คุณได้รับกุญแจนั้น
เกริ่นนำ
ในวันที่ 15 มกราคม ปี 2009 เที่ยวบินกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา 1549 ได้เกิดเหตุพุ่งชนฝูงห่านฝูงหนึ่งแล้วทำให้เครื่องยนต์ของทั้งสองอันค่อยๆดับลง ในขณะที่กำลังบินอยู่เหนือเมืองนิวยอร์ก ลางหายนะก็ใกล้เข้ามา ไม่ใช่แค่เพียงผู้โดยสารจำนวน 155 ชีวิตที่กำลังตกอยู่ในอันตรายแต่ยังมีผู้คนนับ 1000 ที่อาจจะถูกฆ่าจากการพุ่งเข้าชนของเครื่องบินลำนี้กับตึกสูงเสียดฟ้าในนครนิวยอร์กด้วย กัปตันเชสลี่ เบิร์นเนท หรือ ‘แซลลี่’ ซัลเลนเบิร์จ ที่ 3 ได้ใช้ความสามารถอันลึกล้ำของเขาขับเครื่องบินที่พิกลพิการไปด้วยความกล้าหาญ และก็ได้ประสบความสำเร็จในการพาเครื่องบินลงจอดที่แม่น้ำฮัดสัน ผู้โดยสารทุกคนรอดชีวิต ไม่มีสักคนที่มีอาการบาดเจ็บถึงขั้นรุนแรง ผู้ว่าราชการแห่งเมืองนิวยอร์กได้ให้เกียรติยกย่องเขาให้เป็นวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิตชาวเมือง โดยการมอบรางวัล กุญแจเกียรติยศประจำเมือง ให้แก่เขา
การมอบกุญแจเกียรติยศประจำเมืองให้ใครสักคน ถือเป็นสิทธิ์ที่พิเศษอย่างมาก เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าถึงสิทธิอำนาจ กุญแจมักถูกมอบให้เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงคุณความดีที่ได้กระทำต่อเมืองนั้นนั้น ในพระคัมภีร์ใหม่ เราพบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่ถือกุญแจ พระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ ได้กล่าวไว้ใน (วิวรณ์ 1:18) ว่า ‘เราถือลูกกุญแจทั้งหลายแห่งความตายและแห่งแดนคนตาย’ พระเยซูได้ทรงทำการช่วยชีวิตผู้คนให้รอดตายครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าใครที่ไหนจะทำได้ สิทธิอำนาจที่เป็นของพระองค์ ก็เป็นอำนาจสูงสุดที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน พระองค์ทรงถือลูกกุญแจแห่งความตายและแดนคนตาย
ช่างน่าอัศจรรย์ที่ในหนังสือมัทธิว 16:19 พระเยซูคริสต์ทรงมอบ ‘ลูกกุญแจต่าง ๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์’ ให้กับเปโตรและคริสตจักร (ซึ่งก็คือพวกเรา) คริสเตียนหลายคนมักรู้สึกอ่อนแอไร้กำลังและขาดสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาดูเหมือนจะไม่ทันได้ตระหนักว่าพระเยซูคริสต์ทรงประทานทุกสิ่งให้กับพวกเขาแล้ว คุณไม่ได้ไร้กำลัง ที่จริงแล้วคุณมีสิทธิอำนาจลึกล้ำอย่างที่ใครไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ ลูกกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์
สดุดี 14:1-7
การตำหนิพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า
ถึงหัวหน้านักร้อง ของดาวิด
1คนโง่รำพึงในใจตนว่า
“ไม่มีพระเจ้า”
เขาทั้งหลายก็เลวทราม ทำกิจการน่าเกลียดน่าชัง
ไม่มีผู้ใดทำดี
2พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูมนุษย์ทั้งหลาย
ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด
ที่แสวงหาพระเจ้า
3เขาทั้งหลายหลงเจิ่นไปหมด เสื่อมทรามเหมือนกันสิ้น
ไม่มีผู้ใดทำดี
ไม่มีสักคนเดียว
4ผู้ทำความชั่วทุกคนไม่รู้หรือ?
