่ ‘ชาญฉลาด’ และ ‘มีสติปัญญา’ เท่าโยเซฟอีกแล้ว ฟาโรห์จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ดูแลอาณาจักรทั้งหมด (ข้อ 39–40)

ท่ามกลางความทุกข์ยาก การทดลองและความยากลำบากทั้งหมดของคุณ พระเจ้ากำลังเตรียมคุณเช่นกัน โยเซฟมีสติปัญญามากขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถวางแผนนำทางให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่และความโกลาหลนี้ได้ ขณะนี้พวกเราหลายคนกำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบ ความช่วยเหลือและสติปัญญาของพระเจ้าอาจไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไป แต่มันจะช่วยให้คุณผ่านพ้นความยากลำบากที่คุณกำลังเผชิญนี้ได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงนำทางข้าพระองค์ในช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต และช่วยให้ข้าพระองค์เติบโตขึ้น มีสติปัญญาและมั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าและสามารถก้าวผ่านความท้าทายของชีวิต

เพิ่มเติมโดยพิพพา

ปฐมกาล 40

ฉันประทับใจโยเซฟมาก นอกเหนือจากความอวดดีในวัยเด็ก เพราะได้รับความโปรดปรานจากพ่อเป็นพิเศษ แต่โยเซฟไม่ได้ดำเนินในทางที่ผิดเลย อันที่จริงโยเซฟน่าจะมีศิลปะในการพูดกับพนักงานขนมคนนั้นสักหน่อย!

แม้มีคนมากมายปฏิบัติไม่ดีต่อโยเซฟ แต่เขาก็ไม่เคยขมขื่นหรือสงสัยในพระเจ้า โยเซฟยังคงเคารพฟาโรห์ แต่เขามีจุดยืนอย่างชัดเจนว่านั่นคือพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเขาที่ตีความความฝันได้ ความอวดดีในวัยเด็กของเขาหมดไปและยกเกียรติทั้งหมดให้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไม่ได้พยายามต่อรองเพื่อจะได้รับการปล่อยตัวเลยด้วยซ้ำ ไม่น่าแปลกใจที่ฟาโรห์จะประทับใจ ตอนนี้โยเซฟยืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์ด้วยความถ่อมใจ มั่นใจและพร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้

ข้อพระคำประจำวัน

ปฐมกาล 41:16

‘ไม่ใช่ข้าพระบาท...พระเจ้าต่างหาก’

reader

App

Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.

reader

อีเมล

Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.

reader

เว็บไซต์

Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.

การอ้างอิง

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)

เว็บไซต์นี้จัดเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ เพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นและการวิเคราะห์ที่จำเป็นเท่านั้น ดูเพิ่มเติม