คือผู้ที่กินประชากรของเราอย่างกินอาหาร
และไม่ได้ร้องทูลพระยาห์เวห์
5เขาทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นอย่างหวาดกลัวยิ่งนัก
เพราะพระเจ้าสถิตกับพวกผู้ชอบธรรม
6พวกเจ้าหมายจะคว่ำแผนงานของคนยากจน
แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขา
7ขอให้การช่วยกู้อิสราเอลออกมาจากศิโยน
เมื่อพระยาห์เวห์ทรงให้ประชากรของพระองค์กลับสู่สภาพดี
ยาโคบจะเปรมปรีดิ์ อิสราเอลจะยินดี
อรรถาธิบาย
มีความสุขกับการได้พบพระเจ้า
การได้รับ ‘ลูกกุญแจต่าง ๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์’ (มัทธิว 16:19) นั่นหมายถึงการได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงประทานให้เรา พระเจ้าทรงมองหาผู้ที่’กระหายหา’ (สดุดี 42:2) พระองค์อยู่เสมอ คุณสามารถที่จะมีความสุขกับการได้พบพระเจ้า
แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นผู้ชอบธรรม เพราะมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป พวกเราทุกคนจึงต้องพังพินาศ (ข้อ 1,3 อ้างอิงในโรม 3:9-12)
กษัตริย์ดาวิดได้เคยอธิบายคำว่าพินาศนี้ไว้ในคำทั่วไป แต่พระองค์ก็ยังให้ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงไว้สองอย่างนั่นคือ
1. การปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า
‘คนโง่รำพึงในใจตนว่า “ไม่มีพระเจ้า”' (ข้อ 1)
2. การไม่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
‘พวกเจ้าหมายจะคว่ำแผนงานของคนยากจน’ (ข้อ 6)
คำว่าแผ่นดินของพระเจ้าหมายถึงการแสวงหาพระเจ้าและแสวงหาความยุติธรรมให้กับคนยากจน และนั่นก็คือใจความสำคัญที่ได้สรุปไว้ในตอนท้ายของพระธรรมสดุดีชุดนี้ กษัตริย์ดาวิดร้องวิงวอนต่อพระเจ้าว่า ‘ขอให้การช่วยกู้อิสราเอลออกมาจากศิโยน’ (ข้อ 7ก)
ขอบคุณพระเจ้าที่ความรอดของชาวอิสราเอลมาในรูปแบบของบุคคลที่ชื่อว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอยู่และสิ้นพระชนม์แล้วก็ฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อที่เราทุกคนจะสามารถได้รับการให้อภัย ถูกชำระให้ชอบธรรมด้วยโลหิตของพระองค์ และได้รับสิทธิ์ให้เข้าถึงพระเจ้าพระบิดา (เอเฟซัส 2:18) และในตอนนี้พระเยซูก็ได้ประทานลูกกุญแจแห่งแผ่นดินพระเจ้าให้กับเรา
คำอธิษฐาน
มัทธิว 16:1-20
ขอหมายสำคัญ
1พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีมาทดลองพระองค์ โดยขอให้พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เห็น 2พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “[พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า ‘อากาศจะปลอดโปร่งเพราะท้องฟ้าสีแดง’ 3พอรุ่งเช้าพวกท่านก็พูดว่า ‘วันนี้จะมีพายุฝนเพราะท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้ม’ ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังรู้จักสังเกตและเข้าใจ แต่หมายสำคัญแห่งกาลเวลานี้พวกท่านกลับไม่เข้าใจ] 4คนในยุคชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าชอบแสวงหาหมายสำคัญแต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขาทั้งหลาย เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากพวกเขา
เชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
5เมื่อข้ามฟากไปแล้ว สาวกของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย 6เมื่อพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี” 7พวกสาวกจึงพูดกันว่า “เพราะเราไม่ได้เอาขนมปังมา” 8พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริงๆ ทำไมพวกท่านถึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง? 9ท่านยังไม่เข้าใจหรือ? พวกท่านจำไม่ได้หรือเรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น พวกท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า? 10หรือเรื่องขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็บที่เหลือได้กี่กระบุง? 11ทำไมถึงไม่เข้าใจว่า เราไม่ได้พูดกับท่านทั้งหลายเรื่องขนมปัง แต่ให้ระวังเชื้อของพวกฟาริสีและพวกสะดูสีให้ดี?” 12พวกสาวกจึงเข้าใจว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสสั่งเขาทั้งหลายให้ระวังเชื้อ แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
คำประกาศยอมรับของเปโตรเกี่ยวกับพระเยซู
13เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียาฟีลิปปี พระองค์ตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า “คนทั่วไปพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร?” 14เขาทั้งหลายทูลตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ ส่วนคนอื่นๆ ว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะ” 15แล้วพระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?” 16ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” 17พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ 18เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้ 19เราจะมอบลูกกุญแจต่างๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์” 20พระองค์ทรงกำชับพวกสาวกของพระองค์ไม่ให้บอกใครว่า พระองค์เป็นพระคริสต์
อรรถาธิบาย
รับกุญแจด้วยความเชื่อ
ในบริบทที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนเกี่ยวกับกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์ คือการเข้าใจและตระหนักรู้ว่าพระองค์คือใคร เหมือนอย่างที่เราได้อ่านในข้อพระคำสดุดีวันนี้ พระเจ้าทรงมองหา ‘คน..ที่ฉลาด’ (สดุดี14:2ข) นั่นคือสาเหตุที่พระเยซูคริสต์ทรงประหลาดใจ เมื่อได้เห็นว่าสาวกของพระองค์นั้นขาดความเข้าใจ พระองค์ตรัสว่า ‘ท่านยังไม่เข้าใจหรือ ทำไมถึงไม่เข้าใจ’ (มัทธิว 16:9,11)
และหลังจากนั้นก็เริ่มเห็นความหวังอันน้อยนิดเกิดขึ้นกับเปโตร ผู้ที่พูดขึ้นมาว่า ‘พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่’ (ข้อ 16) ในบริบทนี้ของพระคัมภีร์พระเยซูคริสต์ ทรงมอบ ‘กุญแจ’ พระองค์ตรัสว่า ‘บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้ เราจะมอบลูกกุญแจต่าง ๆแห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์’ (มัทธิว 18-19)
พระวจนะของพระเยซูส่งถึงเปโตร บนความเชื่อที่เข้มแข็งดุจศิลาที่เปโตรได้แสดงให้เห็นคือที่ที่พระเยซูคริสต์กำลังจะสร้างคริสตจักรของพระองค์ เปโตรได้รับกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์แล้ว ในวันเพ็นเทคอสต์เปโตรได้เปิดประตูต้อนรับให้คน 3,000 คนให้เข้ามา (กิจการ 2:41) พระองค์ทรงเปิดประตูให้กับนายร้อยชาวต่างชาติชื่อคอร์เนลิอุสและด้วยเหตุนี้เองคนต่างชาติทั้งโลกก็ได้รับโอกาสนั้น (กิจการ 10)
แต่ไม่ใช่เฉพาะเปโตรเท่านั้นที่มีกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์ ต่อมาพระเยซูทรงมอบสิทธิอำนาจที่คล้ายคลึงกันนี้ให้แก่สาวกด้วยเช่นกัน “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งใด ๆ ที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใด ๆ ที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์” (มัทธิว 18:18)
นี่คือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และเกียรติที่พระเยซูมอบให้ทั้งกับเราและคริสตจักรของพระองค์ พระองค์มอบกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์ให้แก่เรา 'ท่านจะได้รับสิทธิอย่างสมบูรณ์แบบและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการเข้าถึงแผ่นดินของพระเจ้า กุญแจที่จะเปิดเข้าไปสู่ประตูไหนที่ใดก็ได้ ไม่มีการปิดกั้นระหว่างสวรรค์และโลกหรือโลกนี้และสวรรค์อีกต่อไป’ (ข้อ 16:19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
ที่จริงแล้วพระเยซูตรัสว่าพลังแห่งความตายจะไม่อาจ ‘มีชัย' ต่อคนที่เชื่อในพระองค์ได้ (ข้อ 18) ดังนั้น คริสตจักรที่ครอบครองกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์ สามารถบุกทำลายประตูแห่งความตายและปลดปล่อยผู้จองจำได้
‘ประตูแห่งความตาย’ ไม่อาจต่อต้านคริสตจักรได้ ประตูนั้นมีหน้าที่ป้องกันไม่ใช่โจมตี คริสตจักรนั้นเป็นฝ่ายที่จะโจมตี และคุณสามารถที่จะแน่ใจได้ว่าเราจะได้รับชัยชนะเหนือการป้องกันของศัตรู
คุณสามารถมีสิทธิพิเศษที่จะได้เห็นผู้คนเป็นอิสระผ่านข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์ คุณสามารถมีความสุขที่ได้เห็นผู้คนปลอดจากยาเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง อาชญากรรมและการเป็นทาส ทั้งยังสามารถรับมือกับความท้าทายด้วยความมั่นใจ ไม่หวาดกลัวต่อความชั่ว รู้ไว้เถิดว่าคุณได้มีส่วนร่วมในพลังอำนาจฝ่ายวิญญาณที่น่าจดจำ
คำอธิษฐาน
ปฐมกาล 45:1-47:12
โยเซฟแสดงตัวให้พี่น้องรู้
1โยเซฟอดกลั้นต่อหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าท่านอีกไม่ได้ก็ร้องสั่งว่า “ให้ทุกคนออกไปเสียเถิด” จึงไม่มีใครยืนอยู่ด้วย เมื่อโยเซฟเปิดเผยตนเองให้พี่น้องรู้ 2แล้วท่านร้องไห้เสียงดัง จนคนอียิปต์ทั้งหลายได้ยิน และคนในราชสำนักฟาโรห์ได้ยิน 3โยเซฟบอกพวกพี่น้องว่า “ฉันคือโยเซฟ พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่หรือ?” ส่วนพวกพี่น้องไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เพราะตกใจกลัวที่อยู่ต่อหน้าท่าน
4โยเซฟจึงบอกพวกพี่ชายว่า “เข้ามาใกล้ฉัน” พวกเขาก็เข้ามาใกล้ แล้วท่านว่า “ฉันคือโยเซฟน้องที่พวกพี่ขายมายังอียิปต์ 5แต่เดี๋ยวนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายฉันมาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้ฉันให้มาก่อนหน้าพวกพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต 6เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดินสองปีแล้ว ยังอีกห้าปีจะไม่มีการไถนาหรือเก็บเกี่ยวเลย 7พระเจ้าทรงใช้ฉันมาก่อนพวกพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พวกพี่ และช่วยชีวิตของพวกพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่8ฉะนั้น ไม่ใช่พี่เป็นผู้ให้ฉันมาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงให้ฉันเป็นเหมือนดังบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้านายในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ปกครองแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 9รีบขึ้นไปหาบิดาฉันและให้พวกพี่บอกท่านว่า ‘โยเซฟลูกของพ่อพูดดังนี้ว่า พระเจ้าทรงให้ลูกเป็นเจ้านายเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอลงมาหาลูก อย่าได้ช้า 10พ่อจะได้อาศัยอยู่ในดินแดนโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลาน และฝูงแพะแกะ ฝูงโค และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ 11ลูกจะเลี้ยงดูพ่อที่นั่น เพราะยังมีการกันดารอาหารอีกห้าปี เพื่อไม่ให้พ่อและครอบครัวของพ่อและทุกคนที่พ่อมีอยู่ยากจนลง’ 12นี่แน่ะ นัยน์ตาของพวกพี่และนัยน์ตาของเบนยามินน้องของฉันได้เห็นว่าเป็นปากของฉันเองที่ได้พูดกับพวกพี่ 13พวกพี่จงเล่าให้พ่อฟังถึงยศศักดิ์ทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ในอียิปต์ และที่พวกพี่ได้เห็นนั้นทุกประการ พวกพี่จงรีบพาพ่อฉันลงมาที่นี่” 14โยเซฟกอดคอเบนยามินน้องชายแล้วร้องไห้ เบนยามินก็กอดคอโยเซฟร้องไห้เหมือนกัน 15โยเซฟจึงจูบพี่ชายทั้งหมดและร้องไห้ หลังจากนั้นพี่น้องก็พูดคุยกับโยเซฟ
16ข่าวที่ว่า “พี่น้องของโยเซฟมา” ไปถึงราชวังฟาโรห์ ฟาโรห์กับข้าราชการก็พากันยินดี 17ฟาโรห์รับสั่งกับโยเซฟว่า “พูดกับพี่น้องของท่านว่า ‘ทำดังนี้ คือเอาของบรรทุกบนหลังสัตว์กลับไปดินแดนคานาอัน 18พาบิดาและครอบครัวของพวกเจ้ามาหาเรา เราจะประทานของดีที่สุดในแผ่นดินอียิปต์ให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้รับประทานผลอันอุดมบริบูรณ์ของดินแดนนี้’ 19ส่วนท่านให้รับคำสั่งด้วยว่า ‘ทำดังนี้ เอารถจากดินแดนอียิปต์ไปรับเด็กเล็กๆ และภรรยาของพวกเจ้ากับนำบิดามา 20อย่าเสียดายทรัพย์สมบัติเลย เพราะของดีที่สุดทั่วประเทศอียิปต์เป็นของพวกเจ้าแล้ว’ ”
21บรรดาบุตรของอิสราเอลก็ทำตาม โยเซฟจัดรถให้พวกเขาตามรับสั่งของฟาโรห์ พร้อมกับให้เสบียงไว้รับประทานตามทาง 22โยเซฟให้เสื้อคนละชุด แต่ให้เงินแก่เบนยามิน 300 แผ่นกับเสื้อห้าชุด 23โยเซฟฝากของต่อไปนี้ให้บิดา คือลาสิบตัวบรรทุกของดีที่สุดในประเทศอียิปต์ และลาตัวเมียอีกสิบตัวบรรทุกข้าว ขนมปัง และเสบียงอาหารสำหรับให้บิดารับประทานตามทาง 24แล้วโยเซฟก็ส่งพี่น้องไป เมื่อพวกเขาจะจากไป โยเซฟสั่งพวกเขาว่า “อย่าทะเลาะกันตามทาง” 25พวกพี่น้องก็พากันออกจากอียิปต์ ไปดินแดนคานาอันไปหายาโคบบิดา 26บอกบิดาว่า “โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ครอบครองดินแดนอียิปต์ทั้งหมด” แต่ยาโคบงงงันเพราะไม่เชื่อพวกเขา 27พวกเขาจึงเล่าถ้อยคำทั้งหมดของโยเซฟที่พูดกับพวกเขา เมื่อยาโคบเห็นรถที่โยเซฟส่งมารับท่าน จิตใจของยาโคบบิดาของพวกเขาก็ฟื้นแช่มชื่นขึ้น 28อิสราเอลจึงว่า “พ่ออิ่มใจแล้ว โยเซฟลูกพ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อจะไปเห็นลูกก่อนพ่อตาย”
ปฐมกาล 46
ยาโคบนำครอบครัวทั้งหมดไปอียิปต์
1อิสราเอลเดินทางไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมด เมื่อถึงเบเออร์เชบา ก็ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของอิสอัคบิดาของท่าน 2พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลโดยนิมิตในเวลากลางคืนว่า “ยาโคบ ยาโคบ” ยาโคบทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 3พระองค์จึงตรัสว่า “เราคือพระเจ้า คือพระเจ้าของบิดาเจ้า อย่ากลัวที่จะลงไปอียิปต์ เพราะเราจะตั้งเจ้าให้เป็นประชาชาติใหญ่ที่นั่น 4เราจะลงไปกับเจ้าถึงอียิปต์ และเราจะนำเจ้ากลับมาอีกแน่นอน และโยเซฟจะเอามือปิดตาเจ้า” 5ยาโคบก็ยกไปจากเบเออร์เชบา บรรดาบุตรอิสราเอลก็ให้ยาโคบบิดาและพวกเด็กๆ และภรรยาของพวกเขาขึ้นรถที่ฟาโรห์ส่งมารับ 6เขาเอาฝูงปศุสัตว์และทรัพย์ที่เขาสะสมในดินแดนคานาอันนั้นไปอียิปต์ด้วย ทั้งยาโคบกับพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของท่าน 7ท่านพาลูกหลานชายหญิงและพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของท่านเข้าไปในอียิปต์พร้อมกับท่าน
8ต่อไปนี้เป็นชื่อเชื้อสายของอิสราเอลที่เข้าไปในอียิปต์ ทั้งยาโคบและบรรดาบุตรชายของท่าน คือรูเบนบุตรหัวปีของยาโคบ 9และบุตรของรูเบนคือ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี 10บุตรของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน และโศหาร์ กับชาอูล บุตรของหญิงคานาอัน 11บุตรเลวีคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี 12บุตรยูดาห์คือ เอร์ โอนัน เช-ลาห์ เปเรศ เศ-ราห์ แต่เอร์และโอนันได้ถึงแก่กรรมในดินแดนคานาอัน บุตรเปเรศคือ เฮสโรน และฮามูล 13บุตรอิสสาคาร์คือ โทลา ปูวาห์ฉบับซีเรียและเบญจบรรณของชาวสะมาเรียคือ ปูอาห์ โยบ และชิมโรน 14บุตรเศบูลุนคือ เสเรด เอโลน และยาเลเอล 15(คนเหล่านี้เป็นบุตรของนางเลอาห์ ซึ่งนางมีให้ยาโคบในปัดดานอารัม กับบุตรีชื่อ ดีนาห์ บุตรชายหญิงทั้งหมดมี 33 คน) 16บุตรของกาด คือ ศิฟีโยน ฮักกี ชูนี เอสโบน เอรี อาโรดี และอาเรลี 17บุตรอาเชอร์คือ อิมนาห์ อิชวาห์ อิชวี และเบรีอาห์ กับเสราห์น้องสาว บุตรเบรีอาห์คือ เฮเบอร์ และมัลคีเอล 18(คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของนางศิลปาห์ผู้ที่ลาบันยกให้แก่นางเลอาห์บุตรีของเขา และบุตร 16 คนนี้นางมีให้ยาโคบ) 19บุตรของนางราเชลภรรยายาโคบคือ โยเซฟและเบนยามิน 20มนัสเสห์กับเอฟราอิมเกิดแก่โยเซฟในแผ่นดินอียิปต์ สองคนนี้นางอาเสนัท บุตรีโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอนมีให้ท่าน 21บุตรเบนยามิน คือเบ-ลา เบเคอร์ อัชเบล เก-รา นาอามาน เอไฮ โรช มัปปิม หุปปิม และอาร์ด 22(คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของนางราเชล ที่เกิดแก่ยาโคบมี 14 คนด้วยกัน) 23บุตรของดานคือ หุชิม 24บุตรของนัฟทาลีคือ ยาเซเอล กูนี เยเซอร์ และชิลเลม 25(คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของนางบิลฮาห์ผู้ที่ลาบันยกให้แก่นางราเชลบุตรีของเขา และบุตร 7 คนนี้นางมีให้ยาโคบ) 26บรรดาคนของยาโคบซึ่งเป็นลูกหลานของท่านที่ลงไปอียิปต์นั้น ไม่นับบุตรสะใภ้ของยาโคบมีทั้งหมด 66 คนด้วยกัน 27บุตรของโยเซฟซึ่งเกิดแก่ท่านในอียิปต์มี 2 คน นับวงศ์วานของยาโคบทั้งหมดที่เข้ามาในอียิปต์ได้ 70 คน
ยาโคบตั้งถิ่นฐานในโกเชน
28ยาโคบให้ยูดาห์ล่วงหน้าไปหาโยเซฟเพื่อจะนำไปยังโกเชน แล้วพวกเขาก็มาถึงดินแดนโกเชน 29โยเซฟจัดรถของท่านไปยังโกเชนรับอิสราเอลบิดาของท่าน พอเห็นบิดา ท่านก็กอดคอบิดาไว้ ร้องไห้เป็นเวลานาน 30อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พ่อตายได้แล้ว เพราะพ่อได้เห็นหน้าเจ้าแล้ว และเจ้ายังมีชีวิตอยู่” 31โยเซฟจึงบอกพี่น้องและครอบครัวของบิดาว่า “เราจะขึ้นไปทูลฟาโรห์ว่า ‘พี่น้องและครอบครัวของบิดาผู้เคยอยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นมาหาข้าพระบาทแล้ว 32คนเหล่านั้นเป็นผู้เลี้ยงแกะเพราะเคยเลี้ยงสัตว์ เขาพาฝูงแพะแกะฝูงโคกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขามาด้วย’ 33เมื่อฟาโรห์รับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าแล้วจะตรัสถามว่า ‘พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร?’ 34ท่านทั้งหลาย จงทูลว่า ‘พวกผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่เป็นเด็กมาจนทุกวันนี้ ทั้งข้าพระบาทและบรรพบุรุษของข้าพระบาท’ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในดินแดนโกเชน เพราะชาวอียิปต์เกลียดชังคนที่เลี้ยงแพะแกะทั้งหมด”
ปฐมกาล 47
1โยเซฟเข้าไปทูลฟาโรห์ว่า “บิดาและพี่น้องของข้าพระบาท กับฝูงแพะแกะฝูงโคและทรัพย์สมบัติของเขาทั้งสิ้นมาจากแผ่นดินคานาอันแล้ว เวลานี้อยู่ในดินแดนโกเชน” 2โยเซฟเลือกห้าคนจากหมู่พี่น้องพาไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ 3ฟาโรห์ตรัสถามพี่น้องของโยเซฟว่า “พวกเจ้าเคยทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร?” พวกเขาทูลฟาโรห์ว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นผู้เลี้ยงแพะแกะ ทั้งพวกข้าพระบาทและบรรพบุรุษของพวกข้าพระบาท” 4พวกเขาทูลฟาโรห์อีกว่า “พวกข้าพระบาทมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ เพราะไม่มีทุ่งหญ้าจะเลี้ยงสัตว์ของพวกข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท เพราะเหตุว่าในดินแดนคานาอันนั้นกันดารอาหารนัก บัดนี้ขอโปรดให้พวกข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทอาศัยอยู่ในดินแดนโกเชนเถิด” 5ฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า “บิดาและพวกพี่น้องมาหาท่านแล้ว 6ท่านมีแผ่นดินอียิปต์อยู่ต่อหน้า ให้บิดาและพี่น้องของท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในดินแดนดีที่สุด คือให้เขาอยู่ในดินแดนโกเชน แล้วถ้าท่านเห็นใครท่ามกลางพวกเขาเป็นคนมีความสามารถ จงตั้งคนเหล่านั้นให้เป็นบรรดาหัวหน้ากองปศุสัตว์ของเรา” 7โยเซฟพายาโคบบิดาของท่านเข้าเฝ้าฟาโรห์ ยาโคบก็ถวายพระพรแก่ฟาโรห์ 8ฟาโรห์จึงตรัสถามยาโคบว่า “อายุท่านได้เท่าไร?” 9ยาโคบทูลตอบฟาโรห์ว่า “ข้าพระบาทมีชีวิตร่อนเร่พเนจรนับได้ 130 ปี ชีวิตของข้าพระบาทสั้นและร้าย ไม่เท่าอายุบรรพบุรุษของข้าพระบาทที่มีชีวิตร่อนเร่ไปมา” 10ยาโคบถวายพระพรแก่ฟาโรห์ แล้วทูลลาไปจากพระพักตร์ของฟาโรห์ 11ฝ่ายโยเซฟให้บิดาและบรรดาพี่น้องของท่านอาศัยอยู่และให้กรรมสิทธิ์ที่ดินในแผ่นดินอียิปต์ ในดินแดนดีที่สุด คือดินแดนราเมเสส ตามรับสั่งของฟาโรห์ 12โยเซฟเลี้ยงดูบิดาและพวกพี่น้องรวมทั้งครอบครัวของบิดา ให้มีอาหารรับประทานตามจำนวนคนในครอบครัว
อรรถาธิบาย
ไขประตูและเห็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลง
อเล็กซานเดอร์ ดูมาร์ เคยเขียนไว้ว่า 'ผู้ที่เคยตกอยู่ในก้นบึ้งแห่งความเศร้าโศก คือผู้ที่สามารถสัมผัสถึงสันติสุขอันสูงสุดได้ดีกว่าใคร’ ยาโคบ (อิสราเอล) และครอบครัวของเขาเคยผ่านความเศร้าโศกลึกซึ้งนี้ และตอนนี้เขาก็ได้สัมผัสกับความสุขขั้นสูงสุด
บางครั้งผมก็พยายามเก็บงำอารมณ์ของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น โยเซฟก็เป็นผู้ชายที่มีอารมณ์แบบสุดโต่ง ตอนที่เขาเปิดเผยตัวกับพี่น้องของตน ‘เสียงร้องไห้ของท่านดังมากจนคนอียิปต์แถวนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินเขา’ (45:2 , พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล) จากนั้นโยเซฟก็ได้จูบพี่น้องของเขาทุกคนและเช็ดน้ำตากับพวกเขา อารมณ์ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับ ‘การทรงสร้าง’ เช่นเดียวกับอวัยวะอื่น ๆ เหมือนมือหรือปอด อย่ากลัวที่จะแสดงอารมณ์ของคุณ เพราะพระเยซูคริสต์ก็ทรงเคยร่ำไห้ และสำแดงความรักของพระองค์อย่างเปิดเผย
โยเซฟ ให้อภัยพี่ชายของเขาอย่างหมดใจ (ข้อ 5) ในหนังสือของ อาร์ ที เคนดอล ที่ชื่อว่า การให้อภัยอย่างสมบูรณ์ เขาได้อธิบายถึงส่วนที่ยากและดีที่สุดที่ตัวเองเคยได้รับการขอร้องให้กระทำ: ‘การอวยพรที่คาดไม่ถึง เกิดขึ้นเมื่อผมเริ่มที่จะให้อภัย ทันใดนั้นสันติสุขในแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสมาเป็นเวลาหลายปีก็เริ่มที่จะเข้ามาสู่หัวใจของผม’
โยเซฟสามารถที่จะให้อภัยได้ไม่ว่าเขาจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เขาถูกพระเจ้าใช้ให้ ‘ช่วยชีวิต’ (ข้อ 5) ผู้อื่น มีถึงสามครั้งที่เขาพูดว่า พระเจ้า คือผู้ที่ทรงส่งเขามาที่นี่ (ข้อ 5, 7-8)
โยเซฟกล่าวว่า ‘แต่บัดนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่ เพื่อจะได้ช่วยชีวิต’ (ข้อ 5 , พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล)
เมื่อผมมองไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมก็ได้ตระหนักว่าหลายครั้งตัวเองกังวลในสิ่งที่ไม่จำเป็น ถ้าตอนนั้นผมแค่วางใจในพระเจ้าอย่างหมดใจ ผมคงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองจากความวุ่นวายได้มาก ลองคิดดูว่ายาโคบรู้สึกเป็นทุกข์ทรมานขนาดไหน กับเรื่องโยเซฟทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่ทุกอย่าง
พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่าพระองค์มาเพื่อเติมเต็มธรรมบัญญัติ (มัทธิว 5:17–20) เรื่องราวของโยเซฟก็เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ พระเยซูทรงเติมเต็มในสิ่งที่เป็นเพียงเงาซึ่งมาก่อนอย่างโยเซฟ การทนทุกข์ของโยเซฟเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าเพื่อช่วยคนของพระองค์ และในการช่วยคนของพระองค์ พระเจ้าทรงตั้งให้โยเซฟเป็นเจ้าผู้ปกครองนครอียิปต์ (ปฐมกาล 45:8-9)
กุญแจดอกหนึ่งในการเข้าอาณาจักรสวรรค์ คือการเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ เบื้องหลังเรื่องราวของไม้กางเขนคือพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่ต้องการช่วยชีวิตเราผ่านการทนทุกข์ของพระเยซูคริสต์ ‘ด้วยการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่’ (ข้อ 7) และในตอนนี้พระเจ้าก็ได้ทรงทำให้พระเยซูไม่ได้เป็นแค่ ‘เจ้าผู้ปกครองอียิปต์' แต่ทรงเป็นผู้ครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
วีรบุรุษแห่งเที่ยวบินที่ 1549 ผู้ได้ช่วยชีวิตของคนทั้ง 155คน และได้รับลูกกุญแจเกียรติยศแห่งนครนิวยอร์ก โยเซฟผู้ช่วยเหลือชีวิตประชากรของพระเจ้า และถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าผู้ปกครองอียิปต์ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงช่วยโลกนี้ และได้รับกุญแจแห่งอาณาจักรสวรรค์ที่พระองค์ได้ส่งมอบต่อมายังคริสตจักร ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ๆ ที่เราได้มีสิทธิพิเศษแบบนี้
คำอธิษฐาน
เพิ่มเติมโดยพิพพา
ปฐมกาล 45:1-47:12
การคืนดีจะเกิดขึ้นได้ผ่านการให้อภัยโดยสมบูรณ์ โยเซฟให้อภัยพี่ ๆ ของเขาได้ เพราะเขาได้ให้อภัยอย่างหมดจด ความรักนั้นปกคลุมเหนือความผิดบาปที่มากมาย ถ้าหากว่าฉันเป็นยาโคบ ฉันคงรู้สึกโกรธบรรดาลูกชายของฉันอย่างมากมาย ที่ทำให้ฉันต้องเจอกับความทุกข์ทรมานทั้งหมดนั้น แต่ยาโคบกลับรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้น ที่ได้พบว่าลูกชายคนสำคัญของเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาทำได้แค่อัศจรรย์ใจกับแผนการช่วยกู้อันเหนือธรรมชาตินี้ของพระเจ้า
ข้อพระคำประจำวัน
มัทธิว 16:19, พระคัมภีร์ตอนนี้จาก The Message โดยผู้แปล
‘ท่านจะได้รับสิทธิอย่างสมบูรณ์แบบและไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใด ๆ ในการเข้าถึงแผ่นดินของพระเจ้า กุญแจที่จะเปิดเข้าไปสู่ประตูไหนที่ใดก็ได้ ไม่มีการปิดกั้นระหว่างสวรรค์และโลกหรือโลกนี้และสวรรค์อีกต่อไป’
App
Download the Bible in One Year app for iOS or Android devices and read along each day.
อีเมล
Sign up now to receive Bible in One Year in your inbox each morning. You’ll get one email each day.
เว็บไซต์
Subscribe and listen to Bible in One Year delivered to your favourite podcast app everyday.
การอ้างอิง
ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 2011 สงวนสิทธิ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย (ยกเว้นข้อที่ระบุว่าเป็นฉบับอื่น)